คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : LESSON 02
lesson 2
รถจักรยานยนต์รุ่น HYOSUNG GT250R ราคาแพงถูกจอดไว้ข้างสนามบาสสาธารณะในยามวิกาล บรรยากาศวังเวงไร้ซึ้งผู้คน มีเพียงชายร่างสูงสองคนในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนที่ยืนประจันหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ท่ามกลางเสียงจราจรจากถนนใหญ่และแสงไฟสลัวสีส้มส่องสว่างเป็นจุดๆ
“หึ นึกว่าจะเบี้ยวซะแล้วอู๋ฟาน”
“คนอย่างฉัน คำไหนคำนั้นลู่หาน” ผู้มาทีหลังยกยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ไม่ต่างจากอีกฝ่าย สายตาคมจ้องกันอย่างดุเดือด ใครก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นคู่ปรับมาตั้งแต่ม.4 แล้ว พวกเขาก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนได้เข้าห้องปกครองเป็นว่าเล่นจนเกือบจะโดนไล่ออก เพราะแบบนั้นจึงใช้วิธีนัดเจอหลังเลิกเรียน
“ตัวตัวแบบนี้ก็ยุติธรรมดีเหมือนกัน”
สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันเกิดเพราะเรื่องเล็กน้อย เหยียบเท้าบ้าง ชนไหล่กันบ้าง ผู้ชายเลือดร้อนก็แบบนี้ เจออะไรไม่ถูกชะตาก็พาลหาเรื่องได้หมด แถมทั้งสองคนต่างมีพรรคมีพวก สมาชิกคนไหนมีเรื่องกับใคร คนอื่นๆ ก็จะพากันไปช่วยตลอด มีแผลติดตัวไม่เว้นสัปดาห์
“เริ่มเลยไหมล่ะ”
“จะรออะไร”
ฟุ่บ!!!! ขวับ!!!!
บทสนทนาปิดฉากลงด้วยภาษากายของลูกผู้ชาย หมัดหนักเสยหน้าอีกฝ่ายสลับกันจนเวลาล่วงเลยได้สักพัก คอเสื้อของลู่หานก็ถูกมือหนาของอู๋ฟานยกขึ้นแล้วทุ่มลงพื้น คนได้เปรียบนั่งคร่อมกลางลำตัวของอีกฝ่ายก่อนจะอัดหมัดบนใบหน้าหวานแรงๆ จนสาแก่ใจ น้ำสีแดงเข้มไหลจากรูจมูก ไม่รวมกับบริเวณริมฝีปาก ดวงตาข้างขวาบวมช้ำจนจำแทบไม่ได้
“ฉันเตือนแล้ว”
หนุ่มลูกครึ่งจีน-เกาหลีลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นออกจากหน้าอกตน ยกยิ้มขึ้นพลางส่ายหัวเบาๆ กับสภาพของคนตรงหน้าที่นอนกองอยู่บนพื้น รถจักรยานยนต์คันหรูถูกขับออกไปจากสถานที่เปลี่ยวเหลือไว้เพียงร่างกายอิดโรย
มันน่าเจ็บใจจริงๆ …
ฝากไว้ก่อนเถอะ
“ตามทันได้ไงวะ!” มีศัตรูเยอะก็แบบนี้ สองขายาวทิ้งจักรยานยนต์ราคาแพงก่อนจะวิ่งเข้าซอยมืดในกลางเมือง ก็กลับบ้านอยู่ดีๆ แต่ดันเจอคู่อริต่างโรงเรียนอย่างจื่อเทาซะนี่ แถมมากันเป็นโขยง จะให้ลุยเดี่ยวคงไม่ไหว
“ตามมันให้ทัน!” เสียงตะโกนไล่หลังทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลีนของอู๋ฟานหลั่งอย่างเต็มที่ เขาวิ่งไปจนสุดซอยโผล่ที่หน้าถนนใหญ่บริเวณสี่แยกไฟแดงพอดิบพอดี เหมือนกับว่าวินาทีนั้นสมองตีบตันไปหมด ข้างหลังก็มี ข้างซ้ายก็มา ข้างขวาก็เจอ อะไรจะตื่นเต้นขนาดนี้
ปัง! บรื้นนนนนนนนนน
ยังกับพระเอกในหนังแอคชั่น!
