ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เศร้า
Past way ตอนที่ 3
ใกล้จะถึงวันงานโรงเรียนประจำปีแล้ว  ทั้งปีสองปีสามต่างก็ยุ่งวุ่นวายจนไม่เป็นอันเรียน  แต่ปีสองดูจะงานหนักมากกว่าเพราะกิจกรรมหลักนั้นมากกว่าของปีสามเกือบเท่าตัว  หนึ่งในกิจกรรมสำคัญก็คือการแสดงละคร  แน่นอนว่าตัวเอกของเรื่องนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านประธานชั้นปี  คุณเรียวสุเกะ  (ใช้อำนาจในทางมิชอบนิดหน่อย)  ส่วนคาโอรุน่ะเหรอ  เหมาะมากก..ที่จะรับบท ก้อนหิน
“เอาล่ะ..งานละครคราวนี้จะต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด  เพราะฉันจะเชิญแขกคนสำคัญมาดูด้วย  ถ้าใครทำอะไรให้ฉันขายหน้าล่ะก็..คงรู้นะว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น”
ทั้งชั้นปีเงียบสนิท  หน้าซีดกันเป็นแถว 
“เลิกประชุม”
    แล้วนักเรียนชั้นปีสองก็สลายตัวรีบไปปั่นงานของตนอย่างรวดเร็ว  คาโอรุจึงเดินกลับเข้าตึกเรียนแบบเซ็งๆ 
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ คาโอรุ”  ริวอิจิเพื่อนสนิทเอ่ยทัก
“ไม่มีอะไรหรอก  เซ็งกับกิจกรรมคราวนี้น่ะ”
“อ๋อ..ไอ้ละครบ้าๆของเรียวสุเกะล่ะสิ”
“อืม..แล้วนายล่ะ  เล่นเป็นอะไรเหรอ” 
ริวอิจิทำหน้าเบ้  “ต้นไม้”
พอได้ยินคาโอรุก็พยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็แอบหลุดขำออกมาจนได้ 
“ก็เหมาะนี่  แต่น่าแปลกนะ..ระดับคนดังอย่างนายทำไมได้เล่นเป็นต้นไม้ล่ะ”
“นายก็รู้..ไอ้เรียวมันเกลียดฉันจะตาย  อีกอย่างฉันก็พอใจแล้วกับบทต้นไม้น่ะ”
“ขอโทษนะ  เพราะนายมาคบกับฉันแท้ๆ”  คาโอรุหน้าเศร้าลงทันที
“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก  ฉันจะเลือกคบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน  เออ.. นี่ก็ใกล้พักกลางวันแล้ว  เราไปกินข้าวด้วยกันนะ  ฉันไม่ได้เห็นหน้านายที่โรงอาหารตั้งหลายวันแล้ว  วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
พอพูดถึงพักกลางวัน  คาโอรุก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันตา  ริวอิจิมองเพื่อนตัวเองงงๆ  ตอนแรกเขาคิดว่าคาโอรุคงจะแอบหนีไปที่ไหนคนเดียวเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินซะอีก  แต่สงสัยจะเดาผิด
“อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าจะไปหาแฟน”
ใบหน้าขาวๆเริ่มแดงขึ้นทันที  ริวอิจิทำตาโตแบบไม่เชื่อสุดๆ
“โห..ใครวะตัดหน้าเราซะได้”
คาโอรุหมั่นไส้เพื่อน เลยตบหลังร่างโปร่งไปแรงๆทีนึง  ทำเอาริวอิจิหลังแอ่น  หน้าบูดด้วยความเจ็บ
“ใครบอกว่าแฟน  เพื่อนใหม่ต่างหาก”
“ได้เพื่อนใหม่ลืมเพื่อนเก่า  ก็แบบนี้แหละนะ คนเรา”
“อย่างอนน่าริว..นายงอนแล้วหน้าตาจะน่ารักนะ”
“ห้ามพูดคำว่า..น่า-รัก  พูดแล้วขนลุกชะมัด”  แล้วคนพูดก็ทำท่าสยองขึ้นมา
คาโอรุหัวเราะ  “นายน่าจะได้เล่นเป็นตัวเอกนะ  หน้าตาดีกว่าเรียวสุเกะตั้งเยอะ”
“ถ้าฉันเป็นตัวเอก นายก็ต้องเป็นด้วยนั่นแหละ  เราสองคนน่ะหล่อหน้าตาดีที่สุดในชั้นปีแล้ว ฮ่าๆ”  เอาเข้าไป  ชมตัวเองเสร็จก็ทำท่าภาคภูมิใจ  “เอาล่ะ..เลิกพูดดีกว่า  แล้วตกลงวันนี้จะไปกินข้าวด้วยกันมั๊ย”
คาโอรุสั่นศีรษะปฏิเสธ  พร้อมรอยยิ้มกว้าง  “ขอบใจนะที่ชวน  แต่ฉันนัดเขาไว้แล้ว”
“ก็ได้ๆ  วันหลังก็แนะนำให้รู้จักบ้างแล้วกัน  งั้นฉันไปก่อนนะ”
ริวอิจิโบกไม้โบกมือลาเพื่อนก่อนจะวิ่งไปโรงอาหาร  คาโอรุจึงรีบเดินกลับเข้าห้อง คว้าไวโอลินของตน แล้วเดินตรงดิ่งไปยังหลังตึกของชั้นปีสามด้วยสีหน้ารื่นเริงเต็มที่  โดยหารู้ไม่ว่าคนที่วิ่งไปแล้วนั้น ดันวิ่งย้อนกลับมา และ แอบตามอยู่ห่างๆ
“ปีสามซะด้วย  แหม..เห็นเงียบๆ ที่ไหนได้ไวไฟชะมัด  แบบนี้ต้อง ตาม..ไป..ดู ฮ่าๆๆๆ”
    จะเป็นใครไปไม่ได้  ก็ริวอิจิเพื่อนตัวดีนั่นเอง
+++++++++++++++++++++
หลังตึกปีสาม  ทุกพักกลางวัน ถ้าใครได้เดินผ่านมาแถวนี้ก็จะได้ยินเสียงของไวโอลินบรรเลงเพลงอันหวานซึ้งขับกล่อมอยู่เป็นประจำ  ที่แท้เสียงจากไวโอลินเหล่านั้นดังมาจากร่างๆหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสีไวโอลินอยู่อย่างมีความสุข  แน่นอนว่าน้อยคนที่จะได้ฟังใกล้ๆ  ข้างๆเขายังมีเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนกำลังนอนหลับตาสบายใจอยู่บนสนามหญ้านุ่มใต้ต้นไม้ใหญ่  คล้ายดื่มด่ำกับเสียงเพลงจนเคลิบเคลิ้ม
“วันนี้เสียงแปลกไปนะ  มีอะไรหรือเปล่า?” 
ทัตสึมิพูดทั้งๆที่หลับตาอยู่  ทำให้เสียงไวโอลินนั้นหยุดชะงักไปทันที
“รู้ด้วยเหรอ” 
“แน่นอนสิ  คิดจะปิดบังท่านทัตสึมิสุดแสนฉลาดคนนี้น่ะเร็วไปร้อยปี” 
พูดจบก็ลืมตาและรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว  นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองอีกฝ่าย รอคำตอบ
คาโอรุส่งยิ้มบาง  มือเรียววางไวโอลินลงข้างตัว  “รู้มานานแล้วว่าเก่ง..” 
