ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Only love...ก็แค่รัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ประเทศจีน

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 51


                สนามบิน เถาเซียน ณ มณทณ เส่อนหยาง ประเทศจีนนั้นแน่นขนันไปด้วยประชาชนชาวไทยที่เดินทางไปเที่ยวต้อนรับปีใหม่      สนามบินที่คับแคบรองรับผู้คนเพียง 200 กว่าคนก็แท่บจะเรียกได้ว่าเบียดเสียดกันมากทีเดียว      ด่านตรวจคนเข้าเมืองแถวยาวเยียดคนที่ได้กระเป๋าเดินทางของตนเองแล้วต่างรีบรุดไปเข้าแถว      เสียงของหัวหน้าทัวเกือบ 10 คนดังโหวกเหวกเรียกลูกทัวของตน      พัชรพรพยายามมองหาธงสีแดงที่หัวหน้าทัวของเธอเป็นคนถือหลังจากผ่านด่านตรวจคนแล้ว      ก่อนจะมองเห็นมันลอยเด่นอยู่ด้านหลังพร้อมกับเสียงดังประกาศให้ลูกทัวทุกคนมารวมกัน

    ทางนี้คร้าบ...EZ travel เชิญทางนี้ครับ     หัวหน้าทัววัยห้าสิบปลายประกาศอย่างคล่องแคล่ว

    ผมขอเช็คจำนวนหน่อยนะครับ       ท่านไหนอยู่ช่วยขานรับด้วยนะครับ     ว่าแล้วหัวหน้าทัวก็ทำหน้าที่เรียกชื่อทุกคนจนครบจำนวน 23 คน

    เอาหละครับ      ครบแล้วนะครับนี่คือไกด์สาวของเรานะครับกรุณาเดินตามไปเลยครับ     คุณหัวหน้าทัวกล่าวก่อนที่บรรดาลูกทัวทั้งหลายจะเข็นรถตามกันออกไปเป็นกลุ่ม     กลุ่มของพัชรพรเสร็จเป็นคณะแรกในขณะที่ทัวของบริษัทอื่นยังคงสับสนวุ่นวาย

     

    เอาหละครับ      ต่อไปนี้อีก 7 เราจะต้องอยู่ด้วยกัน      ผมสมศักด์นะครับเรียกสั้นๆว่าศักดิ์ก็ได้ครับ      ยังไงซะตลอด 7 วันข้างหน้าผมจะพยายามดูแลทุกท่านให้ดีที่สุดถ้ายังไงซะมีข้อบพพร่องผมต้องขอกล่าวขอโทษไว้ก่อนเลยนะครับ      เอาหละครับเดี๋ยวผมขอแนะนำก่อนนะครับ      อย่างที่กล่าวไปแล้วผมศักดิ์      นี่คือไกด์ท้องถิ่นสาวสวยประจำรถ ซุ่ยเจิน       และนี่คนขับรถ จางเปา        พวกเค้าจะอยู่กับเราตลอด 7 วันเช่นกันเราจะใช้รถคันนี้ตลอดจนวันกลับเพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะทิ้งของบางส่วนอย่างเช่นหมวกหรือเสื้อกันหนาวไว้บนรถก็ทำได้นะครับ      ผมก็พูดมาพอสมควรแล้วต่อไปนี้ก็ให้ซุ่ยเจินขึ้นมาพูดบ้างละกัน     ไกด์ชาวไทยวัย 50 เศษกล่าวทั้งหมดก่อนจะยื่นไมโครโฟนให้กับไกด์ชาวจีน

    สวัสดีคะ     ดิชั้น ซุ่ยเจิน      เมืองจีนขอต้อนรับทุกท่านนะคะ      พวกเราจะบริการให้ดีที่สุดให้พวกคุณได้รับความประทับใจอย่างที่สุดคะ      ไกด์ท้องถิ่นซึ่งพูดภาษาอังกฤษแท่บจะไม่ได้กล่าวออกมาเป็นภาษาจีนซึ่งไกด์ชาวไทยทำหน้าที่ล่ามช่วยในการสื่อสาร

    ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้วเราจะไปทานอาหารเที่ยงกันก่อนที่จะเริ่มโปรมแกรมท่องเที่ยงของวันนี้นะคะ     อีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงร้านอาหารขอเชิญทุกท่านพักผ่อนกันก่อนนะคะ     ไกด์สาวกล่าวก่อนจะวางไมค์

     

