ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคุณ..หมดใจ

    ลำดับตอนที่ #7 : ‘เคล็บลับ 108 วิธี พิชิตใจหนุ่ม\'

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 49


    ตอนที่ 7 ‘เคล็บลับ 108 วิธี พิชิตใจหนุ่ม\'



    ภายในห้องทำงานใหญ่อันแสนจะเงียบสงบ ผู้เป็นเจ้าของนั่งหันหลังให้กับโต๊ะและทอดสายตามองออกไปภายนอกอย่างใจลอย



    ในมือกำมือถือที่เปิดเครื่องไว้จนหน้าจอสว่าง บนหน้าจอนั้นโชว์เบอร์โทรศัพท์ของใครคนหนึ่งไว้ ทว่าไม่มีวี่แววที่จะได้โทรออกเลย เพียงครู่หนึ่ง แสงจากหน้าจอก็ดับลง



    “ไม่กล้าแฮะ”



    ..เจวางมือถือของตนลงแบบถอดใจพลางถอนใจยาว….



    เขาลังเลที่จะกดโทรออกตั้งแต่เช้าและก็ไม่ใช่เช้านี้เช้าเดียว เป็นแบบนี้มาหลายเช้าแล้วนับจากวันที่ได้เบอร์โทรของดวงเมืองมา ถึงแม้ว่าทุกคืนเขาจะแวะไปเป็นลูกค้าที่คลับ แต่นานๆครั้งเจ้าของคลับถึงจะมานั่งคุยด้วย เพราะลูกค้าสำคัญหลายคนมักจะจองตัวชายหนุ่มคุยยาวตลอด..



    …นี่ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ลูกค้าคนสำคัญสินะ…



    พอคิดได้แบบนี้แล้ว เจก็หน้าบูด รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เลยนั่งเอนหลังพิงพนักไปแบบใช้ความคิด สายตาพอดีเหลือบไปเห็นหนังสืออ่านเล่นบนโต๊ะที่เขาซื้อมาจากร้าน บนหน้าปกเขียนชื่อเรื่องตัวสีแดงเข้ม



    ‘เคล็บลับ 108 วิธี พิชิตใจหนุ่ม’



    เขารีบคว้าขึ้นมาอ่านทันที นึกไปแล้วก็ขำตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจให้หยิบหนังสือเล่มนี้มา..แทนที่จะหยิบหนังสือข้างๆที่เขียนว่าการบริการธุรกิจในยุคเศรษฐกิจตกต่ำกับการวิจัยตลาดหุ้นและการขยายธุรกิจรอบโลก



    เปิดมาหน้าแรกก็มีรูปหนุ่มกล้ามโต กำลังส่งยิ้มให้เขา เลยรีบเปิดผ่านๆไป



    ‘การที่จะทำให้ใครซักคนหันมามองคุณนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย’



    หัวข้อตัวเข้มของหน้าหนึ่งดึงดูดให้หยุดอ่าน เขาส่ายหัวแบบไม่เห็นด้วย



    ‘คุณคิดว่าคุณมีความตั้งใจพอหรือเปล่า ลองสำรวจตัวคุณเองสิว่าตอนนี้คุณพร้อมหรือยังที่จะมอบกายมอบใจให้ใครซักคนที่คุณชอบพอ แน่นอนว่าความจริงใจและรักเดียวเป็นส่วนประกอบหลักที่จะทำให้ความรักของคุณประสบความสำเร็จ’



    ‘ถ้าคุณตัดสินใจที่จะมีความรักที่จริงจังแล้ว เคล็บลับจากหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณได้สมหวังแน่นอน’



    ‘ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาคนนั้นเสียก่อน ตอนนี้คุณได้ตกลงเป็นแฟนกับเขาแล้ว หรือตอนนี้คุณกำลังทดลองคบกับเขาอยู่..หรือตอนนี้แม้แต่การโทรไปหาเขา คุณยังไม่มีความกล้า’



    อ่านจบตอนนี้รู้สึกคำพูดของคนเขียนแทงใจดำตัวเองสุดๆ เจก้มลงอ่านต่อด้วยความสนใจทันที แม้จะรู้สึกเจ็บๆคันๆในหัวใจก็ตาม



    ‘ถ้าตอนนี้ความสัมพันธ์ของคุณเป็นแบบข้อสาม อาการของคุณก็น่าเป็นห่วงมากๆ’



    ‘ถ้าคุณยังไม่มีความกล้าแม้แต่จะโทรไปหา นั่นแสดงถึงว่าคุณไม่มีความมั่นใจในตัวเองพอ หรืออีกนัยหนึ่งคนๆนั้นของคุณไม่มีท่าทีหรือแนวโน้มที่จะมาหลงรักคุณได้เลย ทำให้คุณไม่กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกไป’



    ‘คุณอาจจะกลัว อาจจะอาย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดคือรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ก่อน อย่าให้มันพังทลายลง ซึ่งแม้ความรักครั้งนี้จะค่อนข้างยากลำบากไปบ้างแต่ให้รู้ไว้เถอะว่าเมื่อได้รับการตอบรับเมื่อไร จะเป็นความรักที่ยั่งยืนแน่นอน’



    ‘ความสัมพันธ์ที่ดีควรเริ่มจากความเป็นเพื่อนก่อน ความปรารถนาดี ความเอาใจใส่ในฐานะเพื่อนจะเป็นเหมือนสะพานเชื่อมจากความเป็นเพื่อนธรรมดาให้เขยิบขึ้นไปได้ คุณไม่ควรจะแสดงโจ่งแจ้งจนเกินไปว่าคุณหลงรักเขา คุณต้องเป็นตัวของตัวเองและเก็บความรู้สึกหลงใหลนั้นลงไปให้หมด’



