ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✎ K R I S Y E O L Café .

    ลำดับตอนที่ #9 : [SF] Be my Chanyeol เป็นแฟนกับฮยองไหม - Krisyeol (1)

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 56


     

     

     

     

     

     

    Be my Chanyeol
    เป็นแฟนกับฮยองไหม
     

     

                                                      rate : PG-13
                                                      author : @BENDOBl
                                                      theme song : ความรักเปลี่ยนแปลงฉัน


                                             


     







    ทำอะไรอยู่หื้ม ผมกวาดแขนกอดคนตรงหน้าจากด้านหลัง วางปลายคางลงบนไหล่บางก่อนจะเลื่อนจมูกโด่งมาสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนุ่มเบาๆ เด็กน้อยที่กำลังเทซอสมะเขือเทศใส่ถ้วยอยู่ในห้องครัวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันข้างมาทำให้ปลายจมูกของเราชนกัน ริมฝีปากแดงของอีกคนเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้มออกมา

     

    ทำนักเก็ตไก่อีกแล้วเหรอ

     

    อ่าว คริสฮยองเบื่อแล้วเหรอฮะ

     

    ฮยองไม่ได้พูดแบบนั้นนี่

     

    ก็พูดเหมือนไม่อยากกินแล้วอ่ะ คนตัวเล็กกว่าทำหน้ามุ่ยจนผมอดฝังจมูกลงแก้มฟอดใหญ่ไม่ได้ ชานยอลอื้ออึงในลำคอพลันเอียงหัวหนีเหมือนรำคาญแต่ก็ยอมให้ผมหอมแต่โดยดี ทะลึ่ง

     

    แค่หอมนิดเดียวหาว่าทะลึ่ง แล้วถ้า- ” ผมลากพยางค์สุดท้ายไว้พลางจ้องหน้าคนในอ้อมกอดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์  ศอกแหลมถูกส่งมากระทุ้งท้องผมเบาๆ ก่อนจะส่งปากไล่เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย

     

    ปากเหม็นมาก ไปแปรงฟันเลยฮะ

     

    รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าผมทุกครั้งที่อยู่กับชานยอล ไม่รู้เลยหากวันข้างหน้าไม่มีเค้า ผมจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ไม่มีเจ้าเด็กดื้อมากวนใจให้วุ่นวาย ไม่มีใครมาคอยเรียก คริสฮยอง ไล่หลังผม ไม่มีคนทำตัวเอ๋อใส่หรือทำนักเก็ตไก่ให้กิน ผมคงไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขเหมือนทุกวันนี้

     

     

    _______

     

     

    ผมอาศัยอยู่กับแม่และเติบโตที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาตั้งแต่ยังเด็กและกลับมากวางโจวบ้านเกิดของผมตอนอยู่เกรด 8 แต่มีปัญหานิดหน่อยจึงต้องกลับไปแวนคูเวอร์เหมือนเดิม ชีวิตของผมในตอนนั้นเรียบง่ายเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป เวลาว่างก็มักจะหมดไปกันการเล่นบาสเก็ตบอลและได้กลายเป็นกัปตันทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียน จนวันหนึ่งที่ผมกลายมาเป็นเด็กฝึกหัดของค่ายเพลงที่เกาหลี อะไรหลายๆ อย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เวลาพักผ่อนที่เคยมีเหลือเฟือกลายเป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด ผมถูกฝึกอย่างหนักเพื่อจะได้กลายเป็นศิลปินที่มีคุณภาพ หลายครั้งที่ผมเหนื่อย ท้อและอยากกลับบ้าน อยากกลับไปเป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง  แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้ ถ้าถอยหลังกลับไป คงไม่ใช่ อู๋อี้ฟาน

     

