ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ใกล้ตา..ไกลใจ
ตอนที่ 8 ใกล้ตา..ไกลใจ
แต่ก็ทำได้เพียงสัมผัสริมฝีปากอันหวานละมุนเบาๆ เท่านั้น ดวงเมืองก็สิ้นสติฟุบหน้าลงไปที่ไหล่อีกฝ่ายทันที
เมื่อรับรู้ว่าคนที่กำลังทับตนอยู่หมดความรู้สึกไปแล้ว ใจที่เต้นระรัวแทบจะกระดอนออกมาของเจก็ค่อยๆสงบลง เขาลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของคนรักที่อยู่ห่างจากใบหน้าตนไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นๆนั้นมีกลิ่นเหล้าจางๆ เจเหม่อมองดวงเมืองจนเคลิบเคลิ้ม นิ้วเรียวสัมผัสใบหน้าคมนั้นอย่างหลงใหล
“คุณเจ!..คุณเจครับ!..เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ!”
เสียงเรียกของเอกดังอยู่หน้าประตูเรียกให้เจตื่นจากภวังค์ จึงดันร่างใหญ่ที่นอนทับตนออกเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
“มาพอดีเลยเอก”
เอกมองร่างโปร่งด้วยสีหน้าตื่นๆ
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าครับ ผมได้ยินเสียงคุณเมืองดังลั่นเลย”
“นิดหน่อยน่ะ..แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เมาหลับอยู่นู่นแน่ะ”
เจเดินกลับเข้ามา เอกจึงเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้ามาบ้าง เห็นเศษแก้วแตกกระจายเต็มห้องก็อดอุทานขึ้นไม่ได้ ที่ว่าทะเลาะกันนิดหน่อยคิดว่าคงจะไม่นิดหน่อยแบบที่อีกฝ่ายบอกแน่ๆ
“ปกติแล้วเมืองเขานอนที่ไหนเหรอ?” เจหันมาถาม
“ถ้างานยุ่งๆก็นอนที่นี่ครับ ด้านในยังมีห้องนอนเล็กๆอยู่ห้องนึง”
“งั้นก็พอดีเลย มา..มาช่วยกันหน่อย”
สองหนุ่มจึงช่วยกันดึงร่างอันไร้สติของดวงเมืองให้ลุกขึ้น และช่วยพยุงกันคนละข้าง พาเข้าไปนอนแผ่ในห้องนอนอย่างทุลักทุเล
“เอก..วันนี้ผมขอค้างที่นี่ด้วยแล้วกัน ฝากคุณช่วยปิดคลับให้ด้วยนะ”
“ได้ครับ ถ้างั้นก็ฝากดูเจ้านายของผมด้วยนะครับ”
เจยิ้มรับ เอกจึงเอ่ยลาและออกจากห้องไป ทิ้งให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
หลังจากที่บริกรหนุ่มจากไปแล้ว เจก็ทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงแบบหมดแรง รู้สึกเจ็บระบมที่สีข้างขึ้นมานิดๆเหมือนกัน เขาเหลือบมองคนที่กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเตียงแล้วอดเคืองไม่ได้
“ร้ายจัง..นี่เราไปหลงรักคนที่อารมณ์ร้ายขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย”
ร่างโปร่งเอนตัวลงมองใบหน้าของอีกฝ่าย เห็นใบหน้าคมที่ปกติจะเคร่งขรึมเย็นชาเหมือนน้ำแข็งทว่าตอนนี้กลับดูผ่อนคลายลงมาก เจจึงแอบหยิกแก้มเบาๆด้วยความหมั่นไส้
..แบบนี้ต้องเอาคืน เขาอมยิ้ม .
แกล้งอีกฝ่ายเล่นอยู่สักพัก..เจ้าของหน้าคงรู้สึกรำคาญจึงเอามือปัดไปมา เจจึงรีบเบี่ยงตัวหลบ ชักเริ่มหวั่นๆกลัวว่าคนหลับจะตื่นขึ้นมาหาเรื่องอีก จึงรีบลุกไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย กว่าจะทำอะไรเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบตีสองแล้ว เขาสะบัดศีรษะไล่ความเหนื่อยอ่อนก่อนจะเข้าไปนอนเคียงข้างร่างสูง
..เจนอนตะแคงหันหน้ามามองดวงเมืองนิ่ง
“สาวิตรี..เป็นใครกัน..เป็นคนรักของคุณหรือเปล่าเมือง..ตอนที่คุณบอกรักผม..คุณบอกผมหรือคุณบอกเธอกันแน่..”
หลังมือขาวแนบสัมผัสเบา ที่แก้มของอีกฝ่าย
“นอนแบบนี้จะหลับลงเหรอเนี่ยเรา”
เขาถอนใจก่อนปิดเปลือกตาลง ไล่ความคิดคำนึงที่ยังค้างคาออกไปจากใจจนหมดสิ้น แล้วนิทราอันแสนหวานของทั้งสองก็ดำเนินไปจนถึงรุ่งเช้า
++++++++++++++++
เสียงเรียกเข้าของมือถืออันคุ้นเคยดังขึ้นในยามเช้าตรู่ เจงัวเงียตื่นขึ้นแบบงงๆ มือข้างหนึ่งควานหามือถือของตนไปทั่ว ซักพักจึงนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตน เลยรีบกระโดดออกจากเตียงแล้วคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมากดรับสายทันที
“ฮัลโหล”
“ฮัลโหล..คุณเจครับ..ผมกรนะ”
“มีอะไรเหรอ..คุณกร โทรมาแต่เช้าเชียว” เจถามพร้อมกับหาว นัยน์ตาแอบชำเลืองมองเจ้าของห้องที่ยังหลับนิ่งอยู่
“วันนี้คุณมีประชุมตอนเก้าโมงเช้านะครับ”
พอได้ยินว่ามีประชุมแต่เช้า เจก็หายง่วงทันที “ประชุมเช้า!..คุณโสไม่ได้บอกผมไว้นี่!!”
“ครับ..กะทันหันไปหน่อย เพราะมิสเตอร์เอริคเพิ่งมาถึงเมื่อคืนและเขาติดต่อมาว่าอยากพบกับคุณครับ”
“อืม..เข้าใจแล้ว ถ้างั้นผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ฝากต้อนรับเขาด้วยนะ อ้อ..แล้วก็ให้คุณวัฒน์เตรียมการประชุมให้พร้อมด้วย”
“ทราบแล้วครับ” ปลายสายตอบกลับมาและวางสายไป
ร่างโปร่งวางโทรศัพท์แล้วเดินกลับมาที่เตียงใหญ่พลางนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา แม้จะเปลี่ยนที่นอน เขากลับหลับสบายอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าไม่หลับแล้วแท้ๆ แถมรู้สึกเหมือนว่าถูกคนกอดอยู่ตลอดคืนเลยทำให้รู้สึกอุ่นมากแม้ว่าอากาศจะเย็นก็ตาม คิดแล้วก็ต้องก้มมองคนหลับนิ่งเพราะรู้แล้วว่าคนกอดน่ะเป็นใคร เลยโน้มตัวลงแอบจูบเบาๆที่หน้าผากของอีกฝ่ายด้วยความรัก
“ผมรักคุณนะ..ดวงเมืองของผม”
เขากระซิบแผ่ว มองคนที่รักด้วยความเป็นห่วงอยู่ซักพักจึงเลื่อนผ้าห่มมาคลุมให้
“ไปก่อนนะครับ..อ้อ..ลืมไป”
เจหยิบมือถือของตนขึ้นมากดฟังก์ชั่นที่ต้องการและ
‘แช๊ะ’
เป็นเสียงถ่ายรูปโดยใช้มือถือของตัวเอง เขาแอบถ่ายรูปดวงเมืองตอนหลับเอาไว้ เลือกถ่ายอยู่หลายมุมจนพอใจและรีบกดเซฟเก็บอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆย่องออกจากห้องไปอย่างเงียบกริบ
++++++++++++++++
เช้าวันเสาร์ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่มันกลับไม่ธรรมดาในความรู้สึกของดวงเมืองเลย ชายหนุ่มตื่นขึ้นหลังจากที่เจออกไปได้ไม่นาน แม้จะตื่นแล้วแต่ยังไม่ได้ลุกออกไปจากเตียง เขาเอามือกุมขมับตัวเองและบีบจนแน่น หน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด
“เมื่อคืนนี้..”
ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วจู่ๆใบหน้าของใครคนหนึ่งที่กำลังส่งยิ้มให้ก็ลอยเข้ามาทันที
“คุณเจ!!”
พอจะเริ่มนึกออกบ้างแล้วว่าตนเองทำเรื่องบ้าๆอะไรลงไปบ้าง นี่เขาพาลเอาความโกรธไปลงกับคนอื่นถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!
“บ้าชะมัด!”
ชายหนุ่มพึมพำก่นด่าตัวเองในใจ แล้วรีบลุกจากเตียง แต่ยังไม่ทันพ้นก็ล้มตัวลงไปนอนใหม่ เพราะอาการเมาค้างอย่างแรงจู่โจมศีรษะกะทันหัน
“โอ๊ย!!..ปวดหัว!”
เมื่อหลับตานิ่งอยู่ครู่ อาการจึงค่อยคลายไป และพอได้ล้มตัวลงนอนแล้วเลยไม่อยากจะลุกขึ้นอีก มือใหญ่จึงก่ายหน้าผากตัวเอง สีหน้าครุ่นคิด
“สาวิตรี..ไม่ได้คิดถึงนานเท่าไหร่แล้วนะ”
ดวงเมืองพลิกตัวไปมาพยายามไม่นึกถึง เพราะชื่อนี้ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจและทำให้คลั่งได้ง่ายๆ จึงพยายามจะนอนให้หลับอีกครั้ง ใบหน้าคมซบลงกับหมอน ทว่ากลับสูดได้กลิ่นหอมจางๆ จากที่นอนและหมอนของตน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นหอมที่จางจนเกือบไม่รู้สึกนั้นอีกครั้ง
“หอมอะไรนะ..คุ้นจัง”
เขาหันมาดมตัวเองก็รู้สึกว่ามีแต่กลิ่นเหล้า ไม่ได้มีกลิ่นหอมๆสักนิด หรือว่าจะเป็นกลิ่นแชมพู..แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ จะว่าไปเมื่อคืนเขารู้สึกอุ่นๆเหมือนได้กอดใครสักคนตลอดคืน ทำให้หลับได้สนิทชนิดที่ไม่เคยทำได้มาหลายปี
“หรือว่าจะเป็นคุณเจ..ไม่หรอกน่า”
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ พยายามไล่ความคิดนั้นออกไป แล้วล้มตัวลงนอนตะแคงง่ายๆ กลิ่นหอมจางๆนั้นยังไม่หายไป น่าประหลาดที่เขารู้สึกชอบมันและไม่อยากให้มันจางหายไปเร็วนัก แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของก็ตาม..
..สักพักความง่วงงุนก็เริ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แล้วเขาก็เผลอหลับไปทั้งๆอย่างนั้น
+++++++++++++
หลังจากที่เจออกมาจากห้องของดวงเมืองแล้วก็ตรงดิ่งเข้าบริษัทของตนทันที..
ร่างโปร่งวิ่งเข้าห้องพักชั้นบนสุดของตนอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อเหลือบมองเวลาก็ถอนหายใจโล่งอกที่ทันพอดี
เขาเดินเข้าห้องทำงานและนั่งประจำที่ สายตากวาดดูบนโต๊ะทำงานพบโน๊ตวางอยู่สองสามแผ่น ด้านข้างมีรายงานการประชุมสำหรับวันนี้วางอยู่ด้วย
“เอาล่ะ..เริ่มทำงานดีกว่า”
เจหยิบโน๊ตสองสามแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน ข้อความในนั้นทำเอาคิ้วเรียวขมวดจนยุ่ง
‘ผมอยากพบพี่..เรามีเรื่องต้องคุยกัน’
‘ทำไมพี่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม แล้วทำไมต้องไปอยู่ที่คอนโดด้วย’
‘พรุ่งนี้มีประชุม หวังว่าพี่คงไม่หนีประชุมเพื่อหลบผมอีกนะ’
อ่านจบแล้วก็รีบขยำและโยนทิ้งอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่อยากจะเห็นมันอีก
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว..”
เขาส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจกับปัญหาครอบครัวของตัวเอง
ตอนนี้เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว พอมีเวลาอีกนิดหน่อยที่จะพักก่อนการเริ่มต้นทำงานของวัน ร่างโปร่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นิ่ง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“จะโกรธเราหรือเปล่านะ..วันนี้ไปขอโทษดีกว่า”
เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูรูปที่เซฟไว้ เป็นรูปใบหน้าอันคมเข้มของคนรักที่กำลังหลับสนิท มองแล้วก็อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้..........