    ‘ขั้นตอนง่ายๆก็คือ คุณต้องทำให้เขาประทับใจในตัวคุณไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ต้องพยายามให้เขาคุ้นเคยและคิดว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เขาขาดไม่ได้ ความรู้สึกนั้นจะค่อยๆก่อตัวขึ้นภายในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว เพียงเท่านี้เปอร์เซ็นต์ความรักของคุณก็จะเพิ่มขึ้นแล้ว’



    ‘ก๊อก ก๊อก’



    เสียงเคาประตูดังขัดจังหวะเบาๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เจสะดุ้งขึ้น เขารีบปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ทันที ทั้งๆที่ยังคิดถึงคำพูดในหนังสืออยู่



    “ขอโทษค่ะ”



    “เข้ามาสิ คุณโส”



    โสรยาหนึ่งในเลขา เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหอบแฟ้มใหญ่มาอีกสองสามแฟ้ม เธอวางแฟ้มลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงเปิดกำหนดนัดหมายประจำวันและอ่านให้เจ้านายหนุ่มฟังตามปกติ



    เจเปิดแฟ้มและหยิบปากกาขึ้นมา อ่านอยู่ครู่หนึ่งก็เซ็นชื่อลงไปง่ายๆ ส่วนเลขาสาวก็ยังอ่านกำหนดการต่างๆไปเรื่อยๆ พอจบก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้านาย



    “มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าค่ะ”



    เจสะดุ้งขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มเจื่อน



    “เอ่อ..ขอโทษทีคุณโส..ช่วยอ่านอีกครั้งได้มั๊ย”



    “ได้ค่ะ..แต่คุณเจไม่เป็นอะไรแน่นะคะ”



    “ครับ..ไม่ได้เป็นอะไร พอดีผมเหม่อไปหน่อย”



    โสรยารู้สึกสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ยอมอ่านกำหนดการใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง



    “ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วครับ” เขาบอก



    เธอจึงปิดออร์กาไนเซอร์ของตนลง และหยิบแฟ้มบนโต๊ะเข้ามาถือไว้เหมือนเดิม แต่พอดีสายตาเหลือบไปเห็นหนังสืออ่านเล่นที่มีชื่อเรื่องตัวโตว่า เคล็ดลับ 108 วิธี พิชิตใจหนุ่ม



    ..หญิงสาวมองหนังสือแล้วก็มองหน้าใสๆของเจ้านายสลับกันไปมา….



    “หนังสือเล่มนั้นของคุณเจหรือค่ะ”



    พอรู้ตัว เจก็หน้าแดงด้วยความอายขึ้นมาทันที รีบคว้าหนังสือเก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะอย่างรวดเร็ว พลางเสหลบสายตาของลูกน้องที่กำลังมองเขาอย่างขำๆ



    “มะ..ไม่ใช่หรอก..ของใครก็ไม่รู้ ผมแค่หยิบเอามาอ่านเล่นน่ะ”



    “อ๋อ..ค่ะ ของคนอื่น”



    โสรยาพยักหน้ารับแบบรู้ทัน เธออมยิ้มนิดๆก่อนจะเดินออกไปแต่ก็นึกอะไรได้บางอย่างพอดี



    “เอ่อ..คุณเจค่ะ คุณภูมิมาขอพบหลายครั้งแล้ว ไม่ทราบว่า…”



    “ผมไม่ให้พบ และอย่าให้เขาบุกเข้ามาในห้องของผมได้อีก”



    เจปฏิเสธเสียงแข็งแบบไม่ต้องคิด จากอารมณ์ดีๆก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าน้องเขยบ้ากามนั่น



    “แต่คุณภูมิบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก แล้วก็โทรเข้ามาทุกวัน วันละสามเวลาเลยค่ะ”



    เขานิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนตอบ “มีอะไรให้เขาทิ้งโน้ตเอาไว้ ผมจะจัดการเอง อ้อ! คุณโส เรื่องคอนโดของผมคุณจัดการให้แล้วหรือยังครับ”



    “จัดการให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”



    “อืมม..ขอบคุณมากครับ คุณออกไปได้แล้วล่ะ”



    โสรยาโค้งให้เจ้านายหนุ่มนิดนึง พอออกมาจากห้องท่านประธานได้ก็วางแฟ้มลงและถอนใจยาว เลขาสองหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเสียงจึงละจากงานของตนหันมาคุยกับหญิงสาวทันที



    “มีอะไรเหรอโส” อนุวัฒน์ถาม



    “จะอาไร้..ก็เรื่องท่านรองนั่นแหละ”



    “ทำไมเหรอ?”



    “คุณเจท่าทางโกรธมากเลย ไม่ให้พบเด็ดขาด ขนาดบอกว่ามีงานสำคัญนะ ยังบอกให้ทิ้งโน้ตไว้แทน”



    ภากรพยักหน้าเห็นด้วย “ก็สมควรแล้วนี่”



    “ก็ใช่..แต่พวกนายก็รู้ว่าท่านรองน่ะร้ายกาจขนาดไหน ขืนบอกว่าคุณเจไม่ให้พบนะ พวกเราแย่แน่ๆ”



    “มีคุณเจอยู่..ท่านรองไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก” เลขาร่างสูงบอก



    “อืม..ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ..ว่าแต่เมื่อกี้ฉันเอางานเข้าไปให้คุณเจ รู้มั๊ยว่าเจออะไร” พูดจบหญิงสาวก็แอบไปหัวเราะคิก



    “อะไรเหรอโส?”



