ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] the illusion of MASK ,, { krislay }

    ลำดับตอนที่ #14 : ▌MASK : chapter 13

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 626
      6
      9 ก.ค. 57

    the illusion of

    MASK

    Chapter 13

     

     

    วันที่สงบเงียบ ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องร้ายใดๆ ผ่านไปแล้วสองวันเต็ม ข้ามไปอีกหนึ่งคืนเท่านั้น เรือลำนี้ก็จะเทียบที่ท่าน้ำประเทศจีน เมื่อถึงเวลานั้นความสงบที่น่าอภิรมย์ก็จะจบลง

     

    คืนวันนี้ไม่มีกิจกรรมพิเศษใดๆ ที่คริสตัดสินใจจะไปร่วม เขายึดพื้นที่บนดาดฟ้าเรือเป็นสถานที่สำหรับจัดงานเล็กๆ ที่มีแต่พวกเขาเท่านั้น

     

    อาหารประเภทค็อกเทลเล็กๆ ถูกนำมาจากห้องเต้นรำส่วนหนึ่ง และมีเครื่องดื่มไว้บริการไม่ต่างจากข้างล่าง แต่ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือบนดาดฟ้านี้ไม่มีวงออเครสตร้าคอยบรรเลง มีเพียงจงอินกับแบคฮยอนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของเวทีในคืนนี้

     

    “เขาร้องเพลงหรือเขาจะตีกันน่ะ” อี้ชิงพูดกลั้วหัวเราะ เขาคิดว่านี่ถ้าไม่เกรงใจ จงอินคงเอากีต้าร์ทุ่มแบคฮยอนไปแล้ว

     

    “ผมร้องมาเป็นสิบเพลงแล้ว และผมก็เหนื่อยกับการทะเลาะกับนักดนตรีคนนี้มากเลยครับ” เสียงนั้นดังมาจากทางเวทีเล็กๆ ซึ่งอันที่จริงก็มีเพียงแค่เครื่องเสียง ไมค์ และเก้าอี้สองตัว

     

    “งั้นต่อไปผมขอมอบเวลาให้กับพี่อี้ฟานแล้วกันครับ” แบคฮยอนยิ้มแฉ่งที่สามารถโยนงานไปให้ตุ้ยจางได้อย่างใจ อู๋อี้ฟานไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มให้ความน่ารักของของแบคฮยอนนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “ไหนๆ เขาให้ไมค์ฉันแล้ว.. ฉันจะบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้ทั่วกันนะ ฉันเป็นตุ้ยจางของทุกคน แต่ฉันก็มีตุ้ยจางของฉันเหมือนกัน..” คริสเอ่ย มันทำให้อี้ชิงนึกย้อนไปถึงเมื่อคืนนี้ ตอนที่เขาจมอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายก่อนที่จะได้เข้าสู่นิทรา คริสเล่าเรื่องผู้มากอำนาจคนนั้นให้อี้ชิงฟัง ตุ้ยจางฮัน..เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ที่สุดของแก๊งมาเฟียในจีน ตระกูลฮันดำรงตำแหน่งนี้มาช้านาน เขาเป็นเหมือนพระราชาของวงการที่ไม่ว่าใครก็ต่อกรด้วยไม่ได้ และที่สำคัญ เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของซงเฉียน ด้วยความที่คริสขึ้นมาปกครองชิงหลงในขณะที่อายุยังน้อย แต่ความสามารถกลับโดดเด่นจนเป็นที่โจษจั่น ตุ้ยจางฮันจึงอยากแน่ใจว่าจะไม่ถูกชิงหลงก่อกบฏ ซึ่งก่อให้เกิดสัญญาผูกมัดขึ้น..