+++++++++++++++++++++++++
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ท่านประธานใหญ่ต้องนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องประชุม เนื่องเพราะการเดินทางมาแบบกะทันหันของมิสเตอร์เอริคที่เป็นหุ้นส่วนการค้าคนสำคัญของตลาดยุโรป
การประชุมเรื่องการลงทุนดำเนินมาตั้งแต่เช้าจนเกือบเย็น ทุกคนที่ร่วมประชุมจึงมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนและเครียดเต็มที ไม้เว้นแม้แต่ท่านประธานหนุ่มที่แม้จะเครียดแค่ไหนแต่ยังสามารถเค้นรอยยิ้มบางขึ้นมาได้บ่อยครั้ง พลอยลดบรรยากาศตึงๆนั้นให้ผ่อนลงได้บ้าง
“เอาล่ะ..นี่ก็เย็นมากแล้ว วันนี้เลิกประชุมแค่นี้ก่อน เดี๋ยวไปทานข้าวด้วยกันนะทุกคน” เจพูดกับทุกคนที่ร่วมประชุม เขาหันไปหาหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษที่นั่งอยู่ข้างๆ (“ไปดินเนอร์กันนะเอริค..วันนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง”)
เอริคยิ้มกว้างด้วยความยินดี (“ดีเลยเจ..ผมหิวจะแย่ นึกว่าคุณจะประชุมมาราธอนถึงค่ำซะอีก”)
(“ก็ใครใช้ให้คุณบินมากะทันหันแบบนี้ล่ะ ตารางเวลาผมเลยป่วนไปหมด”)
เอริคยิ้มร่าแล้วจึงลุกจากเก้าอี้ ส่วนเจก็หัวเราะแล้วลุกตามออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นจากโต๊ะก็โดนมือของใครคนหนึ่งฉุดรั้งแขนของตนไว้ เจหันกลับมามองก็พบกับสายตาขุ่นเคืองของภูมิที่จ้องมองเอริคด้วยสายตาเย็นชา
(“ผมมีธุระสำคัญจะคุยกับท่านประธาน คุณเอริคออกไปรอข้างนอกก่อนได้หรือเปล่าครับ”)
“ภูมิ!!” เจเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
เอริคจ้องมองร่างโปร่งผู้เป็นเพื่อนสนิทเพื่อขอความเห็น เจพยักหน้ารับ เอริคจึงจำยอมต้องออกไปข้างนอกแม้จะมีทีท่าไม่เต็มใจนัก
หลังจากที่ชายหนุ่มต่างชาติเดินออกไปแล้ว ทั้งห้องประชุมใหญ่จึงมีแต่ความเงียบ บรรยากาศชวนอึดอัด ภูมิยังไม่ยอมปล่อยแขนของพี่เมียตัวเอง
“ปล่อยฉัน!!” เจสะบัดหนีจนหลุดออกมาจนได้
“พี่..”
“มีอะไร..รีบพูดมา”
น้ำเสียงห้วนที่ฟังดูไร้เยื่อใยของเจทำให้ภูมิที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะพูดจาตกลงดีๆต้องเปลี่ยนน้ำเสียงของตนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาบ้าง
“ทำไมไม่กลับบ้านครับ”
“ฉันงานยุ่ง เลยค้างที่นี่แทน”
“ค้างทุกวันเลยงั้นเหรอ!..พี่รู้หรือเปล่าว่าผมนั่งรอพี่จนดึกทุกวัน!!”
“นายจะบ้าไปแล้วหรือไง..มานั่งรอฉันทำไมกัน!!”
“พี่ก็รู้ว่าผมทำไปทำไม”
“หยุดนะภูมิ..ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก”
“พี่ก็รู้อยู่แล้ว..แต่ก็ยังปฏิเสธผมอยู่ได้ ผมมีอะไรไม่ดีตรงไหนหรือไง”
พูดจบ ภูมิก็ทำท่าจะเดินเข้าหาร่างโปร่ง เจจึงรีบถอยหลังไปสองก้าวทันทีเพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย
“ไม่ใช่ว่านายไม่ดี..แต่ฉันไม่ได้รักนาย..และถึงแม้จะรัก..ฉันก็ไม่อาจจะตอบรับความรู้สึกนั้นกับนายได้หรอก เพราะฉันไม่สามารถจะทรยศน้องสาวของตัวเองได้”
“ถ้าพี่ห่วงเรื่องจอย ผมจะขอเลิกกับเธอก็ได้”
นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยิน “ไม่นะภูมิ!!..ถึงแม้นายจะเลิกกับยัยจอยก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันกลับมาตอบรับนายได้!!”
“แล้วต้องทำยังไงพี่ถึงจะยอมรับผม” ชายหนุ่มอ้อนวอน
“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก..ขอโทษด้วยนะภูมิ ฉัน..”
เจก้มหน้าลง เห็นทีเขาต้องพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่อยากได้ยินมากที่สุดแล้ว แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะยุติปัญหาบ้าๆนี่
“ฉัน..ฉันมีคนที่รักอยู่แล้ว..และตั้งใจว่าจะไม่เหลือใจไว้รักใครอีก”
พอได้ยินแบบนี้แล้ว ภูมิก็นิ่งอึ้งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที แล้วฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีด
“ใคร!..คนที่พี่รัก..เป็นใคร!!”
เสียงของภูมิที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่กำลังขบกลั้นนั้นทำเอาเจตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่น่าพูดเรื่องนี้ออกไปเลย ..ไม่ได้เด็ดขาด..เขาไม่อาจลากคนที่เขารักหมดหัวใจคนนั้นมาพัวพันกับเรื่องยุ่งๆนี้เป็นอันขาด!!
“ใจเย็นๆภูมิ..ฉัน..ฉันไม่ได้มีใครทั้งนั้น ขอโทษที่ต้องโกหกนายแบบนั้น..แต่เรื่องที่ฉันไม่อาจจะตอบรับนายได้เป็นเรื่องจริง ขอร้องล่ะ..ถ้ารักฉันจริงก็อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย..”
“ไม่นะพี่..ผมรักพี่..และผมไม่มีวันให้ใครมาแย่งพี่ไปจากผมได้” ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น นัยน์ตาแฝงความเจ็บปวด
“พูดไม่เข้าใจหรือภูมิ..ฉันไม่มีวันรักนายได้!! กลับใจไปดูแลครอบครัว ไปดูแลยัยจอย ดีกว่าที่จะมาตามตื้อฉันแบบนี้!! เอาล่ะ..เลิกพูดซะที กลับไปคิดให้มากๆ แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่วันหลัง”
พูดจบ เจก็รีบเบี่ยงตัวหลบภูมิที่ยืนขวางประตูอยู่เพื่อจะหนีออกไปจากสภาพอันไม่พึงปรารถนานี้ แต่มือใหญ่ที่ขวางอยู่นั้นกลับกระชากแขนเรียวเข้ามาหา จนตัวเขาต้องเซถลาเข้าไปหาชายหนุ่ม!
“ที่พี่ไม่รักผมเพราะไอ้ฝรั่งนั่นใช่มั๊ย!!”
“ปล่อยนะภูมิ!! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่มีใคร..เอริคก็แค่เพื่อนเท่านั้น!!”
“ผมไม่เชื่อ!!..”
“ปล่อยฉัน!!..อ..อย่า!!!”
ภูมิโอบรั้งร่างเล็กกว่าที่กำลังดิ้นรนขัดขืนเข้าแนบตัว ริมฝีปากตนกดประทับลงบนริมฝีปากนุ่มที่แสนหอมหวานอย่างถือวิสาสะ มืออีกข้างจับศีรษะของอีกฝ่ายกันไม่ให้เบี่ยงหนี จากจูบที่ร้อนแรงค่อยๆเริ่มรุกเร้าหนักขึ้นจนลึกล้ำ และยกร่างที่อยู่ในอ้อมกอดขึ้นมาจนตัวลอย แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงอาการขัดขืนอันไร้ผลของอีกฝ่ายก็ตาม
ส่วนเจตอนนี้กำลังรู้สึกสมองหมุนจนแทบไร้ความรู้สึก แม้มือทั้งสองข้างจะพยายามดิ้นรน ทั้งชกทั้งดัน ก็ไม่สามารถทำให้ร่างที่สูงใหญ่แข็งแรงที่กำลังล่วงเกินนี้ขยับถอยออกไปได้เลยซักนิด ความรู้สึกแรกที่ถูกจูบคือความโกรธและเกลียดชังสัมผัสที่จาบจ้วง แล้วความเหนื่อยอ่อน หายใจไม่ออกก็ปนเปเข้ามาจนรู้สึกว่าร่างกายตนไร้เรี่ยวแรงและความรู้สึกไปชั่วขณะ
“ขอโทษครับคุณเจ..รถรออยู่ข้างล่างนานแล้ว”
เสียงเรียกดังมาจากหลังประตู เป็นเสียงของภากรเลขาคนสนิทของเจ ภูมิจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดและปลดปล่อยริมฝีปากอันแสนหวานละมุนนั้นเป็นอิสระด้วยความเสียดาย
“ไอ้เลขางี่เง่านั่น!!” เขาสบถด่าด้วยความไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดจังหวะ
และทันทีที่ร่างโปร่งเป็นอิสระ ฝ่ามือบางก็ตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างแรงจนหน้าหัน ภูมิหันกลับมามองพี่เมียของตนด้วยใบหน้ายิ้มๆ แม้ที่มุมปากจะมีหยาดเลือดซึมออกมาก็ตาม
“ผมไม่พอใจแค่จูบนี้แน่!..ซักวันผมจะต้องทำให้พี่เป็นของผมให้ได้ คอยดู!!..”
เจไม่สนใจจะฟังคำพูดบ้าๆของชายหนุ่มอีก เขาจ้องมองน้องเขยตนด้วยความโกรธจัดชนิดที่ไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้มาก่อน แล้วรีบวิ่งหนีออกจากห้องทันที ทิ้งให้ร่างสูงเหม่อมองแผ่นหลังบางจนลับตา
ภากรยังยืนอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่ เขาเอาหูแนบประตูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายในห้อง อันที่จริงเขายืนอยู่ตรงนี้นานมากแล้ว และได้ยินเสียงทะเลาะกันดังลอดออกมานิดหน่อยเลยทำให้เริ่มรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายตัวเองขึ้นมา และเมื่อกี้ที่เขาตะโกนขัดจังหวะไปก็เพราะอยู่ดีๆเสียงที่ทะเลาะกันนั้นกลับเงียบหายไป
ซักพักประตูก็เปิดออกพร้อมๆกับร่างของเจ้านายที่ตอนนี้มีสภาพโทรมสุดๆ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยและยับไปหมด ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง แถมหน้าตาบ่งบอกอารมณ์โกรธสุดขีด
“คุณเจ!!”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! ขอเวลาสิบนาทีแล้วจะรีบตามลงไป!”
ร่างโปร่งผลุนผลันวิ่งเข้าห้องพักส่วนตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักท่านรองก็เดินออกมาบ้าง สภาพก็ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไหร่ แต่ที่เห็นเด่นชัดคือบนใบหน้าด้านหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามแดงเป็นรอยฝ่ามือ ที่มุมปากยังเห็นรอยแตกเลือดซิบๆ เลขาหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“รู้สึกว่าจะมาได้จังหวะเหลือเกินนะ ภากร” ท่านรองหนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“นั่นสิครับ..ผมมักจะรู้เวลาเสมอ เชิญครับ..รถรออยู่ข้างล่างแล้ว” ภากรตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเข้มเฉยชา
“เก่งให้ได้ตลอดเถอะ!! ถ้าพี่เป็นของฉันเมื่อไหร่ แกได้เด้งออกจากบริษัทแน่!!”
“แล้วผมจะรอวันนั้นครับ”
เลขาหนุ่มตอบเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ภูมิจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความขุ่นแค้นแล้วหันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธ ภากรมองตามแล้วสั่นศีรษะด้วยความเอือมระอา
“ดูท่าจะมีเรื่องยุ่งๆตามมาอีกเยอะ ได้แต่หวังว่าคุณเจคงจะมีวิธีแก้ปัญหายุ่งๆนี้ได้เพราะถ้าแก้ไม่ได้คงไม่รอดมือท่านรองแน่”
เขาบ่นเบาๆกับตัวเองแล้วเดินลงจากตึกไปด้วยความเหนื่อยใจ
+++++++++++++++++++
ดินเนอร์ยามค่ำคืนใต้แสงเทียนบนโต๊ะอาหารสุดหรูของโรมแรมชื่อดัง เป็นอะไรที่น่าประทับใจของลูกน้องทุกคนที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่น้อยครั้งจะมีโอกาส แต่ตัวเจ้านายเองกลับนั่งหน้าเฉยออกจะหงุดหงิดงุ่นง่านนิดๆด้วยซ้ำ สาเหตุก็เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นมักจะจ้องมองเขาแทบไม่ยอมให้คลาดสายตา ไม่ว่าจะขอตัวไปไหนก็ตามติดตลอดจนรู้สึกรำคาญเต็มที
(“เฮ้!..หมอนั่นจ้องคุณไม่วางตาเลยนะ มีอะไรกันหรือเปล่า?”)