    เลขาหนุ่มอีกคนทำท่าตื่นเต้นอยากรู้ขึ้นมาทันที เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้านายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คมีหรืออนุวัฒน์จะพลาด



    “ฉันเห็นหนังสือเล่มหนึ่งของคุณเจ”



    “อ้าว..ก็แค่หนังสือเอง”



    “หนังสือชื่อเรื่องว่า เคล็ดลับ 108 วิธี พิชิตใจหนุ่ม น่ะสิ”



    “หา!!!”



    สองหนุ่มตะโกนออกมาพร้อมกัน อนุวัฒน์ทำตาโตแบบไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ภากรกลับหัวเราะเสียงดังลั่น



    “คุณเจนี่สุดยอดจริงๆแฮะ”



    “หยุดพูดเลยนะกร โธ่!..คุณเจของฉัน ออกจะเก่งไปซะทุกเรื่อง ดันมาตกม้าตายเอาตอนจบซะได้”



    “ตกม้าตาย?..เรื่องอะไร?” เลขาสาวถามด้วยความสงสัย



    “ก็จีบผู้หญิงน่ะสิ” อนุวัฒน์ตอบเศร้าๆ



    “ไม่ใช่ๆ จีบผู้ชายต่างหาก” ภากรแก้ให้



    “แงๆ คุณเจของฉัน!..ตอนนี้กลายเป็นโรคดวงเมืองลิซึ่มขึ้นสมองไปซะแล้วอ่ะ”



    แล้วเลขาหนุ่มหน้าสวยก็ทำตาเหม่อลอย หลุดโลกไปแล้ว โสรยาหันไปแอบขำ ส่วนร่างสูงก็ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ



    “งั้นก็โรคเดียวกับนายน่ะสิ”



    “อา-ราย” อนุวัฒน์หันมาถาม



    “อ้าว..นายก็เป็นโรคคุณเจลิซึ่มขึ้นสมองเหมือนกันไง”



    พอภากรพูดจบ โสรยาก็กลั้นหัวเราะไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาจนได้ ทำเอาอนุวัฒน์หน้าบึ้งไปทันที



    “เฮอะ!..มันเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนายนี่”



    “เกี่ยวสิ” ภากรทำตาเจ้าเล่ห์ใส่



    “ตรงไหนไม่ทราบ”



    “พอดีฉันก็เป็นโรคอนุวัฒน์ลิซึ่มขึ้นสมองเหมือนกัน ยิ่งช่วงนี้อาการชักกำเริบบ่อยๆด้วย”



    “ไอ้!..ไอ้บ้า!!..พูดอะไรของนายเนี่ย!”



    อนุวัฒน์หน้าแดงเรื่อ ซึ่งไม่รู้ว่าแดงเพราะความโกรธหรือเพราะอาย



    “ก็พูดเรื่องจริงนี่..ฉันเป็นโรคนี้มานานแล้วนะ แต่คนที่เป็นสาเหตุของโรคดันไม่รู้ตัว ทึ่มชะมัด”



    “นายว่าฉันทึ่มเหรอ!!”



    “ฉันยังไม่ได้พูดซักคำ”



    นั่น..ดันพูดเข้าตัวเองซะนี่ อนุวัฒน์อึ้งไปเพราะเถียงไม่ทัน ภากรจึงยิ้มเยาะแบบผู้ชนะ



    “เลิกพูดเลย ฟังแล้วขนลุก อย่ามาเข้าใกล้ฉันนะ ไป๊..ชิ้วๆ”



    พอพูดจบ อนุวัฒน์ก็รีบหนีออกจากวงสนทนา กลับไปนั่งประจำที่และแกล้งหยิบนู้นจับนี่บนโต๊ะของตน ทำเหมือนไม่มีอะไร ทว่ามักแอบเหลือบมองร่างสูงอยู่เป็นระยะๆ แต่ทั้งสองคนก็รู้ว่าอาการแบบนี้ของเพื่อนสนิทน่ะ กำลังเขินอยู่ชัดๆ



    ภากรส่ายศีรษะแบบเอือมระอา พอเขารุกไปเมื่อไหร่อีกฝ่ายก็ทำท่าไม่รู้เรื่อง จะหนีลูกเดียว



    “เอาน่า..ให้เวลาเขาหน่อย ฉันว่านายเองก็น่าจะพูดจริงจังกับวัฒน์ไปเลยนะ เล่นๆแบบนี้เขาก็คงคิดว่านายล้อเล่นนั่นแหละ” โสรยาปลอบเพื่อน



    “ฉันรู้..ขอบใจมากที่เตือน” ภากรส่งยิ้มฝืดๆตอบ



    “ช่วงนี้คุณเจเองก็เหม่อลอยบ่อยมากเลย ฉันพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟังนะ ไม่รู้มีเรื่องอะไรกับคนที่ชื่อดวงเมืองหรือเปล่า”



    “ไม่หรอกมั้ง”



    “แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”



    พอฟังแบบนี้แล้วแล้ว ภากรก็นิ่งคิดไป เพราะช่วงนี้เขาก็สังเกตเห็นอาการหลุดๆของเจ้านายตนเหมือนกัน



    “ฉันเองก็อยากจะไปแอบดูคนที่ทำให้เจ้านายเราเป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน ไว้พรุ่งนี้แวะไปที่คลับด้วยกันไหมล่ะ” เขาเอ่ยชวน



    โสรยาพยักหน้าตกลงทันที เมื่อนัดเวลาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็แยกย้ายกลับไปทำงานของตนตามเดิม ….



