คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ความเป็น...ความตาย (100%)
เวลาเนินนานที่ใชในการผ่าตัดทำให้แพทย์และพยาบาลทั้งหลายต่างอ่อนแรงไปตามๆกัน สิ่งเดียวที่ปลุกประสาทของคนทั้งหลายให้ยังทำงานคือชีพจรที่ยังคงเต้นอย่างแผ่วเบาจนน่ากลัวว่าจะหยุดลงของหญิงสาว แพทย์ทั้งหลายต่างมองตากันราวกับจะเกี่ยงกันให้เป็นคนบอกข่าวที่ไม่ดีนักกับคุณดลวัชที่ตลอดเวลานั่งรออย่างสงบนิ่งที่หน้าห้องผ่าตัด จนในที่สุดแพทย์ที่อาวุโสที่สุดก็เดินไปพูดกับคุณดลวัชด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า
"การผ่าตัดเรียบร้อยแล้วครับ...แต่...อาการของคุณมณีฑิตายัง..ยังคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ..."
สายตาที่จับจ้องอยู่ที่ร่างของหญิงสาวตวัดมาที่แพทย์ผู้นั้นอย่างรวดเร็วพร้อมคำถาม
"หมายความว่ายังไงที่ว่ายังไม่ค่อยดี"
"คืออาการของเธออาจจะทรุดได้ครับเพราะเสียเลือดไปมากจนร่างกายช็อค ถ้า...ถ้า...ต้องรอดูอาการไปก่อนถ้าพ้นคืนนี้ไปได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา...”
เสียงแผ่วเบาของหมดกลับประทบโสตประสาทของชินเจอย่างจังและสะท้อนก้องไปมาภายในนั้น หน้าคมเข้มเครียดลงกว่าเดิมพร้อมสายตายเยี่ยบเย็น ทุกคนที่หยุดในห้องต่างรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่ ไม่รู้ว่าชะตากรรมของตนเองจะเป็นเช่นไรถ้าหญิงสาวคนนี้ไม่มีโอกาศจะลืมตาขึ้นมาอีก
“ขอบคุณครับ เราจะเข้าไปเยื่อมเธอได้มั้ย” คุณดลวัชกลับกล่าวอย่างสงบสมกับที่เป็นผู้อาวุโส
แพทย์กล่าวอนุญาติก่อนจะหากตัวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ลีชินเจทรุดตัวลงข้างเตียงคนไข้อย่างคนหมดแรง น้ำตาลูดผู้ชายเอ่อคลอที่เบาตาทำให้ภาพที่ปรากฎตรงหน้าพร่าเลือน มือใหญ่เกาะกุมมือของร่างเล็กที่เย็นเฉียบไว้ราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นจากร่างกายพลางเอ่ยเสียงกระซิบกับร่างที่ไร้สติ เธอจะต้องไม่ตายนะ เธอจะตายไม่ได้ ลืมตาขึ้นมาเถอะนะ มินฮวา ...ได้โปรด ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะรู้สึกเจ็บปวดเท่าครั้งนี้แม้เขาจะเคยบาจเจ็บมานับครั้งไม่ถ้วนแต่เจ็บกายเลยไหนจะเท่ากับเจ็บภายในใจ เขาคงจะหมดหวังและเจ็บปวดอย่างรุนแรงถ้าเธอจากเขาไปจริงๆเขาจะทำเช่นไร ในเมื่อเขาพยายามปกป้องเธอมาตลอด...ระยะห่างที่เขาเว้นไว้ตลอด...จะทำไปเพื่ออะไรถ้าเขาต้องหลบอยู่ในเงามืดและในที่สุดจะต้องมามองเธอจากเขาไปอย่างนั้นหรือ แม้เขาจะไม่เคยคิดฝันถึงวันนี้...วันที่เขาจะมีโอกาศจับต้องเธอได้...วันที่เขาจะไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแม้จะรู้ว่าสักวันเธอจะต้องกลับไปอยู่ในที่ของเธอซึ่งไม่ใช่ข้างกายมาเฟียนอกกฎหมายที่มีแต่อันตราย...แต่ไม่ใช่แบบนี้...ต้องไม่ใช่แบบนี้ เหตุใดพระเจ้าจึงทรงโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ได้โปรดทำให้เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง...ได้โปรด