อู๋ฟานวิ่งไปบนถนนขณะที่รถทุกคันกำลังติดไฟแดง 3 วินาทีสุดท้าย เขาเปิดประตูรถแท็กซี่คันหนึ่งออกแล้วกระโจนขึ้นอย่างทันท่วงทีสร้างความตกใจให้ทั้งคนขับและผู้โดยสาร
“เฮ้ย!!! ” เสียงของคนน่ารักดังขึ้นด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย
“ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ยไอ้หนุ่ม!” ลุงคนขับหันมาถาม แต่ก็ยังขับไปข้างหน้าเพราะจะให้จอดกลางถนนแบบนี้คงไม่ได้แน่
“ขอโทษทีครับ ผมหนีพวกนักเลงมา ขอโทษด้วยน…” ร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนที่เนคไทหลุดลุ่ยชะงักเมื่อหันไปพบร่างโปร่งที่คุ้นตาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต”
พรมเช็ดเท้าล่ะสิไม่ว่า ทำไมชานยอลต้องเจอเด็กนี่ในสภาพวิ่งหนีคนอื่นมาตลอด ใช้ชีวิตแบบนี้ทั้งวันเลยหรือไงกัน
แต่ความจริงแล้ว โลกมันกลมกว่าที่คิดเสียอีก …
“ทำบ้าอะไรของเธอ”
“แค่นี้ดุใส่นะครับโธ่ เดี๋ยวผมจ่ายค่าแท็กซี่ให้ก็ได้ครับคุณ นี่ครับลุง ไม่ต้องทอนนะ” พูดจบก็ยื่นเงินหมื่นวอนให้คนขับ พลางชี้บอกทางราวกับนั่งมาคนเดียวอย่างไรอย่างนั้น
“ลุงครับ จอดตรงคลินิกข้างหน้าครับ ตรงนั้นน่ะ”
คนตัวเล็กกว่าได้แต่นั่งขมวดคิ้วกอดกระเป๋าเป้ใบโตไว้แน่นพลางมองการกระทำของอีกคนจนรถแท็กซี่มาจอดเทียบกับหน้าคลินิกแห่งหนึ่งที่ยังคงเปิดไฟสว่างไสว ท่าทางบวกกับน่าตาน่ารักของคนอายุมากกว่าทำให้คนที่หันมามองอดยิ้มออกมาไม่ได้ อู๋ฟานมั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองอายุมากกว่าทั้งที่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย แถมสถานะและอำนาจของคนน่ารักยังมีมากกว่าตัวเองหลายเท่า
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ” ไม่พูดเปล่า เขายื่นหน้ามาหอมแก้มกลมของอีกฝ่ายโดยไม่ขออนุญาตก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป
เจ้าเด็กบ้า …
ชานยอลได้แต่เบิกตาโตด้วยความตกใจ อยู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนไปหมด นิ้วมืออวบกอดกระเป๋าแน่นกว่าเดิม … บ้าจริงๆ บ้าไปแล้ว
“ไปไหนต่อครับคุณ”
“ล..เลี้ยวซ้ายซอยข้างหน้าครับ”
สองขายาวค่อยๆ เลื่อนประตูกระจกคลินิกออกเบาๆ เดินตรงไปยังเคาท์เตอร์จ่ายยาที่คุ้นเคย จะเรียกว่าเป็นจุดปฐมพยาบาลส่วนตัวเลยก็ว่าได้
“พี่ยูริครับ แม่อยู่ในห้องตรวจเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ตรวจคนไข้รายสุดท้ายของวันนี้อยู่” เภสัชกรคนสวยยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างขะมักเขม้น
“ขอพลาสเตอร์ยาอันนึงสิครับ” ร่างสูงหัวเราะแห้งๆ พลางส่งสายตาเหมือนเด็กขี้อ้อนให้คนอายุมากกว่า
“เฮ้อ คุณอู๋ฟานนี่จริงๆ เลยนะคะ ไปมีเรื่องกับชาวบ้านเค้าอีกแล้วล่ะสิ” เธอวางปากกาลงก่อนจะหันหลังไปหยิบพลาสเตอร์ยาจากกล่องที่วางไม่ไกลนัก