เอริคกระซิบถามเป็นภาษาฝรั่งเศสเพราะกลัวว่าคนที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะฟังออก และก็จริงอย่างว่าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกำลังจ้องเขากับเจเขม็ง
(“ก็นิดหน่อยน่ะ..แล้วคุณรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าล่ะ”) เจตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน มือเรียวยกกาแฟขึ้นจิบแก้เซ็ง
(“ไม่หรอกๆ แค่นี้สบายมาก แต่ผมเป็นห่วงคุณมากกว่านะ..ท่าทางเขาเอาเรื่องไม่ใช่เล่นเลย”)
(“อืม..ผมเองก็ไม่รู้จะจัดการกับเขายังไงเหมือนกัน”) เจทำหน้าหนักใจ
(“ทำไมไม่บอกน้องสาวของคุณล่ะ..เธอน่าจะรับรู้ได้แล้วนะ”) เอริคเสนอ
(“ผมก็คิดจะบอก แต่กลัวว่าจะรับไม่ได้น่ะสิ”)
เอริคหัวเราะ (“เป็นผม..ผมก็คงรับไม่ได้เหมือนกันแหละ แฟนตัวเองดันไปหลงรักพี่ตัวเอง แถมเป็นผู้ชายทั้งคู่อีก..เรื่องนี้น่ะโทษใครไม่ได้นะนอกจากความมีเสน่ห์ของคุณเอง”)
(“เลิกหัวเราะเยาะผมเลยนะ..ใครจะไปมีความสุขเหมือนคุณกับแซมล่ะ..เอ๊ะ..แล้วนี่แซมเขาทิ้งคุณไปแล้วหรือไง ถึงไม่ตามมาประกบน่ะ”)
เอริคสะดุ้งขึ้นนิดๆ สักพักก็ทำหน้าเคลิ้มฝันเพราะได้นึกถึงคนรัก
(“ใครว่าล่ะ..เมื่อคืนนี้หนักไปหน่อย เขาเลยลุกไม่ขึ้นต่างหาก 555”)
(“ซักวันเถอะ ผมจะยุให้แซมไปหาแฟนใหม่”) เจแกล้งพูดเพราะเริ่มหมั่นไส้คนเป็นเพื่อนสนิท
(“ไม่มีทาง..แซมเขาหลงผมจะตาย”)
(“ใครหลงใครกันแน่..”)
แล้วสองหนุ่มต่างเชื้อชาติก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เจจึงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
(“ว่าแต่คุณเถอะ เห็นมองนาฬิกาหลายทีแล้วนะ..ไง..นัดใครไว้ล่ะ”)
เจเผลอยิ้ม (“เปล่า..”)
(“ให้มันจริงเถอะ ดูก็รู้ว่ากำลังอินเลิฟอยู่ ใครเหรอ?..ผู้ชายหรือผู้หญิง?”) เอริคทำท่าสนใจขึ้นมาทันที
(“ทำไมถามงั้นล่ะ”)
(“คุณน่ะไม่เหมาะกับผู้หญิงหรอก แซมเขายังเห็นด้วยกับผมเลย”)
เจวางแก้วกาแฟลง หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดหน้าจอที่มีรูปคนที่รักที่สุดขึ้นมาให้เพื่อนสนิทดู
พอจ้องคนในรูปแบบพิจารณา เอริคก็ต้องอุทานขึ้นเบาๆ (“โอ้โห!! หล่อกว่าผมอีก เขาชื่ออะไรเหรอ?”)
เจทำหน้าภูมิใจ (“ดวง..เมือง”)
(“อื้มหืม..ถ่ายตอนหลับซะด้วย แบบนี้แสดงว่าเสร็จไปแล้วล่ะสิ ว่าแต่ใครเสร็จใครล่ะ”)
(“คุณเนี่ยพูดอะไรน่าเกลียดจัง”)
(“อ้าว..ยังหรอกเหรอ..”)
(“ก็ยังน่ะสิ..ตอนนี้กำลังตามตื้ออยู่เลย..แต่ดูจะสมหวังยากเพราะเขาไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่”) พูดไปก็ทำหน้าเศร้าไปเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนในรูปที่ยามปกตินั้นแสนจะเย็นชา
เอริคทำตาโตแบบไม่เชื่อ (“พระเจ้า!!..มีคนแบบนั้นอยู่ในโลกด้วยเหรอเนี่ย..ผมว่าเขาต้องผิดปกติแน่ที่ไม่ชอบคุณน่ะ ทำไมคุณไม่ยิ้มหวานๆให้เขาซักสองสามครั้งล่ะ แค่นั้นผมว่าเขาก็ใจละลายแล้ว”)
(“ยิ้มไปหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาเลย”) เจบอก
(“โห!!..ถ้าผมไปบอกเรื่องนี้กับแซมนะเขาต้องไม่เชื่อแน่ๆ”)
(“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเอริค..แต่ยังไงผมก็จะพยายามนะ คนนี้น่ะตัวจริง..รักจริงหวังแต่งเลยล่ะ”)
(“คุณพูดจริงเหรอเนี่ย!!..หนุ่มไทยคนนี้โชคดีชะมัดเลยนะ..แหม..ทีตอนผมจีบคุณ ไม่เห็นคุณสนใจเลย”)
(“พูดแบบนี้ระวังผมจะไปฟ้องแซมนะ”)
(“โอ๊ย..อย่านะ เวลาเขาโกรธน่ะ พายุทอร์นาโดมาเองเลย!!”) คิดแล้วเอริคก็ทำท่าสยอง
เจยิ้มขำ (“ผมล่ะอิจฉาพวกคุณจริงๆเลย”)
(“เอาน่า..ผมว่าไม่นานเขาต้องหลงรักคุณแน่ๆ แล้วคืนนี้คุณต้องไปหาเขาหรือเปล่าล่ะ”)
(“ก็อยากไป..แต่คุณดูสิ..พอผมลุก ภูมิเขาก็ลุกตาม เลยไปไหนไม่ได้..อีกอย่างผมกลัวเขาจะไปเจอกับดวงเมืองเข้า”)
(“อ่ะฮ่า!!..ก็สนุกสิ..แบบนี้คงเกิดศึกชิงเจตราขึ้นแน่ๆ”)
(“ไม่ตลกเลยนะ..เฮ้อ!!..สงสัยวันนี้ผมคงไม่ได้ไปหาเขาแน่ๆเลย”)
เจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า สีหน้าหดหู่จนอดหยิบมือถือขึ้นมาดูรูปเพื่อลดความคิดถึงไม่ได้..ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่คลับเป็นยังไงบ้าง ลูกค้าจะเยอะหรือเปล่า แล้วเจ้าของคลับจะคิดถึงเขาบ้างไหม .
ระหว่างที่เจกำลังคิดถึงดวงเมืองอยู่นั้น ชายหนุ่มเองก็กำลังคิดถึงร่างโปร่งอยู่เช่นกัน วันนี้เขาตรงดิ่งมาที่คลับตั้งแต่เย็น มายืนเฝ้าเคาท์เตอร์ไม่ยอมไปไหน แม้ว่าจะมีลูกค้าสำคัญมาขอพบก็ตาม
ร่างสูงชะเง้อคอมองไปที่หน้าประตูบ่อยๆเหมือนกำลังรอคอยใครบางคน พอไม่ใช่คนที่รอก็ทำท่าผิดหวัง บางครั้งก็เหม่อมองไปที่โต๊ะเล็กๆริมห้องซึ่งเป็นที่ประจำของคนๆนั้น คนที่มักจะนั่งจิบกาแฟคอยแอบมองเขาตลอดเวลา พอเขาไม่มาคุยด้วยก็ทำท่าผิดหวัง แต่วันนี้โต๊ะนั้นกลับว่างเปล่า
พวกพนักงานหลายคนที่พอจะรู้ว่าคนที่เจ้านายรอคือใครก็แอบไปคุยกันลับหลังและพากันหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกเพราะอาการหลุดๆของเจ้านาย
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ..” ดวงเมืองคิดแล้วอดเป็นห่วงร่างโปร่งไม่ได้
“เอก!! เอก!!”
เอกรีบวิ่งมาตามเสียงเรียกทันที คล้ายกับรออยู่นานแล้ว “มีอะไรครับคุณเมือง”
“วันนี้คุณเจมาที่คลับบ้างหรือยัง”
เอกมองเจ้านายแล้วหันไปแอบขำ “ยังไม่เห็นเลยครับ”
“งั้นเหรอ..” ดวงเมืองทำท่าผิดหวัง
“ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่โทรไปหาล่ะครับ บางทีคุณเจอาจจะไม่สบายก็ได้เพราะเมื่อวานโดนแก้วบาดที่มือแผลใหญ่เชียว”
“อะไรนะ!!..ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย..แล้วเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า!!” ดวงเมืองรีบถามเสียงดังจนลูกค้าในคลับหันมามองกันเป็นตาเดียว
“ก็ไม่เป็นไรมากหรอกครับ..แต่เลือดไหลค่อนข้างเยอะ คุณเจงี้หน้าซีดไปเลยครับ”
เอกทำหน้าหวาดเสียวประกอบ ‘ขอโทษครับเจ้านาย ก็ผมเชียร์คุณเจนี่นา’ เขาแอบคิดแล้วก็ได้ผลมากด้วยเพราะพอฟังที่เขาบอกแล้วเจ้านายหนุ่มก็ออกอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาจริงๆ
“หรือว่าคุณเมืองไม่มีเบอร์คุณเจครับ” เอกแสร้งถาม
คนเป็นเจ้านายเพียงพยักหน้ารับแล้วก็นิ่งไป คิ้วเข้มพาดสูงขึ้น นัยน์ตาทอประกายประหลาดๆชนิดที่คนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างเอกไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้างั้นลองถามเบอร์จากคุณดลดูสิครับ เพราะคุณดลสนิทกับคุณเจมาก”
ดวงเมืองยังฟังไม่ทันจบประโยคก็รีบหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาทันที แววตาดูแช่มชื่นมีความหวังขึ้นผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ บริกรหนุ่มลอบอมยิ้มด้วยความสมใจ
“ฮัลโหล..คุณดลเหรอ นี่ผมเมืองนะครับ”
“ครับ..คือ..คุณดลมีเบอร์ของคุณเจหรือเปล่าครับ”
“เหรอครับ..ครับ.xx-.xxx-xxxx ขอบคุณนะครับ”
ริมฝีปากบางเฉียบที่เคยนิ่งไม่เคยแย้มยิ้ม มาตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มน้อยๆออกมา ดวงเมืองแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองออกอาการน็อตหลุดขนาดไหน เวลานี้ชายหนุ่มเพียงสนใจเบอร์โทรศัพท์ในมือเท่านั้น
นิ้วเรียวยาวกดปุ่มโทรศัพท์ช้าๆ เสร็จแล้วก็ยกแนบหู ใจจดใจจ่อรอคอยสัญญาณเรียก
++++++++++++++++++
อีกด้านหนึ่งของมุมเมือง เจเองก็กำลังจ้องมองรูปของดวงเมืองในมือถือ ไม่สนใจอะไรจนแทบจะลืมไปว่าตอนนี้นั่งอยู่กับใคร
ฟากหนึ่งของโต๊ะมีสายตาของภูมิที่กำลังมองอากัปกิริยาของพี่เมียตนด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ได้แต่คิดว่าไอ้มือถือนั่นมันมีอะไรน่าดูนัก ถึงได้เรียกความสนใจจากเจ้าของได้ขนาดนี้
พอดีกับเสียงโทรศัพท์ในมือของเจดังขึ้น ร่างโปร่งสะดุ้งขึ้นนิดๆ ส่วนเอริคที่นั่งอยู่ข้างๆก็แอบเหลือบมาดูหน้าจอที่ตอนนี้สว่างวาบและโชว์ใบหน้าของผู้โทร พอรู้ว่าเป็นใคร เขาก็หันไปหัวเราะล้อเลียนคนเป็นเพื่อนสนิทที่ตอนนี้นั่งอึ้งกิมกี่ตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว
(“ไหนบอกว่าเขาไม่สนใจแต่ไหงโทรตามล่ะ”)
เจสั่นศีรษะปฏิเสธด้วยหน้าตาตื่นๆ (“ผ..ผมไม่เคยให้เบอร์เขาไว้เลย!! ทะ..ทำไงดีล่ะเอริค!!”)
เอริคเห็นอาการของเพื่อนแล้วทนไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนคนทั้งโต๊ะหันมามองด้วยความสงสัย
(“โอ๊ย!!..ขอโทษนะ..ฮ่ะๆๆ คุณ..คุณก็รับสิ”)
เจรีบลุกออกจากโต๊ะด้วยใจที่เต้นระทึก เขามองไม่ผิดใช่ไหมที่ดวงเมืองโทรมาหาเขา นี่มือถือมันไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม เอ..หรือว่าเขาฝันไป
ภูมิที่นั่งจ้องอีกฝ่ายอยู่นานก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงทำท่าจะลุกตามร่างโปร่งไป
(“เดี๋ยวคุณ!..ผมมีอะไรจะพูดด้วยหน่อย”) เอริครั้งภูมิไว้ได้ทัน และพูดห้ามเป็นภาษาอังกฤษ
(“ผมมีธุระ เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยด้วยแล้วกันครับ”) ภูมิรีบพูดตอบกลับไป สายตายังมองตามหลังร่างโปร่งไม่ยอมคลาดคลา
(“แต่เรื่องที่ผมจะพูดคือเรื่องของเจนะ คุณน่าจะนั่งลงก่อน”) เอริคปล่อยอีกฝ่ายแล้วเอนพนักเก้าอี้จิบไวน์ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
ภูมิอึ้งไป และเมื่อเห็นเจเดินหายลับไปแล้ว จึงถอนหายใจอกมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนตัดสินใจนั่งลงที่เดิม
(“คุณมีเรื่องอะไร!”)