“หมอบอกว่าถ้าพรุ่งนี้อาการเธอยังไม่ดีขึ้นคงจะลำบาก ตอนนี้เธอยังอยู่ในอาการโคม่า เพราะเสียเลือดไปเยอะจนร่างกายเกิดอาการซ็อคขาดอ๊อกซิเจนไปชั่วขณะ”
คุณดลวัชที่พึ่งพูดคุยกับแพทย์เสร็จเดินเข้ามาภายในห้องปลอดเชื้อซึ่งหมอยังเก็บตัวหญิงสาวไว้ดูอาการที่นั่น
“ครับ” ชินเจรีบปรับอาการทุกอย่างให้เป็นปรกติแต่ก็ยังไม่สามารถรอดพ้นสายตาของผู้สูงวัยกว่าไปได้แม้จะทำเป็นไม่เห็นก็ตาม
“หมอบอกว่าเราไม่ควรอยู่ในนี้นานเพราะจะเป็นการรบกวนผู้ป่วย ไปเถอะ”
คุณดลวัชหรือดองวุคเดินเข้าไปดูอาการหญฺงสาวเพียงชั่วครู่ก่อนจะชักชวนชายหนุ่มให้ออกไปจากที่นั่น
ทั้งคู่ตื่นมาเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมงแล้วแม้จะรู้สึกอ่อนเพลียมากมายขนาดไหนแต่ความรู้สึกเป็นห่วงในตัวหญิงสาวมีมากกว่าจึงไม่สามารถข่มตาให้ปิดลงได้ ท้องฟ้าค่อยๆแปรเปลี่ยนสีส้มที่แรงกลางของพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงจนในที่สุดดวงจันท์และหมู่ดาวน้อยใหญ่ก็ได้โอกาศออกมาส่องประกายอวดโฉมกันอีกครา ร่างสูงของชินเจอยู่ในชุดเสื้อเชิตร์สีดำตัวเดิมซึ่งปราศจากเสื้อสูทที่สวมมาเป็นวันที่สองแล้ว ภายนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมปลอดเชื้อสีเขียวแบบที่บังคับของโรงพยาบาลเมื่อต้องการเข้าไปเยี่ยมคนไข้ในห้องปลอดเชื้อ ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างกายโดยที่มาสามารถละสายตาไปจากร่างบางได้เลย เขาอยู่เฝ้าหญิงสาวมาตลอดโดยอ้าวหน้าที่ที่เขามาเมืองไทยก็เพื่อมารับตัวเธอและยิ่งตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาลตกเป็นเป้านิ่งของพวกคนร้ายจึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องไปที่ไหนนอกจากอยู่ที่นี่ ส่วนทางด้านดองวุคชายวัยกลางคนรอจนถึงเช้าจึงจากไปเพื่อจักการเรื่องที่บริษัททุกอย่างให้เข้าที่ก่อนที่จะทิ้งเดินทางกลับไปเกาหลีได้โดยที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะยุติลงเมื่อใด มือใหญ่ค่อยๆลูบปลอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าของหญิงสาวที่หลับไหลไม่ได้สติอย่างเบามือ ดวงตาเข้มทอดประกายห่วงใยอย่างลึกซึ้ง ราวกับจะสื่อถึงกันได้...ร่างที่หลับไหลไม่ได้สติมากว่าสองวันเต็มค่อยๆขยับเบาๆ ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆอย่างยากเย็นภายใต้สีหน้าที่ยินดีอย่างที่สุดของลีชินเจ ภาพทุกอย่างดูพล่ามัวเนื่องจากยังไม่ได้สติเต็มที่นัก หญิงสาวเห็นเพียงแต่ร่างสูงใหญ่ที่ดูรางๆว่าน่าจะเป็นผู้ชายก้มลงมาหาเธออย่างยินดีพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"มินฮวารู้สึกเป็นยังไงบ้าง"
ในวินาทีแรกที่เห็นเค้ารางๆและได้ยินเสียง...เสียงที่ฟังดูอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างประหลาด...หญิงสาวแน่ใจว่าร่างสูงที่ยินดีกับการฟื้นขึ้นมาของเธอนั้นต้องเป็นพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย...ไม่ใช่สิ...คุณดองวุคต่างหาก...เขาไม่ใช่พ่อของเธอ...