    +++++++++++++++++++









    เมื่อเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขหก และเข็มยาวชี้ที่เลขสิบสองแสดงเวลาหกโมงเย็น เจก็กระเด้งตัวจากโต๊ะทำงานทันที เขารีบวิ่งเข้าห้องพักส่วนตัวด้านข้าง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อย่างเร็วที่สุดในชีวิต แล้วไม่นานนัก..ร่างโปร่งก็ดูหล่อเหลาและสะอาดสอ้านในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คดำเรียบร้อยเหมือนเดิม



    “เอาล่ะ..พร้อมแล้ว ข้อหนึ่งต้องให้ประทับใจ..ผ่าน ข้อสอง..สร้างความคุ้นเคย..โอเค ข้อสาม..อย่าแสดงให้โจ่งแจ้งเกินไป..ได้ๆ”



    เจคุยกับตัวเองในกระจก สำรวจความเรียบร้อยเสร็จแล้วก็รีบคว้ากุญแจรถแล้วออกจากตึกไปในทันที



    เมื่อมาถึงคลับก็เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว เขาจึงรีบเดินเข้าคลับไปด้วยความคุ้นเคย พนักงานส่วนใหญ่พอเห็นก็เอ่ยทักทายด้วยความสนิทสนม ก็เพราะลูกค้าสุดหล่อคนนี้มานั่งที่นี่ทุกวัน นั่งประจำที่เดิมทุกครั้ง และยังสั่งกาแฟดำเครื่องดื่มประจำไม่เคยเปลี่ยน



    “อ้าว..คุณเจ..วันนี้มาเร็วนะครับ”



    เอก..บริกรหนุ่มรีบเดินเข้าไปทักทาย แล้วเชื้อเชิญไปนั่งที่ประจำ นั่นก็คือโต๊ะเล็กๆชิดผนังที่มีภาพวาดในกรอบไม้สลักสุดสวยประดับอยู่ ซึ่งเจมักจะเผลอมองนานๆทุกครั้งที่มา



    “รับเหมือนเดิมนะครับ”



    เจยิ้มตอบพร้อมกับรับคำเบาๆ



    เอกจึงเดินกลับเข้าไปหลังคลับ สั่งออเดอร์ด้วยตนเอง เสร็จแล้วก็วิ่งวุ่นออกมาต้อนรับลูกค้าคนอื่นๆต่อ ซักพักจึงวิ่งกลับเข้าไปใหม่พร้อมกับกาแฟดำร้อนๆ เขาเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ส่งยิ้มให้แล้วก็เดินกลับไปอย่างรวดเร็ว



    เจมองร่างอันคล่องแคล่วของบริกรหนุ่มที่เดินไปเดินมาจนรอบคลับแล้วก็รู้สึกเหนื่อยแทน และเมื่อมองไปรอบๆก็เห็นว่าวันนี้มีลูกค้าเยอะเป็นพิเศษจนที่นั่งเต็มหมด แต่พนักงานในร้านที่คอยต้อนรับกลับมีอยู่น้อยกว่าทุกที



    “อ้อ..ใช่..วันนี้วันศุกร์นี่..”



    เขาเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ของการทำงานของคนปกติ ซึ่งการทำงาน (อันไม่ค่อยจะปกติ) ของเขามักจะไม่ค่อยมีวันหยุด เพราะว่าต้องทำงานทุกวันเลยไม่ค่อยใส่ใจ



    นั่งจิบกาแฟอย่างอารมณ์ดี สายตาก็คอยมองหาร่างสูงไปเรื่อยๆ มองที่เค้าท์เตอร์ก็แล้ว เหล่ไปแถวโต๊ะวีไอพีก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เลยเริ่มทำใจว่าดวงเมืองคงกำลังรับลูกค้าคนสำคัญอยู่ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ



    “อุ๊ย!..คุณเจ!! มานานแล้วหรือคะ”



    เสียงของแก้วนั่นเอง เธอเพิ่งจะเสิร์ฟไวน์แดงสุดหรูให้กับลูกค้าผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง และเดินผ่านโต๊ะของเจพอดี รอยยิ้มกว้างพร้อมลักยิ้มดูน่ารัก พลอยทำให้ชายหนุ่มยิ้มตาม



    “เพิ่งมาเมื่อกี้เองแก้ว..ยุ่งอยู่หรือเปล่าล่ะ”



    “ตอนนี้ไม่ค่ะ แต่เดี๋ยวดึกกว่านี้คงยุ่งมากแน่ๆเลย”



    “อ้าว..ทำไมล่ะ” เจถาม



    “ก็วันนี้มีลูกค้าเยอะ แต่พนักงานเหลือน้อยค่ะ มีคนนึงลาออกไป ส่วนอีกสองคนลาหยุด..นี่แก้วกับพี่เอกก็วิ่งวุ่นกันตั้งแต่เย็นเลยนะคะ”



    “งั้นเหรอ..แล้วเมืองเขาไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาช่วยดู”



    “คุณเมืองถูกคุณก้องเรียกออกไปคุยข้างนอกค่ะ”



    “คุณก้องเหรอ?”