(“ผมรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเจ แต่ผมจะบอกให้ว่ามันไม่มีทางสมหวังหรอก”)
ภูมิมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าวและเย็นชา (“มันไม่เกี่ยวกับคุณนี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น”)
(“ก็ใช่..แต่คุณคงไม่รู้ว่าผมเคยจีบเขามาก่อน นานมากแล้วตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ ตอนนั้นผมพยายามแทบตายแต่เจก็ใจแข็งชะมัด ผมเลยต้องใช้วิธีที่ค่อนข้าง..เอ่อ..คุณคงรู้..แต่ก็เท่านั้นแหละ มันไร้ผลโดยสิ้นเชิง”)
(“คุณ..ทำ..อะไร..เขา!!”) แค่นึกตามภูมิก็เกือบทนไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าคนๆนี้เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ เขาคงตรงเข้าไปชกหน้าหล่อๆนั่นแล้ว
(“ไม่ต้องโกรธผมขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นแค่ลองน่ะ ยังทำไม่สำเร็จ แต่การกระทำนั้นทำให้เจโกรธมาก ความเป็นเพื่อนของเราเลยขาดสะบั้นลง และผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”) เอริคยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบผิดกับฝ่ายตรงข้าม
(“ผมขอโทษเขาด้วยความจริงใจมากขึ้น เขายอมอภัยให้ เราจึงได้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม..และจากตอนนั้นถึงตอนนี้เรายังคงเป็นแค่เพื่อนกัน ใช่..ผมเป็นได้เพียงเพื่อนที่ดีของเขาเท่านั้น คุณเองก็เหมือนกัน”)
(“ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณ!!”)
(“ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณ..ก็เป็นได้แค่น้องเขยที่ดีของเจเท่านั้น”)
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง คำพูดสุดท้ายของเอริคไม่มีวี่แววของคนที่อารมณ์ดีหลงเหลืออยู่เลย มันเป็นแววตาและท่าทางที่จริงจังมาก ซึ่งทำให้ภูมิต้องสะกัดกั้นความโกรธของตนลง
(“ทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับผม เขาขอร้องคุณหรือไง”)
(“เปล่า..เจไม่ได้พูดอะไร..แต่แค่มองดูคุณผมก็รู้แล้ว..ก็เพราะเมื่อก่อนผมอาการหนักยิ่งกว่าคุณอีก”)
(“ผมไม่พอใจที่เป็นได้แค่น้องเขยที่ดี!!”)
(“เรื่องนั้นผมไม่สนใจ ผมสนใจแค่เจเท่านั้น ขอเตือนคุณว่าถ้าคุณคิดจะทำอะไรสกปรกๆเหมือนที่ผมเคยทำล่ะก็ ผมฆ่าคุณแน่!!”)
เอริคพูดเสียงเยียบเย็นจริงจัง ฟังดูก็รู้ว่าไม่ล้อเล่นแต่เอาจริง
ภูมิไม่ได้พูดโต้ตอบอีกฝ่าย เพียงส่งสายตาดุดันและโกรธแค้นอาฆาตให้ เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้ม บรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะที่พอจะได้ยินคำสนทนาของทั้งสองก็พากันหลบเลี่ยงไม่กล้าสบตากับท่านรอง บางคนก็แอบลี้ภัยไปนั่งโต๊ะพนักงานอีกโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆกัน สุดท้ายเหลือเพียงเลขาคนสนิททั้งสามที่ยังนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน
พอร่างสูงของท่านรองจากไปแล้ว เอริคจึงหันมาหัวเราะเบาๆแบบคนอารมณ์ดีเหมือนเดิม
(“รองประธานของพวกคุณนี่ร้ายนะ”)
(“ครับ..พวกผมก็คอยระวังอยู่”) ภากรตอบด้วยท่าทีอันสงบตามบุคลิก
(“อืม..ฝากดูด้วยแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็โทรบอกฉันได้เลย”)
เลขาทั้งสามพยักหน้ารับ เอริคจึงค่อยวางใจ และเริ่มเปลี่ยนเรื่องไปพูดคุยถึงเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มทำสัญญาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแทน
++++++++++++++++++
หลังจากที่เจเดินพ้นออกมาจากห้องอาหารแล้ว ก็รีบวิ่งไปหามุมนั่งพักผ่อนเงียบๆภายในล๊อบบี้ของโรงแรม สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอ
“ไม่ได้ฝัน ไม่ได้ฝัน!!”
มือเรียวกำโทรศัพท์ไว้จนแน่นแล้วรีบสูดลมหายใจลึกๆพยายามไม่ตื่นเต้น แม้ว่าหัวใจจะเต้นระรัวแบบห้ามไม่อยู่แล้วก็ตาม และทันทีที่นิ้วกำลังจะกดรับสาย สัญญาเสียงก็พลันเงียบลงไปทันที!!
“อ๊าา ตัดไปแล้ว!!”
โธ่..เขามัวแต่ระงับใจ ลังเลอยู่ได้ ดวงเมืองเลยวางสายไปแล้ว คิดแล้วก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆ เจทิ้งตัวลงเอนไปบนโซฟาแบบหมดแรง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็หมดแรงขึ้นมาเฉยๆจนโทรศัพท์เจ้ากรรมหล่นลงบนพื้น
“ติ๊ด..ติติ๊ด..ติ๊ด..ติ๊ด..ตี่ติ๊ด”
“เฮ้ย!!”
แล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเจสะดุ้งพร้อมกับกระเด้งตัวจากโซฟาทันที มือรีบควานหาโทรศัพท์ที่หล่นอยู่ แล้วคว้ามันขึ้นมาด้วยใจที่เต้นระส่ำอีกครั้ง แม้ยังไม่ทันมองหน้าจอว่าใครโทรมา ก็รีบกดปุ่มรับสายอย่างรวดเร็ว (กลัวพลาดอ่ะ)
“ฮะ..ฮัลโหล”
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายทุ้มเย็นเป็นเอกลักษณ์
“ม..เมือง เหรอ?”
ปลายเสียงนิ่งเงียบไปจนเจใจไม่ดี
“ครับ ผมเอง”
พอได้ยินเสียงตอบรับ รอยยิ้มหวานก็ปรากฏขึ้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัวก็ตาม “คุณรู้เบอร์ผมได้ยังไงเนี่ย”
“ผมขอมาจากคุณดลน่ะ เอ่อ” แล้วปลายสายก็เงียบไปอีกครั้ง
“มีอะไรครับ..หรือว่าคุณมีปัญหาอะไร มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?!!”
“ป..เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมเพียงแค่ ” .. “ทำไมวันนี้ไม่เข้ามาที่คลับล่ะครับ”
เจอมยิ้ม “ทำไมครับ รออยู่เหรอ”
“ก็..ทุกวันคุณจะมา ”
“วันนี้ผมติดธุระกะทันหัน ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ” ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นแบบไร้เหตุผล
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ”
“ขอโทษ?..เรื่องอะไรครับ”
“ก็เมื่อวานนี้..เอ่อ..เมื่อคืน..ที่ผม..เอ่อ..ชกคุณ..แล้ว..แล้วก็”
เจพอจะนึกถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่ายที่พยายามพูดกับเขาได้ ทำให้เสียงหัวเราะขำหลุดออกมาเบาๆ รู้สึกว่าปลายสายเงียบไปทั้งๆที่ยังพูดไม่จบประโยค
“คุณหมัดหนักนะ..ดีที่ไม่ได้ตั้งใจชกผม ไม่งั้นผมคงลุกไม่ขึ้นแน่ๆ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณมากไปเองต่างหาก”
“ไม่ครับ..เป็นความผิดของผม..เมื่อวานผมอารมณ์ไม่ดีเลยพาลใส่คุณ..คุณไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมสบายมาก”
“เอกบอกว่าคุณโดนแก้วบาด”
“แผลเล็กนิดเดียว ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก อย่าห่วงเลยครับ”
“เหรอครับ..ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไรมาก” น้ำเสียงท่าทางโล่งอก “..ขอบคุณนะครับที่ช่วยงานเมื่อวาน แล้วก็..ขอบคุณ..ที่ช่วยอยู่ดูแลผมเมื่อคืนด้วย”
เจรู้สึกว่าคำพูดตอนท้ายของชายหนุ่มแผ่วเบาลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเห็นว่าเพื่อนคนนี้พอจะมีประโยชน์..อย่างน้อยก็แค่รับฟังปัญหาของคุณ ผมก็พร้อมจะไปหาคุณทันทีที่คุณต้องการ แต่ขอร้องว่าอย่าไปกินเหล้าเพื่อหนีปัญหาเลยนะ”
ปลายเสียงเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นขึ้น
“ครับ..ขอบคุณคุณเจมาก”
“เรียก ‘เจ’ สิครับ”
“ครับ..ขอบคุณเจมาก..แล้วอีกอย่าง..เอ่อ..คือ” ปลายสายพูดอ้ำอึ้งแล้วก็นิ่งเงียบไปนาน
“ครับ..มีอะไรอีก ผมรอฟังอยู่นะ”
“ถ้า..ถ้าผมอยากจะชวนคุณ..คือ..วันไหนถ้าคุณมา..คือ..”
“อะไรครับเมือง..ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย”
“คือ..ผมอยากจะบอกคุณว่าถ้าวันไหนคุณมาที่คลับดึกและไม่อยากกลับบ้าน จะมานอนค้างที่ห้องพักของผมเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ” ดวงเมืองพูดโพล่งออกมาอย่างรวดเร็วจนเจเกือบฟังไม่ทัน
“อะ..อะไรนะครับ!!”
“เอ่อ..ถ้าคุณฟังไม่ทันก็ไม่เป็นไร..งั้นแค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยว..เดี๋ยวครับ ผมฟังทัน” เจหัวเราะเสียงดังพร้อมกับใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงเข้มกว่าเดิม “แสดงว่าเมื่อคืนคุณรู้ว่าผมไปนอนค้างด้วยใช่ไหม”
ปลายสายส่งเสียงรับคำเบาๆกลับมา
“ไม่โกรธเหรอครับที่ถือวิสาสะไปนอนเตียงคุณน่ะ”
“ผมจะโกรธคุณได้ยังไง คุณช่วยผมจนเจ็บตัวแบบนั้น”
“เรื่องเล็กน้อยเอง แต่ผมดีใจมากเลยที่คุณชวน ผมต้องหาโอกาสไปค้างด้วยแน่ๆ หวังว่าเจ้าของจะยังยินดีต้อนรับนะ”
“แน่นอนครับ”
หลังจากคำตอบอันแสนสั้นนั้นแล้ว การสนทนาก็หยุดลงไปชั่วครู่
“ถ้างั้น”
แต่แล้วทั้งสองกลับพูดขึ้นพร้อมกันในคำพูดเดียวกัน แล้วเจก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสาย (ทั้งๆที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน) ตัวเองจึงอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้
“คุณพูดก่อนสิ” เจบอก
“ผมให้คุณพูดก่อน” ดวงเมืองตอบกลับมาบ้าง
“ผมอยากฟังของคุณก่อนนี่”
ดวงเมืองนิ่งเงียบไปก่อนตอบกลับมาเบาๆ “ผมอยากบอกว่าราตรีสวัสดิ์ครับ แล้ว..ผมจะรอคุณมาที่คลับ พรุ่งนี้”
(“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันที่รักของผม ขอให้คุณนอนหลับฝันดี ผม..รัก..คุณ”)
เจตอบกลับมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างรวดเร็วแล้วรีบกดตัดสายไปทันที ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือจะแปลคำพูดสุดท้ายออกหรือไม่ก็ตาม
แก้มที่แดงเข้มอยู่แล้วคราวนี้จึงแดงลามไปจนถึงใบหู และรู้สึกใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวด้วยความเขินแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ใจยังคงเต้นระรัวพร้อมกับความหวานซึ้งที่ยังตราตรึงอยู่ในอารมณ์ไม่เสื่อมคลาย
แต่ทว่า..กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เสียง..ที่ทำให้เขาต้องสะดุ้งและรู้สึกเย็นวาบไปด้วยความตกใจเมื่อได้หันมามอง
“นี่ใช่มั๊ย..คนที่พี่รัก!”