คนถูกชมทำท่าภูมิใจ 
“ยังพูดไม่จบเลย  ที่บอกว่าเก่งน่ะ..ชมตัวเองเก่งต่างหาก”
แล้วคนฟังก็หน้าหงิกลงทันที
“โห..เดี๋ยวนี้กล้าพูดแบบนี้แล้วเหรอ..อ๋อ..เจ้ามิเนรุสอนมาล่ะสิ”
“อ้าว..ก็พี่น้องกันนี่นา”
“หนอย..เจ้าเด็กนรก  บังอาจใส่ร้ายฉันเหรอ ..เจอเมื่อไหร่จะอัดซะให้เข็ด” 
คนพูดทำท่าจริงจังมากเพราะบิดมือหักนิ้วประกอบอาการ  คาโอรุหันไปแอบหัวเราะ คู่นี้กัดกันไม่เลิกจริงๆ
“ระวังเถอะ  จะเจอสวนกลับแบบไม่ทันตั้งตัว  รู้จักเจ้าน้องชายจอมป่วนของฉันน้อยไปซะแล้ว”
“พูดแบบนี้เข้าข้างน้องชายตัวเองนี่นา!”
“ก็แน่อยู่แล้ว  น้องทั้งคน”
แล้วคนตัวโตๆก็ทำท่างอนใส่คนตัวเล็กกว่า  คาโอรุยิ้ม..ก็ท่าทางงอนๆแบบนี้เหมือนตอนมิเนรุงอนเขาไม่มีผิดเลยนี่นา  ชักสงสัยแล้วว่าทัตสึมิคงจะเป็นลูกคนเล็กของตระกูลเอซาว่าแน่ๆ
“โกรธเหรอ”
“เปล่า..แค่น้อยใจ  อะไรๆก็น้อง..อะไรๆก็มิเนรุ..ทำไมไม่ อะไรๆก็ทัตสึมิบ้างล่ะ”
“จ้าๆ  จะพยายาม อะไรๆก็ทัตสึมิบ้าง ดีมั๊ย”
คาโอรุยอมง้อแบบนี้แล้วมีหรือทัตสึมิจะไม่ใจอ่อน  เขาพยักหน้ายิ้มหวาน
“แล้วคาโอรุมีเรื่องอะไรหรือเปล่า  สีหน้าไม่ดีเลยนะ”  จากสีหน้าขี้เล่นก็กลับมาจริงจังขึ้นทันที
คาโอรุถอนหายใจยาว  นัยน์ตาเหม่อลอยออกไปยังท้องฟ้ากว้าง  เงียบไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป
“ก็เกี่ยวกับเรื่องงานโรงเรียนน่ะ”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ก็วันนั้นจะมีคนมากมายที่ฉันไม่ค่อยอยากเจอมาที่โรงเรียน”
“คนมากมาย..ใครกัน  บอกฉันได้หรือเปล่า”
“ก็พวกญาติๆน่ะ  ปีนี้ชั้นปีสองจัดแสดงละครด้วย..แถมเรียวสุเกะยังได้เป็นตัวเอก คงแห่กันมาหมดบ้านแน่ๆ”
“แสดงละคร..แล้วคาโอรุแสดงด้วยหรือเปล่า”
“อืม..เป็นก้อนหินน่ะ”
“ก้อนหิน!!”
ทัตสึมิตะโกนลั่นไม่อยากเชื่อ.. พลางสอดส่ายสายตามองอีกฝ่ายไปๆมาๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า  อาไร้..คนหน้าตาดีขนาดนี้ให้แสดงเป็นก้อนหินซะได้
    “อืม”  คาโอรุทำหน้าเศร้า
    “ขอเปลี่ยนบทไม่ได้เหรอ”
    “ไม่ล่ะ..เรียวสุเกะไม่ยอมแน่ๆ  อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเล่นนักหรอกเพราะเล่นไปก็ไม่มีใครไปดูฉันอยู่แล้ว”
“ฉันจะไปดู..แน่นอน”
“ไม่ต้องไปหรอกทัตสึมิ..เล่นเป็นก้อนหินเอง”
“ไม่..ฉันจะไป..ไปดูนายโดยเฉพาะเลย  เล่นเป็นก้อนหินฉันก็จะไปดูก้อนหิน”
ทัตสึมิทำท่าจริงจังกับคำพูดซะจนคาโอรุแอบดีใจอยู่ลึกๆ
“ขอบใจนะ”
“เรื่องแค่นี้เอง..ทำไมต้องขอบใจด้วยล่ะ”  แล้วคนพูดก็ล้มตัวลงนอนแผ่  “เฮ้อ!!..พูดถึงงานโรงเรียนแล้วก็เหนื่อยชะมัดเลย  งานเสร็จเมื่อไหร่  ไปเที่ยวบ้านฉันซักสองสามวันนะ..แค่สองคน”  แอบส่งสายตาหวานแกมอ้อนวอนให้อีกฝ่าย
“ไม่ได้หรอก..มิเนรุจะอยู่กับใครล่ะ”
“อ๊ากส์..ห้ามเอาเจ้าเด็กนรกนั่นมาขัดขวางความสุขเด็ดขาดเลย”  ทัตสึมิกุมขมับขึ้นมาทันที
“มิเนรุยังเด็กนะ  ถึงฉลาดแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี  ฉันไม่กล้าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวหรอก”
“เอาล่ะ ก็ได้ๆ  พาไปก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”
“จะเอาอะไรล่ะ”
ทัตสึมิทำท่าเจ้าเล่ห์  “ตอนไปเที่ยวที่บ้าน  คาโอรุต้องไปนอนห้องเดียวกับฉันนะ”
“อ้าว..แล้วมิเนรุจะนอนไหน”
“ไม่ต้องห่วง..พ่อแม่ฉันรักเด็ก  เดี๋ยวพอเห็นเจ้าเด็กแสบหน้าตาน่ารักมีหวังถูกลากไปนอนด้วยแน่เลย”
“แล้วงานที่คลับล่ะ”
“มิจังไม่ว่าอะไรหรอก  ลาไปสองสามวันเอง  เดี๋ยวฉันช่วยพูดให้  นะคาโอรุนะ”
คาโอรุนิ่งคิดอยู่พักใหญ่  ใจนึงก็อยากไป แต่อีกใจก็เป็นห่วงนั่นเป็นห่วงนี่  ไหนจะมิเนรุ  ไหนจะงาน ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก
“ไปแค่วันเดียวไม่ได้เหรอ ทัตสึมิ..ฉันไม่อยากลางานนานๆ ขาดรายได้หมด  แล้วไปเที่ยวตั้งหลายวันจะเอาเงินที่ไหนไปล่ะ”
“โธ่..เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องกังวลเลย  ไปบ้านฉันต้องเสียเงินที่ไหนล่ะ  ส่วนเรื่องงาน..หยุดแค่สองสามวันเอง กลับไปค่อยทำชดเชยให้ก็หมดเรื่อง  ฉันยอมเป็นเด็กเสิร์ฟช่วยด้วยอีกแรงนึง  รับรองมิจังไม่ว่าแน่”
“แต่ว่า..”
“เถอะน่าคาโอรุ  มิเนรุต้องอยากไปเที่ยวแน่เลย”
ทัตสึมิใช้มุขสุดท้าย  (คนรักน้องก็แบบเนี้ย) แล้วก็ได้ผลจริงๆเมื่อคาโอรุพยักหน้าตกลงอย่างง่ายดายทำให้นัยน์ตาสีเข้มของคนตื้อนั้นเป็นประกาย (หื่น) ขึ้นมาทันที  แล้วสองหนุ่มก็พูดคุยเรื่องที่จะไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน  โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาหนึ่งแอบมองทั้งสองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“โอ้โห!!..คาโอรุ..กะ..กับ..ประธานทัตสึมิ  ไม่อยากจะเชื่อ!!”
“ปะ..ประธานทัตสึมิหัวเราะเสียงดัง..อ๊ากส์!!..แถมทำท่าขี้เล่นแบบนั้นอีก!!”