     

    ในตอนนั้นอู๋อี้ฟานที่เกรงอำนาจตุ้ยจางฮันอยู่มาก ประกอบกับที่คิดว่าความรักไม่ใช่เรื่องสำคัญ และอย่างน้อยซงเฉียนก็เป็นน้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง ทำให้เขาตกลงยอมรับสัญญานั้นอย่างง่ายดาย เช่นนั้นแล้วการหมั้นหมายของทั้งคู่จึงเกิดขึ้นภายใต้การยินยอมของทั้งสองฝ่าย

     

    “ฉันตัดสินใจเดินทางไปจีนในครั้งนี้ ก็เพื่อยกเลิกสัญญานั่น แม้ว่ามันจะหมายถึงการประกาศสงครามกับตุ้ยจางฮันก็ตาม” เสียงฮือฮาของลูกน้องหลายสิบชีวิตดังขึ้นเมื่อคริสพูดจบประโยคนั้น

     

    “หลังจากที่ฉันขึ้นฝั่งไปแล้ว เรือลำนี้จะเดินทางกลับเกาหลี ถึงเวลานั้น..ทุกคนมีสิทธิที่จะไปจากฉัน มันจำเป็นต้องเลือกข้างแล้ว” ตุ้ยจางยิ้มปิดท้ายประโยคราวกับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นสูง เพื่อดื่มเฉลิมฉลองเป็นครั้งสุดท้าย..

                                                                

     

    .

    .

     

     

    ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียที่ทรงอำนาจมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ยืนทอดสายตาไปยังเรือลำใหญ่ที่พร้อมจะเดินทางกลับสู่น่านน้ำ และเทียบท่าเรืออินชอนประเทศเกาหลีใต้ ด้วยระยะเวลาเดินทางเท่ากันกับที่เขาเดินทางมา

     

    อู๋อี้ฟานไม่ได้อยู่รอดูว่าจะมีใครร่วมเสี่ยงชีวิตไปกับตนบ้าง เพียงเมื่อเขาหันไปพบกับรถที่จอดรออยู่ ชายหนุ่มก็ไม่ลังเลที่จะจับจูงมือนิ่มของคนข้างกายให้ขึ้นรถไปพร้อมกัน

     

    “อี้ชิง” เสียงเรียกของคริสทำให้คนที่เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง เบือนหน้ากลับมาในรถได้อีกครั้ง

     

    “พี่จะพยายามแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้เองนะ” ร่างสูงไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดนี้ แต่อี้ชิงที่ตั้งใจฟังกลับส่ายหน้าให้เขาช้าๆ

     

    “ไม่ต้องแก้อะไรหรอกครับ เรื่องเดียวที่ผิดในชีวิตพี่ คือตัวผมต่างหาก” ใช่..นอกจากความผิดหวังที่ถาโถมเข้ามาแล้ว อีกสิ่งนึงที่จางอี้ชิงสัมผัสมันอยู่ตลอดเวลาคือเขาเป็นส่วนเกินในทุกๆ ที่ที่คริสใช้ชีวิต เขาไม่รู้เลยว่าชีวิตประจำวันของคริสจริงๆ แล้วเป็นยังไง การทำงานของคริสแท้จริงแล้วเพื่ออะไร เขาไม่สามารถเข้าใจโลกที่แตกต่างออกไปของคริสได้เลย ไม่เลย..

     

    “อี้ชิง..” คริสครางชื่อนั้นในลำคอด้วยหัวใจไม่สู้ดีนัก “นายเป็นความถูกต้องเดียวในชีวิตพี่ต่างหาก ถ้าจะต้องเลือกแก้ไขอะไรสักอย่าง การได้เจออี้ชิงไม่ใช่สิ่งที่พี่จะเลือกแน่ๆ”

     

    “เหรอครับ” คนตัวเล็กย้อนถามราวกับไม่ยินดียินร้ายในคำพูดนั้น

     

    “พี่กำลังพยายามพิสูจน์ให้นายเห็นนะ” อี้ฟานวางมือลงบนมือขาวของคนตัวเล็กอย่างถนอม แต่จางอี้ชิงกลับชักมือหนี.. สายตาที่อู๋อี้ฟานอ่านไม่ออกถูกส่งมาให้พร้อมกับคำพูดที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หมดเวลาแล้วครับ”

     

     

    ..หมดเวลาที่มีแต่พี่คริสกับอี้ชิงแล้ว

     

     

     

    ..

    ..