    ก้าวแรกที่ผมเข้ามาในค่ายเพลงแห่งนี้เหมือนกับว่าร่างกายของผมถูกย่อส่วนให้เหลือเล็กนิดเดียว ไม่มีใครรู้จักผมและผมเองก็ไม่รู้จักใคร ห้องซ้อมเต็มไปด้วยนักเรียนมัธยมปลายทั้งชายและหญิงซ้อมเต้นรวมกันอย่างแข็งขัน เสียงปรบมือของครูฝึกดังก้องสลับกับเสียงฝีเท้าของทุกคนที่กระทบลงพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงเพลงจังหวะสนุกๆ เปิดดังแต่น่าเสียดายที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง นั่นคือปัญหาใหญ่ ผมเริ่มต้นเรียนภาษาเกาหลีอย่างจริงจังและได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนชาวจีนอยู่หลายคน ทั้ง อี้ชิง จื่อเทา ลู่หาน ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงพอสมควร นั่นถือเป็นจุดด้อยของผม รูปร่างที่สูงโปร่งเฉียด 190 และใบหน้าคมเข้มอาจทำให้คนรอบข้างไม่กล้าจะเข้าใกล้ผมนัก ตามธรรมเนียมของเด็กฝึกหัดที่เข้ามาใหม่จะได้รับการรับน้องโดยการแกล้งสารพัดวิธีจากรุ่นพี่ แต่ผมกลับเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ลู่หานเข้ามาหาผมและพยายามชวนคุย ผมก็พยายามเลิกปิดกั้นตัวเองให้มากที่สุดแต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ออกห่างผมและไปสนิทกับอี้ชิงแทน มันน่าเศร้าไหมหละครับ

     

    แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่ผมได้รู้จักกับคนๆ หนึ่ง

     

     ฟู่ว

     

    ผมวางก้นลงบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องซ้อมก่อนจะปล่อยลมหายใจออกทางปากด้วยความเหนื่อยล้า เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยเหงื่อที่ไหลเป็นสาย ผมนั่งหลับตาดึงภาพแห่งความสำเร็จในอนาคตออกมาเพื่อผลักดันตัวเองให้ลุกขึ้นสู้

     

    เอาน้ำไหมฮะ เสียงทุ้มของใครบางคนเข้ามาในโสตประสาท ผมลืมตาขึ้นเพื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบใบหน้าหวานในชุดมัธยมปลายนั่งอยู่ข้างๆ ในมือเรียวมีขวดน้ำดื่มเย็นๆ ยื่นมาทางผม เสียงทุ้มใหญ่ของเด็กคนนี้ช่างขัดแย้งกับลักษณะภายนอก จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม แก้มสองข้างดูน่ารักน่าหยิก ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหมายบางอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน ใบหน้าหวานราวสตรี ผิวขาวเนียนละเอียด ทุกส่วนบนใบหน้าถูกแต่งแต้มรวมเป็นคำว่า น่ารัก เหมือนผมถูกดูดเข้าไปในห้วงเวลาที่ยาวนานราวกับถูกสะกดจิตให้จดจ้องใบหน้าอีกฝ่าย ผมพยายามตั้งสติและเลื่อนมือหนารับน้ำมาดื่มดับกระหาย

     

    ผมชื่อชานยอล แล้วคุณ … ”

     

    ฉันชื่ออี้ฟาน เรียกสั้นๆ ว่า คริส ก็ได้

     

    อ๋อ ว่าแล้วเชียว มีแต่คนพูดถึงคุณ

     

    พูดถึงฉัน ผมขมวดคิ้วย้อนถามอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรู้จักผมด้วย นอกจากเพื่อนชาวจีนด้วยกัน ผมก็แทบไม่รู้จักกับเด็กฝึกหัดชาวเกาหลีเลย 

     

    อื้ม เค้าบอกว่าคุณหล่อแล้วก็แร๊พเก่งมากๆ แต่เสียอย่างเดียว … ” คนตัวเล็กกว่าเว้นระยะไว้พลางเม้มปากให้เห็นลักยิ้มที่มุมแก้ม

     

    ชอบทำตัวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลก

     

    แค่ก

     

    ผมสำลักน้ำทันทีที่จบประโยค นี่ผมทำตัวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกขนาดนั้นเลยหรือไง

     