++++++++++++++++++
แต่ก็ทำได้เพียงสัมผัสริมฝีปากอันหวานละมุนเบาๆ เท่านั้น ดวงเมืองก็สิ้นสติฟุบหน้าลงไปที่ไหล่อีกฝ่ายทันที
เมื่อรับรู้ว่าคนที่กำลังทับตนอยู่หมดความรู้สึกไปแล้ว ใจที่เต้นระรัวแทบจะกระดอนออกมาของเจก็ค่อยๆสงบลง เขาลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของคนรักที่อยู่ห่างจากใบหน้าตนไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นๆนั้นมีกลิ่นเหล้าจางๆ เจเหม่อมองดวงเมืองจนเคลิบเคลิ้ม นิ้วเรียวสัมผัสใบหน้าคมนั้นอย่างหลงใหล
“คุณเจ!..คุณเจครับ!..เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ!”
เสียงเรียกของเอกดังอยู่หน้าประตูเรียกให้เจตื่นจากภวังค์ จึงดันร่างใหญ่ที่นอนทับตนออกเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
“มาพอดีเลยเอก”
เอกมองร่างโปร่งด้วยสีหน้าตื่นๆ
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าครับ ผมได้ยินเสียงคุณเมืองดังลั่นเลย”
“นิดหน่อยน่ะ..แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เมาหลับอยู่นู่นแน่ะ”
เจเดินกลับเข้ามา เอกจึงเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้ามาบ้าง เห็นเศษแก้วแตกกระจายเต็มห้องก็อดอุทานขึ้นไม่ได้ ที่ว่าทะเลาะกันนิดหน่อยคิดว่าคงจะไม่นิดหน่อยแบบที่อีกฝ่ายบอกแน่ๆ
“ปกติแล้วเมืองเขานอนที่ไหนเหรอ?” เจหันมาถาม
“ถ้างานยุ่งๆก็นอนที่นี่ครับ ด้านในยังมีห้องนอนเล็กๆอยู่ห้องนึง”
“งั้นก็พอดีเลย มา..มาช่วยกันหน่อย”
สองหนุ่มจึงช่วยกันดึงร่างอันไร้สติของดวงเมืองให้ลุกขึ้น และช่วยพยุงกันคนละข้าง พาเข้าไปนอนแผ่ในห้องนอนอย่างทุลักทุเล
“เอก..วันนี้ผมขอค้างที่นี่ด้วยแล้วกัน ฝากคุณช่วยปิดคลับให้ด้วยนะ”
“ได้ครับ ถ้างั้นก็ฝากดูเจ้านายของผมด้วยนะครับ”
เจยิ้มรับ เอกจึงเอ่ยลาและออกจากห้องไป ทิ้งให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
หลังจากที่บริกรหนุ่มจากไปแล้ว เจก็ทิ้งตัวลงนั่งบนขอบเตียงแบบหมดแรง รู้สึกเจ็บระบมที่สีข้างขึ้นมานิดๆเหมือนกัน เขาเหลือบมองคนที่กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเตียงแล้วอดเคืองไม่ได้
“ร้ายจัง..นี่เราไปหลงรักคนที่อารมณ์ร้ายขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย”
ร่างโปร่งเอนตัวลงมองใบหน้าของอีกฝ่าย เห็นใบหน้าคมที่ปกติจะเคร่งขรึมเย็นชาเหมือนน้ำแข็งทว่าตอนนี้กลับดูผ่อนคลายลงมาก เจจึงแอบหยิกแก้มเบาๆด้วยความหมั่นไส้
..แบบนี้ต้องเอาคืน เขาอมยิ้ม .
แกล้งอีกฝ่ายเล่นอยู่สักพัก..เจ้าของหน้าคงรู้สึกรำคาญจึงเอามือปัดไปมา เจจึงรีบเบี่ยงตัวหลบ ชักเริ่มหวั่นๆกลัวว่าคนหลับจะตื่นขึ้นมาหาเรื่องอีก จึงรีบลุกไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย กว่าจะทำอะไรเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบตีสองแล้ว เขาสะบัดศีรษะไล่ความเหนื่อยอ่อนก่อนจะเข้าไปนอนเคียงข้างร่างสูง
..เจนอนตะแคงหันหน้ามามองดวงเมืองนิ่ง
“สาวิตรี..เป็นใครกัน..เป็นคนรักของคุณหรือเปล่าเมือง..ตอนที่คุณบอกรักผม..คุณบอกผมหรือคุณบอกเธอกันแน่..”
หลังมือขาวแนบสัมผัสเบา ที่แก้มของอีกฝ่าย
“นอนแบบนี้จะหลับลงเหรอเนี่ยเรา”
เขาถอนใจก่อนปิดเปลือกตาลง ไล่ความคิดคำนึงที่ยังค้างคาออกไปจากใจจนหมดสิ้น แล้วนิทราอันแสนหวานของทั้งสองก็ดำเนินไปจนถึงรุ่งเช้า
++++++++++++++++
เสียงเรียกเข้าของมือถืออันคุ้นเคยดังขึ้นในยามเช้าตรู่ เจงัวเงียตื่นขึ้นแบบงงๆ มือข้างหนึ่งควานหามือถือของตนไปทั่ว ซักพักจึงนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตน เลยรีบกระโดดออกจากเตียงแล้วคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมากดรับสายทันที
“ฮัลโหล”
“ฮัลโหล..คุณเจครับ..ผมกรนะ”
“มีอะไรเหรอ..คุณกร โทรมาแต่เช้าเชียว” เจถามพร้อมกับหาว นัยน์ตาแอบชำเลืองมองเจ้าของห้องที่ยังหลับนิ่งอยู่
“วันนี้คุณมีประชุมตอนเก้าโมงเช้านะครับ”
พอได้ยินว่ามีประชุมแต่เช้า เจก็หายง่วงทันที “ประชุมเช้า!..คุณโสไม่ได้บอกผมไว้นี่!!”
“ครับ..กะทันหันไปหน่อย เพราะมิสเตอร์เอริคเพิ่งมาถึงเมื่อคืนและเขาติดต่อมาว่าอยากพบกับคุณครับ”
“อืม..เข้าใจแล้ว ถ้างั้นผมจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ ฝากต้อนรับเขาด้วยนะ อ้อ..แล้วก็ให้คุณวัฒน์เตรียมการประชุมให้พร้อมด้วย”
“ทราบแล้วครับ” ปลายสายตอบกลับมาและวางสายไป
ร่างโปร่งวางโทรศัพท์แล้วเดินกลับมาที่เตียงใหญ่พลางนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา แม้จะเปลี่ยนที่นอน เขากลับหลับสบายอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าไม่หลับแล้วแท้ๆ แถมรู้สึกเหมือนว่าถูกคนกอดอยู่ตลอดคืนเลยทำให้รู้สึกอุ่นมากแม้ว่าอากาศจะเย็นก็ตาม คิดแล้วก็ต้องก้มมองคนหลับนิ่งเพราะรู้แล้วว่าคนกอดน่ะเป็นใคร เลยโน้มตัวลงแอบจูบเบาๆที่หน้าผากของอีกฝ่ายด้วยความรัก
“ผมรักคุณนะ..ดวงเมืองของผม”
เขากระซิบแผ่ว มองคนที่รักด้วยความเป็นห่วงอยู่ซักพักจึงเลื่อนผ้าห่มมาคลุมให้
“ไปก่อนนะครับ..อ้อ..ลืมไป”
เจหยิบมือถือของตนขึ้นมากดฟังก์ชั่นที่ต้องการและ
‘แช๊ะ’
เป็นเสียงถ่ายรูปโดยใช้มือถือของตัวเอง เขาแอบถ่ายรูปดวงเมืองตอนหลับเอาไว้ เลือกถ่ายอยู่หลายมุมจนพอใจและรีบกดเซฟเก็บอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆย่องออกจากห้องไปอย่างเงียบกริบ
++++++++++++++++
เช้าวันเสาร์ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่มันกลับไม่ธรรมดาในความรู้สึกของดวงเมืองเลย ชายหนุ่มตื่นขึ้นหลังจากที่เจออกไปได้ไม่นาน แม้จะตื่นแล้วแต่ยังไม่ได้ลุกออกไปจากเตียง เขาเอามือกุมขมับตัวเองและบีบจนแน่น หน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด
“เมื่อคืนนี้..”
ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วจู่ๆใบหน้าของใครคนหนึ่งที่กำลังส่งยิ้มให้ก็ลอยเข้ามาทันที
“คุณเจ!!”
พอจะเริ่มนึกออกบ้างแล้วว่าตนเองทำเรื่องบ้าๆอะไรลงไปบ้าง นี่เขาพาลเอาความโกรธไปลงกับคนอื่นถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!
“บ้าชะมัด!”
ชายหนุ่มพึมพำก่นด่าตัวเองในใจ แล้วรีบลุกจากเตียง แต่ยังไม่ทันพ้นก็ล้มตัวลงไปนอนใหม่ เพราะอาการเมาค้างอย่างแรงจู่โจมศีรษะกะทันหัน
“โอ๊ย!!..ปวดหัว!”
เมื่อหลับตานิ่งอยู่ครู่ อาการจึงค่อยคลายไป และพอได้ล้มตัวลงนอนแล้วเลยไม่อยากจะลุกขึ้นอีก มือใหญ่จึงก่ายหน้าผากตัวเอง สีหน้าครุ่นคิด
“สาวิตรี..ไม่ได้คิดถึงนานเท่าไหร่แล้วนะ”
ดวงเมืองพลิกตัวไปมาพยายามไม่นึกถึง เพราะชื่อนี้ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจและทำให้คลั่งได้ง่ายๆ จึงพยายามจะนอนให้หลับอีกครั้ง ใบหน้าคมซบลงกับหมอน ทว่ากลับสูดได้กลิ่นหอมจางๆ จากที่นอนและหมอนของตน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นหอมที่จางจนเกือบไม่รู้สึกนั้นอีกครั้ง
“หอมอะไรนะ..คุ้นจัง”
เขาหันมาดมตัวเองก็รู้สึกว่ามีแต่กลิ่นเหล้า ไม่ได้มีกลิ่นหอมๆสักนิด หรือว่าจะเป็นกลิ่นแชมพู..แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ จะว่าไปเมื่อคืนเขารู้สึกอุ่นๆเหมือนได้กอดใครสักคนตลอดคืน ทำให้หลับได้สนิทชนิดที่ไม่เคยทำได้มาหลายปี
“หรือว่าจะเป็นคุณเจ..ไม่หรอกน่า”
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ พยายามไล่ความคิดนั้นออกไป แล้วล้มตัวลงนอนตะแคงง่ายๆ กลิ่นหอมจางๆนั้นยังไม่หายไป น่าประหลาดที่เขารู้สึกชอบมันและไม่อยากให้มันจางหายไปเร็วนัก แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของก็ตาม..
..สักพักความง่วงงุนก็เริ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แล้วเขาก็เผลอหลับไปทั้งๆอย่างนั้น
+++++++++++++
หลังจากที่เจออกมาจากห้องของดวงเมืองแล้วก็ตรงดิ่งเข้าบริษัทของตนทันที..
ร่างโปร่งวิ่งเข้าห้องพักชั้นบนสุดของตนอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อเหลือบมองเวลาก็ถอนหายใจโล่งอกที่ทันพอดี
เขาเดินเข้าห้องทำงานและนั่งประจำที่ สายตากวาดดูบนโต๊ะทำงานพบโน๊ตวางอยู่สองสามแผ่น ด้านข้างมีรายงานการประชุมสำหรับวันนี้วางอยู่ด้วย
“เอาล่ะ..เริ่มทำงานดีกว่า”
เจหยิบโน๊ตสองสามแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน ข้อความในนั้นทำเอาคิ้วเรียวขมวดจนยุ่ง
‘ผมอยากพบพี่..เรามีเรื่องต้องคุยกัน’
‘ทำไมพี่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม แล้วทำไมต้องไปอยู่ที่คอนโดด้วย’
‘พรุ่งนี้มีประชุม หวังว่าพี่คงไม่หนีประชุมเพื่อหลบผมอีกนะ’
อ่านจบแล้วก็รีบขยำและโยนทิ้งอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่อยากจะเห็นมันอีก
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว..”
เขาส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจกับปัญหาครอบครัวของตัวเอง
ตอนนี้เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว พอมีเวลาอีกนิดหน่อยที่จะพักก่อนการเริ่มต้นทำงานของวัน ร่างโปร่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นิ่ง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“จะโกรธเราหรือเปล่านะ..วันนี้ไปขอโทษดีกว่า”
เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูรูปที่เซฟไว้ เป็นรูปใบหน้าอันคมเข้มของคนรักที่กำลังหลับสนิท มองแล้วก็อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้..........