“มานี่เลย มานี่” เสียงแหลมของหญิงวัยกลางคนทะลุเข้าโสตประสาทพร้อมด้วยความเจ็บปวดชนิดที่หูแทบขาด เธอเดินมาดึงหูลูกชายโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“โอ้ยยยยยย ผมเจ็บนะครับแม่”
“ไปมีเรื่องกับใครอีกแล้ว แกนี่หาเรื่องให้แม่ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน”
“หูจะขาดแล้วเนี่ย ปล่อยผมก่อน โอ้ยยยยย” ยิ่งพูดยิ่งน่าบิดหูให้มันขาดนักเจ้าลูกคนนี้ เรียนไม่เอาไหนแล้วยังจะชกต่อยเป็นงานอดิเรก ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดี ป่านนี้สภาพคงไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว
“แล้วจะกลับบ้านกับแม่เลยไหม” มือเรียวปล่อยจากหูลูกชายมาควานหาโทรศัพท์ราคาแพงจากในกระเป๋าสะพาย
“ผมต้องกลับไปเอารถก่อนครับ จอดทิ้งไว้ แม่กลับก่อนเลยเดี๋ยวผมตามไป”
“เอางั้นเหรอ ยังไงก็รีบกลับล่ะ สามทุ่มกว่าแล้วนะ”
“คร้าบแม่ ไปแปบเดียวหน่า ไม่ต้องห่วง” ร่างสูงยิ้มให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะเดินผิวปากควงพวงกุญแจรถในมือออกไปจากคลินิก แฮมิได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจกับลูกคนเล็กของตัวเอง จะสั่งจะสอนหรือเตือนกี่ครั้งก็ไม่เคยจะปรับปรุงตัวเลยสักที ยิ่งอยู่ในช่วงม.6 ที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยยิ่งน่าเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
‘ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว อนาคตของแกจะเป็นยังไงนะอู๋ฟาน …’
ร่างโปร่งครางในลำคอเพราะความเจ็บปวด พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ใครมานอนอยู่ตรงนั้นน่ะ?” ปากบางของนักเรียนม.ปลายพึมพำกับตัวเองหลังจากเห็นบุคคลปริศนานอนอยู่กลางสนามบาสประกอบกับเสียงโอดครวญ สองเท้าเล็กรีบวิ่งโผล่ออกมาจากทางเดินมืด แต่ก็ต้องหยุดชะงัก ร่างกายแข็งทื่อด้วยความกลัว ใจหนึ่งก็อยากช่วย อีกใจหนึ่งก็กลัว นี่มันก็สามทุ่มกว่าแล้ว แถมอยู่คนเดียวด้วยสิ
เอาก็เอาวะซิ่วหมิน
เขาเม้มปากพลันกระชับกระเป๋าที่สะพายหลังไว้แน่นแล้ววิ่งไปยังร่างที่นอนอยู่
“คุณครับ เป็นอะไรไหม”
“จ…เจ็บไปหมด”
“ไหวไหมฮะ” เด็กอนามัยค้นกระเป๋าควานหากระดาษชำระที่พกไปโรงเรียนทุกวัน มือเล็กค่อยๆ ซับเลือดบริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ผมจะพาไปโรงพยาบาลนะ” ซิ่วหมินพยุงร่างอีกคนให้ยืนขึ้นตาม
“ไม่ ฉันไม่ไป”
“ไม่ไปได้ยังไง เจ็บขนาดนี้”
“ฉันจะกลับบ้าน ฉันไม่เป็นอะไร”
“นี่คุณ อย่าทำตัวเป็นพระเอกไปหน่อยเลย สภาพยังกับไปฟัดหมาที่ไหนมา”
“ร้ายยิ่งกว่าหมาอีก หึ”
“จะไปไม่ไป”
“ไม่”