“เราตาฝาดหรือเปล่าวะเนี่ย..อึ๊ย..ตาดุๆที่แสนเย็นชานั่น เปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มออดอ้อนด้วย  โอ๊ย!!..คืนนี้ฉันฝันร้ายแน่เลย”
และดูท่าคำบ่นรำพึงอีกมากมายสารพัดจากปากเล็กๆของคนที่แอบดูจะยังไม่หมด  ริวอิจิพูดไปแอบดูเพื่อนตัวเองไปอย่างเมามัน  หารู้ไม่ว่าที่ด้านหลังเขามีเด็กหนุ่มอีกคนยืนเท้าสะเอวพลางส่ายหน้ามองตนอยู่อย่างเอ็นดู
“นี่ๆ”
เคนที่อยู่ด้านหลังริวอิจิสะกิดเรียกเบาๆ  แต่คนถูกสะกิดปัดออกไปอย่างไม่สนใจ 
“ยุ่งน่า..ไปไกลๆเลย”
“นี่..!!”  เคนสะกิดเรียกอีกรอบ
“ชี่ย์..เงียบหน่อยสิวะ ยุ่งจริง!!”
“เฮ้!!..”
“อะไรวะ..คนกำลังแอบดูหนุกๆอยู่แท้ๆ”
ริวอิจิหันกลับมาเพราะกะจะด่าทันที  แต่คงจะหันเร็วไปหน่อยเพราะร่างทั้งร่างของตนปะทะเข้ากับแผ่น อกหนาๆของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ  ส่งผลให้ร่างโปร่งเซถอยหลังทำท่าจะล้ม
“โอ๊ย!!”
แต่ยังไม่ทันล้ม (ดันร้องโอ๊ยไปก่อนแล้ว) เพราะแขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งเอวบางเอาไว้ได้ทัน  ริวอิจิตกใจจนเกือบจะตะโกนร้องแล้ว  แต่มือของอีกฝ่ายปิดปากตนเอาไว้ได้ทัน
“อย่าร้องนะ..ถ้าสองคนนั่นได้ยินล่ะก็  ฉันโดนไอ้ทัตสึมันไล่เตะแน่”
ริวอิจิเบิกตากว้างเหม่อมองอีกฝ่ายนิ่งไป
“ฉันชื่อเคน  เป็นรองประธานปีสาม  คิดว่านายคงรู้จัก..เอาล่ะ..ฉันจะปล่อยนายแล้ว  อย่าร้องนะ..เข้าใจหรือเปล่า”
ริวอิจิพยักหน้าไปแบบไม่รู้ตัว..เคนส่งยิ้มพอใจ แล้วจึงปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ
แต่พอพ้นจากอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นของอีกฝ่าย  ริวอิจิก็รีบหันหลังกลับแล้วเผ่นแน่บทันที  วิ่งหนีเร็วชนิดที่เคนต้องอุทานด้วยความแปลกใจทีเดียว  ..สงสัยเป็นนักกีฬาเหรียญทองวิ่งร้อยเมตรประจำโรงเรียน..
“วิ่งเร็วชะมัด แต่โคตรน่ารักเลย  นอกจากคาโอรุแล้วยังมีคนน่ารักขนาดนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย”
เคนส่ายหน้าพลางอมยิ้ม  เมื่อเห็นร่างที่กำลังวิ่งอยู่เริ่มห่างออกไปแล้ว เขาจึงหันกลับไปแอบดูเพื่อนรักของตนที่กำลังนั่งหวีด (สวีตจ๊ะ..ไม่ใช่โหด หวีด สยอง นะ ^^) อยู่กับร่างบาง  เฮ้อ!! เห็นแล้วก็อิจฉาตาร้อนผ่าว ทำไม๊..ทำไม เราไม่มีแบบไอ้ทัตสึมันมั่งหว่า..คิดไปคิดมา  หน้าขาวๆใสๆของคนที่เพิ่งวิ่งไปก็แว่บเข้ามาทันที  แต่เอ..ทำไมเห็นเราแล้วต้องวิ่งหนีด้วยล่ะ..หน้าตาเราน่ากลัวนักหรือไง..คิดแล้วเซ็ง..
“จะมีความสุขอยู่คนเดียวได้ไงวะ  แบบนี้ต้องแกล้งซักหน่อย”
พอคิดวิธีขัดขวางความสุขของเพื่อนได้แล้ว  เคนก็เดินยิ้มร่าออกมาจากมุมตึก  ตรงดิ่งไปที่สองหนุ่มทันที
“หวัดดี คาโอรุ” 
คาโอรุหันมาเห็นเคนก็เอ่ยทักทายและยิ้มให้ตามปกติ  แต่ทัตสึมิกลับส่งสายตาอาฆาตมาให้เพื่อนของตนแทน  ก็ลองเคนแจกยิ้มเบิกบานแบบนี้  สงสัยหาเรื่องแกล้งตนแน่ ..ไอ้เพื่อนทรยศศศศ!!! .
“ขอโทษนะที่ขัดจังหวะ  พอดีฉันถูกขอร้องให้มาตามประธานไปประชุมน่ะ  ไปได้แล้วไอ้ทัตสึ”
คาโอรุทำหน้างงเต็มที่  ส่วนทัตสึมิที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ทั้งโบกไม้โบกมือ  ขยิบตา  อ้าปากพูดภาษาใบ้ห้าม  แต่เคนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  แกล้งมองไม่เห็นซะงั้น
“ใคร?..ประธานอะไรเหรอเคน”
“อ้าว..คาโอรุไม่รู้เหรอ..ก็ไอ้ทัตสึไง..มันเป็นประธานใหญ่ ชั้นปีสาม”
เปรี้ยงง!!  คำพูดประโยคเดียวแต่ดังก้องเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวัน  คาโอรุนิ่งอึ้งไป  ส่วนทัตสึมิก็หน้าซีดสุดๆ หลุดอิจเมจของท่านประธานใหญ่ไปในทันที
“เอ่อ..เอ่อ..คา..คาโอรุ..คือว่า..ฉะ..ฉัน” 
ทัตสึมิอ้ำอึ้ง  ไม่กล้าพูดต่อ เพราะคาโอรุยังนั่งนิ่งไม่มองหน้าตนเลย  สงสัยคงกำลังตกกะใจอยู่  ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีก็แลบลิ้นใส่เขา พลางส่งสายตาบอกให้แก้ไขสถานการณ์เอาเอง
“นายมีประชุมตอนเที่ยงครึ่งนะ กับประธานเรียวสุเกะ  อย่าไปสายล่ะ  เอ่อ..ฉันไปก่อนนะคาโอรุ”
แล้วเคนก็เปิดฉากหลบหนีออกมาได้อย่างสวยงาม  ฮ่าๆ..ไอ้ทัตสึ  เสร็จแน่..
หลังจากท่านรองเดินลี้ภัย (ที่ตัวเองก่อไว้) ไปแล้ว  คาโอรุยังนั่งนิ่งไม่มองหน้าอีกฝ่าย (ทำสงครามเย็น) มือเรียวเก็บไวโอลินของตนลงกล่องอย่างทะนุถนอม  ท่าทางเป็นปกติธรรมดา  แต่คนข้างๆที่ตอนนี้กำลังรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น  อ่า..เพิ่งเคยเห็นคาโอรุโกรธมากมายขนาดนี้  ซวยแล้วเรา!
“คาโอรุ..เอ่อ..ฟังฉันก่อนนะ”
คาโอรุหันมาส่งยิ้มอันแสนจะเย็นยะเยือกให้  “มีอะไรจะพูดเหรอ  ท่านประธานทัตสึมิ”
อ๊ากกส์!!..โกรธจริงๆด้วย  ทัตสึมิจึงรีบคว้าไวโอลินของคาโอรุไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งหนีเขาไป 
“ฟังก่อนนะ  อย่าเพิ่งโกรธ”
ตอนนี้สมองของคาโอรุแทบไม่สั่งการอะไรแล้ว  เขาเพียงต้องการไวโอลินของตนคืนและไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เกลียด!..ไม่อยากเห็นหน้าคนที่โกหก..เกลียด..คนที่ชอบหลอกลวงคนอื่นเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอก  ฉันเห็นว่ามันไม่สำคัญอะไรกับมิตรภาพของเรา  ไม่นึกว่าคาโอรุจะโกรธขนาดนี้”
“นายไม่ผิดนี่..นายจะเป็นใคร..จะเป็นคนรวยหรือเป็นคนเก่งมาจากไหนก็ไม่เกี่ยวกับฉัน..เอาไวโอลินฉันคืนมา”
พูดเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจตัวเอง..คาโอรุไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงรู้สึกโกรธทัตสึมิขนาดนี้  ทั้งๆที่เขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย  ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่ได้รู้อะไรเลย  ทั้งๆที่ตอนแรกทัตสึมิก็บอกทั้งชื่อและนามสกุลของตนชัดเจนออกขนาดนั้น  แต่ทำไม?!..ทำไม?!..หรือเป็นเพราะคำที่เขาแสนเกลียดสองคำนั่น!
