คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบทที่ 1 : เด็กน้อย... ผู้กลายเป็นอดีต
ปฐมบทที่ 1
เด็กน้อย... ผู้กลายเป็นอดีต
แกร็กๆๆๆ.... แกร็กๆๆๆ
เสียงพิมพ์คอมพิวเตอร์หยุดลง... และดังขึ้นต่อ โดยที่ดูเหมือนผู้ใช้กำลังหยุดสนใจอะไรสักอย่างก่อนจะละจากความสนใจนั้นไป
“ฝนกำลังตกงั้นเหรอ...” ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยขณะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในวันที่พายุเข้า หลอดไฟนีออนที่ติดบนฝ้าเพดานส่องแสงสลัวให้เห็นเด็กผู้ชายที่ดูเหมือนจะมีอายุรุ่นราวประมาณ 16-18 ปีกำลังอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในบ้านอันเงียบสงบของเขา
แกร็กๆๆๆ…
แต่เขาไม่ได้อยู่ตามลำพังหรอกนะ
สำหรับในบ้านหลังใหญ่ เสียงพิมพ์คอมพิวเตอร์สำหรับเขานั้นมันช่างดังกังวานให้ความรู้สึกเหมือนตอนนี้มีเพื่อนกำลังยืนอยู่ข้างกายเสียจริงๆ ...เพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา เพื่อนที่คอยให้ความรู้แก่เราโดยไม่บ่นสักคำ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะดีจะเลวแค่ไหน...
แววตาแข็งกร้าวส่องประกายเย็นยะเยือกอยู่ภายใต้แว่นกรอบบางที่ถูกสวมใส่เสมอยามเล่นคอมขยับไปมาเล็กน้อย เพื่ออ่านข้อมูลบางอย่างที่ถูกส่งมาให้จากเพื่อนของเขา พลันมุมปากสีซีดก็กระดกขึ้นอย่างแช่มช้า ปรากฏเป็นรอยยิ้มที่แสนไร้ชีวิตชีวาตามปรกติที่เจ้าตัวทำประจำทุกวัน ก่อนที่นิ้วเรียวยาวจำทำการพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความรวดเร็ว…
...เขา.. มีชีวิตอยู่ได้จริงๆแค่ในโลกไซเบอร์เท่านั้น
แกร็กๆๆๆ…
...โลกอีกใบหนึ่งสำหรับเขา
“หึ หึ”
...โลกที่น้อยคนนักจะรู้จักตัวตนแท้จริงของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่อีกฟากเบื้องหน้าจอคอมฯ
แกร็กๆๆๆ...
แกร๊ก! ปึง!
เสียงปลดล็อคกุญแจดังขึ้นเบาๆก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกกว้าง ขัดจังหวะเด็กหนุ่มให้ชะงักการพิมพ์คอมพิวเตอร์ชั่วคราว เขาหันหน้าไปมองประตูที่ขณะนี้ปรากฏให้เห็นผู้หญิงวัยผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในสภาพเปียกโชกเพราะพยาพยามวิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังตกหนักเข้ามาในบ้าน ทำให้พื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง
หล่อนถอดรองเท้าส้นตึกสีแดงออกแล้วเดินฉับๆเข้ามาในบ้านทันทีโดยไม่สนว่าน้ำที่หยดจากเสื้อผ้าจะทำให้พื้นบ้านสกปรกมากแค่ไหน เธอยกถุงบรรจุกับข้าวในมือขึ้นวางลงบนโต๊ะทานอาหารที่มีเก้าอี้อยู่แค่หนึ่งตัว จากนั้นก็ปรายหางตาไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะพูดว่า
“นี่กับข้าวของวันนี้ อย่าลืมทำความสะอาดพื้นบ้านด้วยล่ะ อยู่ที่นี่คนเดียวก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ...เฝ้าบ้านดีๆ แม่ ไปก่อนนะ” พูดจบก็เดินออกไปทันทีด้วยท่าทางเร่งร้อน โดยที่ไม่รอฟังเสียงตอบรับของผู้เป็น ลูก แม้แต่คำเดียว
“...ครับ” เสียงตอบรับเบาหวิวดังออกมาจากปากเด็กหนุ่ม แม้ผู้ฟังจะไม่ได้ยินเพราะออกไปจากบ้านแล้วก็ตาม
‘ชิ! น่ารังเกียจชะมัด’
“หึ”
เด็กหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะเบาๆหนึ่งครั้งกับสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้รับรู้ ก่อนจะลุกออกจากหน้าคอมฯเดินไปแกะถุงกับข้าวที่ผู้เป็นแม่แวะซื้อจากทางผ่านมาให้เทใส่ลงในถ้วยชามกระเบื้องชั้นดีที่เหลืออยู่ไม่กี่ใบจากชั้นวาง แล้วนั่งลงทานอาหารคนเดียวเงียบๆ ปล่อยให้เสียงข้อความเตือนจากคอมพิวเตอร์ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุดโดยไม่มีผู้ตอบรับ
นัยน์ตาสีเทาหม่นคู่นั้นเพียงแค่จับจ้องอยู่ที่จานข้าวอย่างเหม่อลอย โดยไม่แม้แต่จะชายตามองประตูเพื่อส่งบุพการีของตนเองแม้แต่น้อย ทั้งริมฝีปากสีซีดนั้นแทบไม่เคยปรากฏรอยยิ้มจากใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีดวงตาไร้ซึ่งประกายแห่งชีวิต...