    “พี่ชายคุณเมืองน่ะค่ะ อุ๊ย!..ขอโทษนะคะคุณเจ พี่เอกเรียกหนูแล้ว”



    เจพยักหน้าบอกไม่เป็นไร บริกรสาวจึงรีบวิ่งไปที่หลังคลับเพื่อรับออเดอร์ต่อทันที มองดูก็รู้สึกว่าจะยุ่งจริงๆ



    ข้อหนึ่งต้องสร้างความประทับใจ

    ข้อสองต้องสร้างความคุ้นเคย

    ข้อสามอย่าให้โจ่งแจ้งเกินไป เริ่มจากความเป็นเพื่อนก่อน



    ..ข้อความในหนังสือลอยเข้ามาในห้วงความคิด นึกไปนึกมาก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา…



    เขารีบดื่มกาแฟของตนจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าไปหลังคลับ เห็นเอกกำลังสั่งลูกน้องสองสามคนให้เตรียมต้อนรับลูกค้ารอบดึก ส่วนเจ้าตัวก็วิ่งไปรับออเดอร์ทีแล้วก็วิ่งไปยกลังเบียร์



    เจยืนมองดูการทำงานของบริกรหนุ่มอยู่สักพัก ก็ตกลงใจอะไรบางอย่างทันที..



    “อ้าว..คุณเจ..มาทำอะไรในนี้ครับเนี่ย”



    เอกถามเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นร่างโปร่ง ที่จริงๆยืนมองตนอยู่นานแล้ว



    “ผมอยากช่วยน่ะ งานยุ่งมากใช่ไหมครับ”



    บริกรหนุ่มยืนอึ้ง พอคิดได้ก็ส่ายหน้าหัวสั่นหัวคลอน



    “โอ๊ย!..ไม่ได้ครับไม่ได้ คุณเป็นลูกค้านะ ถ้าคุณเมืองรู้เข้าล่ะก็เอาผมตายแน่เลย”



    “โธ่..ก็อย่าบอกเขาสิครับ..ผมอยากช่วยจริงๆนะ”



    “ยังไงก็ไม่ได้ครับ คุณเจออกไปเถอะ”



    “น่าเอก..ให้ผมช่วยเถอะ ทุกอย่างผมรับผิดชอบเอง นะ..”



    เจพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องแบบไม่สนใจคำห้ามของอีกฝ่าย มองซ้ายมองขวาทีหนึ่งก็เจอเสื้อสูทสำหรับพนักงานพอดี เขาหยิบเอาใส่แบบง่ายๆ (พอดีแต่งตัวเรียบร้อยอยู่แล้ว)



    “เอาล่ะ..ให้ผมช่วยอะไรดี”



    แล้วรอยยิ้มธุรกิจที่สุดแสนจะอ่อนหวานก็เผยขึ้นอย่างจริงจัง ทำเอาเอกตัวชานิ่งและเผลอรับคำไปโดยไม่รู้ตัว



    “งะ..งั้น คุณเจไปต้อนรับลูกค้าเป็นเพื่อนผมแล้วกันครับ”



    เอกบอกแล้วส่ายหน้าแบบปลงๆ ส่วนเจก็พยักหน้ารับด้วยความพอใจ แล้วเดินตามบริกรหนุ่มไปในทันที…



    +++++++++++++++



    ในช่วงดึก บริเวณถนนใหญ่ด้านหน้าคลับ..



    บรรดาผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา อดที่จะเหลียวมองมายังหน้าประตูคลับแห่งนี้ไม่ได้ นั่นก็เพราะพนักงานต้อนรับรูปงามสองคนที่ยืนเคียงกันเป็นที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามามากมาย หนึ่งนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวสะอาดสดใส หน้าตาดีคล้ายดาราวัยรุ่น และที่เด่นสะดุดตาที่สุดก็คือรอยยิ้มสวยที่เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ส่วนอีกคนก็มีรูปร่างสูงพอๆกัน แต่ผิวออกคล้ำกว่าคนข้างๆนิดหน่อย มีนัยน์ตากลมโตสีเข้ม จมูกโด่งเรียว และริมฝีปากบาง แต่ไม่ค่อยยิ้มมากนัก เลยดูดุไปนิด



    “คุณเจครับ..ไม่ต้องยิ้มค้างแบบนั้นก็ได้ ลูกค้ามีเต็มคลับแล้วนะครับ”



    เอกกระซิบเบาๆ ก็ตั้งแต่เจมายืนอยู่หน้าคลับ ก็เอาแต่ยิ้มตลอด ลูกค้าทั้งขาเก่าขาใหม่พากันต่อคิวเข้าคลับแทบจะแย่งกัน



    “เต็มคลับแล้วเราก็ต้องยิ้มนะ เขาเรียกว่าบริการพิเศษเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าไง”



    “แล้วไม่เมื่อยเหรอครับ”



    “ไม่หรอก ยิ้มจนชินแล้วล่ะ งานของฉันบางทีก็ต้องยืนยิ้มแบบนี้เกือบครึ่งวัน”



    “โห!..จริงเหรอครับเนี่ย”



    “อืม..จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องยิ้ม เพื่อธุรกิจ”



    แล้วเจก็หันไปยิ้มต่อ เอกแอบมองด้วยความรู้สึกทึ่งสุดๆ ชักสงสัยเหมือนกันว่าคนข้างๆทำงานอะไร



    “นี่ก็ดึกแล้ว ผมว่าเรากลับเข้าไปช่วยข้างในดีกว่าครับ”



    บริกรหนุ่มบอก ยังไม่ทันรอคำตอบของอีกฝ่ายก็รีบดึงร่างโปร่งเข้าคลับทันที ก็ถ้าขืนปล่อยให้ยิ้มอยู่มีหวังลูกค้าล้นคลับแน่ๆ แต่พอเข้ามาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาคิดผิดนิดๆ เพราะสายตาแทบทุกคู่ทั้งหญิงและชายจ้องมองพนักงาน (จำเป็น) คนใหม่ไม่วางตา



    “คุณเจช่วยไปรับออเดอร์ที่โต๊ะ 22 ทีนะครับ เดี๋ยวผมจะไปรับออเดอร์โต๊ะนู้น เสร็จแล้วก็เอาออเดอร์ไปให้ที่หลังคลับนะครับ”