ประธานชั้นปี.. และ.. เรียวสุเกะ
    เป็นสองคำที่เขาเกลียดและไม่อยากได้ยินที่สุดในโลก ..ความเจ็บปวด..จากจิตใจ..ที่ตอนนี้ลุกลามไปที่หัวใจดวงน้อยๆนั้นแล้ว  คาโอรุเริ่มหน้าซีดและตัวสั่นแต่อาการทั้งหลายเหล่านี้กลับถูกข่มซ่อนไว้อย่างมิดชิด
“อย่าพูดแบบนั้นนะคาโอรุ  อย่าโกรธอย่าเกลียดฉัน!  ฉันขอโทษ..จะให้ทำยังไงนายถึงจะยกโทษให้ฉัน!” 
ทัตสึมิเอ่ยขอโทษ  แววตาตัดพ้อ  มีทั้งความเสียใจและน้อยใจเมื่อรู้แล้วว่าคนตรงหน้านั้นโกรธตนจริงๆ
คาโอรุกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกได้ถึงรสเลือด  ความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกมีดกรีด..อาการกำเริบคราวนี้ช่างรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  หรือเป็นเพราะนาย..เป็นเพราะนายหรือ..ทัตสึมิ
ทัตสึมิยืนรอฟังคำตอบนิ่ง  นัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ร่างบาง  แต่ก็ไม่ได้ยินคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เริ่มช้ำนั้นเลย  เพียงได้ยินเสียงครางเบาๆแสดงความเจ็บปวดของเจ้าตัว
“คาโอรุ!!..คาโอรุ!!!”
ทัตสึมิเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตกใจเมื่อเริ่มรับรู้แล้วว่าอาการที่ผิดปกติของร่างบางนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา  ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดดูอ่อนหวานนั้นซีดขาวราวกับกระดาษ  มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นกอบกุมไปที่หน้าอกด้านซ้าย  ตรงหัวใจ ..ร่างเล็กบางสั่นสะท้านและค่อยๆทรุดลงช้าๆ
“คาโอรุ!!..เป็นอะไร!!..บอกฉัน!!”
อาการเริ่มค่อยๆหนักขึ้น  เมื่อทัตสึมิรู้สึกถึงลมหายใจกระชั้นถี่ที่เริ่มติดขัดของอีกฝ่าย  นัยน์ตาคู่สวยของคาโอรุคลอขังไปด้วยหยาดน้ำตา  มืออันสั่นเทาข้างหนึ่งละจากตำแหน่งหัวใจมาจับแขนเขาไว้ 
“ยา!!..อยู่!!..ใน!!..กระ..กระเป๋าเสื้อ!!”
ทัตสึมิไม่ทันได้คิดอะไรอีกแล้ว  รีบเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนักเรียนของคาโอรุทันที  มือคว้าไปตลับยาทรงกลม  เขารีบเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว
“เม็ด!..เม็ดไหน!!..คาโอรุ!!”
ทั้งๆที่โดยปกติแล้วทัตสึมิเป็นคนที่เยือกเย็นและมีสติแจ่มใสอยู่เสมอ  แต่สถานการณ์ตอนนี้รุนแรงขนาดที่ทำให้มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัว  ลนลานรีบหยิบยาในตลับจนเกือบทำให้ยาหล่นกระจัดกระจายลงพื้น
“สีแดง!!”
ทัตสึมิรีบหยิบยาเม็ดสีแดงที่มีอยู่เม็ดเดียวในตลับแล้วยื่นส่งให้ร่างบางทันที คาโอรุรับมาโยนเข้าปากและกลืนมันลงไปอย่างเร็ว  เขาหลับตาลงพักผ่อนและหายใจเข้าออกลึกๆยาวๆ  สักพักหนึ่งใบหน้าอันซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดขึ้น  อาการสั่นและหอบค่อยๆหายไป  มือเรียวที่เกาะกุมอยู่ที่หัวใจค่อยคลายและตกลงข้างตัวผู้เป็นเจ้าของแบบหมดแรง
“คาโอรุ..” 
ทัตสึมิเอ่ยเรียกชื่อเบาๆ  เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นช้าๆ  นัยน์ตานั้นดูว่างเปล่าจนน่าตกใจ
“ขอบคุณที่ช่วย  ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เสียงพูดโต้ตอบกลับมานั้นแผ่วเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจน  ร่างสูงรีบโผเข้าโอบกอดร่างเล็กกว่าจนแนบแน่น  คาโอรุตกใจแต่ก็ยอมให้กอดโดยดี
“โชคดีเหลือเกิน..ที่นายไม่ได้เป็นอะไร  รู้มั๊ยว่าฉันตกใจขนาดไหน!!”
เขาได้ยินเสียงพูดเครือเบาๆนั้นดังอยู่ริมหู  และไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอกอดตอบอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่  มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าที่แก้มของตนนั้นถูกคนที่กำลังโอบกอดอยู่สัมผัสไปแล้ว  เป็นสัมผัสแผ่วเบาจนปลายจมูกและริมฝีปากของอีกฝ่าย
“ฉันรักนาย..คาโอรุ..ขอโทษที่ปิดบังเรื่องประธานชั้นปี ยกโทษให้ฉันด้วย”
คาโอรุไม่ได้พูดตอบโต้อะไร  ตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสมองจะคิดอะไร  แต่คำพูดนั้นกลับช่วยบรรเทาความเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวดให้จางลงได้อย่างประหลาด
“ได้ยินหรือเปล่าคาโอรุ..ฉันรักนาย..เราสองคนมาเป็นแฟนกันนะ”
ทัตสึมิได้ยินเสียงอืมเบาๆ  ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอืมเพราะรับรู้หรืออืมเพราะตกลง  แต่ขอแค่ไม่ได้รับคำปฏิเสธเขาก็ดีใจแล้ว
“คาโอรุ..ทำไมถึงไม่สบายหนักขนาดนี้..แล้วยาที่กินน่ะยาอะไร..บอกมานะ”
ร่างบางผละออกจากอ้อมกอด  ก้มหน้านิ่ง  หลบสายตาคมของอีกฝ่าย 
“บอกมานะคาโอรุ”
ทัตสึมิไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว  อาการที่สุดแสนจะทรมานแบบนั้น  เขาไม่ต้องการจะเห็นมันเกิดขึ้นอีก ..ครั้งเดียวก็เกินพอกับคนที่รัก..
“ยาโรคหัวใจ..ฉันเป็นโรคหัวใจ” 
คราวนี้ทัตสึมิเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง 
“โธ่!!..คาโอรุ”
อ้อมแขนแข็งแรงเข้าโอบกอดร่างบางอีกครั้ง  ใบหน้าสวยซบลงบนไหล่อันอบอุ่น  น้ำตาอุ่น..ที่แยกไม่ออกระหว่างความเจ็บปวดหรือความยินดีไหลออกจากนัยน์ตาสวยจนขอบตาร้อนผ่าว  ทั้งสองยืนโอบกอดกันถ่ายเทความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ..เนิ่นนาน .