และรอยยิ้มไร้ซึ่งความรู้สึกภายใต้จิตใจ...
.
.
.
แต่เขายังคงอยู่ได้
ด้วย ‘หน้ากาก’
เมื่อเรื่องราวมืดมนบทนั้นได้เริ่มต้นขึ้นมา แล้วจะมีใครล่วงรู้ได้อีกเล่า ว่า…
เด็กน้อยคนนี้... เคยไร้เดียงสา
ช่วงเวลาของการรับประทานอาหารผ่านพ้นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เด็กหนุ่มจัดการล้างจานข้าวและถ้วยให้สะอาดแล้ววางไว้บนชั้นวางเหมือนเดิม ก่อนจะไปทำสิ่งที่แม่ได้มอบหมาย นั่นคือการทำความสะอาดบ้านจากหยดน้ำที่เปียกแฉะบนพื้นแกรนิตสีขาว ...เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงได้กลับไปหน้าจอคอมฯอีกครั้งหนึ่ง
แกร็กๆๆ....
เสียงนิ้วกระทบคีย์บอร์ดดังไปเรื่อยๆสลับกับชะงักเมื่อมีเสียงฟ้าร้องบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ในแววตาเบื้องหลังกรอบแว่นที่จ้องมองกลุ่มเมฆฝนบนท้องฟ้านั้นทอประกายถึงอดีตของตนเองที่ผ่านมานานแสนนาน แต่กระนั้นก็ยังคงถูกสลักไว้ในจิตใจไม่ลืมเลือน
แม้จะต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบทุกวันนี้ แต่แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เกิดขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่ในป่าหรือลูกท้อที่ลอยตามน้ำมาอย่างแน่นอน นอกจากพ่อแม่ที่ให้กำเนิดแล้วเขายังมีน้องสาวอยู่อีกคนหนึ่งด้วย ...ทุกๆวันแม่มักจะนำอาหารมาให้เขาทุกครั้งหลังจากเลิกเรียน แม้จะมีบางครั้งที่อาจจะสลับเวรกับพ่อในวันที่ติดธุระ แต่แม่ก็ยังคงมา แม้ในวันที่พายุเข้าอย่างวันนี้ก็เช่นกัน
ทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะอยากชดเชยสิ่งได้ตัวเองได้ทำไว้ล่ะมั้ง...ในใจของเด็กหนุ่มได้แต่ถูกสั่งให้คิดเช่นนี้
ถึงจะเป็นครอบครัวใหญ่ อาศัยอยู่ในบ้านสุดหรู แต่พวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเฉกเช่นครอบครัวทั่วไป แม้เด็กที่แยกตัวจากครอบครัวออกมาอยู่หอพักจะมีให้เห็นกันเกลื่อนก็ตาม แต่กรณีของผมมันไม่ใช่... ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่า... หลังจากผมอายุได้ 6 ขวบบริบูรณ์ ....ฟังไม่ผิดหรอก... แค่เด็ก 6 ขวบพวกท่านก็แยกตัวออกไปและยกบ้านหลังนี้ให้ผมอยู่คนเดียว
แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรมากมาย แถมยังรู้สึกสงสารน้องสาวจับใจเพราะคิดว่าเธอจะต้องเจอกับเหตุการ์ณอย่างนี้ในวันข้างหน้าเช่นเดียวกันกับผม ...แต่แล้วก็ผิดถนัด ตอนที่น้องสาวของผมอายุเท่าผม เธอไม่ได้ย้ายออกมาอยู่คนเดียว โดยที่ทางครอบครัวให้เหตุผลว่า
‘เราน่ะโตเป็นหนุ่มแล้วนะ น้องเขายังเด็กอยู่ เป็นผู้หญิงแล้วจะให้ออกไปอยู่คนเดียวได้ไง ยิ่งเป็นสาวนี่สิยิ่งน่าเป็นห่วง แถมน้องเรายังเป็นแค่เด็กธรรมดา...’
