ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] the illusion of MASK ,, { krislay }

    ลำดับตอนที่ #4 : ▌MASK : chapter 03

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 56


    the illusion of

    MASK

    Chapter 03

     

     

    ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณนับสิบชีวิตยังคงเกิดการต่อสู้อยู่ประปราย คนตัวเล็กที่เพิ่งออกมาจากโกดังร้างนั้นแทบยืนไม่ไหวเมื่อภาพที่เห็นช่างโหดร้าย หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดเดินได้ เนื่องด้วยอีกฝ่ายบังคับให้ตนต้องเดินตามไปในทุกทิศที่ออกแรงลากจูง

     

    “ปล่อย จะพาผมไปไหน” อี้ชิงขัดขืนด้วยแรงน้อยๆ เท่าที่มี ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เกิดผลอะไร เมื่ออีกฝ่ายสูงใหญ่และมีกำลังกว่าเขามากนัก

     

    “ขึ้นรถ” เสียงทุ้มสั่งเย็นเยียบ แต่อี้ชิงกลับไม่ทำตาม

     

    “ผมไม่ไป”

     

    “อี้ชิง ขึ้นรถ” เสียงทุ้มเอ่ยย้ำ และนั่นทำให้ร่างบางรู้สึกปวดแปลบที่ลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ ..จางอี้ชิงอยากหลอกตัวเองว่าคนตรงหน้าแค่หน้าเหมือนคนรู้จักของเขา แค่เหมือนพี่คริสมากราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่สุ้มเสียงทุ้มที่เอ่ยชื่อเขานั้นก็ตอกย้ำความเป็นจริงที่หลีกหนีไม่ได้

     

    ผู้ชายคนนี้คือคริสอู๋ที่อี้ชิงรู้จักมาเกือบปีเต็ม ..แต่ก็เป็นใครที่อี้ชิงไม่เคยรู้จักในเวลาเดียวกัน

     

    มือใหญ่เปิดประตูรถแล้วดันให้อี้ชิงเข้าไปนั่งตามตัวร่างกายใหญ่โตของตัวเองที่กันไม่ให้ร่างบางหนีไปไหน เช่นนั้นแล้วคริสจึงออกคำสั่งกับคนที่เข้ามาประจำตำแหน่งคนขับให้หลังจากที่เขามานั่งได้สักนาทีกว่าให้ออกรถไป โดยมีจุดหมายเป็นบ้านพักของคริสเอง

     

     

    “เทาล่ะ” ร่างสูงถาม

     

    “จัดการกับสองคนสุดท้ายอยู่ครับ เดี๋ยวจะตามมา” จบประโยคไม่กี่อึดใจ รถฮาเลย์สีดำสนิทก็เร่งเครื่องขึ้นมาตีคู่กับรถยนต์คันนี้ ไม่ต้องหันไปมองให้แน่ใจคริสก็รู้ดีว่ามันเป็นรถคู่ใจของมือขวาของเขา ฮวางจื่อเทา

     

    “ท้าเหรอ” คนขับพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่งตามรถคันเล็กที่เร่งความเร็วแซงหน้าตนไป

     

    “ไม่เอาหน่าจงอิน” คริสปรามเมื่อเห็นว่าคนในตำแหน่งมือซ้ายไม่เคยยอมให้มือขวาชนะไปได้ง่ายๆ

     

    ครั้นคิมจงอินเหลือบมองคนที่เบาะหลังผ่านกระจกแล้วสบตาเข้ากับคนตัวขาวที่นั่งห่อไหล่และตัวสั่นอย่างหวาดกลัวเขาก็ถอนเท้าออกจากคันเร่งแต่โดยดี

     

    “ผมไม่ขับเร็วหรอกครับ รู้ว่าคุณอี้ชิงไม่ชอบ” จงอินพูดจบแล้วยิ้มให้  เขารู้แบบนั้นจริงๆ เพราะรับส่งคนน่ารักคนนี้มาตั้งครึ่งค่อนปี อะไรที่เจ้าตัวไม่ชอบก็บอกเขาหมด จนอี้ชิงไว้วางใจในการขับรถขนาดยอมหลับบนรถได้แล้ว

     

    แต่หลังจากที่พูดแบบนั้นออกไป นอกจากจะไม่ได้ยินเสียงตอบรับหรือรอยยิ้มเหมือนเคยแล้ว คนตัวเล็กก็หลุบตาลงต่ำ ซ่อนน้ำตาที่รื้นจนแทบจะทะลักออกมาไว้ข้างใน

     

     

    บอกผมทีว่านี่เป็นแค่ฝันร้าย..