    เจพยักหน้าเข้าใจ ก็เขามาเป็นลูกค้าที่คลับทุกวัน บางครั้งเมืองไม่เข้ามาเขาก็นั่งจุมปุ้กไม่ได้ไปไหนตลอดคืน ไม่มีอะไรทำก็มองพวกพนักงาน เรื่องแค่นี้สบายมาก…



    ร่างโปร่งเดินตัวปลิวไปยังโต๊ะหมายเลข 22 ที่โต๊ะนั้นมีหญิงสาวท่าทางมีฐานะนั่งอยู่สองคน ซึ่งทั้งสองก็จับจ้องบริกรมือใหม่ตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว



    “จะรับอะไรดีครับ คุณผู้หญิง” เจถาม ในมือมีปากกาและสมุดออเดอร์พร้อม



    หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันไปมา คนหนึ่งหันมองเจแบบพินิจพิจารณา แววตามีความสงสัย “เอ่อ..ขอโทษนะ คุณเป็นพนักงานที่คลับนี้เหรอ” อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม



    “ครับ..ผมเพิ่งเข้ามาใหม่ พวกคุณมีอะไรสงสัยหรือเปล่าครับ”



    “ก็นิดหน่อย..คือ..มีใครเคยบอกหรือเปล่าว่าคุณหน้าตาเหมือนนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่งน่ะ”



    “คุณหมายถึง…”



    “เจตรา อนันตราช”



    สองสาวพูดขึ้นพร้อมกัน ทำเอาลูกค้าภายในร้านที่กำลังแอบเงี่ยหูฟังสะดุ้งตามๆกันเป็นแถว เจยืนอึ้งไปครู่ แล้วก็รีบแจกรอยยิ้มธุรกิจกลบเกลื่อนไป



    “ก็มีคนบอกบ่อยๆครับว่าเหมือนมาก แต่พวกคุณคงไม่คิดว่าผมคือคุณเจตราอะไรนั่นหรอกใช่ไหม” แล้วก็แกล้งหยิบสมุดออเดอร์พร้อมปากกาขึ้นมา “จะดื่มอะไรดีครับ”



    สองสาวพอได้ยินก็มีท่าทีผ่อนคลายลง แม้จะติดใจบริกรสุดหล่อคนนี้อยู่บ้างแต่ก็ยอมหันไปเลือกเครื่องดื่มจากเมนูโดยดี เจจึงถอนใจด้วยความโล่งอก



    หลังจากนั้น ก็มีรับออเดอร์ของลูกค้าอีกหลายคน ซึ่งหลายครั้งที่จะถูกลูกค้าไฮโซถามเกี่ยวกับเรื่องหน้าตาที่ดันไปเหมือนตัวเองหรือก็คือเหมือนเจตรา อนันตราช นักธุรกิจชื่อดัง แต่พอปฏิเสธเสียงแข็งไปก็หาว่าโกหกซะนี่ (ก็โกหกจริงๆอ่ะแหละ)



    เจชักเริ่มรำคาญจึงเปลี่ยนจากรับออเดอร์เป็นเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารแทน เพราะน้อยครั้งที่ลูกค้าจะมองหน้าคนเสิร์ฟ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดคือไม่ค่อยมีใครสนใจเขาอีก แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาก็คือ งานเสิร์ฟช่างเป็นงานที่หนักอะไรแบบนี้ หนักทั้งกายหนักทั้งใจ เจเพิ่งรู้เพราะตอนนี้ประสบกับตัวเองแล้ว



    “โครม!!..เพล้ง!!”



    นั่น!!. แก้วใบที่สองที่เขาทำแตกแล้ว เจรีบวางถาดลงแล้วเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายกับพื้นทันที ด้วยความรีบร้อนและไม่ระวัง เศษแก้วที่ทั้งคมทั้งแหลมจึงบาดที่มือขวาของเขาเป็นแผลยาว เขาสะดุ้งและร้องครางเบาๆ แล้วรีบเอามือที่เปื้อนเลือดเช็ดกับเสื้ออย่างลวกๆ เพราะตอนนี้สายตาของคนเกือบทั้งคลับหันมาตนเป็นจุดเดียว



    “ตายแล้ว!!..คุณเจ!! ”



    แก้วรีบเข้ามาช่วยทันที ด้วยความชำนาญจึงเคลียร์พื้นที่เสร็จอย่างรวดเร็ว



    “ขอบใจมากเลย แล้วก็ขอโทษนะที่ทำแก้วแตก ฉันนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ” เจบอกหน้าเศร้า



    “โธ่..อย่าคิดมากเลยค่ะ ของแบบนี้มันต้องฝึก คุณเจทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว มาค่ะเลือดไหลเยอะเชียว ไปทำแผลก่อนนะคะ”



    แก้วเข้าประคองร่างโปร่งกลับเข้าไปหลังคลับ หลังจากทำแผลและเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว เจก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำงานอีก เขาจึงนั่งเท้าคางมองพนักงานคนนู้นทีคนนี้ที บางคนเห็นเขามองก็ยิ้มให้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง นาฬิกาข้อมือก็ส่งเสียงดังบอกเวลาเที่ยงคืนตรง



    ตอนนี้ลูกค้าภายในคลับเหลืออยู่บางตาแล้ว เอกกับแก้วจึงพอมีเวลาเข้ามานั่งพักในห้องพักพนักงานหลังคลับ เอกยังไม่ลืมถือกาแฟดำอันหอมกรุ่นมาอีกแก้วหนึ่ง



    “นี่ครับคุณเจ..”