                 อากาศช่วงคาบเกี่ยวปลายปีและต้นปีของประเทศจีนนั้นสุดแสนจะนานเหน็บแม้จะไม่ใช่ช่วงที่หนาวที่สุดของปีแต่ก็หนาวพอที่จะทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวแท่บจะทนไม่ไหว      โปรแกรมเที่ยวอันแรกของวันซึ่งถูกจัดไว้ในช่วงบ่ายนี้จึงเป็นไปอย่างไม่คึกคักเท่าที่ควร      การชมพระราชวังของกษัตริย์แมนจูนั้นเป็นไปอย่างจืดชืดลูกทัวทั้งหลายทำท่าอยากจะจบการทัวครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด      ไกด์สาวเจ้าถิ่นอธิบายเสียงเจื้อยแจ้วเป็นภาษาจีนก่อนที่จะถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยล่ามจำเป็น     ลูกทัวบ้างก็ตั้งใจฟังแต่บ้างก็ทนอากาศที่หนาวไม่ไหวแท่บจะต้องวิ่งหาที่หลบลมหนาวอยู่ร่ำไปจนแท่บจะไม่ได้สนใจประวัติที่มีมาแต่ยาวนานของพระราชวังแห่งนั้น      แม้แต่พัชรพรเองที่สนใจประวัติศาสต์และพยายามที่จะตั้งใจฟังมาตั้งแต่ต้นแต่พอมาถึงช่วงกลางของการเยี่ยมชมก็เริ่มสมาธิแตกเพราะนิ้วเท้าที่เริ่มจะแข็งจนเจ็บทั้ง 10 นิ้ว      เพราะรองเท้าที่เธอใส่เป็นเพียงรองเท้ากีฬาธรรมดาจึงไม่สามารถต้านทานอากาศหนาวเหยียบ -10 องศาของเมืองเส่อนหยางได้       บริเวณวังที่กว้างใหญ่ทำให้ตึกทุกตึกดูช่างห่างกันลงผลให้ที่โล่งนั้นมากมาย      ทุกครั้งที่คณะเดินมาพบกับที่โล่งอากาศที่หนาวเหน็บอยู่แล้วยิ่งหนาวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะลมเย็นที่พัดผ่านกรี๊ดเข้าไปในผิวใต้เสื้อกันหนาว      

     

                  วันทั้งวันเป็นไปอย่างจืดชือเพราะอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจกับการเที่ยวชมสักเท่าไหร่นัก      เพราะลูกทัวเตรียมอุปกรณ์ต่อสู้กับอากาศหนาวมาไม่พอเหล่าไกด์ทั้งหลายจึงโชคดีได้มีโอกาศพาเหล่าแมงเม่ากลุ่มใหญ่ไปยังร้านขายเครื่องกันหนาวซึ่งไกด์ทุกคนล้วนได้เปอร์เซ็นจากของที่ทางร้านขายทั้งสิ้น      สิ่งที่ทุกคนในกลุ่มซื้อเห็นจะเป็นรองเท้าสำหรับใส่ในหิมะซึ่งจะมีข้อแตกต่างจากร้องเท้าทั่วไปตรงที่กันหนาวและกันลื่นได้ดีกว่า      รองเท้ามีลักษณะเหมือนบู๊ททว่าเทอะทะกว่าและสูงเพียงครึ่งน่อง        โรงแรมที่พักในคืนแรกนั้นนับว่าดีใช้ได้อยู่ในระดับ 4-5 ดาวเพราะข้าวของเครื่องใช้ที่ครบครันและห้องนอนที่กว้างขวาง      พัชรพรไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรแต่สำหรับเธอและมารดาคุณศศิพรแล้วแท่บจะสลบในทันทีที่หัวถึงหมอเพราะตลอดการเดินทางเมื่อคืนพวกเธอแท่บจะนอนไม่หลับกันเลยบนเครื่องเพราะที่นั่งที่แสนจะไม่สบาย

     

                  รุ่งเช้าทั้งคู่ตื่นนอนด้วยความรู้สึกที่สดชื่นขึ้นกว่าเดิมเพราะได้นอนเกือบ 8 ชั่วโมงในคืนที่ผ่านมา      พัชรพรและมารดาเร่งอาบน้ำเพื่อลงไปทานอาหารเช้าของทางโรงแรมซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ทานได้ไม่อั้น     ทั้งคู่ทานกันอย่างไม่รีบก่อนจะกลับขึ้นห้องอีกครั้งเพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนจะพร้อมออกไปต่อสู้อากาศหนาวของวันใหม่ซึ่งคราวนี้ทั้งคู่ได้เตรียมพร้อมไว้ดีกว่าเมื่อวานมากนัก

