คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : อันตราย (100%)
หญิงสาวบนเตียงคนไข้นอนหลับสนิทเนื่องจากยาที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้มีริดช่วยในการนอนหลับ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วตลอดเวลาคุณดลวัชมักจะมานอนเป็นเพื่อนเพราะรู้นิสัยของลูกสาวคนเดียวดี แม้จะโตเป็นสาวแต่เธอก็ยังมีนิสัยแบบเด็กๆอยู่อย่างเช่นการกลัวผี แต่ในคืนนี้คุณดลวัชกลับติดงานด่วนซึ่งเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถมาเฝ้าเธอได้อย่างเช่นทุกคืน ยิ่งใกล้เวลาเดินทางเข้ามาทุกอย่างก็ดูจะรัดตัวไปเสียหมด ผิดกับลีชินเจที่ในคืนนี้กลับว่างหลังจากที่เขาได้ตรวจตราดูทุกอย่างแล้วและพวกคนร้ายก็ดูจะยังไม่มีทีท่าเคลื่อนไหว ดึกสงัดต่ในโรงพยาบาลยังคงมีแสงสว่างและเสียงคนอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะเป็นเสียงคุณหมอ พยาบาลเฝ้าไข้ หรือแม้แต่คุณแม่ที่กำลังใกล้คลอด ชินเจที่พึ่งมาถึงเดินขึ้นลิฟบ์ไปยังชั้นบนของโรงพยายาลอันเป็นห้องที่หญิงสาวพักอยู่ ลูกน้อง 6 คนที่มีหน้าที่เฝ้าประตูในคืนนี้ยืนยันอย่างขันแข่งพร้อมกับก้มตัวลงแสดงความเคารพทันทีที่เขาเดินผ่าน เมื่อเข้าไปถึงบริเวณที่รับแขกชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ลุกคนทำท่าเคารพแบบเดียวกัน ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของคนไข้อย่างเงียบเชียบพยายามไม่ส่งเสียงใดๆเพราะเกรงว่าจะปลุกร่างบางที่พักผ่อนอยู่ ชินเจนั่งลงข้างเตียงคนไข้สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าซึ่งเขาไม่มีโอกาศได้เห็นมาตลอด 1 อาทิตย์ที่มัวแต่วิ่งวุ่นจัดการเรื่องทั้งหมด คนที่เขาอยากเจอคิดถึงและเป็นห่วงที่สุดหากแต่ไม่มีโอกาศได้พบ เขาไม่อยากจะให้ความคุณดองวุคจับความรู้สึกของเขาที่มีให้กับเธอได้มากไปกว่านี้ และที่สำคัญกว่านั้นเขาไม่อยากให้เธอรับรู้...ทุกครั้งที่พบหน้าของเธอมันยิ่งยากขึ้นที่เขาจะเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายในใจ เขาพยายามหลบหน้าไม่มาเจอกับเธอ...ป่านนี้เธอคงจะคิดว่าเขาไม่สนใจเธอและไร้หัวใจ ดีแล้วที่จะปล่อยให้เธอคิดอย่างนั้น เขาค่อยๆหยิบผ้าห่มที่หล่นอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาคลุมให้กับร่างเล็กจนถึงคออย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงจุมพิจหน้าผากมน เมื่อเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งร่างเล็กก็เริ่มขยับราวกับกำลังจะตื่นจากนิทรา ดวงตากลมโตลืมขึ้นอย่างช้าๆและสิ่งภาพแรกที่ปรากฎแก่สายตาขึ้นลีชินเจซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงไข่วห้างมองมาที่เธอ
“ตื่นแล้วหรอ” ลีชินเจพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ “ผมจะไปเรียกพยาบาล”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นนอนมามากแล้ว...นี่กี่โมงแล้วหรอ” มณีฑิตาถาม