“งั้นไปทำแผลบ้านผมก่อน แม่ผมเป็นหมอ ให้แม่ดูว่าคุณช้ำอะไรขนาดไหน ต้องไปโรงพยาบาลไหม” คนบาดเจ็บไม่ตอบอะไร ได้แต่กอดคอคนตัวเล็กไว้ พยายามใช้แรงที่มีอยู่พยุงตัวเองและเดินไปตามทาง ถือว่าโชคดีมากที่เขาได้ซิ่วหมินช่วยไว้ ไม่งั้นคงได้นอนอยู่ตรงนั้นยันเช้าแน่ๆ มือเล็กยกขึ้นดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาควรถึงบ้านแล้วหลังจากเลิกเรียนพิเศษ ปกติเขาเดินกลับบ้านคนเดียวผ่านสวนสาธารณะแห่งนี้ทุกวัน เรียกว่าเป็นนักเรียนที่เรียนโหดที่สุดในโรงเรียนเลยก็ว่าได้
“เดี๋ยวผมไปเอายามาทาให้นะ” คนตัวเล็กวางคนตัวสูงลงบนโซฟายาวก่อนจะหายเข้าไปในห้องโถงที่มีกล่องปฐมพยาบาลเก็บไว้ ลู่หานทอดสายตามองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดใหญ่ บนผนังถูกประดับด้วยกรอบรูปสีทองซึ่งด้านในมีรูปคนในครอบครัวถ่ายร่วมกัน ถึงแม้สายตาที่พร่ามัวในตอนนี้จะมองใบหน้าคนในรูปไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เมื่อหันกลับมามองตัวเองช่างน่าเศร้า ตัวเขาเองที่ไม่เคยมีครอบครัวอบอุ่น ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนอย่างในรูปสักนิดเลย ไม่มีเลย …
“มาแล้ว” ซิ่วหมินวิ่งแจ้นมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลสีขาว เขาวางมันบนโต๊ะแล้วจัดแจงทำการปฐมพยาบาลให้กับอีกฝ่าย ถึงจะเบามือขนาดไหน ลู่หานก็อดร้องโวยวายออกมาไม่ได้
“เบาๆ หน่อยสิ!!”
“เบาแล้ว ต่อให้เบากว่านี้คุณก็เจ็บอยู่ดี แผลมันเยอะขนาดนี้นี่”
“โอ้ยยยยยยย!!!!”
“เสียงอะไรดังมาถึงห้องครัวเลย” หญิงวัยกลางคนโผล่มาจากประตูที่เชื่อมระหว่างห้องรับแขกและห้องรับประทานอาหาร เธอต้องเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นนักเรียนชายในชุดยูนิฟอร์มเหมือนลูกของตนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“เพื่อนลูกเหรอจ้ะ ทำไมหน้าถึงเป็นแบบนั้น ไหน มาให้ดูหน่อยสิ” เธอนั่งลงข้างๆ คนบาดเจ็บ บีบคางแล้วจับเอียงหน้าเพื่อดูบาดแผลที่ปรากฎบนหน้าหวาน
“ซิ่วหมิน หยิบแอลกอฮอล์มาสิ เช็ดตรงนี้หน่อย”
“ครับแหม่” มือเล็กหยิบขวดสีฟ้าส่งให้แม่ พลางมองการปฐมพยาบาลสุดโหดที่เล่นเอาลู่หานตะโกนออกมาด้วยความทรมาน
“โอ้ยยยยยยยยย!!!!!!”
“กลับมาแล้วครับแม่ แล้วนี่แหกปากอะไรเสียงดังห้ะซิ่วหมิน”
ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนเดียวกัน เขาพูดพลางหันหลังล็อกประตูบ้าน มือข้างหนึ่งกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้บนไหล่ข้างเดียวขึ้นแล้วหันหน้าไปพบกับ
“ลู่หาน!!!!”
“อู๋ฟาน!!!!”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
โลกกลมกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว …
TBC
กราบสวัสดีทุกท่าน ด้วยความเป็นไรเตอร์สมัครเล่นจึงนั่งแต่งหลังขดหลังแข็งจนสำเร็จไปอีก 1 ตอนค่ะ
พี่คริสอู๋เราเฟี้ยวสุดไรสุด T v T เป็นเด็กดื้อของแม่ด้วย งุยๆๆๆ แถมแต๊ะอั๋งครูอีกตังหาก เพราะความไม่รู้แท้ๆเลย
โลกชักจะกลมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ติดตามด้วยน้า ขอบคุณมากนะคะ เม้นก็ดี ไม่เม้นก็ #ฟิคครูครับ เหมือนเคย ฮูเร้
ความคิดเห็น