                 พัชรพรที่เมื่อวานใส่เพียงเสื้อแขนสั้นทับด้วยแจ็กเก็ตหนังตัวสั้น กางเกงยีน และรองเท้ากีฬาในวันนี้เตรียมพร้อมรบสุดขีดในชุด เสื้อไหมพรมตัวหนาสีม่วง เสื้อโค๊ตตัวยาวถึงเข่าสีขาวและรองเท้าสำหรับเดินในหิมะที่เธอซื้อมาเมื่อวานและตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วจะจะต้องใส่ทุกวันหลังจากนี้เพราะมันช่วยได้เยอะเหลือเกิน       คุณศศิพรก็ไม้แพ้กันในการเตรียมพร้อมสำหรับวันนี้เครื่องกันหนาวมีเท่าใดถูกขนออกมาใช้จนหมดสิ้น      เมื่อพร้อมรบแล้วทั้งคู่จึงช่วยกันขนกระเป๋าใบโตไปยังชั้นล่างเนื่องจากต้องเปลี่ยนโรงแรมกันเพราะว่าต้องเดินทางไปเมืองอื่น

     

    สวัสดีครับทุกท่านเมื่อคืนนอนหลับกันสบายมั้ยเอ่ย...ลองตรวจสอบตัวเองดูนะครับว่ามีท่านใดลืมอะไรไว้ในห้องหรือปล่าว      สร้อยอยู่ที่คอมั้ย...แหวนเล่า...ครบทุกนิ้วมั้ยครับ     กระเป๋าสตางค์    พาสปอร์ต อยู่กับตัวเองหรือไม่...      เอาหละครับ     วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองเฉินตูนะครับ     อยู่ทางเหนือขึ้นไปอีกเพราะฉะนั้นก็จะหนาวขึ้นด้วย     อากาศ -10 เมื่อวานนี้แค่เด็กๆนะครับวันแรก     ต่อไปนี้เราจะเดินทางขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆทุกวันซึ่งอากาศก็จะหนาวขึ้นด้วย    อากาศหนาวที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ -30 กว่าอาจจะราวๆ -40 เมื่เราไปถึงฮาบิ้นแล้ว      คุณสมศักด์อธิบาย    

    เชิญทุกท่านพักผ่อนกันก่อนละกันนะครับการเดินทางไปเมืองเฉินตูใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง     ไกด์พูดอีกครั้งก่อนทั้งรถจะตกอยู่ในความเงียบเพราะคณะทัวที่ยังเพลียกันอยู่พล้อยหลับไป

               ระหว่างทางนั้นมีการจอดรถให้ใช้ห้องน้ำครั้งหนึ่งซึ่งทำให้รถคึกคักขึ้นมาได้สักครู่ก่อนที่จะเงียบลงอีกครั้ง     จนในที่สุดเสียงของหัวหน้าทัวก็ดังขึ้นอีกครั้งเตือนให้ทั้งคณะรับรู้ถึงการเข้าเขตเมืองเฉินตู

    ทุกท่านครับตอนนี้เราก็เข้ามาในเมืองเฉินตูแล้วเดี๋ยวเราจะมารับประทานอาหารเที่ยกันก่อนนะครับ      เมื้อกี้ตอนที่เราเดินทางกันมาผมได้มีโอกาศคุยกับ ซุ่ย      เค้าบอกว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนเซินหยางแต่เขามาจากทางแถบชายแดนจีน เกาหลีเหนือครับ     ถ้าเราเดินทางจะเซินหยางไปทางตะวันออก 200 กิโลก็จะเป็นบ้านเกิดของเขา      มีแค่แม่น้ำกว้าง 900 เมตรกั้นระหว่างชายแดนเกหลีเหนือกับชายแดนจีนเท่านั้นเอง     เขาเล่าให้ผมฟังว่าเวลาหน้าหนาวที่แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งแล้ะจนจีนกับคนเกาหลีเหนือก็จะแลกเปลี่ยนของกันแทนการใช้เงินซิ้อขายของจะถูกสไลตจากฝากหนึ่งไปอีกฝากหนึ่งของม่น้ำเป็นการแลกเปลี่ยน     เพราะว่าเกาหลีเหนือเป็นระบอบสังคมนิยม (communist) ทำให้ยากจนและก็ไม่มีพวกข้าวของอย่างที่จีนมี       แต่พวกเกาหลีเหนือก็จะมีไอ้พวกของจากธรรมชาติเยอะอยู่เขาก็จะแลกกัน     แต่ก็ต้องแอบๆทำไม่ให้พวกทหารที่ลาดตะเวณเห็น