     

    ..

    ..

     

     

    ในที่สุดการเดินทางก็สิ้นสุดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ซึ่งมีพื้นที่มหาศาล หากแต่รอบนอกของบ้านกลับรายล้อมด้วยความว่างเปล่า ไม่มีเพื่อนบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใด

     

    “อี้ชิงลงมาเถอะ” คริสเอ่ยเรียกคนตัวเล็กหลังจากที่ตัวเองลงมาเรียบร้อยแล้ว เขาส่งมือเข้าไปให้อี้ชิงจับ แต่สิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงความว่างเปล่า

     

    “คุณเป็นใคร..” เสียงที่เอ่ยถามนั้นสั่นเครือ และคนที่ใครต่อใครตราหน้าว่าไร้หัวใจก็รู้สึกว่าใจตัวเองสั่นตามเสียงเล็กนั้น

     

    “ถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ พี่ก็เป็นพี่คริสของเราไง” ร่างสูงย่อตัวลงให้มองคนในรถได้ถนัดถนี่ เช่นนั้นแล้วจึงเห็นคนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธน้อยๆ พร้อมกับพึมพำเบาๆ ว่าไม่ใช่

     

    “คุณไม่ใช่พี่คริสของผม” ประโยคสั้นๆ นั้นทำให้นัยน์ตาแข็งกร้าวขุ่นลง คริสไม่อยากได้ยินคำนี้ เขาไม่ชอบมันเอามากๆ.. แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่อี้ชิงเพิ่งผ่านพ้นมา

     

    “..พี่ว่าตอนนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง อี้ชิงลงมาทำแผลก่อน นอนพักให้สงบลง แล้วค่อยคุยกัน” ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ ..ใช่ ความจริงเขาไม่ใช่คนใจเย็นอะไรนัก เลือดร้อนเอาการอยู่ เพียงแต่ไม่ชอบแสดงอารมณ์อย่างโผงผาง ยิ่งกับคนตรงหน้าแล้ว เขายิ่งอยากจะเอาน้ำมาราดไฟให้แผ่วลง คงเหลือไว้แต่ความอบอุ่นเท่านั้นพอ

     

    “จุนมยอนฝากด้วยนะ” คริสหันไปสั่งกับคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่ คนตัวเล็กคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะเดินตรงไปที่รถซึ่งจอดอยู่

     

    “สวัสดีครับคุณอี้ชิง เข้าบ้านกันเถอะนะครับ” คนชื่อจุนมยอนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มันดูเป็นมิตรเสียจนอี้ชิงนึกกลัววว่ามันจะเป็นแค่ฉากบังหน้า

     

    “ผมไม่อยากโดนคุณอี้ฟานดุ คุณอี้ชิงช่วยไปกับผมเถอะนะครับ” มือขาวของคนแปลกหน้ายื่นไปตรงหน้าอี้ชิง แต่ร่างบางกลับเลือกจะเปิดประตูอีกฝั่งแทน แต่เมื่อลงมาแล้วก็ไม่ได้พบทางที่จะหนี เมื่อคนที่ยืนขวางอยู่คือคนที่คริสเรียกว่า ฮวางจื่อเทา

     

    “อาเทา ช่วยพี่หน่อยนะ” จุนมยอนเอ่ย ซึ่งเจ้าของชื่อก็พยักหน้ารับและคว้าจับข้อมือเล็กไว้ แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันที่อี้ชิงร้องโอดโอย ครั้นเมื่อจุนมยอนวิ่งเข้าไปดูก็ผมรอยถลอกที่บริเวณข้อมือนั้น

     

    “ไปทำแผลก่อนเถอะครับ เชือกคงบาดเอา” จุนมยอนบอกก่อนจะพยักหน้าให้จื่อเทาช่วยบังคับให้จางอี้ชิงเดินไปด้วยกัน