“ขอบคุณนะ..ขอบ...คุณ”
+++++++++
ใกล้จะถึงวันงานโรงเรียนประจำปีแล้ว  ทั้งปีสองปีสามต่างก็ยุ่งวุ่นวายจนไม่เป็นอันเรียน  แต่ปีสองดูจะงานหนักมากกว่าเพราะกิจกรรมหลักนั้นมากกว่าของปีสามเกือบเท่าตัว  หนึ่งในกิจกรรมสำคัญก็คือการแสดงละคร  แน่นอนว่าตัวเอกของเรื่องนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านประธานชั้นปี  คุณเรียวสุเกะ  (ใช้อำนาจในทางมิชอบนิดหน่อย)  ส่วนคาโอรุน่ะเหรอ  เหมาะมากก..ที่จะรับบท ก้อนหิน
“เอาล่ะ..งานละครคราวนี้จะต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด  เพราะฉันจะเชิญแขกคนสำคัญมาดูด้วย  ถ้าใครทำอะไรให้ฉันขายหน้าล่ะก็..คงรู้นะว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น”
ทั้งชั้นปีเงียบสนิท  หน้าซีดกันเป็นแถว 
“เลิกประชุม”
    แล้วนักเรียนชั้นปีสองก็สลายตัวรีบไปปั่นงานของตนอย่างรวดเร็ว  คาโอรุจึงเดินกลับเข้าตึกเรียนแบบเซ็งๆ 
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ คาโอรุ”  ริวอิจิเพื่อนสนิทเอ่ยทัก
“ไม่มีอะไรหรอก  เซ็งกับกิจกรรมคราวนี้น่ะ”
“อ๋อ..ไอ้ละครบ้าๆของเรียวสุเกะล่ะสิ”
“อืม..แล้วนายล่ะ  เล่นเป็นอะไรเหรอ” 
ริวอิจิทำหน้าเบ้  “ต้นไม้”
พอได้ยินคาโอรุก็พยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็แอบหลุดขำออกมาจนได้ 
“ก็เหมาะนี่  แต่น่าแปลกนะ..ระดับคนดังอย่างนายทำไมได้เล่นเป็นต้นไม้ล่ะ”
“นายก็รู้..ไอ้เรียวมันเกลียดฉันจะตาย  อีกอย่างฉันก็พอใจแล้วกับบทต้นไม้น่ะ”
“ขอโทษนะ  เพราะนายมาคบกับฉันแท้ๆ”  คาโอรุหน้าเศร้าลงทันที
“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก  ฉันจะเลือกคบใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน  เออ.. นี่ก็ใกล้พักกลางวันแล้ว  เราไปกินข้าวด้วยกันนะ  ฉันไม่ได้เห็นหน้านายที่โรงอาหารตั้งหลายวันแล้ว  วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
พอพูดถึงพักกลางวัน  คาโอรุก็มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันตา  ริวอิจิมองเพื่อนตัวเองงงๆ  ตอนแรกเขาคิดว่าคาโอรุคงจะแอบหนีไปที่ไหนคนเดียวเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินซะอีก  แต่สงสัยจะเดาผิด
“อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าจะไปหาแฟน”
ใบหน้าขาวๆเริ่มแดงขึ้นทันที  ริวอิจิทำตาโตแบบไม่เชื่อสุดๆ
“โห..ใครวะตัดหน้าเราซะได้”
คาโอรุหมั่นไส้เพื่อน เลยตบหลังร่างโปร่งไปแรงๆทีนึง  ทำเอาริวอิจิหลังแอ่น  หน้าบูดด้วยความเจ็บ
“ใครบอกว่าแฟน  เพื่อนใหม่ต่างหาก”
“ได้เพื่อนใหม่ลืมเพื่อนเก่า  ก็แบบนี้แหละนะ คนเรา”
“อย่างอนน่าริว..นายงอนแล้วหน้าตาจะน่ารักนะ”
“ห้ามพูดคำว่า..น่า-รัก  พูดแล้วขนลุกชะมัด”  แล้วคนพูดก็ทำท่าสยองขึ้นมา
คาโอรุหัวเราะ  “นายน่าจะได้เล่นเป็นตัวเอกนะ  หน้าตาดีกว่าเรียวสุเกะตั้งเยอะ”
“ถ้าฉันเป็นตัวเอก นายก็ต้องเป็นด้วยนั่นแหละ  เราสองคนน่ะหล่อหน้าตาดีที่สุดในชั้นปีแล้ว ฮ่าๆ”  เอาเข้าไป  ชมตัวเองเสร็จก็ทำท่าภาคภูมิใจ  “เอาล่ะ..เลิกพูดดีกว่า  แล้วตกลงวันนี้จะไปกินข้าวด้วยกันมั๊ย”
คาโอรุสั่นศีรษะปฏิเสธ  พร้อมรอยยิ้มกว้าง  “ขอบใจนะที่ชวน  แต่ฉันนัดเขาไว้แล้ว”
“ก็ได้ๆ  วันหลังก็แนะนำให้รู้จักบ้างแล้วกัน  งั้นฉันไปก่อนนะ”
ริวอิจิโบกไม้โบกมือลาเพื่อนก่อนจะวิ่งไปโรงอาหาร  คาโอรุจึงรีบเดินกลับเข้าห้อง คว้าไวโอลินของตน แล้วเดินตรงดิ่งไปยังหลังตึกของชั้นปีสามด้วยสีหน้ารื่นเริงเต็มที่  โดยหารู้ไม่ว่าคนที่วิ่งไปแล้วนั้น ดันวิ่งย้อนกลับมา และ แอบตามอยู่ห่างๆ
“ปีสามซะด้วย  แหม..เห็นเงียบๆ ที่ไหนได้ไวไฟชะมัด  แบบนี้ต้อง ตาม..ไป..ดู ฮ่าๆๆๆ”
    จะเป็นใครไปไม่ได้  ก็ริวอิจิเพื่อนตัวดีนั่นเอง
+++++++++++++++++++++
หลังตึกปีสาม  ทุกพักกลางวัน ถ้าใครได้เดินผ่านมาแถวนี้ก็จะได้ยินเสียงของไวโอลินบรรเลงเพลงอันหวานซึ้งขับกล่อมอยู่เป็นประจำ  ที่แท้เสียงจากไวโอลินเหล่านั้นดังมาจากร่างๆหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสีไวโอลินอยู่อย่างมีความสุข  แน่นอนว่าน้อยคนที่จะได้ฟังใกล้ๆ  ข้างๆเขายังมีเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนกำลังนอนหลับตาสบายใจอยู่บนสนามหญ้านุ่มใต้ต้นไม้ใหญ่  คล้ายดื่มด่ำกับเสียงเพลงจนเคลิบเคลิ้ม
“วันนี้เสียงแปลกไปนะ  มีอะไรหรือเปล่า?” 
ทัตสึมิพูดทั้งๆที่หลับตาอยู่  ทำให้เสียงไวโอลินนั้นหยุดชะงักไปทันที
“รู้ด้วยเหรอ” 
“แน่นอนสิ  คิดจะปิดบังท่านทัตสึมิสุดแสนฉลาดคนนี้น่ะเร็วไปร้อยปี” 
พูดจบก็ลืมตาและรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว  นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองอีกฝ่าย รอคำตอบ
คาโอรุส่งยิ้มบาง  มือเรียววางไวโอลินลงข้างตัว  “รู้มานานแล้วว่าเก่ง..” 
คนถูกชมทำท่าภูมิใจ 
“ยังพูดไม่จบเลย  ที่บอกว่าเก่งน่ะ..ชมตัวเองเก่งต่างหาก”
แล้วคนฟังก็หน้าหงิกลงทันที
“โห..เดี๋ยวนี้กล้าพูดแบบนี้แล้วเหรอ..อ๋อ..เจ้ามิเนรุสอนมาล่ะสิ”
“อ้าว..ก็พี่น้องกันนี่นา”
“หนอย..เจ้าเด็กนรก  บังอาจใส่ร้ายฉันเหรอ ..เจอเมื่อไหร่จะอัดซะให้เข็ด” 
คนพูดทำท่าจริงจังมากเพราะบิดมือหักนิ้วประกอบอาการ  คาโอรุหันไปแอบหัวเราะ คู่นี้กัดกันไม่เลิกจริงๆ
“ระวังเถอะ  จะเจอสวนกลับแบบไม่ทันตั้งตัว  รู้จักเจ้าน้องชายจอมป่วนของฉันน้อยไปซะแล้ว”
“พูดแบบนี้เข้าข้างน้องชายตัวเองนี่นา!”