    คุณคริส เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ ชานยอลยื่นหน้ามองผมที่กำลังก้มหน้าไอ มือขวาคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ที่คล้องคอของตัวเองมาปิดปากซับน้ำออก ถึงผมจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เด็กคนนี้ก็ยังคงจ้องผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงอยู่ เมื่อผมเลื่อนสายตามามองอีกฝ่าย ดวงตาของเราประสานกันอย่างพอดิบพอดีจนเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วครู่ ปากอวบอิ่มของอีกคนอ้าออกเล็กน้อยประกอบกับดวงตากลมโต คิ้วที่เลิกขึ้นอย่างสงสัยเหมือนเด็กอนุบาลไม่มีผิดเพี้ยนเล่นทำหัวใจผมเต้นรัวขึ้นมาเสียดื้อๆ ผมเองที่เป็นฝ่ายหลบตาอีกคนก่อน ลำตัวยาวลุกขึ้นยืนหยิบผ้ามาเช็ดหน้าแก้เขิน ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนเข้าหาใครก่อนไม่เก่ง สบตาใครนานๆ ไม่ค่อยได้ มันถือเป็นอุปสรรคใหญ่ของการเป็นศิลปิน

     

    เดี๋ยวฉันไปซ้อมก่อนนะ

     

    โอเค ถ้าเจอผมก็ทักบ้างนะ ทุกคนในค่ายใจดี  ไม่กัดหรอก ไฟท์ติ้งคุณคริส ! ” ผมไม่รู้ว่าชานยอลทำหน้าทำท่าทางอะไรอยู่ ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง แค่เวลาเห็นเด็กคนนี้ยิ้มหรือเม้มปากจนลักยิ้มขึ้นผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอและรู้จักเค้า หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าผมเจอชานยอลบ่อยขึ้นเรื่อยๆ อยากจะเป็นฝ่ายทักก่อนแต่ด้วยความไฮเปอร์ของอีกคนก็เลยทำให้เค้าเป็นฝ่ายทักผมก่อนเสียทุกครั้ง บทสนทนาสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูก

     

    โอ ! คุณคริส

     

     จะไปไหนฮะ

     

    กลับบ้านดีๆ น้า

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

    เย็นวันหนึ่งหลังจากเรียนวิชาภาษาเกาหลีเสร็จ ผมถือลูกบาสเก็ตบอลที่มีสภาพผ่านการใช้มาพอสมควรออกมาจากตึกสูง ตรงไปยังสนามบาสสาธารณะแห่งหนึ่งในโซลโดยมีจื่อเทาเดินมาด้วย

     

    Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr  

    โทรศัพท์มือถือถูกยกขึ้นแนบหูจื่อเทาหลังจากเสียงเรียกเข้าดังขึ้น

     

    ว่าไงครับพี่

     

    อ่าว เหรอครับ งั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากครับ

     

    ร่างสูงดูกระวนกระวายมากพอตัว จื่อเทาบอกว่ามีธุระที่ค่ายเล็กน้อยต้องย้อนกลับไปก่อน ผมออกปากช่วยแต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ให้ผมไปที่สนามบาสเลยและเขาอาจกลับมาไม่ทัน ระหว่างทางผมเดินผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามยามค่ำคืนแห่งหนึ่งของเกาหลีนั่นก็คือคลองชองเกชอน แสงไฟทั้งใต้น้ำและภายนอกถูกขลับสะท้อนผ่านสายธารที่ไหลออกมาอย่างงดงาม หนุ่มสาวคู่รักพากันจับจองพื้นที่นั่งบริเวณใกล้ๆ แสงสีที่สวยงามทำผมเคลิ้มตามและอดที่จะแวะเดินเล่นเรียบคลองไม่ได้ มือข้างหนึ่งหมุนลูกบาสให้ทรงตัวอยู่บนนิ้วอีกข้าง สองขายาวเดินตรงไปเรื่อยๆ จนสะดุดกับเนินเพราะไม่ทันได้มอง ลูกบาสที่เคยหมุนติ่วก็หล่นกระเด็นไปทางคลอง ผมรีบวิ่งและคว้ามันกลับมาให้เร็วที่สุดก่อนที่จะตกคลองและไหลไปตามกระแสน้ำ โชคดีที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นจับมันไว้ทัน ลูกบาสสีแดงอิฐถูกส่งมายังผมก่อนจะโค้งขอบคุณและรับมันมา