แต่เอ๊ะ!!...เสียงแบบนี้ไม่ใช่เสียงของคุณพ่อหนิ...และคำที่ม้ชเรียกหาก็ต่างไปจากเดิม...มินฮวา...ชื่อของใครกัน...แต่จะมีใครที่จะยินดีกับหารฟื้นขึ้นมาของเธออีกหละถ้าไม่ใช่คุณพ่อ...แล้วคนพวกนี้เป็นใครกัน...เสียงถามอะไรเซ๊งแซ่ที่เธอยังจับใจความไม่ได้...ภายใต้ความคิดอันเลือนลางและสมองอันงุนงงมณีฑิตาหมดสติลงไปอีกครั้งหนึ่ง
บรรดาแพทย์ทั้งหลายต่างรีบวิ่งกันอย่างสุดชีวิตมาตามเสียงเรียกเพื่อมาดูอาการของหญิงสาว หลังจากใช้เวลาตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง แพทย์ทุกคนต่างโลงใจที่หญิงสาวรู้สึกตัวแล้วเพราะเป็นสัญญานที่ดี...โซยุนเป็นคนแรกที่รีบโทรไปบอกข่าวดีแก่ดองวุคซึ่งรุดมาที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็วเพื่อมาดูอาการของสาวน้อยที่เขารักราวกับลูกแท้ๆ เขาพบแพทย์เพื่อถามไถ่อาการของหญิงสาวเนื่องจากลีชินเจใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีนักจึงไม่สามารถเข้าใจหมอได้ดีเท่ากับเขา
“ลูกสาวของผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ” ชายวัยกลาวคนถามคุณหมอใหญ่
“คุณมิ้นอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ว่า...เรื่องที่คุณดลวัชต้องการย้ายเธอ...ร่างกายของเธอยังไม่พร้อมครับ อย่างน้อยก็ต้องรอสัก 2 อาทิตย์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวก่อน แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่า 2 อาทิตย์จะเพียงพอหรือปล่าว แล้วตอนนี้เราก็ต้องรอคุณมิ้นตื่นก่อนเพื่อจะได้ดูอาการ เพราะตอนที่ช็อคไปสมองขาดอ็อกซิเจนพวกเรายังไม่แน่ใจว่าสมองของเธอเสียหายหรือไม่ แล้วก็ยังมีอีกหลายประการครับ แต่โดยรวมแล้วแค่เธอขยับตัวลืมตาขึ้นมาได้ชั่วครู่เมื่อกี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้ว” คุณหมดสาธยายอธบายให้คุณดลวัชเข้าใจ
“ครับ แล้วตอนนี้เธอยังตั้องอยู่ในห้องนั้นต่อไปหรือปล่าว ถ้าเราจะย้ายเธอไปห้องส่วนตัวได้หรือยังครับ”
“เดี๋ยวผมขอให้คุณมิ้นเธอพักดูอาการในห้องนั้นไปก่อนแล้วถ้าเธอฟื้นอีกครั้ง ผมจะขอตรวจอาการอีกทีถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงผมจะให้เธอย้ายไปนะครับ
เมื่อมณีฑิตาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบกับสายตาอารีของคุณดลชัยที่นั่งเฝ้าเธออยู่ข้างเตียงคนไข้เพียงผู้เดียวและมีพยาบาลอีกคนอยู่ไม่ห่าง
“เป็นยังไงบ้างมิ้น เดี๋ยวพ่อให้พยาบาลไปบอกหมอให้นะ” ชายวันกลางคนใช้สรรพนามเดิมเพราะพยาบาลที่นั่งอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาทันทีที่เห็นหญฺงสาวขยับตัว
“คุณพยาบาลช่วยไปตามคุณหมอให้หน่อย ช่วยบอกด้วยว่าคุณมิ้นฟื้นแล้ว”