“พึ่งจะตี 5 เอง คุณนอนต่อไปก่อนเถอะ”
“อย่าเลย ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมา 1 อาทิตย์ชั้นว่าชั้นนอนไป 80% ของเวลาทั้งหมดแล้วหละ ตอนนี้ที่อยากทำที่สุดก็คือลุกขึ้นออกไปเดินเล่น” ว่าแล้วสายตาเจ้าเล่ห์ก็ปรากฎขึ้นในดวงตาใสทันที
“อย่ามองผมแบบนั้น หมอบอกว่าให้คุณพักผ่อนแล้วคุณก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปเดินเล่น เดี๋ยวโดนเชื้อโรคแล้วจะไม่สบายหนัก” สายตาออดอ้อนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบังคับ “อย่ามอง...ยังไงผมก็ไม่มีทางพาคุณออกไปหรอก” “ลืมไปได้เลย” “นอนต่อไปได้แล้ว”
ณ โถงยาวของโรงพยาบาลผู้ชายร่างสูงในชุดดำหน้ามุ่ยค่อยๆเข็นรถเข็นที่มีสาวน้อยร่างเล็กไปอย่างช้าๆผ่านทั้งพยาบาลและหมอที่ทำให้ใจของคนเข็นตุ้มๆต่ำเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งคู่หยุดลงตรงหน้าลิฟเพียงครู่เดียวก่อนที่ลิฟจะมาถึงและพาทั้งสองลงไปยังชั้น 10 ของโรงพยาบาลอันประกอบด้วยสวนกว้างเพียงอย่างเดียวเพราะถูกจัดไว้เป็นบริเวณพักผ่อนสำหรับคนไข้
“เฮ่อ...สบายดีจังเลย อุดอู้อยู่แต่ในห้องตั้งนาน” มณีฑิตาลุกขึ้นยืนกางแขนออกบิดตัว อากาศบริสุทธิ์ข้างนอกดีกว่าอากาศจากเครื่องปรับอากาศตั้งเยอะ แล้วไหนจะกลิ่นของโรงพยาบาลอีกเล่า...ล้วนแต่ทำให้ไม่สดชื่นทั้งสิ้น ชายหนุ่มรีบก้าวเข้าไปใกล้ทันทีที่มณีฑิตาลุกขึ้นยืนเพราะตั้งแต่เข้ามาในโรงพยาบาลนั้นเขายังไม่เห็นหญิงสาวยืนสักครั้งและไม่แน่ใจว่าร่างกายของเธอจะแข็งแรงพอแล้ว มณีฑิตายืนหันหน้าเข้าไปทางสวนดอกไม้หลากสีจึงไม่ทันเห็นชินเจที่รีบเดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มก็หยุดเพียงเท่านั้นคอยระวังอยู่ห่างๆ...
“นี่กี่โมงแล้วหรอคะ” มณีฑิตาเอ่ยถามเพราะสังเกตุเห็นขอบแสงสีทองที่เริ่มสาดส่องออกมาจากเมฆจึงคาดคะเนเอาว่าน่าจะเช้าแล้ว
“เกือบ 6 โมงเช้าแล้ว” ลีชินเจยังคงสงบปากสงบคำเช่นเดิม ตลอดเวลาถ้าหญิงสาวไม่ถามเขาก็จะไม่เปิดปากพูด หรือเมื่อใดก็ตามที่เธออ้าปากถามเขาก็จะตอบเท่าที่จำเป็นเท่านั้นราวก็เธอกำลังพูดอยู่กับท่อนไม้ก็ไม่ปาน หลังจากต่างคนต่างเงียบมาได้สักพักความอดทนของมณีฑิตาก็เริ่มลดน้อยลงด้วยเธอเข้าใจว่าเขาเกลียดเธอ
“ชั้นเคยไปทำอะไรไว้ไม่ดีกับคุณหรอ” ร่างบางที่ยืนอยู่ถามทะลุกลางปล้อง
“ไม่เคย” แม้จะงงงวยกับคำถามหากแต่ก็ปรับสีหน้าเป็นปรกติโดยทันทีพร้อมกับตอบเรียบๆ
“ชั้นเคยไปด่าคุณไว้หรอ” มณีฑิตาตั้งคำถามต่อไป
“ไม่เคย”
“ชั้นไปบังคับคุณให้มาเป็นบอดี้การ์ดหรอ”
“ป่าว”
“แล้วทำไมคุณต้องเกลียดชั้น” มณีฑิตายิงคำถามสุดท้ายที่อยากจะถามมาตั้งแต่แรกแล้วออกไป
“ผมไม่ได้เกลียดคุณ ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น” ชายหนุ่มตอบออกไปแม้จะแปลกใจกับคำถาม เขาหนะหรือเกลียดเธอ...