+++++++++++++++++++++++++
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ท่านประธานใหญ่ต้องนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องประชุม เนื่องเพราะการเดินทางมาแบบกะทันหันของมิสเตอร์เอริคที่เป็นหุ้นส่วนการค้าคนสำคัญของตลาดยุโรป
การประชุมเรื่องการลงทุนดำเนินมาตั้งแต่เช้าจนเกือบเย็น ทุกคนที่ร่วมประชุมจึงมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนและเครียดเต็มที ไม้เว้นแม้แต่ท่านประธานหนุ่มที่แม้จะเครียดแค่ไหนแต่ยังสามารถเค้นรอยยิ้มบางขึ้นมาได้บ่อยครั้ง พลอยลดบรรยากาศตึงๆนั้นให้ผ่อนลงได้บ้าง
“เอาล่ะ..นี่ก็เย็นมากแล้ว วันนี้เลิกประชุมแค่นี้ก่อน เดี๋ยวไปทานข้าวด้วยกันนะทุกคน” เจพูดกับทุกคนที่ร่วมประชุม เขาหันไปหาหนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษที่นั่งอยู่ข้างๆ (“ไปดินเนอร์กันนะเอริค..วันนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง”)
เอริคยิ้มกว้างด้วยความยินดี (“ดีเลยเจ..ผมหิวจะแย่ นึกว่าคุณจะประชุมมาราธอนถึงค่ำซะอีก”)
(“ก็ใครใช้ให้คุณบินมากะทันหันแบบนี้ล่ะ ตารางเวลาผมเลยป่วนไปหมด”)
เอริคยิ้มร่าแล้วจึงลุกจากเก้าอี้ ส่วนเจก็หัวเราะแล้วลุกตามออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นจากโต๊ะก็โดนมือของใครคนหนึ่งฉุดรั้งแขนของตนไว้ เจหันกลับมามองก็พบกับสายตาขุ่นเคืองของภูมิที่จ้องมองเอริคด้วยสายตาเย็นชา
(“ผมมีธุระสำคัญจะคุยกับท่านประธาน คุณเอริคออกไปรอข้างนอกก่อนได้หรือเปล่าครับ”)
“ภูมิ!!” เจเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
เอริคจ้องมองร่างโปร่งผู้เป็นเพื่อนสนิทเพื่อขอความเห็น เจพยักหน้ารับ เอริคจึงจำยอมต้องออกไปข้างนอกแม้จะมีทีท่าไม่เต็มใจนัก
หลังจากที่ชายหนุ่มต่างชาติเดินออกไปแล้ว ทั้งห้องประชุมใหญ่จึงมีแต่ความเงียบ บรรยากาศชวนอึดอัด ภูมิยังไม่ยอมปล่อยแขนของพี่เมียตัวเอง
“ปล่อยฉัน!!” เจสะบัดหนีจนหลุดออกมาจนได้
“พี่..”
“มีอะไร..รีบพูดมา”
น้ำเสียงห้วนที่ฟังดูไร้เยื่อใยของเจทำให้ภูมิที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะพูดจาตกลงดีๆต้องเปลี่ยนน้ำเสียงของตนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาบ้าง
“ทำไมไม่กลับบ้านครับ”
“ฉันงานยุ่ง เลยค้างที่นี่แทน”
“ค้างทุกวันเลยงั้นเหรอ!..พี่รู้หรือเปล่าว่าผมนั่งรอพี่จนดึกทุกวัน!!”
“นายจะบ้าไปแล้วหรือไง..มานั่งรอฉันทำไมกัน!!”
“พี่ก็รู้ว่าผมทำไปทำไม”
“หยุดนะภูมิ..ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก”
“พี่ก็รู้อยู่แล้ว..แต่ก็ยังปฏิเสธผมอยู่ได้ ผมมีอะไรไม่ดีตรงไหนหรือไง”
พูดจบ ภูมิก็ทำท่าจะเดินเข้าหาร่างโปร่ง เจจึงรีบถอยหลังไปสองก้าวทันทีเพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย
“ไม่ใช่ว่านายไม่ดี..แต่ฉันไม่ได้รักนาย..และถึงแม้จะรัก..ฉันก็ไม่อาจจะตอบรับความรู้สึกนั้นกับนายได้หรอก เพราะฉันไม่สามารถจะทรยศน้องสาวของตัวเองได้”
“ถ้าพี่ห่วงเรื่องจอย ผมจะขอเลิกกับเธอก็ได้”
นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยิน “ไม่นะภูมิ!!..ถึงแม้นายจะเลิกกับยัยจอยก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันกลับมาตอบรับนายได้!!”
“แล้วต้องทำยังไงพี่ถึงจะยอมรับผม” ชายหนุ่มอ้อนวอน
“มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก..ขอโทษด้วยนะภูมิ ฉัน..”
เจก้มหน้าลง เห็นทีเขาต้องพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่อยากได้ยินมากที่สุดแล้ว แต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะยุติปัญหาบ้าๆนี่
“ฉัน..ฉันมีคนที่รักอยู่แล้ว..และตั้งใจว่าจะไม่เหลือใจไว้รักใครอีก”
พอได้ยินแบบนี้แล้ว ภูมิก็นิ่งอึ้งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที แล้วฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีด
“ใคร!..คนที่พี่รัก..เป็นใคร!!”
เสียงของภูมิที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากที่กำลังขบกลั้นนั้นทำเอาเจตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่น่าพูดเรื่องนี้ออกไปเลย ..ไม่ได้เด็ดขาด..เขาไม่อาจลากคนที่เขารักหมดหัวใจคนนั้นมาพัวพันกับเรื่องยุ่งๆนี้เป็นอันขาด!!
“ใจเย็นๆภูมิ..ฉัน..ฉันไม่ได้มีใครทั้งนั้น ขอโทษที่ต้องโกหกนายแบบนั้น..แต่เรื่องที่ฉันไม่อาจจะตอบรับนายได้เป็นเรื่องจริง ขอร้องล่ะ..ถ้ารักฉันจริงก็อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย..”
“ไม่นะพี่..ผมรักพี่..และผมไม่มีวันให้ใครมาแย่งพี่ไปจากผมได้” ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น นัยน์ตาแฝงความเจ็บปวด
“พูดไม่เข้าใจหรือภูมิ..ฉันไม่มีวันรักนายได้!! กลับใจไปดูแลครอบครัว ไปดูแลยัยจอย ดีกว่าที่จะมาตามตื้อฉันแบบนี้!! เอาล่ะ..เลิกพูดซะที กลับไปคิดให้มากๆ แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่วันหลัง”
พูดจบ เจก็รีบเบี่ยงตัวหลบภูมิที่ยืนขวางประตูอยู่เพื่อจะหนีออกไปจากสภาพอันไม่พึงปรารถนานี้ แต่มือใหญ่ที่ขวางอยู่นั้นกลับกระชากแขนเรียวเข้ามาหา จนตัวเขาต้องเซถลาเข้าไปหาชายหนุ่ม!
“ที่พี่ไม่รักผมเพราะไอ้ฝรั่งนั่นใช่มั๊ย!!”
“ปล่อยนะภูมิ!! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่มีใคร..เอริคก็แค่เพื่อนเท่านั้น!!”
“ผมไม่เชื่อ!!..”
“ปล่อยฉัน!!..อ..อย่า!!!”
ภูมิโอบรั้งร่างเล็กกว่าที่กำลังดิ้นรนขัดขืนเข้าแนบตัว ริมฝีปากตนกดประทับลงบนริมฝีปากนุ่มที่แสนหอมหวานอย่างถือวิสาสะ มืออีกข้างจับศีรษะของอีกฝ่ายกันไม่ให้เบี่ยงหนี จากจูบที่ร้อนแรงค่อยๆเริ่มรุกเร้าหนักขึ้นจนลึกล้ำ และยกร่างที่อยู่ในอ้อมกอดขึ้นมาจนตัวลอย แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงอาการขัดขืนอันไร้ผลของอีกฝ่ายก็ตาม
ส่วนเจตอนนี้กำลังรู้สึกสมองหมุนจนแทบไร้ความรู้สึก แม้มือทั้งสองข้างจะพยายามดิ้นรน ทั้งชกทั้งดัน ก็ไม่สามารถทำให้ร่างที่สูงใหญ่แข็งแรงที่กำลังล่วงเกินนี้ขยับถอยออกไปได้เลยซักนิด ความรู้สึกแรกที่ถูกจูบคือความโกรธและเกลียดชังสัมผัสที่จาบจ้วง แล้วความเหนื่อยอ่อน หายใจไม่ออกก็ปนเปเข้ามาจนรู้สึกว่าร่างกายตนไร้เรี่ยวแรงและความรู้สึกไปชั่วขณะ
“ขอโทษครับคุณเจ..รถรออยู่ข้างล่างนานแล้ว”
เสียงเรียกดังมาจากหลังประตู เป็นเสียงของภากรเลขาคนสนิทของเจ ภูมิจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดและปลดปล่อยริมฝีปากอันแสนหวานละมุนนั้นเป็นอิสระด้วยความเสียดาย
“ไอ้เลขางี่เง่านั่น!!” เขาสบถด่าด้วยความไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดจังหวะ
และทันทีที่ร่างโปร่งเป็นอิสระ ฝ่ามือบางก็ตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างแรงจนหน้าหัน ภูมิหันกลับมามองพี่เมียของตนด้วยใบหน้ายิ้มๆ แม้ที่มุมปากจะมีหยาดเลือดซึมออกมาก็ตาม
“ผมไม่พอใจแค่จูบนี้แน่!..ซักวันผมจะต้องทำให้พี่เป็นของผมให้ได้ คอยดู!!..”
เจไม่สนใจจะฟังคำพูดบ้าๆของชายหนุ่มอีก เขาจ้องมองน้องเขยตนด้วยความโกรธจัดชนิดที่ไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้มาก่อน แล้วรีบวิ่งหนีออกจากห้องทันที ทิ้งให้ร่างสูงเหม่อมองแผ่นหลังบางจนลับตา
ภากรยังยืนอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่ เขาเอาหูแนบประตูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายในห้อง อันที่จริงเขายืนอยู่ตรงนี้นานมากแล้ว และได้ยินเสียงทะเลาะกันดังลอดออกมานิดหน่อยเลยทำให้เริ่มรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายตัวเองขึ้นมา และเมื่อกี้ที่เขาตะโกนขัดจังหวะไปก็เพราะอยู่ดีๆเสียงที่ทะเลาะกันนั้นกลับเงียบหายไป
ซักพักประตูก็เปิดออกพร้อมๆกับร่างของเจ้านายที่ตอนนี้มีสภาพโทรมสุดๆ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยและยับไปหมด ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง แถมหน้าตาบ่งบอกอารมณ์โกรธสุดขีด
“คุณเจ!!”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น! ขอเวลาสิบนาทีแล้วจะรีบตามลงไป!”
ร่างโปร่งผลุนผลันวิ่งเข้าห้องพักส่วนตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักท่านรองก็เดินออกมาบ้าง สภาพก็ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไหร่ แต่ที่เห็นเด่นชัดคือบนใบหน้าด้านหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามแดงเป็นรอยฝ่ามือ ที่มุมปากยังเห็นรอยแตกเลือดซิบๆ เลขาหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“รู้สึกว่าจะมาได้จังหวะเหลือเกินนะ ภากร” ท่านรองหนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“นั่นสิครับ..ผมมักจะรู้เวลาเสมอ เชิญครับ..รถรออยู่ข้างล่างแล้ว” ภากรตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเข้มเฉยชา
“เก่งให้ได้ตลอดเถอะ!! ถ้าพี่เป็นของฉันเมื่อไหร่ แกได้เด้งออกจากบริษัทแน่!!”
“แล้วผมจะรอวันนั้นครับ”
เลขาหนุ่มตอบเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ภูมิจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความขุ่นแค้นแล้วหันหลังเดินออกไปด้วยความโกรธ ภากรมองตามแล้วสั่นศีรษะด้วยความเอือมระอา
“ดูท่าจะมีเรื่องยุ่งๆตามมาอีกเยอะ ได้แต่หวังว่าคุณเจคงจะมีวิธีแก้ปัญหายุ่งๆนี้ได้เพราะถ้าแก้ไม่ได้คงไม่รอดมือท่านรองแน่”
เขาบ่นเบาๆกับตัวเองแล้วเดินลงจากตึกไปด้วยความเหนื่อยใจ
+++++++++++++++++++
ดินเนอร์ยามค่ำคืนใต้แสงเทียนบนโต๊ะอาหารสุดหรูของโรมแรมชื่อดัง เป็นอะไรที่น่าประทับใจของลูกน้องทุกคนที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่น้อยครั้งจะมีโอกาส แต่ตัวเจ้านายเองกลับนั่งหน้าเฉยออกจะหงุดหงิดงุ่นง่านนิดๆด้วยซ้ำ สาเหตุก็เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นมักจะจ้องมองเขาแทบไม่ยอมให้คลาดสายตา ไม่ว่าจะขอตัวไปไหนก็ตามติดตลอดจนรู้สึกรำคาญเต็มที
(“เฮ้!..หมอนั่นจ้องคุณไม่วางตาเลยนะ มีอะไรกันหรือเปล่า?”)