    บริกรหนุ่มยื่นกาแฟให้ เจรับไว้ด้วยความยินดี ส่วนแก้วนั่งลงข้างๆ รีบจับมือเรียวที่มีผ้าพันแผลขาวสะอาดพันอยู่รอบขึ้นมายกดู



    “เป็นไงบ้างค่ะ เจ็บมือมากมั๊ย”



    “รู้สึกจะบวมนิดๆ กลับบ้านแล้วอย่าลืมกินยาแก้ปวดแก้ไข้กันไว้ก่อนนะคะ”



    “ขอบใจมาก แต่แผลแค่นี้เองไม่เป็นไรมากหรอก ยังไงก็ต้องขอโทษทั้งสองคนด้วยที่ฉันทำความเดือดร้อนให้ จะคิดค่าเสียหายก็ได้นะ ฉันยินดีจ่ายให้” เจบอก



    “อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ คุณเจอุตส่าห์มาช่วย”



    “นั่นสิครับ..อ้อ..คุณเมืองกลับเข้ามาแล้วนะครับ แต่ท่าทางอารมณ์จะไม่ดีเอามากๆ ยังสั่งให้ผมเอาเหล้าไปให้ด้วยเลย”



    พอได้ยินเอกบอกแบบนั้น เจก็ชักเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ดวงเมืองถึงต้องเรียกหาเหล้าแบบนี้ ทั้งๆที่ปกติก็ออกจะเป็นคนเคร่งขรึมใจเย็น



    “ถ้างั้นให้ผมเอาไปให้นะ ผมอยากพบเขาหน่อย”



    เอกลังเล แต่ก็ยอมยกถาดเหล้ามาให้ พลางบุ้ยปากไปที่ห้องพักส่วนตัวของเจ้าของคลับ เจจึงสูดลมหายใจลึกๆ มือซ้ายยกถาดขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องนั้นทันที เขาเคาะประตูเบาๆ ได้ยินเสียงตอบของผู้เป็นเจ้าของดังมาจากในห้อง จึงเปิดประตูเข้าไปแบบกลัวๆกล้าๆ



    ภายในห้องเปิดไฟเพียงสลัวๆเท่านั้น เห็นร่างสูงในชุดสูทสีเข้มกำลังยืนทอดสายตาอยู่ริมหน้าต่าง นัยน์ตาคมเหม่อมองออกไปภายนอกท่าทางครุ่นคิด



    เจแอบมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยวางถาดเหล้าลงบนโต๊ะ



    “ขอบใจมาก ออกไปได้แล้ว”



    ดวงเมืองพูดทั้งๆที่ยังไม่ได้หันมามอง



    “มีอะไรกลุ้มใจเหรอ ทำไมต้องกินเหล้าด้วย”



    พอได้ยินเสียง ชายหนุ่มก็หันขวับทันที พบว่าคนที่ยกเหล้ามาให้ตนไม่ใช่ลูกน้องคนสนิท อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วเลยพาลไม่ดีหนักขึ้นไปกว่าเดิม



    “ทำไมเอกไม่เอามาให้ผมเอง แล้วนี่คุณ..ทำไมแต่งตัวแบบนี้!”



    “เอกเขางานยุ่ง แล้ววันนี้ที่คลับก็มีลูกค้าเยอะมาก ผมเลยอาสาช่วยงาน” เจพูดพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม แล้วรีบซ่อนมือที่พันผ้าพันแผลไว้ข้างตัวทันที “ว่าแต่ยังไม่ตอบผมเลยนะ มีอะไรกลุ้มใจขนาดนี้”



    ดวงเมืองหยิบขวดเหล้าขึ้นมาแล้วเทลงแก้ว หมุนเล่นไปมาสองสามครั้งก่อนจะยกดื่มอย่างรวดเร็ว



    “ไม่ใช่เรื่องของคุณนี่” เขาตอบเสียงเรียบ



    “แต่เหล้าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา จะดื่มไปทำไม”



    “นั่นสิ..จะดื่มไปทำไม!!!”



    ดวงเมืองขว้างแก้วเหล้าเฉียดหน้าเจไปแบบหวุดหวิด แก้วเหล้าตกกระทบพื้นแตกกระจาย กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย



    “โมโหมากเหรอที่ผมถามเรื่องส่วนตัว” เจถามต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่ในแววตายังคงทอประกายความห่วงใยลึกซึ้ง



    ดวงเมืองเสหลบทันที “คุณกลับไปเถอะ วันนี้ผมอารมณ์ไม่ดี!”



    “เป็นแบบนี้จะให้ผมกลับไปได้ยังไง ผมเป็นห่วงคุณนะ..เมือง..”



    “ผมบอกให้กลับไปไง!!”



    ชายหนุ่มตะคอกใส่เจเสียงดังลั่น นัยน์ตากลายเป็นแข็งกร้าว! แฝงความโกรธเกรี้ยว!! แต่เจก็ยังคงนั่งนิ่งไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน



    “พี่ชายคุณมาพูดอะไรถึงได้โกรธขนาดนี้”



    “คุณไม่ต้องมายุ่ง!..ออกไปจากห้องของผม! ก่อนที่ผมจะหมดความอดทนกับคุณ!!”



    ถึงชายหนุ่มจะมีท่าทางน่ากลัวขนาดไหน ร่างโปร่งก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ตามคำสั่ง นัยน์ตาคู่สวยจ้องมองกลับแบบไม่กลัว



    “ขอโทษนะ ผมไม่ได้เป็นพนักงานของคุณ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง”



    สติของดวงเมืองขาดผึงลงทันทีที่ได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย! เขาตรงรี่เข้ามากระชากร่างโปร่งให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรุนแรง! ทำให้เจเซถลาไปตามแรงกระชากจนล้มลงบนพื้น!!