“ก็คุณไม่ค่อยยอมคุณกับชั้น ถ้าชั้นไม่พูดด้วยคุณก็ไม่ยอมคุย แล้ว...แล้วตอนก่อนหน้านี้คุณก็ไม่มาเยี่ยมเลยสักครั้ง ทั้งๆที่คุณบอกว่าเป็นบอดี้การ์ดของชั้น”
“ลูกพี่ครับ” ลูกสมุนในชุดดำของเขาขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อนการสนทนาทั้งหมดจึงต้องจบสิ้นลงทั้งที่ชินเจยังไม่ได้ตอบว่าอะไร
“มีอะไร” ชายหนุ่มหันกลับไปถาม
“คุณหมอกำลังจะเข้าไปตรวจแล้วครับ”
“หา! จริงหรอ! เรารีบกลับกันเร็วๆเข้าก่อนที่คุณหมอจะมาเจอ” มณีฑิตาตื่นเต้นราวกับเด็กเล็กๆที่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกจับได้และโดยไม่แม้แต่รอชายหนุ่มเธอรีบวิ่งหนีกลับห้องทิง้ชายหนุ่มให้อยู่ที่สวนพร้อมกับชินโซยุนเท่านั้น
“มีอะไร” ชินเจถามเสียงจริงจังเพราะหลังจากที่รู้จักกันมานานเขารู้ว่าลูกน้องมือขวาคนนี้ไม่ได้คนนี้ไม่ได้จะขึ้นมาเพื่อเตือนเรื่องหมอที่กำลังจะเข้ามาตรวจ
“เออ...คือพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วครับ ที่นี่เริ่มไม่ปลอดภัยแล้วครับ” โซยุนกล่าวกับเจ้านาย
“งั้นพวกเราคงต้องรีบกลับกันแล้ว ชั้นจะไปคุยกับหมอดูว่าเธอจะเดินทางได้เมื่อไหร่ เพราะจากเมื่อกี้ก็ดูแข็งแรงขึ้นแล้ว”
“ครับลูกพี่” ยุนโซมีอายุราว 30 ปีแล้วจะว่าไปเขามีอายุมากกว่าลูกพี่เสียด้วยซ้ำแต่เพราะความเคารพและเหตุผมอีกนานับประการทำให้เขายอมก้มหัวให้กับผู้ชายคนนี้
มิ้นแอบย่องเข้าไปยังห้องของตัวเองอย่างอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะรอยังไงก็ดูเหมือนว่าคุณหมอจะยังไม่มาสักที จนในที่สุดก็มีเสียงประตูถูกเปิดและปิดลงไม่ช้าเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา... เมื่อประตูห้องถูกแง้มเปิดออกมณีฑิตาเห็นชายเสื้อกาวสีขาวยาว
“สวัสดีคะคุณหมอ...” มณีฑิตาทักทายคุณหมอแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบว่าเขาไม่ใช่คุณหมอคนเดียวกับทุกที
“อ้าว...แล้วคุณหมอวรวิชญ์หละคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“วันนี้คุณหมอวรวิชญ์ติดธุระครับเช้านี้เลยให้หมอมาดูแทน เดี๋ยวตอนสายๆแกจะเข้ามาดู” พูดพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ขึ้นจนยืนอยู่ข้างเตียง “รู้สึกอย่างไรบ้างครับเช้านี้”
“ก็โอเคนะคะ มิ้นรู้สึกว่าสบายดีแล้ว เมื่อไหร่จะออกจากโรงพยาบาลได้คะ” หญิงสาวถามคุณหมอที่ดูยังไงก็ยังหนุ่มอยู่มากแล้วถามยังมีหน้าจาดีอีกด้วยมีหวังว่าพยาบาลสาวๆคงจะกรี๊ดกันมาก
“เดี๋ยวคงต้องรอดูอาการอีกสักหน่อยหละครับ ยังไงคุณมิ้นลองถามอาจารย์หมอที่กว่าครับ” แพทย์คนดังกล่าวตอบน้ำเสียงทุ้มพร้อมกับเผิญยิ้มอบอุ่น
“มิ้นไม่เคยเห็นคุณหมอเลย คุณหมอชื่ออะไรคะ” มิ้นถามกับคุณหมอคนใหม่
“หมอชื่อ...เรียกคิมก็ได้ครับ” พูดพลางสายตาก็ไล่ดูชาร์ตคนไข้ที่อยู่ทางปลายเตียง
“เดี๋ยวหมอคงต้องไปแล้ว พบกันใหม่นะครับ”
“คะ สวัสดีคะ”
เพียงไม่นานหลังจากที่คุณหมอออกไปลีชินเจและยุนโซก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกัน
“เป็นยังไงบ้างครับคุณมินฮวา” ยุนโซเป็นคนเอ่ยปากถาม พวกของชินเจทุกคนมักจะเรียกเธอว่ามินฮวาทุกครั้ง ครั้งแรกๆที่ได้ยินยังเข้าใจว่าตัวเองฟังผิดบวกกับที่ภาษาไทยของคนพวกนี้ไม่แข็งแรงและสำเนียงออกจะเพี้ยนๆแต่เมื่อฟังดูหลายๆครั้งเธอแน่ใจว่าพวกเขาออกเสียงชื่อของเธอเป็นมินฮวาอย่างแน่นอน...