เอริคกระซิบถามเป็นภาษาฝรั่งเศสเพราะกลัวว่าคนที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นจะฟังออก และก็จริงอย่างว่าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกำลังจ้องเขากับเจเขม็ง
(“ก็นิดหน่อยน่ะ..แล้วคุณรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าล่ะ”) เจตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน มือเรียวยกกาแฟขึ้นจิบแก้เซ็ง
(“ไม่หรอกๆ แค่นี้สบายมาก แต่ผมเป็นห่วงคุณมากกว่านะ..ท่าทางเขาเอาเรื่องไม่ใช่เล่นเลย”)
(“อืม..ผมเองก็ไม่รู้จะจัดการกับเขายังไงเหมือนกัน”) เจทำหน้าหนักใจ
(“ทำไมไม่บอกน้องสาวของคุณล่ะ..เธอน่าจะรับรู้ได้แล้วนะ”) เอริคเสนอ
(“ผมก็คิดจะบอก แต่กลัวว่าจะรับไม่ได้น่ะสิ”)
เอริคหัวเราะ (“เป็นผม..ผมก็คงรับไม่ได้เหมือนกันแหละ แฟนตัวเองดันไปหลงรักพี่ตัวเอง แถมเป็นผู้ชายทั้งคู่อีก..เรื่องนี้น่ะโทษใครไม่ได้นะนอกจากความมีเสน่ห์ของคุณเอง”)
(“เลิกหัวเราะเยาะผมเลยนะ..ใครจะไปมีความสุขเหมือนคุณกับแซมล่ะ..เอ๊ะ..แล้วนี่แซมเขาทิ้งคุณไปแล้วหรือไง ถึงไม่ตามมาประกบน่ะ”)
เอริคสะดุ้งขึ้นนิดๆ สักพักก็ทำหน้าเคลิ้มฝันเพราะได้นึกถึงคนรัก
(“ใครว่าล่ะ..เมื่อคืนนี้หนักไปหน่อย เขาเลยลุกไม่ขึ้นต่างหาก 555”)
(“ซักวันเถอะ ผมจะยุให้แซมไปหาแฟนใหม่”) เจแกล้งพูดเพราะเริ่มหมั่นไส้คนเป็นเพื่อนสนิท
(“ไม่มีทาง..แซมเขาหลงผมจะตาย”)
(“ใครหลงใครกันแน่..”)
แล้วสองหนุ่มต่างเชื้อชาติก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เจจึงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
(“ว่าแต่คุณเถอะ เห็นมองนาฬิกาหลายทีแล้วนะ..ไง..นัดใครไว้ล่ะ”)
เจเผลอยิ้ม (“เปล่า..”)
(“ให้มันจริงเถอะ ดูก็รู้ว่ากำลังอินเลิฟอยู่ ใครเหรอ?..ผู้ชายหรือผู้หญิง?”) เอริคทำท่าสนใจขึ้นมาทันที
(“ทำไมถามงั้นล่ะ”)
(“คุณน่ะไม่เหมาะกับผู้หญิงหรอก แซมเขายังเห็นด้วยกับผมเลย”)
เจวางแก้วกาแฟลง หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดหน้าจอที่มีรูปคนที่รักที่สุดขึ้นมาให้เพื่อนสนิทดู
พอจ้องคนในรูปแบบพิจารณา เอริคก็ต้องอุทานขึ้นเบาๆ (“โอ้โห!! หล่อกว่าผมอีก เขาชื่ออะไรเหรอ?”)
เจทำหน้าภูมิใจ (“ดวง..เมือง”)
(“อื้มหืม..ถ่ายตอนหลับซะด้วย แบบนี้แสดงว่าเสร็จไปแล้วล่ะสิ ว่าแต่ใครเสร็จใครล่ะ”)
(“คุณเนี่ยพูดอะไรน่าเกลียดจัง”)
(“อ้าว..ยังหรอกเหรอ..”)
(“ก็ยังน่ะสิ..ตอนนี้กำลังตามตื้ออยู่เลย..แต่ดูจะสมหวังยากเพราะเขาไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่”) พูดไปก็ทำหน้าเศร้าไปเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนในรูปที่ยามปกตินั้นแสนจะเย็นชา
เอริคทำตาโตแบบไม่เชื่อ (“พระเจ้า!!..มีคนแบบนั้นอยู่ในโลกด้วยเหรอเนี่ย..ผมว่าเขาต้องผิดปกติแน่ที่ไม่ชอบคุณน่ะ ทำไมคุณไม่ยิ้มหวานๆให้เขาซักสองสามครั้งล่ะ แค่นั้นผมว่าเขาก็ใจละลายแล้ว”)
(“ยิ้มไปหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาเลย”) เจบอก
(“โห!!..ถ้าผมไปบอกเรื่องนี้กับแซมนะเขาต้องไม่เชื่อแน่ๆ”)
(“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเอริค..แต่ยังไงผมก็จะพยายามนะ คนนี้น่ะตัวจริง..รักจริงหวังแต่งเลยล่ะ”)
(“คุณพูดจริงเหรอเนี่ย!!..หนุ่มไทยคนนี้โชคดีชะมัดเลยนะ..แหม..ทีตอนผมจีบคุณ ไม่เห็นคุณสนใจเลย”)
(“พูดแบบนี้ระวังผมจะไปฟ้องแซมนะ”)
(“โอ๊ย..อย่านะ เวลาเขาโกรธน่ะ พายุทอร์นาโดมาเองเลย!!”) คิดแล้วเอริคก็ทำท่าสยอง
เจยิ้มขำ (“ผมล่ะอิจฉาพวกคุณจริงๆเลย”)
(“เอาน่า..ผมว่าไม่นานเขาต้องหลงรักคุณแน่ๆ แล้วคืนนี้คุณต้องไปหาเขาหรือเปล่าล่ะ”)
(“ก็อยากไป..แต่คุณดูสิ..พอผมลุก ภูมิเขาก็ลุกตาม เลยไปไหนไม่ได้..อีกอย่างผมกลัวเขาจะไปเจอกับดวงเมืองเข้า”)
(“อ่ะฮ่า!!..ก็สนุกสิ..แบบนี้คงเกิดศึกชิงเจตราขึ้นแน่ๆ”)
(“ไม่ตลกเลยนะ..เฮ้อ!!..สงสัยวันนี้ผมคงไม่ได้ไปหาเขาแน่ๆเลย”)
เจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า สีหน้าหดหู่จนอดหยิบมือถือขึ้นมาดูรูปเพื่อลดความคิดถึงไม่ได้..ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่คลับเป็นยังไงบ้าง ลูกค้าจะเยอะหรือเปล่า แล้วเจ้าของคลับจะคิดถึงเขาบ้างไหม .
ระหว่างที่เจกำลังคิดถึงดวงเมืองอยู่นั้น ชายหนุ่มเองก็กำลังคิดถึงร่างโปร่งอยู่เช่นกัน วันนี้เขาตรงดิ่งมาที่คลับตั้งแต่เย็น มายืนเฝ้าเคาท์เตอร์ไม่ยอมไปไหน แม้ว่าจะมีลูกค้าสำคัญมาขอพบก็ตาม
ร่างสูงชะเง้อคอมองไปที่หน้าประตูบ่อยๆเหมือนกำลังรอคอยใครบางคน พอไม่ใช่คนที่รอก็ทำท่าผิดหวัง บางครั้งก็เหม่อมองไปที่โต๊ะเล็กๆริมห้องซึ่งเป็นที่ประจำของคนๆนั้น คนที่มักจะนั่งจิบกาแฟคอยแอบมองเขาตลอดเวลา พอเขาไม่มาคุยด้วยก็ทำท่าผิดหวัง แต่วันนี้โต๊ะนั้นกลับว่างเปล่า
พวกพนักงานหลายคนที่พอจะรู้ว่าคนที่เจ้านายรอคือใครก็แอบไปคุยกันลับหลังและพากันหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกเพราะอาการหลุดๆของเจ้านาย
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ..” ดวงเมืองคิดแล้วอดเป็นห่วงร่างโปร่งไม่ได้
“เอก!! เอก!!”
เอกรีบวิ่งมาตามเสียงเรียกทันที คล้ายกับรออยู่นานแล้ว “มีอะไรครับคุณเมือง”
“วันนี้คุณเจมาที่คลับบ้างหรือยัง”
เอกมองเจ้านายแล้วหันไปแอบขำ “ยังไม่เห็นเลยครับ”
“งั้นเหรอ..” ดวงเมืองทำท่าผิดหวัง
“ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่โทรไปหาล่ะครับ บางทีคุณเจอาจจะไม่สบายก็ได้เพราะเมื่อวานโดนแก้วบาดที่มือแผลใหญ่เชียว”
“อะไรนะ!!..ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย..แล้วเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า!!” ดวงเมืองรีบถามเสียงดังจนลูกค้าในคลับหันมามองกันเป็นตาเดียว
“ก็ไม่เป็นไรมากหรอกครับ..แต่เลือดไหลค่อนข้างเยอะ คุณเจงี้หน้าซีดไปเลยครับ”
เอกทำหน้าหวาดเสียวประกอบ ‘ขอโทษครับเจ้านาย ก็ผมเชียร์คุณเจนี่นา’ เขาแอบคิดแล้วก็ได้ผลมากด้วยเพราะพอฟังที่เขาบอกแล้วเจ้านายหนุ่มก็ออกอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาจริงๆ
“หรือว่าคุณเมืองไม่มีเบอร์คุณเจครับ” เอกแสร้งถาม
คนเป็นเจ้านายเพียงพยักหน้ารับแล้วก็นิ่งไป คิ้วเข้มพาดสูงขึ้น นัยน์ตาทอประกายประหลาดๆชนิดที่คนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างเอกไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้างั้นลองถามเบอร์จากคุณดลดูสิครับ เพราะคุณดลสนิทกับคุณเจมาก”
ดวงเมืองยังฟังไม่ทันจบประโยคก็รีบหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาทันที แววตาดูแช่มชื่นมีความหวังขึ้นผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ บริกรหนุ่มลอบอมยิ้มด้วยความสมใจ
“ฮัลโหล..คุณดลเหรอ นี่ผมเมืองนะครับ”
“ครับ..คือ..คุณดลมีเบอร์ของคุณเจหรือเปล่าครับ”
“เหรอครับ..ครับ.xx-.xxx-xxxx ขอบคุณนะครับ”
ริมฝีปากบางเฉียบที่เคยนิ่งไม่เคยแย้มยิ้ม มาตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มน้อยๆออกมา ดวงเมืองแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองออกอาการน็อตหลุดขนาดไหน เวลานี้ชายหนุ่มเพียงสนใจเบอร์โทรศัพท์ในมือเท่านั้น
นิ้วเรียวยาวกดปุ่มโทรศัพท์ช้าๆ เสร็จแล้วก็ยกแนบหู ใจจดใจจ่อรอคอยสัญญาณเรียก
++++++++++++++++++
อีกด้านหนึ่งของมุมเมือง เจเองก็กำลังจ้องมองรูปของดวงเมืองในมือถือ ไม่สนใจอะไรจนแทบจะลืมไปว่าตอนนี้นั่งอยู่กับใคร
ฟากหนึ่งของโต๊ะมีสายตาของภูมิที่กำลังมองอากัปกิริยาของพี่เมียตนด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ได้แต่คิดว่าไอ้มือถือนั่นมันมีอะไรน่าดูนัก ถึงได้เรียกความสนใจจากเจ้าของได้ขนาดนี้
พอดีกับเสียงโทรศัพท์ในมือของเจดังขึ้น ร่างโปร่งสะดุ้งขึ้นนิดๆ ส่วนเอริคที่นั่งอยู่ข้างๆก็แอบเหลือบมาดูหน้าจอที่ตอนนี้สว่างวาบและโชว์ใบหน้าของผู้โทร พอรู้ว่าเป็นใคร เขาก็หันไปหัวเราะล้อเลียนคนเป็นเพื่อนสนิทที่ตอนนี้นั่งอึ้งกิมกี่ตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว
(“ไหนบอกว่าเขาไม่สนใจแต่ไหงโทรตามล่ะ”)
เจสั่นศีรษะปฏิเสธด้วยหน้าตาตื่นๆ (“ผ..ผมไม่เคยให้เบอร์เขาไว้เลย!! ทะ..ทำไงดีล่ะเอริค!!”)
เอริคเห็นอาการของเพื่อนแล้วทนไม่ไหว ต้องหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนคนทั้งโต๊ะหันมามองด้วยความสงสัย
(“โอ๊ย!!..ขอโทษนะ..ฮ่ะๆๆ คุณ..คุณก็รับสิ”)
เจรีบลุกออกจากโต๊ะด้วยใจที่เต้นระทึก เขามองไม่ผิดใช่ไหมที่ดวงเมืองโทรมาหาเขา นี่มือถือมันไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม เอ..หรือว่าเขาฝันไป
ภูมิที่นั่งจ้องอีกฝ่ายอยู่นานก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงทำท่าจะลุกตามร่างโปร่งไป
(“เดี๋ยวคุณ!..ผมมีอะไรจะพูดด้วยหน่อย”) เอริครั้งภูมิไว้ได้ทัน และพูดห้ามเป็นภาษาอังกฤษ
(“ผมมีธุระ เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยด้วยแล้วกันครับ”) ภูมิรีบพูดตอบกลับไป สายตายังมองตามหลังร่างโปร่งไม่ยอมคลาดคลา
(“แต่เรื่องที่ผมจะพูดคือเรื่องของเจนะ คุณน่าจะนั่งลงก่อน”) เอริคปล่อยอีกฝ่ายแล้วเอนพนักเก้าอี้จิบไวน์ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
ภูมิอึ้งไป และเมื่อเห็นเจเดินหายลับไปแล้ว จึงถอนหายใจอกมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนตัดสินใจนั่งลงที่เดิม
(“คุณมีเรื่องอะไร!”)