“ก็แน่อยู่แล้ว  น้องทั้งคน”
แล้วคนตัวโตๆก็ทำท่างอนใส่คนตัวเล็กกว่า  คาโอรุยิ้ม..ก็ท่าทางงอนๆแบบนี้เหมือนตอนมิเนรุงอนเขาไม่มีผิดเลยนี่นา  ชักสงสัยแล้วว่าทัตสึมิคงจะเป็นลูกคนเล็กของตระกูลเอซาว่าแน่ๆ
“โกรธเหรอ”
“เปล่า..แค่น้อยใจ  อะไรๆก็น้อง..อะไรๆก็มิเนรุ..ทำไมไม่ อะไรๆก็ทัตสึมิบ้างล่ะ”
“จ้าๆ  จะพยายาม อะไรๆก็ทัตสึมิบ้าง ดีมั๊ย”
คาโอรุยอมง้อแบบนี้แล้วมีหรือทัตสึมิจะไม่ใจอ่อน  เขาพยักหน้ายิ้มหวาน
“แล้วคาโอรุมีเรื่องอะไรหรือเปล่า  สีหน้าไม่ดีเลยนะ”  จากสีหน้าขี้เล่นก็กลับมาจริงจังขึ้นทันที
คาโอรุถอนหายใจยาว  นัยน์ตาเหม่อลอยออกไปยังท้องฟ้ากว้าง  เงียบไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป
“ก็เกี่ยวกับเรื่องงานโรงเรียนน่ะ”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ก็วันนั้นจะมีคนมากมายที่ฉันไม่ค่อยอยากเจอมาที่โรงเรียน”
“คนมากมาย..ใครกัน  บอกฉันได้หรือเปล่า”
“ก็พวกญาติๆน่ะ  ปีนี้ชั้นปีสองจัดแสดงละครด้วย..แถมเรียวสุเกะยังได้เป็นตัวเอก คงแห่กันมาหมดบ้านแน่ๆ”
“แสดงละคร..แล้วคาโอรุแสดงด้วยหรือเปล่า”
“อืม..เป็นก้อนหินน่ะ”
“ก้อนหิน!!”
ทัตสึมิตะโกนลั่นไม่อยากเชื่อ.. พลางสอดส่ายสายตามองอีกฝ่ายไปๆมาๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า  อาไร้..คนหน้าตาดีขนาดนี้ให้แสดงเป็นก้อนหินซะได้
    “อืม”  คาโอรุทำหน้าเศร้า
    “ขอเปลี่ยนบทไม่ได้เหรอ”
    “ไม่ล่ะ..เรียวสุเกะไม่ยอมแน่ๆ  อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเล่นนักหรอกเพราะเล่นไปก็ไม่มีใครไปดูฉันอยู่แล้ว”
“ฉันจะไปดู..แน่นอน”
“ไม่ต้องไปหรอกทัตสึมิ..เล่นเป็นก้อนหินเอง”
“ไม่..ฉันจะไป..ไปดูนายโดยเฉพาะเลย  เล่นเป็นก้อนหินฉันก็จะไปดูก้อนหิน”
ทัตสึมิทำท่าจริงจังกับคำพูดซะจนคาโอรุแอบดีใจอยู่ลึกๆ
“ขอบใจนะ”
“เรื่องแค่นี้เอง..ทำไมต้องขอบใจด้วยล่ะ”  แล้วคนพูดก็ล้มตัวลงนอนแผ่  “เฮ้อ!!..พูดถึงงานโรงเรียนแล้วก็เหนื่อยชะมัดเลย  งานเสร็จเมื่อไหร่  ไปเที่ยวบ้านฉันซักสองสามวันนะ..แค่สองคน”  แอบส่งสายตาหวานแกมอ้อนวอนให้อีกฝ่าย
“ไม่ได้หรอก..มิเนรุจะอยู่กับใครล่ะ”
“อ๊ากส์..ห้ามเอาเจ้าเด็กนรกนั่นมาขัดขวางความสุขเด็ดขาดเลย”  ทัตสึมิกุมขมับขึ้นมาทันที
“มิเนรุยังเด็กนะ  ถึงฉลาดแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี  ฉันไม่กล้าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวหรอก”
“เอาล่ะ ก็ได้ๆ  พาไปก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”
“จะเอาอะไรล่ะ”
ทัตสึมิทำท่าเจ้าเล่ห์  “ตอนไปเที่ยวที่บ้าน  คาโอรุต้องไปนอนห้องเดียวกับฉันนะ”
“อ้าว..แล้วมิเนรุจะนอนไหน”
“ไม่ต้องห่วง..พ่อแม่ฉันรักเด็ก  เดี๋ยวพอเห็นเจ้าเด็กแสบหน้าตาน่ารักมีหวังถูกลากไปนอนด้วยแน่เลย”
“แล้วงานที่คลับล่ะ”
“มิจังไม่ว่าอะไรหรอก  ลาไปสองสามวันเอง  เดี๋ยวฉันช่วยพูดให้  นะคาโอรุนะ”
คาโอรุนิ่งคิดอยู่พักใหญ่  ใจนึงก็อยากไป แต่อีกใจก็เป็นห่วงนั่นเป็นห่วงนี่  ไหนจะมิเนรุ  ไหนจะงาน ไหนจะค่าใช้จ่ายอีก
“ไปแค่วันเดียวไม่ได้เหรอ ทัตสึมิ..ฉันไม่อยากลางานนานๆ ขาดรายได้หมด  แล้วไปเที่ยวตั้งหลายวันจะเอาเงินที่ไหนไปล่ะ”
“โธ่..เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องกังวลเลย  ไปบ้านฉันต้องเสียเงินที่ไหนล่ะ  ส่วนเรื่องงาน..หยุดแค่สองสามวันเอง กลับไปค่อยทำชดเชยให้ก็หมดเรื่อง  ฉันยอมเป็นเด็กเสิร์ฟช่วยด้วยอีกแรงนึง  รับรองมิจังไม่ว่าแน่”
“แต่ว่า..”
“เถอะน่าคาโอรุ  มิเนรุต้องอยากไปเที่ยวแน่เลย”
ทัตสึมิใช้มุขสุดท้าย  (คนรักน้องก็แบบเนี้ย) แล้วก็ได้ผลจริงๆเมื่อคาโอรุพยักหน้าตกลงอย่างง่ายดายทำให้นัยน์ตาสีเข้มของคนตื้อนั้นเป็นประกาย (หื่น) ขึ้นมาทันที  แล้วสองหนุ่มก็พูดคุยเรื่องที่จะไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน  โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาหนึ่งแอบมองทั้งสองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“โอ้โห!!..คาโอรุ..กะ..กับ..ประธานทัตสึมิ  ไม่อยากจะเชื่อ!!”
“ปะ..ประธานทัตสึมิหัวเราะเสียงดัง..อ๊ากส์!!..แถมทำท่าขี้เล่นแบบนั้นอีก!!”