“มินฮวาหรอคะ” หญิงสาวถามสีหน้าสงสัย
“ฮะฮะฮะ ไม่ชินหรอครับ” ยุนโวดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในกลุ่มคนพวกนี้ที่ดูจะมีวิญญาณคนอื่นซึ่งถ้าเธอไม่ถามจะไม่มีทางตอบเด็ดขาดและเมื่อพูดด้วยก็จะตอบกลับมาเป็นคำเหมือนเจ้านายไม่มีผิด จะมีก็แต่ยุนโซที่มักจะหัวเราะและคุยเล่นกับเธออย่างคนปรกติ
“คะ ทำไมถึงเรียกมิ้นว่ามินฮวาหละคะ”
“มันเป็นชื่อเกาหลีของคุณหนูครับ นายท่านเป็นคนตั้งให้ ทำตัวให้ชินไว้นะครับเพราะว่ายังไงตอนกลับไปเกาหลีคงต้องใช้ชื่อนี้หละครับ” ชินยุนโซกล่าวกับเธอทำให้มณิฑิตาใจหายเล็กน้อย...เกาหลีอย่างนั้นหรือ...กลับหรือ...
“แล้วนี่คุณหมอยังไม่เข้ามาดูอีกหรือครับ” ยุนโซยังคงถามต่อไป
“เข้ามาแล้วหละคะ” แต่คำตอบของหญิงสาวกลับทำให้เขาแปลกใจนั่นเป็นเพียงอุบายเพื่อจะให้เธอลงมาที่ห้องเท่านั้นเขาไม่คิดว่าแพทย์จะเข้ามาตรวจจริงๆแต่ยังไงก็ช่างเถอะ...
“แล้วคุณหมอว่าอย่างบ้างครับ คุณหนูหายหรือยัง”
“ก็น่าจะโอเคนะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ดีแล้วครับจะได้แข็งแรง” ยุนโซกล่าว “อย่างนั้นวันนี้คุณฆนูอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับเดี๋ยวผมจะจัดการให้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างใจดีป็นพิเศฦษและต้องการสร้างความสนิทสนมกับเธออีกด้วยเพราะดูถ้าจะรอเจ้านายแล้วชาตินี้ก็คงจะไม่มีทางยอมทำอะไร
“ดีคะ มิ้นอยากทานข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ทอด หมูย่าง...อ๋อ...แล้วก็แพนเค้กด้วยนะคะ” มินฮวาของทุกคนกล่าวอย่างใจคิด ที่จริงแล้วมีของนับ 10 ที่เธอยากจะกินแต่นี่อยู่ในท๊อปลิสต์ที่เดียว
“เออ...อะไรคือส้มตำหรอครับ” ยุนโซถามงงๆเพราะเขายังไม่เคยชินกับอาหารไทย แม้ว่าเขาจะมาเมืองไทยปีละหลายครั้งพร้อมกับลูกพี่แต่ส่วนมากแล้วทั้งหมดจะทานอาหารที่ร้านญี่ปุ้นหรือไม่ก็เกาหลีเขาจึงไม่ค่อยรู้จักอาหารไทยมากนัก
“คือ...มันเหมือนพวกสลัดแต่ว่าเป็นแบบไทยคะ จะเผ็ดๆนิดหน่อย” มินฮวาพยายามอธิบาย
“เอาอย่างงี้ดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องแพนเค้กกับไก่ทอดให้แต่ว่าเรื่องส้มตำไว้ก่อนละกัน ดีมั้ยครับ” พูดจาราวกับหลอกเด็กซึ่งก็ได้ผลเพราะเธอยิ้มรับหน้าบาน เขาจึงขอตัวออกไปหาซื้อของพวกนั้น ลับหลังยุนโซห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดเพราะความเป็นคนพูดน้อยของชินเจ...