    ทีนี้พวกผมสามคนก็ผม ซุ่ยเจินและก็จางเปาก็คุยกันแล้วถ้าทุกท่านสนใจอยากจะไปสัมผัสตอนนี้น้ำยังไม่เป็นน้ำแข็งแต่ถ้ายืนอยู่ที่ฝั่งก็จะเห็นเกาหลีเหนือได้      ถ้าทุกท่านสนใจในราคาที่พวกผม 3 คนจะได้กำไรเลยนะครับ คือคนละ 200 หยวน      จะรวมอาหารเที่ยงแล้วก็ล่อเรือบนแม้น้ำด้วยนะครับเพื่อจะได้เห็นชายแดนชัดๆ       แล้วการเพิ่มโปรมแกรมในครั้งนี้จะไม่รบกวนกับโปรมแกรมเดิมเลยนะครับ     ไกด์หัวหมอเริ่มไซโคหาเงินเพิ่มแต่ลูกทัวทั้งคณะก็ดูจะให้ความสนใจกับโปรมแกรมใหม่ที่ถูกเสนอโดยหัวหน้าทัวเช่นเดียวกัน      เพราะเพิ่มอีก 200 หยวนแปลงเป็นเงินไทยแล้วก็เพียง 1000 บาท      ยังไงซะพวกเขาก็อยู่ตรนี้แล้วเพิ่มอีกเพียง 1000 บาทก็ฟังดูไม่เลวนักดีกว่าต้องเสียเงินค่าเคร่องบินอีกเป็นหมื่นมาในโอกาศหน้า     

    แล้วมันจะไม่อันตรายหรอครับ     หนึ่งในลูกทัวยกมือถามเพราะเมื่อพูดถึงชายแดนเกาหลีเหนือแล้วก็ฟังดูน่าอันตรายอยู่

    ไม่ครับเพราะเราอยู่ในเขตของจีนและอีกอย่าจีนก็เป็นระบอบสังคมนิยมมเช่นเดียวกัน     แถมเป็นเพี่ใหญ่ของเกาหลีเหนืออีกด้วยแม้จีนจะเปิดประเทศแล้วแต่ระบอบการปกครองยังเป็นแบบเดิม       พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวไมมีปัญหาครับ      หัวหน้าทัวอธิบายคล่องแคล่ว     ยังไงลองไปตัดสินใจกันก่อนแล้วค่อยให้คำตอบพวกผมพรุ่งนี้ก็ได้ครับ     ที่ต้องเร่งคำตอบพรุ่งนี้เพราะว่าเราจะต้องจัดการเรื่องการจองต่างๆครับ

     

                การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่น     เมืองจีนดูสวยงามในฤดูหนาวยิ่งขึ้นไปทางเหนือมากเท่าใดหิมะก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้นเช่นเดีวกับอากาศหนาวที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน     วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการเดินทางทั้งหมดได้ข้อสรุปแล้วว่าจะยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเดินทางไปชายแดนจีน-เกาหลีเหนือในอีก 2 วันข้างหน้า       วันนี้ทั้งคณะมุ่งหน้าไปยังเมืองฮาบิ้นซึ่งเป็นจุดไฮไล้ท์ของการมาเที่ยวครั้งนี้      เมืองๆนี้จะจัดนิทัศการแกะสลักน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่และงดงามปีละครั้ง     

               การเข้าชมต้องเป็นไปในช่วงเวลากลางคืนที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว      น้ำแข็งถูกแกะสลักเป็นสถานที่ที่โด่งดังของประเทศต่างๆซึ่งมีขนาดใหญ่สมจริงเพียงพอที่จะให้คนเข้าไปได้ราวกับเป็นสถานที่นั้นๆ      งานทั้งงานจึงกินพื้นที่เป็นบริเวรกว้างซึ่งน้ำแข็งแกะสลักจะถูกวางเป็นลักษณะวงกลมโดยที่เมื่อคนเดินวนครบ 1 รอบก็จะได้เห็นสถานที่ทั้งหมด       กว่าจะเดินครบรอบก็กินเวลาราว 2 ชั่วโมง      น้ำแข็งแกะสลักทั้งหมดนับ 10 มีตั้งแต่ของดังของประเทศอังกฤษซึ่งก็คือ London bridge หอไอฟิล เก๋งจีน ไปจนถึงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่แกะสลักราวกับเป็นภูเขาของกรีกโบราณมีทั้งเสาโรมันและขั้นบันไดสูงนับสิบๆขั้นรวมความสูงหลายเมตรที่กว่าจะเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก็เล่นเอาเหนื่อย     น้ำแข็งแกะสลักยามเช้าและยามเย็นนั้นต่างก็สวยงามหากแต่แตกต่างกัน      เพราะยามเช้าหลายสีที่ถูกฟังไว้ในน้ำแข็งจะถูกผิดน้ำแข็งที่ตั้งอยู่กลางแจ้งจึงดูราวกับเพชรยามต้องแสงอาทิตย์     แต่เมื่อกลางคืนมาเยือนแสงของธรรมชาติถูกบดบังไฟหลายสีที่ถูกฝังไว้จะถูกเปิดขึ้นส่งให้น้ำแข็งที่ใสเปล่งประกายสีสันสวยงามตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิท      พัชรพรและคุณศศินาเดินชมเทศกาลน้ำแข็งอย่างตื่นตาตื่นใจแม้ความหนาวจะรบกวนเป็นอย่างมากแต่ทั้งคู่ก็ตั้งใจแล้วว่าอย่างไรเสียก็ต้องเดินให้ครบรอบ      สองสาวต่างวัยชักชวนกันถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก     แต่ส่วนใหญ่แล้วพัชรพรจะเป็นนางแบบเสียมากกว่าในขณะที่คุณศศินานั้นเป็นตากล้องโดยเธอมักจะชอบเปรยว่าแก่แล้ว    