“เราตาฝาดหรือเปล่าวะเนี่ย..อึ๊ย..ตาดุๆที่แสนเย็นชานั่น เปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มออดอ้อนด้วย  โอ๊ย!!..คืนนี้ฉันฝันร้ายแน่เลย”
และดูท่าคำบ่นรำพึงอีกมากมายสารพัดจากปากเล็กๆของคนที่แอบดูจะยังไม่หมด  ริวอิจิพูดไปแอบดูเพื่อนตัวเองไปอย่างเมามัน  หารู้ไม่ว่าที่ด้านหลังเขามีเด็กหนุ่มอีกคนยืนเท้าสะเอวพลางส่ายหน้ามองตนอยู่อย่างเอ็นดู
“นี่ๆ”
เคนที่อยู่ด้านหลังริวอิจิสะกิดเรียกเบาๆ  แต่คนถูกสะกิดปัดออกไปอย่างไม่สนใจ 
“ยุ่งน่า..ไปไกลๆเลย”
“นี่..!!”  เคนสะกิดเรียกอีกรอบ
“ชี่ย์..เงียบหน่อยสิวะ ยุ่งจริง!!”
“เฮ้!!..”
“อะไรวะ..คนกำลังแอบดูหนุกๆอยู่แท้ๆ”
ริวอิจิหันกลับมาเพราะกะจะด่าทันที  แต่คงจะหันเร็วไปหน่อยเพราะร่างทั้งร่างของตนปะทะเข้ากับแผ่น อกหนาๆของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ  ส่งผลให้ร่างโปร่งเซถอยหลังทำท่าจะล้ม
“โอ๊ย!!”
แต่ยังไม่ทันล้ม (ดันร้องโอ๊ยไปก่อนแล้ว) เพราะแขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งเอวบางเอาไว้ได้ทัน  ริวอิจิตกใจจนเกือบจะตะโกนร้องแล้ว  แต่มือของอีกฝ่ายปิดปากตนเอาไว้ได้ทัน
“อย่าร้องนะ..ถ้าสองคนนั่นได้ยินล่ะก็  ฉันโดนไอ้ทัตสึมันไล่เตะแน่”
ริวอิจิเบิกตากว้างเหม่อมองอีกฝ่ายนิ่งไป
“ฉันชื่อเคน  เป็นรองประธานปีสาม  คิดว่านายคงรู้จัก..เอาล่ะ..ฉันจะปล่อยนายแล้ว  อย่าร้องนะ..เข้าใจหรือเปล่า”
ริวอิจิพยักหน้าไปแบบไม่รู้ตัว..เคนส่งยิ้มพอใจ แล้วจึงปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ
แต่พอพ้นจากอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นของอีกฝ่าย  ริวอิจิก็รีบหันหลังกลับแล้วเผ่นแน่บทันที  วิ่งหนีเร็วชนิดที่เคนต้องอุทานด้วยความแปลกใจทีเดียว  ..สงสัยเป็นนักกีฬาเหรียญทองวิ่งร้อยเมตรประจำโรงเรียน..
“วิ่งเร็วชะมัด แต่โคตรน่ารักเลย  นอกจากคาโอรุแล้วยังมีคนน่ารักขนาดนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย”
เคนส่ายหน้าพลางอมยิ้ม  เมื่อเห็นร่างที่กำลังวิ่งอยู่เริ่มห่างออกไปแล้ว เขาจึงหันกลับไปแอบดูเพื่อนรักของตนที่กำลังนั่งหวีด (สวีตจ๊ะ..ไม่ใช่โหด หวีด สยอง นะ ^^) อยู่กับร่างบาง  เฮ้อ!! เห็นแล้วก็อิจฉาตาร้อนผ่าว ทำไม๊..ทำไม เราไม่มีแบบไอ้ทัตสึมันมั่งหว่า..คิดไปคิดมา  หน้าขาวๆใสๆของคนที่เพิ่งวิ่งไปก็แว่บเข้ามาทันที  แต่เอ..ทำไมเห็นเราแล้วต้องวิ่งหนีด้วยล่ะ..หน้าตาเราน่ากลัวนักหรือไง..คิดแล้วเซ็ง..
“จะมีความสุขอยู่คนเดียวได้ไงวะ  แบบนี้ต้องแกล้งซักหน่อย”
พอคิดวิธีขัดขวางความสุขของเพื่อนได้แล้ว  เคนก็เดินยิ้มร่าออกมาจากมุมตึก  ตรงดิ่งไปที่สองหนุ่มทันที
“หวัดดี คาโอรุ” 
คาโอรุหันมาเห็นเคนก็เอ่ยทักทายและยิ้มให้ตามปกติ  แต่ทัตสึมิกลับส่งสายตาอาฆาตมาให้เพื่อนของตนแทน  ก็ลองเคนแจกยิ้มเบิกบานแบบนี้  สงสัยหาเรื่องแกล้งตนแน่ ..ไอ้เพื่อนทรยศศศศ!!! .
“ขอโทษนะที่ขัดจังหวะ  พอดีฉันถูกขอร้องให้มาตามประธานไปประชุมน่ะ  ไปได้แล้วไอ้ทัตสึ”
คาโอรุทำหน้างงเต็มที่  ส่วนทัตสึมิที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ทั้งโบกไม้โบกมือ  ขยิบตา  อ้าปากพูดภาษาใบ้ห้าม  แต่เคนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  แกล้งมองไม่เห็นซะงั้น
“ใคร?..ประธานอะไรเหรอเคน”
“อ้าว..คาโอรุไม่รู้เหรอ..ก็ไอ้ทัตสึไง..มันเป็นประธานใหญ่ ชั้นปีสาม”
เปรี้ยงง!!  คำพูดประโยคเดียวแต่ดังก้องเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวัน  คาโอรุนิ่งอึ้งไป  ส่วนทัตสึมิก็หน้าซีดสุดๆ หลุดอิจเมจของท่านประธานใหญ่ไปในทันที
“เอ่อ..เอ่อ..คา..คาโอรุ..คือว่า..ฉะ..ฉัน” 
ทัตสึมิอ้ำอึ้ง  ไม่กล้าพูดต่อ เพราะคาโอรุยังนั่งนิ่งไม่มองหน้าตนเลย  สงสัยคงกำลังตกกะใจอยู่  ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีก็แลบลิ้นใส่เขา พลางส่งสายตาบอกให้แก้ไขสถานการณ์เอาเอง
“นายมีประชุมตอนเที่ยงครึ่งนะ กับประธานเรียวสุเกะ  อย่าไปสายล่ะ  เอ่อ..ฉันไปก่อนนะคาโอรุ”
แล้วเคนก็เปิดฉากหลบหนีออกมาได้อย่างสวยงาม  ฮ่าๆ..ไอ้ทัตสึ  เสร็จแน่..
หลังจากท่านรองเดินลี้ภัย (ที่ตัวเองก่อไว้) ไปแล้ว  คาโอรุยังนั่งนิ่งไม่มองหน้าอีกฝ่าย (ทำสงครามเย็น) มือเรียวเก็บไวโอลินของตนลงกล่องอย่างทะนุถนอม  ท่าทางเป็นปกติธรรมดา  แต่คนข้างๆที่ตอนนี้กำลังรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น  อ่า..เพิ่งเคยเห็นคาโอรุโกรธมากมายขนาดนี้  ซวยแล้วเรา!
“คาโอรุ..เอ่อ..ฟังฉันก่อนนะ”
คาโอรุหันมาส่งยิ้มอันแสนจะเย็นยะเยือกให้  “มีอะไรจะพูดเหรอ  ท่านประธานทัตสึมิ”
อ๊ากกส์!!..โกรธจริงๆด้วย  ทัตสึมิจึงรีบคว้าไวโอลินของคาโอรุไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งหนีเขาไป 
“ฟังก่อนนะ  อย่าเพิ่งโกรธ”
ตอนนี้สมองของคาโอรุแทบไม่สั่งการอะไรแล้ว  เขาเพียงต้องการไวโอลินของตนคืนและไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เกลียด!..ไม่อยากเห็นหน้าคนที่โกหก..เกลียด..คนที่ชอบหลอกลวงคนอื่นเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอก  ฉันเห็นว่ามันไม่สำคัญอะไรกับมิตรภาพของเรา  ไม่นึกว่าคาโอรุจะโกรธขนาดนี้”
“นายไม่ผิดนี่..นายจะเป็นใคร..จะเป็นคนรวยหรือเป็นคนเก่งมาจากไหนก็ไม่เกี่ยวกับฉัน..เอาไวโอลินฉันคืนมา”
พูดเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจตัวเอง..คาโอรุไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงรู้สึกโกรธทัตสึมิขนาดนี้  ทั้งๆที่เขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย  ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่ได้รู้อะไรเลย  ทั้งๆที่ตอนแรกทัตสึมิก็บอกทั้งชื่อและนามสกุลของตนชัดเจนออกขนาดนั้น  แต่ทำไม?!..ทำไม?!..หรือเป็นเพราะคำที่เขาแสนเกลียดสองคำนั่น!