“ออกรถ” เสียงทุ้นสั่งเรียบๆกับคนขับก่อนที่รถคันหรูจะค่อยๆเคลื่อนออกจากโรงจอดรถของโรงพยาบาลชื่อดังที่มณีฑิตาอาศัยอยู่ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลังดูสง่าหากแต่เหี้ยมกว่าตอนอยู่ในเสื้อกาวยิ่งนัก ดวงหน้าเรียบสนิทปราศจากแววตาระยับของคุณหมอคิม
“สวัสดีครับคุณหมอ” คุณดลวัชกล่าวเมื่อเข้ามาในห้องพักของลูกสาวเป็นจังกวะเดียวกับที่คุณหมออาวุสโสพึ่งตรวจเสร็จ
“สวัสดีครับคุณดลวัช”
“ลูกมิ้นเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“อาการของคุณมิ้นเธอดีขึ้นมากแล้วนะครับ แต่ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่เล็กน้อยยังไงก็คงยังออกไปข้างนอกไม่ค่อยได้เพราะเชื่อโรคอาจทำให้เกิดโนคแทรกซ้อนได้ครับ” คุณหมออธิบาย
“ครับ”
“เมื่อเช้าเห็นมีคุณหมออีกคนมาตรวจคุณหนูเป็นใครหรอครับ” ชินเจถามคุณหมอเพราะความรอบคอบของเขาที่คอยเตือนตัวเองให้ระมัดระวังเสมอ
“อะไรนะครับ” แพทย์มีอาการงงนิดๆ
“ก็คุณหมอคนเมื่อเช้า เขาเข้ามาตรวจคุณมิ้นบอกว่าคุณหมอไม่ว่างเขาเลยมาดูรอบเช้าแทน”
“เอ...ผมติดประชุมจริงแต่ว่าไม่ได้สั่งใครให้เข้ามาดูแทนนะครับ สงสัยคงเป็นคุณหมอท่านอื่นถูกส่งมาตรวจ จริงๆแล้วก็เพราะระบบปรกติของทางโรงพยาบาลหละครับ” คุณหมอพูด
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของมณีฑิตา ระยะเวลาเดทอนกว่าภายในโรงพยาบาลห้อมล้อมไปด้วยเหล่ามาเฟียที่ไร้วิญญาณช่างดูเหมือนการติดเกาะนับปี สิ่งมีชีวิตอย่างเดียวรอบกายเธอดูจะเป็นชินยุนโซ...อ๋อ...และคุณหมอคิม นอกนั้นดูจะไร้วิญญาณกันไปเสียหมด เจ้าพวกลูกน้องหน้าห้องก็เช่นกันไม่ว่าจะชวนหรือพูดคุยอย่างไรก็ถามคำตอบคำไม่มีการคุยกลับ จนเธอนึกเบื่อสุดขีด...