พยาบาลคนดังกล่าวรีบรับคำและออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานคุณหมออาวุโสคนเดิมก็กลับเข้ามาภายในห้องปลอดเชื้อก่อนที่จะตรวจหญฺงสาวอย่างละเอียดอีกครั้ง คราวนี้ไม่ตรวจปล่าวคุณหมอยังถามคำถามและให้เธอลองทำอะไรง่ายๆหลายอย่างเพื่อทดสอบอาการตอบสนองของเธอ ซึ่งออกมาเป็นที่น่าพอใจแพทย์คนดังกล่าวจึงอนุญาติให้ย้ายคนป่วยไปที่ห้องคนไข้พิเศษ
บุรุษพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับเข็นเตียงคนไข้ออกไปและทันทีที่ออกมาหน้าห้องมณีฑิตาก็ต้องตกใจกับผู้ชายกลุ่มใหญ่ในชุดดำที่ยืนเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ทันทีที่เตียงของเธอเข็นผ่านสองคนแรกที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันชายหนุ่มทั้งคู่ก็เดินตามเธอไล่เป็นเช่นนี้ตอนทั้งสาย ในที่สุดเตียงคนไข้พิเศษรายนี้จึงมีคนเดินนำอยู่ 4 คน พร้อมกับบอดี้การ์ดตามหลังอยู่อีก 12 คน พยาบาลที่ดูชั้นนี้คงรู้สึกโล่งใจที่คนน่ากลัวกลุ่มนี้ออกไปจากชั้นของพวกเธอได้ ตลอด 3 วันที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ปักหลักกันอยู่หน้าห้องราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะพลัดเปลี่ยนกันไปทุกๆ 5 ชั่วโมง ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายมารอรับเธอแต่คนเดียวที่มณีฑิตาไม่เห็นคือชายหนุ่มที่บอกว่าโดนส่งมาดูแลเธอ...ลีชินเจ หายไปไหน เธอมั่นใจว่าหลายครั้งที่สติของเธอหลับคืนมาเขาเป็นคนที่อยู่ข้างๆแต่ทำไมเมื่อเธอรู้สึกตัวอย่างเต็มที่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
ไม่นานสาวน้อยก็ถูกนำตัวมาถึงห้องพิเศษที่อยู่ชั้นบนของโรงพยาบาลชื่อดัง ห้องพิเศษนี้เป็นห้องหว้างดูราวกับเป็นโรงแรมหรูแม้แต่พาปูที่นอนก็เป็นของเธอเองที่นำมาจากบ้าน จึงทำให้คนป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นราวกับไม่ได้อยู่โรงพยาบาล ห้องทั้งห้องถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วน ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปในห้องตรงกลางพื้นที่ใหญ่ถูกทำเป็นบริเวณรับแขกซึ่งดูเหมือนของนั่งเล่นหรู แยกไปทางขวาเป็นห้องของคนป่วยซึ่งมีห้องน้ำในตัวและมีระเบียงกว้าง ตรงกันข้ามถ้าแยกซ้ายจากห้องนั่งเล่นจะเป็นบริเวณห้องนอนอีกห้องซึ่งเป็นของคนมาเฝ้าไข้มีห้องน้ำในตัวเช่นเดียวกันหากแต่ไม่มีระเบียง ห้องทั้งห้องมีเรื่องอำนวยความสะดวกครบครันตั้งแต่ทีวี ตู้เย็น และ รวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมด้วยอินเตอร์เน็ทความเร็วสูง เมื่อนำหญิงสาวมาส่งถึงห้องบุรุษพยาบาลก็รีบจากไป บอดี้การ์ด 12 คนรออยู่ภายนอกส่วนอีก 4 คนตามเข้าไปยังในห้อง ต่างก็แยกย้ายกันไปตรวจสอบราวกับจะให้แน่ใจว่าทั้งห้องนั้นปลอดภัย เมื่อเสร็จสิ้นก็ไปรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น คุณดลวัชอยู่ในห้องคนไข้กับคนป่วย