    แม่คะมาตรงนี้ดีกว่า     แม่นืนตรงนี้ได้วิวทั้งหมดเลย    พัชรพรจัดการจัดฉากให้มารดาเข้าไปยืนเพื่อจะเก็บภาพจากมุมสูงซึ่งเห็นวิวโดยรวมของงานได้โดยรอบ

    จะถึงเวลานัดแล้วนะลูกเรากลับไปที่รถกันดีกว่า     คุณศศินาพูดขณะกำลังเดินไปด้วยกัน

    คะงั้นเรารีบไปกัน    หญิงสาวกล่าว

     

                  คณะทัวเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆจนมาสิ้นสุดที่เมืองฮาบินที่ทั้งหมดได้ไปเยี่ยมชมเมื่อวานที่ผ่านมาก่อนจะเริ่มวกกลับลงใต้      ทำให้ทั้งหมดที่เริ่มชินกับอากาศหนาวแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้น      โดยเฉพาะเมื่ออยู่ด้านเหนือซึ่งหนาวกว่ามาเป็นเวลาหลายวันเมื่อถึงคราวกลับลงใต้อากาศจึงยิ่งสบาย       วันนี้ทั้งคณะไปเที่ยวชมถ้ำหินงอกหินย้อยที่เรียกได้ว่ายาวที่สุดในโลก      หลังจากที่เหนื่อยกันมาทั้งวันก็ได้เวลาเข้าที่พัก     พรุ่งนี้ทั้งคณะจำเป็นต้องตื่นกันแต่เช้าเพราะการเที่ยวแหวกแนวที่ทางหัวหน้าทัวได้จัดเพิ่มขึ้นมา       รุ่งเช้าทางไกด์ได้จัดให้โรงแรมโทรปลุกลูกทัวทุกคนตั้งแต่ ตี 5 เพราะระยะทางราว 200 กิโลต้องให้เวลาขับรถราว 3 ชั่วโมง    

    เอาหละครับ     วันนี้ก็ตื่นกันเช้าหน่อยเพราะว่าจะต้องนั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมงตอนนี้ก็ 7 โมงเช้าเราคงไปถึงราวๆ 10 โมง      ก็ไปล่องเรื่อกันก่อนประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงไปกลับแล้วก็จะปล่อยให้เดินเล่นกันได้ตามอัธยาศัยนะครับ     ประมาณเที่ยงกว่าเราค่อยรับประทานอาหารกลางวันกันและก็เดินทางกลับมา      แล้วเราก็จะแวะไปดูการเลี้ยงกวางนะครับ      ที่นี่มีฟาร์มเลี้ยงกวางเองและขายเขากวางอ่อนที่มีประโยน์และคุณภาพสูงมากในราคาที่ไม่แพง     ถ้าเที่ยบกับที่เมืองไทย     ที่เมืองนี้จะเรียกว่าเป็นแหล่งเลยก็ว่าได้ครับ     ไกด์วันห้าสิบปลายกล่าว

     