“นี่...พวกนายนั่นแหละ...มานี่” มณีฑิตาในชุดคนไข้เดินออกมายังห้องนั่งเล่นที่เธอรู้แล้วว่าจะมีคนคอยคุมอยู่ 4 คนขึ้นไปทุกครั้ง แล้วครั้งนี้ก็เช่นกันมีชายร่างใหญ่นั่งเงียบกันอยู่ 4 คน ทุกคนล้วนเหมาะแกอาชีพของตนเพราะหน้าตาทีดูเหี้นมเกรียมบ้างก็ไว้นวดเคราบ้างก็มีรอบแผลเป็นบนหน้า ตอนแรกมณีฑิตานึกกลัวคนพวกนี้แต่หลังจากเวลาผ่านไปเธอได้รู้แล้วว่าคนพวกนี้จะไม่ทำอันตรายเธอไม่ว่าเพราะเหตุใด
“มานี่” เธอยังคงพูดต่อเมื่ทั้งหมดเพียงหันมามองแต่ยังนั่งนิ่ง
“เอ๊ะ!” เธอจึงเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง และเมื่อเดินมาถึงโต๊ะทั้งหมดก็พากันลุกขึ้นยืนพรึบพรับ
“ไม่ต้องพิธีก็ได้ พวกนาย...เล่นไพ่เป็นมั้ย” เธอถามหยั่งเชิง ชายร่างโตทั้งหมดหันหน้ามองกันก่อนหนึ่งในนั้จะหันมาตอบ
“ก็พอได้ครับ”
“ดี!” มินฮวาพูดพร้อมกับดวงตาพราวระยับ
“นายมี 4 ดอกจิกใช่มั้ย” เสียงใสๆถามชายที่มีรอยบางบนแก้มซ้าย
“ไม่มี” เขาตอบพร้อมส่ายหัว
“อะไรกัน!!!! ทำไมพวกนายถึงหน้าตายกันขนาดนี้เนี่ย...” คุณหนูมิ้นพูดหน้ายุ่ง ก็ตอนนี้เล่นไพ่โกหกกันอยู่แล้วพวกนี้ก็นายตายซะขนาดนี้ใครจะไปจับพิรุษอะไรได้
“อะ! นั่นพวกนายโกงหนิ” มณีฑิตาทันเหลือบไปเห็นพอดีตอนที่สองคนกำลังสลับไพ่กัน “มานี่เลย โดนปรับซะดีๆ”
พูดจบชายทั้งสองก็ยอมยื่นมือให้ทุกคนดีมะกอกรอบวงด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าเจ็บพอสมควรแต่ทนไว้เพราะเป็นมาเฟีย ทำให้มณีฑิตาสนุกที่สุดในรอบเดือน
เพราะทุกคนมัวแต่สนใจอยู่กับไพ่ในมือจึงไม่มีใครทันได้ยินเสี้ยงประตูที่เปิดขึ้นและปิดลง จนในที่สุดชายผู้หนึ่งก็เขามายืนอยู่ไม่ไกลจากคนกลุ่มนั้น ยุนโซยืนอมยิ้มมองดูหญิงสาวที่แปลี่ยนหมีควายพวกนี้ให้กลายเป็นหมีพูลได้... เขาอยู่วงการนี้มานานและแท่บจะไม่เคยเห็นมาเฟียอยู่กับเด็กผู้หญิงและดูเป็นมิตรเช่นนี้ ถ้าชินเจมาเห็นจะรู้สึกอย่างไรหนอ...
“เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย” เสียงทักแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กแต่ก็ทำให้บรรดามาเฟียที่พึ่งจะเริ่มผ่อนลายที่จู่ๆถูกคุณหนูชวนมาเล่นไพ่ประหลายตัวเกร็งกันขึ้นมาอีกหนโทษฐานละเลยหน้าที่ แต่แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อยุนโซไม่ได้มีท่าทีโมโหโกรฐาแม้แต่น้อยแต่กลับกำลังยิ้มอารมณ์ดี
“ไพ่โกหกคะ แต่สองคนนี้โกงมิ้นเลยต้องโดนปรับถูกดีดมะกอก”
“หรอ ผมขอเล่นด้วยคนสิ” ยุนโซพูดอารมณ์ดีก่อนที่วงจะถูกขยายเพื่อต้อนรับสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่ง
หลังจากตื่นขึ้นมาเล่นทั้งวันกับเพื่อนๆใหม่ของเธอที่ดูหน้าตาออกจะน่ากลัวไปสักนิดมณีฑิตาก็แบตหมด เพราะเวลาส่วนมากของเธอจะหมดไปกับการพักผ่อนเมื่อมาเจอวันที่ได้เล่นแบบนี้ร่างกายจึงเริ่มเกิดอาการไม่คุ้นเคย ทันทีที่หัวถึงหมอเธอก็หลุดเขาสู่นิทรา
แอ๊ด...กริบ เสียงประตูเปิดและปิดอย่างเบามือก่อนที่คุณหมอหนุ่มในเสื้อกาวสีขาวจะมาหยุดอยู่ข้างตียงของคนไข้แต่ไม่ทันไรเสียงฝีเท้าก็ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง
“โอ๊ะ...โอ...ถูกจับได้ซะแล้วสิ” คุณหมอชินพูดจากับลีชินเจด้วยเสียงราวกับเพื่อนสนิท
“แกมาทำอะไรที่นี่” แต่เสียงของลีชินฮากลับกระด้างต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แกไม่ต้องก่วงชั้นก็แค่มาดู”
“ชั้นว่าแล้วว่าต้องเป็นแก ถ้าแกกล้าแตะต้องหรือทำอันตรายเธอชั้นไม่ปล่อยแกไว้แน่” ลีชินเจกล่าวเสียงเหี้ยม
“ไม่ต้องห่วงชั้นไม่ทำอะไรเธอหรอก น่าตาจิ้มลิ้มน่ารักขนาดนี้ชั้นชักจะหลงรักแล้วสิ” พูดพลางลดมือลงไล้ที่แก้มนวล
“เอามือของแกออกไป” ชินเจสั่งเสียงเข้ม
“ดูเหมือนชั้นกับแกจะมีสเป็คที่ตรงกันนะ ไม่ต้องห่วงชั้นรับปากว่าชั้นจะไม่ทำอะไรเธอหรอก” คุณหมอชินพูดอามณ์ดี
“ออกไป ชอยคิมยู”
“ชั้นไปแน่ แล้วไว้เจอกันวันหลัง” พูดเสียงอารมณ์ดีเสมอต้นเสมอปลายก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์
เมื่อประตูถูกปิดสนิทชินเจที่ยืนคุมเชิงยกมือขึ้นลูบใบหน้า นี่พวกมันมาไกลกันถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะวางใจได้อีกต่อไป เขาต้องพามินฮวากลับไปเกาหลีโดยเร็วที่สุด
“คุณดองวุกครับนี่ก็เป็นเดือนแล้วผมว่าเราน่าจะหาลือกับคุณหมอเรื่องพาคุณหนูกลับเกาหลีได้แล้ว พวกมันเริ่มจะเข้ามาใกล้แล้วผมว่าทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือต้องเร่งพาคุณหนูกลับไปที่เกาหลีเพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว” ชินเจหาลือกับคุณดลวัชทันทีที่เจอกันตอนเช้าของวันใหม่
“ได้ผมจะลองไปคุยกับคุณหมอดู”
คืนนั้นดึกสงัดเวรยามยังคงหนาแน่นเช่นเคย คุณหมอหน้าตาไม่คุ้นเคยเดินเข้าไปยังห้องคนไข้อย่างมืออาชีพจนคนคุมประตูไม่ทันนึกสงสัยในการที่หมอเข้ามาตรวจยามวิกาลและเป็นคนหมอที่ไม่เคยเห็นหน้า เมื่อเข้าไปถึงห้องร่างบางนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ไม่ได้รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะย่ามกรายตนแม้แต่น้อย เข้มฉีดยาถูกล้วงออกมาจากเสื้อกาวตัวยาว น้ำใสๆบรรจุอยู่เกือบเต็มหลอด
ลีชินเจเดินไปตามทางยาวของโรงพยาบาลตรงไปยังห้องพักของมินฮวา ตอนนี้เขาไม่ไหวใจอีกต่อไป ตั้งแต่นี้เขาจะเป็นคนอยู่คุ้มครองเธอเอง เมื่อเดินผ่านลูกน้องที่ยืนอยู่หน้าห้องทั้งสองฝั่งก้มหัวลงแสดงความเคารพ ฝี้เท้ามั่นคงก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเข้าใกล้ประตูห้องลูกน้องคนที่อยู่ข้างประตูเป็นคนบิดประตูให้เปิดออกอย่างคนรู้งาน ทันทีที่เข้าไปถึงห้องเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปรกติ ประตูห้องของมินฮวาที่ถูกเปิดแง้มไว้เสมอหลังจากวันนั้นที่เขาเจอกับคิมยูกลับถูกปิดสนิท หัวใจเต้นแรงเข้ารีบผลักประตูให้เปิดออกและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คนหมอในชุดกาวกำลังจรดปลายเข้มเข้าที่กระบอกน้ำเกลือพอดี
“หยุดนะ!” เขาตวาดเสียงลั่น ดังพอที่จะทำให้ร่างบางตื่นจากนิทราและคนร้ายสะดุ้งที่รู้ว่าตนกำลังจะถูกจับได้
ความคิดเห็น