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างลูก...คุณหนู” ชายวัยกลางคนถาม
“มิ้นรู้สึกีขึ้นแล้วคะ คุณพ่อเรียกมิ้นแบบเดิมได้มั้ยคะ มิ้นก็จะเป็นลูกสาวขอคุณพ่อเหมือนเดิม” สาวน้อยเอ่นเสียงเครือปนออดอ้อนอย่างที่เธอชอบทำในวัยเด็กเมื่อจะขออะไรสักอย่าง ทำให้ชายหนุ่มที่สูงวัยกว่าชะงักไปด้วยความรู้สึกสะท้าน เสียงของเขาหายไปเพราะมีก้อนแข็งๆมาจุกอยู่ที่ลำคอ มีหรือเขาจะไม่ต้องการลูกสาวคนนี้แต่ว่า...เขาควรหรือไม่ในเมื่อตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็ถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว แต่คงยังไม่เป็นไรในเมื่อที่นี่ยังคงเป็นประเทศไทยเขาจะขอหลอกตัวเองไปอีกสักพัก
“ครับ”
“แล้วมิ้นหลับไปนานเท่าไหร่คะคุณพ่อ” หญิงสาวเริ่มอ้าปากด้วยเสียงสดใสอีกครั้ง
“3 วัน กว่าหนูจะฟื้นเล่นทำเอาคนอื่นเป็นห่วงกันไปหมด หมอว่าหนูเสียเลือดไปเยอะและก็ช็อคไป”
“อ๋อ...แล้วนี่เมื่อไหร่มิ้นถึงจะกลับบ้านได้หละคะ” หญิงสาวเพียงรับคำก่อนจะถามถึงสิ่งที่อยากรู้แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียแต่เธอนอนมา 3 วันเต็มเธอยังไม่อยากที่จะกลับไปเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบเก่า
“อย่างต่ำก็ต้อง 2 อาทิตย์อาการหน้าจะดีขึ้น แต่ว่ากว่าจะแข็งแรงพอขึ้นเครื่องคงจะนานกว่านั้น”
“ขึ้นเครื่อง!? ทำไมมิ้นตรงขึ้นเครื่องด้วยคะ” มณีฑิตาถามด้วยความงงงวย
“อย่างที่รู้กันอยู่ว่าหนูกำลังถูกตามล่า การกลับไปเกาหลีจะเป็นอะไรที่ปลอดภัยกว่าอยู่ที่เมืองไทย” คุณดลวัชอธิบาย
“จะปลอดถัยกว่ายังไงกันคะ ในเมื่อพวกนั้นอยู่เกาหลีถ้าเราอยู่เมือไทยสิห่างกันน่าจะปลอดถัยกว่าอีก ไม่เอานะคะยังไงมิ้นก็ไม่ไป” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอ่ยเสียงแข็งเพราะชินกับการถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก
“มิ้น” คุณดลวัชเริ่มเสียงแข็งบ้างและมณีฑิตารู้ดีเมื่อคุณดลวัชเอ่ยเสียงนี้แปลว่าเขาจะไม่ยอมเธอ ซุ่งก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเขาเอ่ยว่า “ถ้ายังเป็นพ่อเป็นพ่อของมิ้น มิ้นต้องกลับไปเกาหลีกับพ่อ”
“คุณพ่อ...” อะไรกัน...คุณดลวัชไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้กับเธอมาก่อน “มิ้นไปด้วยก็ได้” ทำให้เธอต้องยอมจำนน
เมื่อเห็นลูกสาวทำท่าเสียใจคุณดลวัชอดใจอ่อนไม่ได้จึงพูดด้วยเสียงอ่อนลงพร้อมกับพยายามอธิบาย