ประธานชั้นปี.. และ.. เรียวสุเกะ
    เป็นสองคำที่เขาเกลียดและไม่อยากได้ยินที่สุดในโลก ..ความเจ็บปวด..จากจิตใจ..ที่ตอนนี้ลุกลามไปที่หัวใจดวงน้อยๆนั้นแล้ว  คาโอรุเริ่มหน้าซีดและตัวสั่นแต่อาการทั้งหลายเหล่านี้กลับถูกข่มซ่อนไว้อย่างมิดชิด
“อย่าพูดแบบนั้นนะคาโอรุ  อย่าโกรธอย่าเกลียดฉัน!  ฉันขอโทษ..จะให้ทำยังไงนายถึงจะยกโทษให้ฉัน!” 
ทัตสึมิเอ่ยขอโทษ  แววตาตัดพ้อ  มีทั้งความเสียใจและน้อยใจเมื่อรู้แล้วว่าคนตรงหน้านั้นโกรธตนจริงๆ
คาโอรุกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนรู้สึกได้ถึงรสเลือด  ความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกมีดกรีด..อาการกำเริบคราวนี้ช่างรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  หรือเป็นเพราะนาย..เป็นเพราะนายหรือ..ทัตสึมิ
ทัตสึมิยืนรอฟังคำตอบนิ่ง  นัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ร่างบาง  แต่ก็ไม่ได้ยินคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เริ่มช้ำนั้นเลย  เพียงได้ยินเสียงครางเบาๆแสดงความเจ็บปวดของเจ้าตัว
“คาโอรุ!!..คาโอรุ!!!”
ทัตสึมิเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตกใจเมื่อเริ่มรับรู้แล้วว่าอาการที่ผิดปกติของร่างบางนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา  ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดดูอ่อนหวานนั้นซีดขาวราวกับกระดาษ  มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นกอบกุมไปที่หน้าอกด้านซ้าย  ตรงหัวใจ ..ร่างเล็กบางสั่นสะท้านและค่อยๆทรุดลงช้าๆ
“คาโอรุ!!..เป็นอะไร!!..บอกฉัน!!”
อาการเริ่มค่อยๆหนักขึ้น  เมื่อทัตสึมิรู้สึกถึงลมหายใจกระชั้นถี่ที่เริ่มติดขัดของอีกฝ่าย  นัยน์ตาคู่สวยของคาโอรุคลอขังไปด้วยหยาดน้ำตา  มืออันสั่นเทาข้างหนึ่งละจากตำแหน่งหัวใจมาจับแขนเขาไว้ 
“ยา!!..อยู่!!..ใน!!..กระ..กระเป๋าเสื้อ!!”
ทัตสึมิไม่ทันได้คิดอะไรอีกแล้ว  รีบเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนักเรียนของคาโอรุทันที  มือคว้าไปตลับยาทรงกลม  เขารีบเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว
“เม็ด!..เม็ดไหน!!..คาโอรุ!!”
ทั้งๆที่โดยปกติแล้วทัตสึมิเป็นคนที่เยือกเย็นและมีสติแจ่มใสอยู่เสมอ  แต่สถานการณ์ตอนนี้รุนแรงขนาดที่ทำให้มือของเขาสั่นเทาไปด้วยความกลัว  ลนลานรีบหยิบยาในตลับจนเกือบทำให้ยาหล่นกระจัดกระจายลงพื้น
“สีแดง!!”
ทัตสึมิรีบหยิบยาเม็ดสีแดงที่มีอยู่เม็ดเดียวในตลับแล้วยื่นส่งให้ร่างบางทันที คาโอรุรับมาโยนเข้าปากและกลืนมันลงไปอย่างเร็ว  เขาหลับตาลงพักผ่อนและหายใจเข้าออกลึกๆยาวๆ  สักพักหนึ่งใบหน้าอันซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดขึ้น  อาการสั่นและหอบค่อยๆหายไป  มือเรียวที่เกาะกุมอยู่ที่หัวใจค่อยคลายและตกลงข้างตัวผู้เป็นเจ้าของแบบหมดแรง
“คาโอรุ..” 
ทัตสึมิเอ่ยเรียกชื่อเบาๆ  เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นช้าๆ  นัยน์ตานั้นดูว่างเปล่าจนน่าตกใจ
“ขอบคุณที่ช่วย  ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เสียงพูดโต้ตอบกลับมานั้นแผ่วเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจน  ร่างสูงรีบโผเข้าโอบกอดร่างเล็กกว่าจนแนบแน่น  คาโอรุตกใจแต่ก็ยอมให้กอดโดยดี
“โชคดีเหลือเกิน..ที่นายไม่ได้เป็นอะไร  รู้มั๊ยว่าฉันตกใจขนาดไหน!!”
เขาได้ยินเสียงพูดเครือเบาๆนั้นดังอยู่ริมหู  และไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอกอดตอบอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่  มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าที่แก้มของตนนั้นถูกคนที่กำลังโอบกอดอยู่สัมผัสไปแล้ว  เป็นสัมผัสแผ่วเบาจนปลายจมูกและริมฝีปากของอีกฝ่าย
“ฉันรักนาย..คาโอรุ..ขอโทษที่ปิดบังเรื่องประธานชั้นปี ยกโทษให้ฉันด้วย”
คาโอรุไม่ได้พูดตอบโต้อะไร  ตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสมองจะคิดอะไร  แต่คำพูดนั้นกลับช่วยบรรเทาความเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวดให้จางลงได้อย่างประหลาด
“ได้ยินหรือเปล่าคาโอรุ..ฉันรักนาย..เราสองคนมาเป็นแฟนกันนะ”
ทัตสึมิได้ยินเสียงอืมเบาๆ  ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอืมเพราะรับรู้หรืออืมเพราะตกลง  แต่ขอแค่ไม่ได้รับคำปฏิเสธเขาก็ดีใจแล้ว
“คาโอรุ..ทำไมถึงไม่สบายหนักขนาดนี้..แล้วยาที่กินน่ะยาอะไร..บอกมานะ”
ร่างบางผละออกจากอ้อมกอด  ก้มหน้านิ่ง  หลบสายตาคมของอีกฝ่าย 
“บอกมานะคาโอรุ”
ทัตสึมิไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว  อาการที่สุดแสนจะทรมานแบบนั้น  เขาไม่ต้องการจะเห็นมันเกิดขึ้นอีก ..ครั้งเดียวก็เกินพอกับคนที่รัก..
“ยาโรคหัวใจ..ฉันเป็นโรคหัวใจ” 
คราวนี้ทัตสึมิเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง 
“โธ่!!..คาโอรุ”
อ้อมแขนแข็งแรงเข้าโอบกอดร่างบางอีกครั้ง  ใบหน้าสวยซบลงบนไหล่อันอบอุ่น  น้ำตาอุ่น..ที่แยกไม่ออกระหว่างความเจ็บปวดหรือความยินดีไหลออกจากนัยน์ตาสวยจนขอบตาร้อนผ่าว  ทั้งสองยืนโอบกอดกันถ่ายเทความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ..เนิ่นนาน .
“ขอบคุณนะ..ขอบ...คุณ”
+++++++++

เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น