               หลังจากนั่งรถมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมงกว่าโดยการทำเวลาแวะพักเข้าห้องน้ำเพียงครั้งเดียวทั้งคณะก็มาหยุดอยู่ ณ หมู่บ้านขนาดปานกลางแห่งหนึ่ง      เรียกได้ว่าเป็นชนบทขนานแท้เพราะบรรยกาศที่ยังคงความบริสุทธิ์ยังไม่ถูกทำลายเช่นในเมืองที่เจริญแล้วแต่หมู่บ้านดังกล่าวก็ไม่ถึงกับเป็นถิ่นทุรกันดาลเพราะมีทั้งน้ำและไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่บรเวณตัวเมืองบ้านหลังไม่ใหญ่นักถูกหลูกอยู่เรียงรายกันไม่ห่างมากจากกันเท่าใดนัก      รถโค้ชคันใหญ่หยุดลง ณ บริเวรกว้าง     เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้มิค่อยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเท่าใดนักสังเกตุได้จากเหล่าเด็กๆที่รีบวิ่งมามุงดุนักท่องเที่ยวแปลกหน้า      ไกด์สาวประกาศให้ลูกทัวทั้งหลายเดินตามตนไปเพื่อไปขึ้นเรือยล่องแม่น้ำ      เมื่อเดินมาถึงบริเวรแม่น้ำไกด์ก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับฝั่งตรงข้ามว่าเป็นชายแดนระหว่างจีนและเกาหลีเหนือ      หลายคนค่อนข้างดูผิดหวังเพราะมันไม่ได้น่าตื่นเต้นอย่างที่คาดไว้     ชายแดนเป็นเพียงแม่น้ำสายไม่ใหญ่คั่นระหว่างป่าที่ค่อนข้างทึบสองฝั่งไม่เห็นแม้แต่ทหารตะเวรชายแดนของทั้งสองประเทศ     เรือหลายลำจอดเรียงรายกันอยู่แต่ลำที่ทั้งคณะใช้คือเจ้าเรือขนาดบางกลางที่จอดเด่นอยู่เป็นลำแรก     เห็นได้ชัดว่าเรือไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักคนมากมายเกิน 20 คนเพราะตั้งแต่คนที่ 15 เริ่มก้าวเท้าขึ้นเรือเจ้าเรือท้องแบนที่สูงเรี่ยน้ำก็จมลงอีกจนเริ่มปริ่มน้ำแต่เจ้าของเรือยังคงยืนยันว่าไม่เป็นไร          เมื่อทั้งหมดนั่งประจำที่กันเรียบร้อยเรือก็ค่อยๆเขยื่อนด้วยแรงงานคนที่ทำหน้าที่ถ่อเจ้าเรือที่หนักอึ้ง      แม้จะไม่ตื่นเต้นแต่เพียงแค่ได้ชมวิวสองข้างทางก็นับว่าคุ้มราคาเป็นอย่างยิ่ง     บรรยกาศต้นฤดูหนาวช่างสวยงาม    ต้นไม้สูงที่เต็มใบด้วยใบไม้สีน้ำตาลเข้าบ้างก็เหลือเพียงกิ่งมีความน่าดูอย่างน่าประหลาด       ดอกไม้หลากสีที่คงจะเบ่งบานในฤดูที่อบอุ่นกว่านี้ทิ้งกลีบสีสวยของมันไว้ประดับพื้นป่า     น้ำใสในลำธารที่ไหลเอื่อยๆช่างเป็นบรรกาศที่เหมาะแก่การพักผ่อน     สายลมเย็นๆปะทะหน้าเป็นระยะ      อากาศที่แม้จะยังคงความเย็นหากแต่ก็อบอุ่นกว่าทางด้านเหนือสุดมากนัก      แต่แล้วบรรยกาศดังกล่าวก็เริ่มจะหมดไปเมื่อเรือเริ่มโคลงเคลงเพราะเด็กชายคนหนึ่งบนเรือเริ่มอยู่ไม่เป็นสุขและลุกขึ้นยืน      เริ่มที่ไม่ได้ทำมาให้รับน้ำหนักคนเท่าที่มันกำลังโดนบังคับให้แบกรับอยู่แล้วจึงเสียหลักอย่างง่ายดาย     

                สายน้ำที่เหมือนไหลเอื่อยๆเมื่อได้สัมผัสเข้าจริงๆกลับแรงเกินขาด      เรือพลิกค่ำทำให้ผู้คนทั้งหมดตกลงไปอยู่ในกระแสน้ำที่พัดพาแต่ละคนไหลกันไปคนละทาง     แม้จะว่ายน้ำเป็นหากแต่ก็ไม่สายมารถบัคับทิศทางสิ่งใดได้มากนักนอกจากพยายามประคองตนเองให้ไม่จมลงไปใต้กระแสน้ำ       พัชรพรทำสิ่งใดไม่ถูกนอกจากพยายามประคองตนเองไว้เหนือน้ำเพื่ออากาศหายใจสาบตาสอดส่องหามารดาเพราะทราบดีว่าคุณศศินานั้นว่ายน้ำไม่แข็งหรือจะพูดให้ถูกนั้นคือเกือบจะว่ายน้ำไม่เป็น       แต่เพราะเหตุการณ์ที่ชุลมุลผู้คนต่างตื่นตระหนกทุกอย่างวุ่นวายหญิงสาวไม่สามารถมองเห็นมารดาของตนและก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้งเธอกลับโดนกดลงสู่ใต้น้ำด้วยมือขอใครบางคนที่พยายามกระเสือกกระสนพาตัวเองสู่ผิวน้ำ...ใครสักคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นนั่นเอง!     พัชรพรรู้สึกใจหายวูป...เธอเคยแต่เพียงได้ยินมาและไม่เคยคิดว่าเหตุการณืเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง     เธอพยายามปัดมือนั้นออกแต่ไม่ว่าทำเช่นไรมือที่เกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแกก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อย     เมื่อขาดอากาศหายใจสติสัปชัญะเริ่มลางเลือนสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือร่างกายของเธอเริ่มดำดิ่งในขณะที่มือที่เกาะกุมเธอก็ผละจากเธอไปหาที่เกาะกุมแห่งใหม่