“มิ้น...ที่นี่เราไม่มีคนพอนักลูก ที่เกาหลีตอนนี้ในแก็งค์ก็กำลังมีปัญหา ชินเจเขาจะทิ้งไปนานไม่ได้ แค่มารับตัวลูกในแก็ง์ก็คงปั่นป่วนน่าดู ที่เมืองไทนไม่ใช่พื้นที่ของแก็งค์เราความปลอดภัยของหนูก็จะน้อยลง ถ้ากลับไปที่เกาหลีคนของเราจะมีมากกว่านี้ เข้าใจด้วยนะ ที่ทำทั้งหมดเพราะว่าเราเป็นห่วงหนูนะลูก”
แอ็ด...ปัง
เสียงประตูถูกเปิดและปิดลงพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าลงไม่หนักหากแต่สม่ำเสมอที่มณีฑิตาได้ยิน หากแต่ฝีเท้าดังกล่าวหยุดอยู่เพียงหน้าห้องก่อนเธอจะได้ยินเสียงทุ้มดังเขามาเป็นภาษาเกาหลีแต่เพราะความเบาทำให้เธอจับใจความไม่ได้ เพียงไม่นานเสียงทั้งหมดก็เงียบลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าเดิมที่เดินจากไป มณีฑิตารู้สึกอยู่ในใจว่ามันเป็นเสียงของเขา...นั่นเป็นเสียงของลีชินเจ...แต่หุใดเขากลับไม่เข้ามาเยี่ยมเธอ ไม่แม้แต่จะเข้ามาดูสักนิด คิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ...อะไรกัน...นี่ไม่ใช่วิสัยของบอดี้การ์ดที่ดีสักหน่อย
“พักก่อนละกันนะลูกจะได้หายเร็วๆ” คุณดลวัชพูดกับลูกสาวซึ่งเธอก็ยอมหลับตาลงโดยดีเพราะความอ่อนเพีลยที่บัดนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ได้เรื่องเป็นยังไงบ้าง” คุณดลวัชที่ตอนนี้กลับมาเป็นดองวุคถามกับชินเจ
“เมื่อตอนบ่ายผมตามไปจนเจอพวกมันจัดการไปได้หลายคน แต่น่าเสียดายที่ลูกพี่มันหนีรอดไปได้ ยังไงเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่ดูถ้าพวกมันคงพากันมาอีกเยอะแน่ๆ” ชินเจกล่าวเสียงเครียด เขาให้โซยุนตามไปสืบหาที่อยู่ของพวกคนร้ายและก็ตามไปจัดการกับพวกมันแต่เสียดายที่พวกคนร้ายไหวตัวทันหนีไปก่อนจึงจัดการได้ไม่เยอะ เขาเค้นออกมาได้จากพวกกระจอกคนหนึ่งว่าตอนนี้พวกมันกำลังจะเอาคนมาเพิ่มซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย ดองวุคที่ปรกติสุขุมมาตลอดเริ่มมีสีหน้าจรึงเครียดลงเช่นเดียวกัน
“แล้วนี่คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่แป็นไรหรอก มีแค่ลอยถลอกนิดหน่อยไม่หนักหนา ยังไงผมขอตัวไปจัดการกับตัวเองก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะกลับมาที่นี่ใหม่ ผมให้โซยุนกับซอนวูอยู่ที่นี่ด้วยถ้าเผื่อมีอะไรก็โทรหาผมทันทีแล้วผมจะรีบมานะครับ” ชินเจกล่าวอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินจากไป
เมื่อมาถึงที่จอดรถของโรงพยาบาลชายหนุ่มไขกุญแจเข้าไปนั่งในรถสีดำที่เขาใช้เป็นภาหนะตลอดมาหลังจากที่ใช้หนีพวกคนร้ายในคืนนั้น คอที่ปรกติตั้งตรงกลับซบลงกับพวงมาลัยตรงหน้า...แววตาที่ปรกติดุดันเรียบลึกบันนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์...ทั้งดีใจ...เสียใจ...โล่งอก...และเจ็บใจ ดีใจ...ที่เธอปลอดภัย...เสียใจ...ที่เขาไม่สามารถดูแลเธอให้ดีกว่านี้ได้...โล่งอก...ที่ฟื้นขึ้นมา...และเจ็บใจ...ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปเยื่อมเธอ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติรถสีดำแล่นทะยานออกไปอย่างรวดเร็วจุดหมายคือโรงแรมที่พัก ทันทีที่กลัยมาถึงห้องชายหนุ่มตรงดิ่งไปห้องอาบน้ำ เขาอยู่ในขุดเดิมมาเป็นเวลา 3 วันแล้วและแท่บไม่ได้พักผ่อน สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดตอนนี้คือการนอนหลับและเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากอาบน้ำเสร็จชินเจตรงดิ่งไปยังเตียงใหญ่หลังนุ่มก่อนที่จะล้มตัวลงนอนและนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ก่อนจะจมดิ่งลงสู่นิทราอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถ้าพวกคนร้ายแอบย่องเขามาร่างสูงที่นอนหลับอยู่บนเตียงกว้างก็คงจะไม่สามารถรับรู้ได้เพราะความอ่อนเพลีย
เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้ากลับมืดมิดมีเพียงแงดาวที่แข่งกันส่องประกาย เมื่อขยับนาฬิกามาดูก็พบว่าเป็นเวลา ตี 4 ของวันใหม่ ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องน้ำเพียงไม่นานก็กลับออกมาในชุดใหม่ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสีเข้มและเสื้อสูธเข้าชุด แต่แทนที่จะออกจากหลังพักเขากลับไปหยุดอยู่ที่ระเบียงของห้อง กรุงเทพยามค่ำคืนช่างสวยงาม แสงไฟจากตึกน้อยใหญ่ส่องปรากยใบวับ เวลาตี 4 กว่าๆเริ่มมีรถออกมาวิ่งบนถนนแล้วแต่ก็ยังไม่ชุลมุม ช่างเป็นคำคืนที่สวยงาม...ประเทศนี้เขาเคยเดินทางมาแล้วเกือบทั่วโลกแต่ประเทศนี้เป็นประเทศที่เขาเคยมาเยือนบ่อยที่สุด ทั้งติดตามนายท่านมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กและมาเองเมื่อมีเวลาว่าง เขายังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าลงบนประเทศนี้ ครั้งนั้นเขามีอายุเพียง 12 ปี นายท่านพาเขามาที่นี่ไม่ได้มาทำงานแต่เพื่อมาเจอคนๆหนึ่งซึ่งเขาเฝ้าอยากจะพบเจอมาทุกคืนวันหลังจากนั้น คนๆนั้นที่นายท่านมาเจอ...ตามภาษาเด็กเขาเข้าใจว่าต้องไปพบปะแบบเดียวกับที่นายท่านไปบ่อยๆนั่งทานอาหารกันเป็นเวลานานๆหรือเล่นกอล์ฟด้วยกัน แต่คนๆนี้แปลกไปกว่าคนอื่นๆเธอเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆวัยประมาณ 5 ขวบ เขางงงวยกับการ “เจอ” ของนายท่าน มันช่างแปลกประหลาดเพราะนายท่านเพียงแต่ให้คนขับรถตามดูเธอไม่เคยที่จะเข้าไปทักทายจนเขานึกสงสัยว่าทำไม