     

    ขอบคุณครับ

     

    คุณคริส ! ”

     

    เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น แต่ความมืดทำให้ผมมองใบหน้าต้นเสียงไม่ชัดนัก เมื่อเด็กชายที่นั่งอยู่เอียงหน้าจนได้มุม แสงไฟสลัวตกกระแทบพอดิบพอดีทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา

     

    ปาร์คชานยอล

     

     คุณคริสจะไปเล่นบาสเหรอฮะ

     

    ใช่ เอ้ย ฉัน ฉันหมายถึง ฉันเล่นเสร็จแล้ว

     

    โกหกไปงั้น ไม่รู้คำพูดที่ตะกุกตะกักของผมจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยหรือเปล่า อยู่ๆ เหมือนมีบางอย่างกดไหล่ผมให้นั่งลงข้างๆ เด็กคนนี้เสียดื้อๆ รอยยิ้มสดใสส่งมาทางผมจนหัวใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองชุด ทำไมถึงเป็นแบบนี้กัน บทสนทนาและเสียงหัวเราะของเราเริ่มต้นขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชานยอลมากกว่าที่หาเรื่องตลกๆ มาเล่าให้ผมฟัง ถึงบางเรื่องจะไม่น่าตลก แต่ผมก็หัวเราะตามอยู่ดี ผมได้รู้จักเพื่อนๆ และพี่น้องในค่ายมากขึ้นจากเค้า รวมถึงทีมงาน โปรดิวเซอร์หรือแม้กระทั่งแม่บ้านด้วย ชานยอลเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวถึงรู้จักคนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ผมมาอยู่เกาหลีก็ไม่ได้หัวเราะแบบเต็มปากหรือเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังเลย จนวันนี้ ผมเลือกที่จะเล่าเรื่องในอดีตให้คนข้างๆ ฟัง หัวกลมคอยพยักหน้าตามพร้อมกับดวงตาใสที่จดจ้องผมอย่างสนใจตลอดเวลา

     

    คุณคริสก็ต้องยิ้มให้มากๆ สิฮะ ไม่งั้นจะมีใครกล้าเข้าใกล้หละ ชานยอลให้คำแนะนำหลังจากที่ผมยิงคำถามที่ค้างคาใจมานาน

     

    ฉันก็ยิ้มนะ ปกติก็ยิ้มแบบนี้ ผมยิ้มแห้งๆ ให้อีกคนดูแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะ

     

    ไม่ใช่แค่นยิ้ม ยิ้มแบบนี้ไง ยิ้มสิฮะ ยิ้มมมมมมมม บอกได้เลยว่าชานยอลเป็นครูผู้ฝึกการยิ้มได้น่ารักที่สุดในโลก ยิ่งรอยยิ้มประดับบนหน้าหวานยิ่งทำให้น่ามองเป็นเท่าตัว ผมพยายามยิ้มกว้างตามอีกคนแต่ก็ถูกมือเรียวสองข้างของเด็กน้อยยกขึ้นบีบแก้มดึงปากผมให้ฉีกออก

     

    ยิ้มมมมมมมมมมมม

     

     ตลกเป็นบ้า ไม่เคยมีใครมาฉีกปากให้ผมยิ้มแบบนี้มาก่อน ผมหัวเราะเสียงดังลั่น ชานยอลเหมือนเด็กห้าขวบไม่มีผิด ดูใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งกว่าผ้าสีขาว อยู่ด้วยแล้วทำให้ความเครียดที่มีเลือนหายไปในพริบตา เหมือนหัวใจของผมถูกสูบลมให้พองโตจนแทบจะระเบิดออกมา