     

             พัชรพรค่อยๆรู้สึกตัวทีละน้อยความรู้สึกแรกที่แล่นขึ้นสู่สมองคือความหนาว...เป็นสิ่งเดียวที่เธอรับรู้ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก       สิ่งแรกที่ปรากฎแก่สายตาหาใช่เพดานอย่างที่คาดไว้แต่กลับกลายเป็นที่โลงกว้างสุดลูกหูลูกตาสีฟ้าหม่น...สติสัมปชัญค่อยเตือนเธอทีละน้อย...ใช่แล้วนี่คือท้องฟ้า      หญิงสาวเริ่มกวาดสายตาไปรอบข้างในขณะที่ยังคงนอนหงาย      เธอค่อยๆรับรู้ถึงความแข็งและชื้นเย็นๆของพื้นผ่านทางด้านหลังที่นอนอยู่      เธอพยายามคิดว่าขณะนี้ตัวเองอยู่ที่ใดก่อนจะนึกได้ถึงภาพสุดท้าย...ใช่แล้ว!...เรือล่มนั่นเอง      เธอพยายามว่านน้ำแต่แล้วก็โดนกดให้จมลงโดยใครสักคนที่พยายามเอาชีวิตรอดโดยที่ไม่สนใจคนอื่น     เธอจมลงรู้สึกถึงความอึดอัดของการขาดอากาศหายใจก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบลง...เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบตัวเองนอนอยู่ที่นี่      สายลมเย็นๆพัดอีกครั้งพัชรพรยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอย่างเชื่องช้าการบังคับเป็นไปอย่างยากเย็นราวกับไม่ใช่แขนของเธอ     ความเจ็บค่อยๆแผ่ไปทั่วร่างเมื่อเธอพยายามลุกขึ้นยืน      ขณะนี้เป็นค่อนข้างเย็นแล้วเพราะท้องฟ้าที่เริ่มมืดหม่นไม่สดใสดังเช่นตอนที่เธอมาถึง     หญิงสาวตัดสินใจเดินเรียบไปทางต้นน้ำเพราะจำได้ว่าเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งให้เดินตามทางน้ำแล้วจะเจอหมู่บ้านซึ่งเธอมั่นใจว่าจะต้องอยู่ไม่ไกลนักในเมื่อตอนเช้าเธอพึ่งจะล่องเรือจากมาหยกๆ       เมื่อตัวเองปลอดภัยครบสามสิบสองประการสิ่งแรกที่จิตใจเธอประวัดไปคิดถึงคือมารดา     ขนาดเธอว่ายน้ำเป็นยังเจ็บขนาดนี้แล้วมารดาของเธอเล่าจะเป็นเช่นไร...เธอจะปลอดภัยดีหรือไม่      ความเป็นห่วงเริ่มเกาะกุมจิตใจของเธอ...แต่จะมามัวคิดอะไรมากไม่ได้อย่างไรเสียเธอจำเป็นที่จะต้องกลับไปที่หมู่บ้านเสียก่อนจะอย่างไรเสียที่นั่นจะเป็นที่ๆดีที่สุดและเป็นที่ๆรู้เหตุการณ์ทั้งหมดมากที่สุด