‘คุณคะ!’ เสียงแม่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดังแทรกขึ้นมา
พ่อที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปกระแอมเล็กน้อย อธิบายใหม่ว่า ‘เอ่อ.. พ่อไม่ได้หมายความอะไรลึกซึ้ง ลูกอย่าคิดมากนะ’
‘ครับ.. ท่านพ่อ’
ตัวผมในวัยเยาว์ได้ตอบออกไปแบบนั้น โดยมีรอยยิ้มที่แฝงความขมขื่นของบิดามารดาส่งมาให้ แม้จะไม่เข้าใจว่ารอยยิ้มแบบนั้นคืออะไร หมายความว่าอย่างไร แต่ผมก็ยิ้มตอบออกไปอย่างบิสุทธิ์ใจ
‘ดีมาก..ลูก...พ่อ’
ผมยืนอยู่ตรงนั้น... หน้าบ้าน... ใช้ดวงตาประสาเด็กน้อยจ้องมองรถคันหรูของครอบครัวเคลื่อนตัวออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งลับสายตา ปราศจากความกลัวอย่างสิ้นเชิง รู้สึกลำพองใจกับคำชมที่ได้รับจากผู้เป็นพ่ออย่างเอ่อล้น
และด้วยฐานะที่อยู่ในระดับร่ำรวยกว่าชาวบ้านเขา บวกกับเงินที่พ่อแม่ส่งมาให้ในแต่ละเดือนนั้นแม้จะทำให้ผมใช้ชีวิตได้อย่างฟุ่มเฟือย แต่ผมก็เลือกที่จะแบ่งเก็บไว้เสียครึ่งหนึ่ง อาจเพราะมีพ่อเป็นนักธุรกิจด้านการเงินที่มีชื่อเสียงก็เป็นได้กระมังที่ทำให้ผมรู้จักบริหารเงินใช้เป็นตั้งแต่เด็ก ...เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงเวลาที่ผมสามารถยืนหยัดได้บนลำแข้งของตัวเองสำเร็จแล้ว ก็ออกไปทำงานหาเงินเก็บไว้ใช้เองในแต่ละวัน โดยเงินส่วนที่พ่อแม่ส่งมาได้ถูกโอนเข้าธนาคารตามระเบียบ
แต่ระหว่างนั้น... ช่วงเวลาที่เด็กน้อยได้เติบโตขึ้นมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป สายตาที่เคยทอประกายใสซื่อคู่นั้นกลับกลายเป็นประกายหม่นที่แสนโดดเดี่ยว ริมฝีบางเล็กจิ้มลิ้มของเด็กชายตัวน้อยๆได้กลายเป็นรอยยิ้มตายซากของเด็กหนุ่มผู้ที่ดวงหน้าถูกผนึกอารมณ์ความอ่อนแอเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใต้สำนึก ทั้งเย็นยะเยือก ทั้งไร้ชีวิตชีวา เมื่อตราบาปแห่งความจริงได้ถูกประทับลงบนหัวใจดวงน้อยที่เคย... บริสุทธิ์
...เขานั้นช่างประหลาดจนเกินไปสำหรับคนทั้งโลก....
--------------------------------------------------------
‘ดวงตาคู่นั้นได้ถูกตีตราเป็นตราบาป ดุจสวรรค์ต้องการให้บทลงโทษแก่ผู้ที่บังอาจไปล่วงล้ำจิตใจของผู้อื่น’
ช่างน่าสงสาร... แต่ใครเล่าสามารถเลือกเกิดได้...
.
.
.
และนี่คือตัวแทนจุดเริ่มต้นความต่างของเรื่องนี้
แล้วคุณล่ะ
มีจุดเริ่มต้นความต่างของชีวิตรึเปล่า?
ไม่สิ... รู้ตัวรึเปล่าว่ามันอยู่ที่ไหน?
ผมไม่ได้บังคับให้คุณอ่านบทความเรื่องนี้หรอกครับทุกท่าน และแน่นอน คำตอบมันก็ไม่จำเป็นเช่นเดียวกัน เพราะผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่คนยังไม่ความรู้สัก “รัก” จะมาคิดว่าละครบทนี้มันน่าสนใจ’
เพียงแค่ยามใดที่คุณต้องเสียน้ำตา ผมจะรออยู่ที่นี่เสมอ
...ที่โลกไซเบอร์แห่งนี้...
แม้คุณจะเห็นหรือไม่ก็ตาม
...สวัสดี…
--------------------------------------------------------
แกร็ก! เสียงนิ้วมือกระแทกคีย์บอร์ดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เก้ากี้ตรงโต๊ะคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวในบ้านหลังใหญ่นั้นจะถูกปล่อยไว้ให้ว่างเปล่าอีกครั้ง
---------------------------------------------------------
ปฐมบทที่ 1 ได้จบลง 100% แล้ว
ยังไงก็ฝากรับชมด้วยนะคะ^^
ความคิดเห็น