     

    ทำอะไรเนี่ย

     

    ขำอะไรเล่า ก็ผมจะให้คุณคริสยิ้มนี่นา

     

    ก็ไม่ได้ว่าอะไร

     

    เสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็กกว่าเงียบไปสักพัก พวกเรานั่งมองไปยังสายน้ำที่ไหลไปอย่างไม่มีวันนิ่งสงบ เสียงเพลงจากย่านการค้าแถวนั้นเปิดคลอเบาๆ ไม่ให้เหงาหู

    คิดถึงแม่ชะมัด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออยู่ๆ ในหัวของผมนึกถึงผู้ให้กำเนิด นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอท่าน ถึงแม้จะโทรหากันเป็นประจำแต่ก็อยากกอดให้หายคิดถึงสักที ผมละสายตาจากคลองตรงหน้ามามองคนข้างๆ ดวงตากลมโตเหม่อลอยเหมือนในใจมีเรื่องให้คิดอยู่ ไม่บ่อยที่ผมจะเห็นชานยอลนั่งนิ่งๆ แบบนี้

     

    คริสฮยอง

     

    ความเงียบถูกทำลายเมื่ออยู่ๆ ชานยอลก็เรียกผมแบบนั้น

     

    ผมเรียกคุณว่าคริสฮยองได้หรือเปล่าฮะ หัวกลมหันมาสบตาผม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มประดับ ริมฝีปากแดงยื่นออกมาเล็กน้อย ตามจริงผมเองก็ไม่อยากใช้คำพูดที่ดูห่างไกลเท่าไหร่นัก ดีซะอีกที่ชานยอลจะเรียกผมแบบนั้น

     

    ได้สิ

     

    คริสฮยอง

     

    หืม

     

    คริสฮยอง คริสฮยอง คริสฮยอง คริสฮยอง คริสฮยอง

     

    ร่างโปร่งเรียกชื่อผมไม่หยุดดูน่ารักเป็นบ้า ผมยิ้มกว้างพลันยกมือหนาขึ้นขยี้ผมชานยอลอย่างเอ็นดู

     

    นี่ไง คริสฮยองยิ้มแล้ว

     

    หื้ม ผมเลิกคิ้วสงสัย

     

    ยิ้มแบบเมื่อกี้ใหม่สิฮะ ผมยิ้มตามคำขออีกคนแต่ทว่าร่างโปร่งกลับทำหน้ามุ่ยบอกว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ยิ้มแบบนี้ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ผมไม่ได้ยิ้มแบบนี้แล้วผมยิ้มแบบไหนกัน มันจะดีถ้าชานยอลถ่ายรูปเก็บเอาไว้

     

    แล้วชานยอลมานั่งทำอะไรคนเดียว

     

    เยจินนัดผมไว้ รอมาสองชั่วโมงแล้วยังไม่มาเลย

     

    เยจิน

     

    อ่อ เยจิน แฟนผมเอง เป็นเด็กฝึกหัดเหมือนกันฮะ ไว้เจอแล้วจะแนะนำให้รู้จักนะ

     

    เหมือนมีอะไรมาสะกิดหัวใจผมเบาๆ หายใจไม่ทั่วท้อง ร่างกายรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ผมไม่ได้รักชานยอลสักหน่อยแต่ทำไมกลับรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ

     

    หรือว่าผม

     

    จะหลงรักเด็กคนนี้เข้าแล้ว

     

    ทำไมกัน










     TBC




     

     



     

    เย้ ได้ฤกษ์ลงฟิคเรื่องใหม่สักที เรื่องนี้อิงเรื่องจริงของคริสยอล ลองอ่าน http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=949190&chapter=1    ก่อนน้า อันนี้เรื่องจริง ส่วนฟิคก็แต่งไปตามจินตนาการไรเตอร์ ร่วมด้วยช่วยกันฟิน พรีเดบิวต์ชานยอลมีแฟนสาวซะด้วย T_T แล้วพี่คริสของเราจะทำยังไงต่อไป ฝากด้วยนะคะ


     




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×