     

     

     

    “ฉันมาหาตุ้ยจาง” อู๋อี้ฟานบอกกับผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนขวางอยู่ที่ประตูลิฟท์ ครั้นชายหนุ่มสบสายตาเข้ากับหัวหน้าแก๊งค์ชิงหลงแล้วก็ยอมถอยฉากให้โดยไม่มีคำถาม แม้ว่าปกติการจะพาคนแปลกหน้าขึ้นไปด้วยจะเป็นเรื่องต้องห้ามก็ตาม

     

    “อี้ฟาน”

     

    “สวัสดีครับตุ้ยจาง” อี้ฟานค้อมตัวทำความเคารพกับคนที่เขาเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกับสายตาดุดันของคนอายุมากกว่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่นั้น

     

    “ไม่ได้มาที่นานจนลืมข้อห้ามไปหมดแล้วงั้นเหรอ?”

     

    “ไม่ใช่ครับ ผมจำเป็นต้องพาเขามา”

     

    “มีอะไรล่ะ”

     

    “เรื่องซงเฉียน”

     

    “จะถอนหมั้นเหรอ?” ฮันเกิงถามออกมาโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าคนอย่างอู๋อี้ฟานไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรที่จะจัดการเองไม่ได้ นอกเสียจากเรื่องนี้เท่านั้น

     

    “ครับ”

     

    “ถ้าคิดว่าจะถอนหมั้นแล้วรับปากฉันทำไม” จางอี้ชิงไม่แปลกใจเลยที่ผู้ชายคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนน่าเกรงขามที่สุดในประเทศ เพราะแค่เสียงเย็นเยียบเอ่ยถาม ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมีดจี้คออยู่อย่างไรอย่างนั้น

     

    “เพราะผมไม่คิด..ว่าชีวิตนี้จะได้เจอเขา” อี้ฟานละสายตาจากประมุขของตน เพื่อหันมองคนข้างๆ ที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง

     

    “แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าเขาจะอยากอยู่กับนายตรงไหนเลย” คราวนี้ฮันเกิงลุกออกจากที่นั่ง ย่างสามขุมเข้ามาหา.. อี้ชิงเห็นแค่ปลายรองเท้าสีดำเงาวับมาหยุดอยู่ตรงหน้า และยังไม่ทันได้คิดอะไรปลายนิ้วของคนคนนั้นก็ช้อนคางเขาให้เงยขึ้นเพื่อสบตา

     

    “คุณรักอี้ฟานของเรามั้ย จางอี้ชิง” คนตัวเล็กสะดุ้งน้อยๆ เมื่อถูกเสียงเข้มนั้นเรียกชื่อทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ..เขารู้สึกกลัว

     

    “หึ.. ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่รักสักนิด ก็คงไม่ยอมให้พามาถึงที่นี่โดยไม่ต้องจับมัดหรอกมั้ง.. แต่ถ้าเธอมีใจให้กับอี้ฟานบ้างนะจางอี้ชิง.. ฉันมีคำถามจะถามเธอ” ฮันเกิงละปลายนิ้วไปแล้ว ชายหนุ่มเดินวนไปทั่วห้อง และอี้ชิงก็ไม่สามารถหายใจทั่วท้องได้อีกต่อไป

     

    “คุณเหมาะสมกับอี้ฟานตรงไหนเหรอ”

     

    “ตุ้ยจางผม..”

     

    “อี้ฟาน ไปพาซงเฉียนมาที่นี่สิ เธอก็อยู่ที่ห้องนั่นแหละ” ผู้มีอำนาจมากที่สุดในห้องตัดบท “หรือว่านายไม่อยากจะเจรจาเรื่องนี้?” เป็นข้อเสนอที่บีบให้คริสจำต้องออกจากห้องไป

     

    “คุณมีอะไรที่คู่ควรกับอี้ฟานมากกว่าที่ซงเฉียนมีงั้นเหรอ?”