“ท่านมาเจอกับใครครับ” เสียงเล็กๆถามด้วยความสงสัย
“นู่นยังไงหละ เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ใส่ชุดสีชมพูดมั้ย” ชายกลางตนลดตัวคุกเข่าลงมาให้เสมอกับร่างเล็กก่อนจะชี้ให้ดูเด็กหญิงวัยน่ารักที่กำลังยืนอยู่ข้างรถขายไอติม แต่เพราะตัวที่เล็กกระจ้อยทำให้ไม่สามารถเห็นของที่อย่างข้างในและเด็กคนๆอื่นๆที่ตัวสูงกว่าก็รุมกันอยู่เต็มคันรถ ร่างเล็กๆจึงไม่สามารถพาตัวเองเข้าไปได้
“เห็นครับ แล้วทำไมท่านไม่ไปคุยกับเธอ” เด็กชายถามด้วยความไม่เข้าใจ
“วันหนึ่งเธอจะเข้าใจเอง จำไว้นะสำหรับมาเฟียแล้วความรัก...คือการปล่อยคนที่เรารักที่สุดไป เรา...จะต้องเว้นระยะห่างไว้เสมอ”
แต่เด็กชายไม่สามารถเข้าใจกับประโยดังกล่าว “ดูเธอสิตัวก็เล็กจะไปเบียดกับพวกนั้นได้ยังไง” เด็กชายพึมพำเสียงเบา
ชายวัยกลางคนไม่ตอบแต่กลับถามแทน “เธออยากไปช่วยเค้ามั้ย” เด็ชายเงยหน้าขึ้นดวงตากลมโตจ้องที่ชายสูงวัยก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ก็เด็กหญิงตัวเล็กดูยังไงๆก็ไม่น่าจะเบียดกับใครไหวแต่กลับไม่ย่อท้อเพราะแรงอยากกินไอติม เมื่อเขาเห็นก็รู้สึกว่าน่ารักดี ตัวกลมๆเตี้ยๆเหมือนกระปุกตังฉ่ายหน้าตาจิ้มลิ้ม
“นี่!! ชั้นช่วยมั้ย” ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้เด็กชายก็เอ่ยปากถาม เด็กหญิงตัวเล็กหันหน้ากลับมาพร้อมกับร้อยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรที่ทั้งชีวิตเขาแท่บจะไม่เคยเห็น เด็กชายตัวโตกว่าอุ้มน้องตัวเล็กเดินฝ่าเด็กคนอื่นๆเข้าไปยังตู้ไอติม เด็กหญิงรีบชะโงกหน้าลงไปแท่บจะตกลงไปในถังไอติม ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับไอติมสองแท่งในมือ เธอหันมามองหน้าเขาอย่างจะบอกว่าเสร็จแล้ว เด็กชายอุ้มเธอไปยังคนเก็บเงิน เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างเขาปล่อยเธอลงหมายจะเดินจากไปแต่ร่างเล็กยึดชายเสื้อของเขาไว้ทำให้เด็กชายหันไปมอง เด็กหญิงตัวเล็กๆพร้อมกับร้อยยิ้มที่เป็นมิตรที่สุดและสวยที่สุดเท่าทีเขาเคยเห็นกำลังยืนไอติมแท่งหนึ่งมาตรงหน้าก่อนจะพูดว่า
“ของพี่” เสียงเล็กๆแผ่วเบากลับดังลึกเข้าไปในจิตใจ ครั้งแรกในชีวิตที่ใครสักคนจะให้อะไรแก่เขา ตลอดชีวิตที่อยู่ในบ้านสงเคราะห์เด็กทุกอย่างมีแต่แก่งแย่งกัน แต่เด็กหญิงตัวเล็กๆคนนี้กำลังแบ่งปันและหยิบยื่นสิ่งของให้แก่เขา นับตั้งแต่นั้นเขาก็ตั้งตาคอยที่จะพบเธอเสมอมาเพราะรอยยิ้มกว้างที่ไร้เดียวสาได้ตราตรึงอยู่ในใจของเขาตลอดมา แต่เสียงๆหนึ่งก็เตือนใจเขาให้ต้องยับยั้งตลอดมาเช่นกัน...บัดนี้เขาพึ่งเข้าใจ...ระยะห่าง...คนที่อยู่ในโลกมืออย่างเราต้องเว้นระยะห่างไว้เสมอ...จำไว้นะชินเจ
ความคิดเห็น