              แม้จะตั้งหน้าตั้งตาเดินมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วก็ไม่มีวี่แววใดๆว่าจะเจอผู้คนหรือแม้แต่หมู่บ้าน     เธอไม่อาจทราบเวลาที่แท้จริงได้เพราะเจ้านาฬิกาข้อมือหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่จากท้องฟ้าเธอมั่นใจว่าเธอได้เดินมาพักใหญ่แล้วเพราะจากที่เพียงฟ้าหม่นกลับเริ่มมืดลงจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มพร้อมกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่จางหายไป        ความรู้สึกกลัวเริ่มจับที่ใจของเธอ      ตอนนี้เธอทั้งเหนื่อยและวาดกลัวอากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเมื่อแสงอันอบอุ่นของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า      เธอตัดสินใจหยุดพักข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งน่าจะใช้กำบังลมหนาวได้แม้จะเพียงน้อยนิดก็ยังดี       ความมืดเริ่มสร้างภาพหลอนในจิตนาการจิตใจของเธอเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว      วินาทีนั้นเธอกลับได้ยินเสียงสัวสาบดังมาจากทางด้านหลังหญิงสาวหันควับไปดูด้วยสายตาหวาดกลัว     เงาตะคุมด้านหลังต้นหญ้าทึบโผล่พรัวออกมาก่อนที่เธอจะมีโอกาศเปล่งเสียงก็ถูกมือใหญ่ปิดปากไว้เสียก่อน      เธอทั้งดิ้นทั้งพยายามร้องทว่าก็มีเพียงเสียงอู้อี้เล็ดลอดมาจากปากอาการดิ้นรนก็เป็นไปได้อย่างยากลำบากเพราะวงแขนที่รัดแน่นอยู่กับเอวของเธอรวบแขนทั้งสองข้างของเธอไว้แนบลำตัว      เธอไม่สามารถมองเห็นหน้าของคนร้ายเพราะเขาอยู่ด้านหลังของเธอ      ชายหนุ่มกระซิบบางอย่างแก่เธอแม้จะเป็นภาษาที่เธอไม่เข้าใจแต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้าย      หญิงสาวจึงหยุดดิ้นรน      เขากระซิบเบาอีกสองสามประโยคซึ่งพัชรพรเข้าใจว่าเขาคงบอกไม่ให้เธอส่งเสียงก่อนที่จะค่อยๆคลายมือออกอย่างช้าๆ     ทั้งคู่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นชายหนุ่มยกมือขึ้นจรดปากแม้จะเป็นเพียงภาพเลือนลางเพราะปราศจากแสงแต่เธอคิดว่าน่าจะเห็นถูกต้อง      ชายหนุ่มตั้งใจฟังเสียงสวบสาบปนกับเสียงพูดฟังไม่ได้สับของคนกลุ่มหนึ่งก่อนที่เสียงดังกล่าวจะดังไกลออกไปจนเงียบไปในที่สุด      หญิงสาวรู้สึกถึงน้ำเหนียวๆที่เลอะอยู่แถวแขนของเธอจึงลองยกขึ้นดูก่อนจะรู้สึกว่ามันคือเลือดสดๆนั่นเอง      เธอหันไปหาชายหนุ่มปริศนาในวินาทีเดียวกับที่เขาหมดแรงทรงตัวทรุดฮวบลงกับพื้น     หญิงสาวยืนมือออกไปพยุงโดยสัญชาติญาณก่อนจะทรุดลงตามไปด้วยเพราะรับน้ำหนักของคนตัวใหญ่กว่าไม่ไหว

    คุณ...คุณ...เป็นอะไรตื่นสิ     พัชรพรพูดเสียงตระหนกแม้จะไม่ดังไปกว่ากระซิบเพราะเกรงว่าคนกลุ่มนั้นจะกลับมา      เธอพยายามเขย่าร่างสูงๆแต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะรู้สึกตัว

    นี่!     คุณอย่าตายนะ...โอ้ยทำไงดี      พัชเอ้ย...นี่แกยังไม่ซวยที่สุดหรอกยังไงก็ยังดีว่าอยู่คนเดียวยรี่แกยังมีเพื่อนนะถึงเค้าจะไม่รู้เรื่องก็เถอะ     พัชรพรพยามพูดกับตัวเอง     เอ...แต่ว่าถ้าเกิดเขาตายแล้วหละ...เธอจะทำอย่างไร...นี่เธอก็ต้องอยู่กับผีหนะสิ...ความคิดที่ไม่เป็นมิตรผุดขึ้นในหัวก่อนที่เธอจะรวบรวมความกล้ายืนนิ้วที่สั่นเทาไปยังจมูกของชายคนเดิมก่อนจะรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาที่สม่ำเสมอ...เขายังมีชีวิตอยู่...       เธอจึงเริ่มทำใจดีสู้เสืออย่างไรเสียตอนนี้เขาก็คือเพื่อน...เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอในป่าแห่งนี้      พัชรพรพยายามดันร่างหนักลงจากตักนอนราบกับพื้น      เธอสำรวจพื้นโดยการเอามือสัมผัสทั้งบริเวรแต่จากความจำเมื่อก่อนที่ฟ้าจะมืดเธอจำได้ว่ามันเป็นพื้นราบแต่เพื่อความแน่ใจแล้วเธอจึงลองตรวจสอบดูอีกทีก่อนจะให้ร่างสูงนอนอย่างถาวรตัวเองขยับไปพิงต้นไม้อย่างเก่า     เมื่อสิ้นเสียงการขยับตัวไปมาของเธอป่าๆทั้งป่าตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง...เป็นธรรมดาที่เด็กสาวคนหนึ่งจะต้องรู้สึกกลัวที่ต้องมาตกอยู่ในสถาณการเช่นนี้      เสียงของป่าที่บางคนฟังว่าไพเราะกลับน่ากลัวสำหรับเธอ      ร่างสูงที่นอนราบอยู่นิ่งราวกับมิได้อยู่ตรงนั้นจนพัชรพรราวกับอยู่คนเดียว      เธอจึงเอื้อมมือไปแตะมือใหญ่ที่นิ่งสนิทของคนข้าง...อย่างน้อยเขาก็คือเพื่อนของเธอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×