     

    “ผมไม่ได้..” อี้ชิงพอจะขยับริมฝีปากที่แห้งผากได้บ้างแล้ว แต่ฮันเกิงก็ไม่ปล่อยให้เขาได้พูดยาว

     

    “แค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ” ร่างสูงยิ้ม “ซงเฉียนน่ะ โตมาพร้อมๆ กับอี้ฟาน ถึงจะไม่ได้อยากรู้ว่าอี้ฟานชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่เพราะความใกล้ชิดมันก็ซึมซับมาอย่างนั้นเอง และพวกเขาก็เติบโตขึ้นมาในสังคมแบบเดียวกัน..แบบที่คุณไม่รู้จักน่ะจางอี้ชิง ในที่ที่คุณโตมา คงไม่มีการทำร้ายร่างกายกันเพื่อให้ยอมคายความลับ ไม่มีการตัดนิ้วเมื่อทำงานพลาด ไม่มีการเข่นฆ่าด้วยเหตุผลเล็กๆ อย่างการขโมยของ.. แต่เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งเราเจอ และเราก็ชินชากับมันไปแล้ว เราฝึกเพื่อที่จะชินกับมันด้วยซ้ำ..”

     

     

    “แล้วคุณล่ะจางอี้ชิง”

     

     

    อี้ชิงนึกย้อนไปสมัยเด็กๆ ที่แม้แต่การเหยียบมดสักตัวก็เป็นเรื่องบาป.. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อี้ชิงคิดมาตลอด เขาไม่สามารถอยู่กับโลกที่โหดร้ายของสังคมที่เรียกว่ามาเฟียได้หรอก..

     

     

    “ซงเฉียนถูกฝึกมาให้มีความสามารถเหมือนๆ กับอี้ฟาน เธอพร้อมจะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ได้ด้วยซ้ำแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง..”

     

     

    “เฮ้อ..” ฮันเกิงถอนหายใจ พร้อมกับที่ย่างเข้ามาหาคนตัวขาวอีกครั้ง “ไม่ต้องให้ถึงขั้นเก่งจนเป็นหัวหน้าใครได้หรอกนะคุณจางอี้ชิง ผมจะสมมติเหตุการณ์ง่ายๆ ว่ามีวันนึงในขณะที่คุณไปเที่ยวอย่างสนุกสนานกับอี้ฟาน แล้วมีศัตรูที่สั่งสมความแค้นมาสิบปี เขามาเพื่อจะฆ่าอี้ฟานในวันนั้น เขาสองคนสู้กัน และในขณะที่อี้ฟานกำลังเพลี่ยงพล้ำ คุณก็มีปืนอยู่ในมือหนึ่งกระบอก” ฮันเกิงเว้นเรื่องเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่าพร้อมทั้งกระตุกยิ้มที่มุมปาก

     

     

    คุณจะกล้าเหนี่ยวไกฆ่าคนคนนึง เพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรักมั้ย”

     

     

    ฮันเกิงถอยเท้าออกห่างจากอี้ชิงทีละก้าว ทีละก้าว เพื่อมองปฏิกิริยาของชายหนุ่มตัวเล็ก ที่ดูคิดหนักไปกับเรื่องสมมติของตน.. ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาที่ประตู

     

     

     

    “ผมแน่ใจเลยล่ะ ว่าซงเฉียนจะไม่ลังเล”

     

     

     

     

    แต่ก็ช้าเกินกว่าที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้อีกคนได้ยิน..

     

     

     

     

    “ผมจะไม่ให้มืออี้ชิงต้องแปดเปื้อนเพราะผม ..ผมเองที่จะเป็นคนปกป้องเขาด้วยชีวิต”

     

     

    คริสจับมือที่ชื้นเหงื่อของอี้ชิงมากุมไว้และออกแรงเพียงเบาๆ อี้ชิงก็เซเข้ามาปะทะกับอกแกร่ง ร่างสูงมองสีหน้าไม่สู้ดีของคนตัวเล็กแล้วก็เอ่ยลาตุ้ยจางของตนทันที “ซงเฉียนไม่ได้อยู่ที่ห้อง แล้วเอาไว้ผมจะมาใหม่ครับ”

     

     

    “ก่อนหน้าที่พี่จะเข้าไป ตุ้ยจางพูดอะไรกับนาย?” กลับมาถึงที่รถแล้ว และจื่อเทาก็ออกรถแล้ว แต่อี้ฟานปล่อยให้จางอี้ชิงนั่งเงียบๆ เหมือนตอนที่เดินทางมาไม่ได้ เพราะสีหน้าของอี้ชิงไม่สู้ดีเสียจนทำให้เขาหวั่นใจ