(“ผมรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเจ แต่ผมจะบอกให้ว่ามันไม่มีทางสมหวังหรอก”)
ภูมิมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าวและเย็นชา (“มันไม่เกี่ยวกับคุณนี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น”)
(“ก็ใช่..แต่คุณคงไม่รู้ว่าผมเคยจีบเขามาก่อน นานมากแล้วตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ ตอนนั้นผมพยายามแทบตายแต่เจก็ใจแข็งชะมัด ผมเลยต้องใช้วิธีที่ค่อนข้าง..เอ่อ..คุณคงรู้..แต่ก็เท่านั้นแหละ มันไร้ผลโดยสิ้นเชิง”)
(“คุณ..ทำ..อะไร..เขา!!”) แค่นึกตามภูมิก็เกือบทนไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าคนๆนี้เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญ เขาคงตรงเข้าไปชกหน้าหล่อๆนั่นแล้ว
(“ไม่ต้องโกรธผมขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นแค่ลองน่ะ ยังทำไม่สำเร็จ แต่การกระทำนั้นทำให้เจโกรธมาก ความเป็นเพื่อนของเราเลยขาดสะบั้นลง และผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”) เอริคยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบผิดกับฝ่ายตรงข้าม
(“ผมขอโทษเขาด้วยความจริงใจมากขึ้น เขายอมอภัยให้ เราจึงได้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม..และจากตอนนั้นถึงตอนนี้เรายังคงเป็นแค่เพื่อนกัน ใช่..ผมเป็นได้เพียงเพื่อนที่ดีของเขาเท่านั้น คุณเองก็เหมือนกัน”)
(“ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณ!!”)
(“ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณ..ก็เป็นได้แค่น้องเขยที่ดีของเจเท่านั้น”)
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง คำพูดสุดท้ายของเอริคไม่มีวี่แววของคนที่อารมณ์ดีหลงเหลืออยู่เลย มันเป็นแววตาและท่าทางที่จริงจังมาก ซึ่งทำให้ภูมิต้องสะกัดกั้นความโกรธของตนลง
(“ทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับผม เขาขอร้องคุณหรือไง”)
(“เปล่า..เจไม่ได้พูดอะไร..แต่แค่มองดูคุณผมก็รู้แล้ว..ก็เพราะเมื่อก่อนผมอาการหนักยิ่งกว่าคุณอีก”)
(“ผมไม่พอใจที่เป็นได้แค่น้องเขยที่ดี!!”)
(“เรื่องนั้นผมไม่สนใจ ผมสนใจแค่เจเท่านั้น ขอเตือนคุณว่าถ้าคุณคิดจะทำอะไรสกปรกๆเหมือนที่ผมเคยทำล่ะก็ ผมฆ่าคุณแน่!!”)
เอริคพูดเสียงเยียบเย็นจริงจัง ฟังดูก็รู้ว่าไม่ล้อเล่นแต่เอาจริง
ภูมิไม่ได้พูดโต้ตอบอีกฝ่าย เพียงส่งสายตาดุดันและโกรธแค้นอาฆาตให้ เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้ม บรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะที่พอจะได้ยินคำสนทนาของทั้งสองก็พากันหลบเลี่ยงไม่กล้าสบตากับท่านรอง บางคนก็แอบลี้ภัยไปนั่งโต๊ะพนักงานอีกโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆกัน สุดท้ายเหลือเพียงเลขาคนสนิททั้งสามที่ยังนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน
พอร่างสูงของท่านรองจากไปแล้ว เอริคจึงหันมาหัวเราะเบาๆแบบคนอารมณ์ดีเหมือนเดิม
(“รองประธานของพวกคุณนี่ร้ายนะ”)
(“ครับ..พวกผมก็คอยระวังอยู่”) ภากรตอบด้วยท่าทีอันสงบตามบุคลิก
(“อืม..ฝากดูด้วยแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็โทรบอกฉันได้เลย”)
เลขาทั้งสามพยักหน้ารับ เอริคจึงค่อยวางใจ และเริ่มเปลี่ยนเรื่องไปพูดคุยถึงเรื่องธุรกิจที่กำลังจะเริ่มทำสัญญาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแทน
++++++++++++++++++
หลังจากที่เจเดินพ้นออกมาจากห้องอาหารแล้ว ก็รีบวิ่งไปหามุมนั่งพักผ่อนเงียบๆภายในล๊อบบี้ของโรงแรม สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอ
“ไม่ได้ฝัน ไม่ได้ฝัน!!”
มือเรียวกำโทรศัพท์ไว้จนแน่นแล้วรีบสูดลมหายใจลึกๆพยายามไม่ตื่นเต้น แม้ว่าหัวใจจะเต้นระรัวแบบห้ามไม่อยู่แล้วก็ตาม และทันทีที่นิ้วกำลังจะกดรับสาย สัญญาเสียงก็พลันเงียบลงไปทันที!!
“อ๊าา ตัดไปแล้ว!!”
โธ่..เขามัวแต่ระงับใจ ลังเลอยู่ได้ ดวงเมืองเลยวางสายไปแล้ว คิดแล้วก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆ เจทิ้งตัวลงเอนไปบนโซฟาแบบหมดแรง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็หมดแรงขึ้นมาเฉยๆจนโทรศัพท์เจ้ากรรมหล่นลงบนพื้น
“ติ๊ด..ติติ๊ด..ติ๊ด..ติ๊ด..ตี่ติ๊ด”
“เฮ้ย!!”
แล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเจสะดุ้งพร้อมกับกระเด้งตัวจากโซฟาทันที มือรีบควานหาโทรศัพท์ที่หล่นอยู่ แล้วคว้ามันขึ้นมาด้วยใจที่เต้นระส่ำอีกครั้ง แม้ยังไม่ทันมองหน้าจอว่าใครโทรมา ก็รีบกดปุ่มรับสายอย่างรวดเร็ว (กลัวพลาดอ่ะ)
“ฮะ..ฮัลโหล”
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายทุ้มเย็นเป็นเอกลักษณ์
“ม..เมือง เหรอ?”
ปลายเสียงนิ่งเงียบไปจนเจใจไม่ดี
“ครับ ผมเอง”
พอได้ยินเสียงตอบรับ รอยยิ้มหวานก็ปรากฏขึ้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัวก็ตาม “คุณรู้เบอร์ผมได้ยังไงเนี่ย”
“ผมขอมาจากคุณดลน่ะ เอ่อ” แล้วปลายสายก็เงียบไปอีกครั้ง
“มีอะไรครับ..หรือว่าคุณมีปัญหาอะไร มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?!!”
“ป..เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมเพียงแค่ ” .. “ทำไมวันนี้ไม่เข้ามาที่คลับล่ะครับ”
เจอมยิ้ม “ทำไมครับ รออยู่เหรอ”
“ก็..ทุกวันคุณจะมา ”
“วันนี้ผมติดธุระกะทันหัน ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ” ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นแบบไร้เหตุผล
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ”
“ขอโทษ?..เรื่องอะไรครับ”
“ก็เมื่อวานนี้..เอ่อ..เมื่อคืน..ที่ผม..เอ่อ..ชกคุณ..แล้ว..แล้วก็”
เจพอจะนึกถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่ายที่พยายามพูดกับเขาได้ ทำให้เสียงหัวเราะขำหลุดออกมาเบาๆ รู้สึกว่าปลายสายเงียบไปทั้งๆที่ยังพูดไม่จบประโยค
“คุณหมัดหนักนะ..ดีที่ไม่ได้ตั้งใจชกผม ไม่งั้นผมคงลุกไม่ขึ้นแน่ๆ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณมากไปเองต่างหาก”
“ไม่ครับ..เป็นความผิดของผม..เมื่อวานผมอารมณ์ไม่ดีเลยพาลใส่คุณ..คุณไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ผมสบายมาก”
“เอกบอกว่าคุณโดนแก้วบาด”
“แผลเล็กนิดเดียว ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก อย่าห่วงเลยครับ”
“เหรอครับ..ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไรมาก” น้ำเสียงท่าทางโล่งอก “..ขอบคุณนะครับที่ช่วยงานเมื่อวาน แล้วก็..ขอบคุณ..ที่ช่วยอยู่ดูแลผมเมื่อคืนด้วย”
เจรู้สึกว่าคำพูดตอนท้ายของชายหนุ่มแผ่วเบาลง
“ผมไม่รู้ว่าคุณมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเห็นว่าเพื่อนคนนี้พอจะมีประโยชน์..อย่างน้อยก็แค่รับฟังปัญหาของคุณ ผมก็พร้อมจะไปหาคุณทันทีที่คุณต้องการ แต่ขอร้องว่าอย่าไปกินเหล้าเพื่อหนีปัญหาเลยนะ”
ปลายเสียงเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นขึ้น
“ครับ..ขอบคุณคุณเจมาก”
“เรียก ‘เจ’ สิครับ”
“ครับ..ขอบคุณเจมาก..แล้วอีกอย่าง..เอ่อ..คือ” ปลายสายพูดอ้ำอึ้งแล้วก็นิ่งเงียบไปนาน
“ครับ..มีอะไรอีก ผมรอฟังอยู่นะ”
“ถ้า..ถ้าผมอยากจะชวนคุณ..คือ..วันไหนถ้าคุณมา..คือ..”
“อะไรครับเมือง..ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย”
“คือ..ผมอยากจะบอกคุณว่าถ้าวันไหนคุณมาที่คลับดึกและไม่อยากกลับบ้าน จะมานอนค้างที่ห้องพักของผมเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ” ดวงเมืองพูดโพล่งออกมาอย่างรวดเร็วจนเจเกือบฟังไม่ทัน
“อะ..อะไรนะครับ!!”
“เอ่อ..ถ้าคุณฟังไม่ทันก็ไม่เป็นไร..งั้นแค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยว..เดี๋ยวครับ ผมฟังทัน” เจหัวเราะเสียงดังพร้อมกับใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงเข้มกว่าเดิม “แสดงว่าเมื่อคืนคุณรู้ว่าผมไปนอนค้างด้วยใช่ไหม”
ปลายสายส่งเสียงรับคำเบาๆกลับมา
“ไม่โกรธเหรอครับที่ถือวิสาสะไปนอนเตียงคุณน่ะ”
“ผมจะโกรธคุณได้ยังไง คุณช่วยผมจนเจ็บตัวแบบนั้น”
“เรื่องเล็กน้อยเอง แต่ผมดีใจมากเลยที่คุณชวน ผมต้องหาโอกาสไปค้างด้วยแน่ๆ หวังว่าเจ้าของจะยังยินดีต้อนรับนะ”
“แน่นอนครับ”
หลังจากคำตอบอันแสนสั้นนั้นแล้ว การสนทนาก็หยุดลงไปชั่วครู่
“ถ้างั้น”
แต่แล้วทั้งสองกลับพูดขึ้นพร้อมกันในคำพูดเดียวกัน แล้วเจก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสาย (ทั้งๆที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน) ตัวเองจึงอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้
“คุณพูดก่อนสิ” เจบอก
“ผมให้คุณพูดก่อน” ดวงเมืองตอบกลับมาบ้าง
“ผมอยากฟังของคุณก่อนนี่”
ดวงเมืองนิ่งเงียบไปก่อนตอบกลับมาเบาๆ “ผมอยากบอกว่าราตรีสวัสดิ์ครับ แล้ว..ผมจะรอคุณมาที่คลับ พรุ่งนี้”
(“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันที่รักของผม ขอให้คุณนอนหลับฝันดี ผม..รัก..คุณ”)
เจตอบกลับมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างรวดเร็วแล้วรีบกดตัดสายไปทันที ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือจะแปลคำพูดสุดท้ายออกหรือไม่ก็ตาม
แก้มที่แดงเข้มอยู่แล้วคราวนี้จึงแดงลามไปจนถึงใบหู และรู้สึกใบหน้าตัวเองร้อนผ่าวด้วยความเขินแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ใจยังคงเต้นระรัวพร้อมกับความหวานซึ้งที่ยังตราตรึงอยู่ในอารมณ์ไม่เสื่อมคลาย
แต่ทว่า..กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เสียง..ที่ทำให้เขาต้องสะดุ้งและรู้สึกเย็นวาบไปด้วยความตกใจเมื่อได้หันมามอง
“นี่ใช่มั๊ย..คนที่พี่รัก!”
++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น