    “ออกไป!!”



    ดวงเมืองตะคอกใส่เสียงดังลั่นอีกครั้ง แล้วหันหลังกลับคว้าขวดเหล้าที่เปิดทิ้งไว้ยกขึ้นกรอกเข้าปากตัวเองจนเกือบหมดขวด ทำท่าเย็นชาไม่สนใจคนที่ล้มอยู่อีกเลย



    เจลุกขึ้นยืนช้าๆ สั่นศีรษะเบาๆ แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม



    “กินพอหรือยัง ถ้าพอแล้วก็หันมาคุยกันให้รู้เรื่อง”



    ดวงเมืองชะงักค้าง พร้อมกับเหลียวหน้ามองด้วยความโกรธสุดขีด!!



    ความเมาทำให้ชายหนุ่มเริ่มขาดสติบวกกับความโกรธอันรุนแรง ทำให้ไม่อาจจะยับยั้งชั่งใจได้อีก เขาขว้างขวดเหล้าที่ว่างเปล่าใส่ร่างโปร่งเพื่อระบายอารมณ์ แต่ร่างนั้นก็รู้ทัน รีบเบี่ยงตัวหลบไปได้แบบหวุดหวิด!!



    “ถ้าคุณยังไม่ออกไป ผมจะฆ่าคุณ!!”



    เจรู้ว่าดวงเมืองไม่ได้พูดเล่น ชายหนุ่มทำจริงๆแน่ แต่จะให้ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนี้เขาก็ทำไม่ได้



    …เอาวะ..ตายเป็นตาย..เพื่อคุณนะเมือง..ผมยอมตายจริงๆ….



    เจวิ่งเข้าไปหาร่างสูงพร้อมกับกอดเอาไว้แน่น ดวงเมืองยืนให้กอดเหมือนไม่รับรู้แล้ว สักพักชายหนุ่มจึงพยายามผลักร่างของเจออกไป ทั้งดึงทั้งกระชากแขน เจได้แต่กัดฟันทนความเจ็บปวดเอาไว้



    “ระงับอารมณ์หน่อยเมือง คุณยังมีผมนะ ผมช่วยคุณได้”



    ดวงเมืองยังพยายามกระชากร่างที่กอดรัดเขาไว้ พอไม่ได้ผลก็เริ่มชกแรงๆ



    “อย่ามายุ่ง!! ออกไป!!!”



    “..โอ๊ย!!”



    เจครางด้วยความเจ็บเมื่อดวงเมืองชกเข้าที่สีข้างอย่างรุนแรง ร่างโปร่งเริ่มทรุดลงแต่ก็พาเอาร่างสูงล้มลงมาด้วย มือเรียวยังเกาะแน่นอยู่ที่ลำตัวของอีกฝ่าย



    “คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีกเลย ผมเป็นห่วงคุณนะ..เป็นห่วงคุณมาก!!”



    ‘คุณจะฆ่าฉันก็ได้ แต่อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้ ฉันเป็นห่วงคุณมากนะ..เมือง’



    คำพูดเดียวกันนี้กำลังดังก้องอยู่ในสมองของชายหนุ่ม ดังก้องไปมาจนรู้สึกหูอื้อตาลาย ใช่แล้ว..คำพูดนี้เมื่อนานมาแล้วเขาเคยได้ยินจากผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เขารักที่สุด!



    ..ใบหน้าอันสวยงามที่แสนคุ้นเคยตอนนี้กำลังซ้อนทับกับใครคนหนึ่งที่กำลังกอดเขาอยู่…



    “สาวิตรี…!!!”



    ชื่อนั้นหลุดออกมาเบาๆ แล้วอ้อมแขนแข็งแรงก็หยุดผลักไสกลับมากอดรัดตอบอย่างแนบแน่น ใบหน้าคมที่แฝงความอิดโรยอ่อนล้าค่อยๆซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย จมูกเริ่มซุกไซ้ไปที่ลำคอขาวด้วยความลืมตัว



    “เมือง..เมือง!!”



    เจเรียกเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ริมฝีปากของตนก็ถูกประกบจูบไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว



    “อึ๊!..อื้อ!!”



    รสจูบที่แสนอ่อนหวาน อ่อนโยน ผิดกับท่าทางที่กราดเกรี้ยวเมื่อครู่ลิบลับ มือแข็งประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน ลิ้นเรียวตวัดรุกไล่เกี่ยวพันไม่ยอมปล่อย ลิ้มรสความหอมหวานจากริมฝีปากนุ่มจนเต็มอิ่ม



    เจส่งเสียงครางเบาๆในลำคอ มือไม้อ่อนระทวย นัยน์ตาหลับพริ้ม รู้สึกโลกหมุนเหมือนกำลังจะเป็นลม จนกระทั่งริมฝีปากของร่างสูงถอนออกไป เขาจึงหอบหายใจหนักๆอย่างหมดแรง



    “ผมรักคุณ”



    นัยน์ตาคมที่ดูดุน่ากลัว ตอนนี้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความหวานซึ้งอ่อนโยน เจมองตอบด้วยสายตาแบบเดียวกัน แล้วใบหน้าคมเข้มนั้นก็ค่อยๆลดต่ำลงมาเพื่อลิ้มรสจุมพิตอันแสนหอมหวานอีกครั้ง



    +++++++++++++++ TBC จ้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×