     

    “บอกพี่หน่อยสิอี้ชิง บอกพี่” มือหนาเขย่าไหล่เล็กเบาๆ เนิ่นนานจนนัยน์ตาหวานยอมละจากพื้นขึ้นสบตากับร่างสูง แต่เพียงแค่กระพริบตา อี้ชิงก็เสมองไปทางอื่นอีก

     

    “พี่ไม่ต้องรู้หรอกครับว่าเขาพูดว่าอะไร ..รู้แค่คำพูดของเขา..” อี้ชิงกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เหลือบตามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา “คำพูดของทำให้ผมรังเกียจพี่ พี่รู้แค่นี้ก็พอ” อี้ชิงปัดมือที่จับไหล่เขาอยู่ออก ขยับตัวไปนั่งชิดอีกฝ่ายอย่างจงใจ

     

     

    อู๋อี้ฟานรู้สึกเหมือนมือชาไปชั่วขณะ ..รู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวมันช่างเบาบางจนไม่พอต่อการหายใจ..

     

     

    ..

    ..

     

     

     

    ถึงห้องพักของคริสที่ถูกบังคับให้มาแล้ว.. แต่อี้ชิงก็เอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องนอน นั่งอยู่ในท่าเดิมอย่างนั้นมาร่วมชั่วโมง และคิดแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา

     

     

     

    ทั้งๆ ที่ถูกหักหลัง..

    ทั้งๆ ที่ถูกทำร้ายให้เจ็บเจียนตาย..

    ทั้งๆ ที่ปากบอกว่าเกลียด..

    ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าถ้าตายจากกันไปได้ก็ดี..

     

     

    แต่แท้จริงแล้วอี้ชิงก็แค่พยายามบอกให้ตัวเองคิดแบบนั้น..

     

     

    วันนี้เขาได้รู้ว่าตัวเองยังรักคริสอยู่มากแค่ไหน ก็ตอนที่ได้รับรู้ว่าเขาไม่เหมาะสมกับคริสแล้วรู้สึกร้าวไปทั้งใจ.. ยิ่งเจ็บหนักทรมาณตอนที่ตระหนักว่าซงเฉียนคู่ควรกับอี้ฟานมากกว่าเขา..

     

     

    มันเป็นความจริงที่เขาจะไม่สามารถฆ่าใครเพื่อปกป้องใครได้

     

     

    และมันก็เป็นความจริงที่น่าเศร้า เพราะเมื่อปราศจากคุณสมบัติข้อนั้นแล้ว เมื่อเวลาที่ฮันเกิงพูดมาถึง เขาก็จะต้องปล่อยให้คริสตายไปต่อหน้าต่อตา..

     

     

     

    ความเงียบโรยตัวตัวปกคลุมโดยรวมเพราะสถาณการณ์อึดอัดที่อี้ชิงสร้างขึ้น ..คนตัวเล็กแง้มประตูเปิดออกมาเพื่อมองแผ่นหลังของผู้อยู่อาศัยอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้อง

     

    ดวงตาหวานผละออกจากแผ่นหลังกว้างนั้น ปิดประตูบานเดียวที่กั้นระหว่างทั้งสองคนเอาไว้อย่างเบามือ ใบหน้าที่เคยมีแต่ความสดใส บัดนี้กลับเจือไปด้วยความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาเต็มหัวใจ

     

     

     

    ขอโทษนะครับพี่คริส ..ถึงแม้ว่าผมจะรู้ตัวแล้วว่ายังรักพี่ไม่เปลี่ยน ..แต่ผมก็อยู่ข้างๆ พี่ไม่ได้อีกแล้ว

     

     

    เราควรจะแยกย้ายกันกลับไป..

     

     

    อยู่ในโลกของตัวเอง

     

     

     

     

     

     

    To be cont.

     

    ..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปมั้ยนะ.. แต่อะไรๆ ก็เร็วกว่าที่คิดเสมอเลย ..เนอะ :)

     

    ปล. ไม่เม้นก็ #ฟิคหน้ากาก ก็ได้นะคะ ^_^

     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×