     

    “ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมเป็นคุณหมอ ไม่ทำให้คุณเจ็บกว่าเดิมแน่ๆ” จุนมยอนบอกก่อนจะทำความสะอาดบาดแผลอย่างแผ่วเบาสมราคาคุย รู้ตัวอีกทีก็ใส่ยาจนเกือบเสร็จแล้ว

     

    “มีแผลตรงไหนอีกรึเปล่าครับ?” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยถามขณะที่ปิดผ้าลงบนแผลที่ข้อมือ คนถูกถามเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อตอบ

     

    “โอเคครับ ตรงนี้ผมคิดว่าคุณคงพยายามดึงเชือกออก แต่เชือกมันคมพอสมควรถึงได้ถลอกขนาดนี้ แล้วก็มันคงสกปรกเพราะงั้นถ้าปวดแผล บอกผมนะครับ จะได้จัดยาให้ทาน” พูดจบก็เก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋า แต่แล้วเสียงหวานก็ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็ดังขึ้น

     

    “ผมอยากกลับบ้าน” อี้ชิงบอกด้วยดวงตาแดงก่ำ นั่นทำให้คิมจุนมยอนอดรู้สึกสงสารไม่ได้

     

    “ตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ พรุ่งนี้ตุ้ยจาง เอ่อ..คุณคริสจะไปส่งคุณที่ทำงาน คืนนี้คุณต้องนอนที่นี่ครับ” เป็นคิมจงอินที่อธิบายให้แทน

     

    “แต่..”

     

    “อย่าดื้อนะอี้ชิง” เสียงนั้นอี้ชิงจำได้ดี..มันเป็นเสียงของพี่คริสที่เขารัก..

     

    “ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่กับคุณ”

     

    “อี้ชิง”

     

    “คุณเป็นใครผมไม่รู้จัก ผมไม่รู้จักคุณ ฮึก..” น้ำตาที่กลั้นเอาไว้นาน ไหลลงมาในที่สุด..อี้ชิงอยากบอกตัวเองว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นแค่ความฝัน แต่ทุกอย่างที่เกดขึ้นมันจับต้องได้ เห็นอยู่ตำตา ได้ยินกับหูตัวเอง.. นั่นทำให้ร่างบางปฏิเสธความจริงไม่ได้..

     

    ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับตัวตนของพี่คริส

     

    “อี้ชิง”

     

    “อย่า..” ร่างบางชักเท้าหนีคนที่ตั้งท่าจะเข้ามากอด จางอี้ชิงกำลังสับสน เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึกกับเรื่องทั้งหมดนี้ยังไง ผิดหวัง เสียใจ โกรธ หรือว่าแค้น แต่ยังไงเขาก็รู้สึกกับคริสแบบเดิมไม่ได้ ไม่มีวัน..

     

    “คุณหลอกผม หลอกให้ผมเชื่อว่าเป็นคนดี หลอกให้ผมเชื่อว่าคุณรัก คุณทำแบบนี้ทำไม” อี้ชิงถามทั้งๆ ที่น้ำตายังไม่หยุดไหล เสียงสะอึกสะอื้นนั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีเทาสำหรับคริส

     

    “พี่ไม่ได้หลอกนายนะ พี่รัก..”

     

    “หยุด! ผมไม่อยากฟัง ฮือ” ถึงจุดนี้อี้ชิงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่เกรงใจ ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้นแล้วกอดเข่าตัวเองไว้ อี้ชิงดูตัวเล็กลงไปอีกเมื่อทำเช่นนั้น

     

    คริสก้าวเข้าไปหมายจะปลอบโยนคนรักแต่ถูกจุนมยอนห้ามเอาไว้ คุณหมอตัวเล็กบอกด้วยเสียงเบาๆ ว่าควรพอเอาไว้เท่านี้ และแม้ร่างสูงจะไม่พอใจกับคำแนะนำอย่างนั้น แต่ก็ยอมเชื่อและจากไปแต่โดยดี

     

    คุณหมอนั่งลงสวมกอดคนที่ร้องไห้จนตัวสั่นเอาไว้ เสียงเล็กๆ เอ่ยคำปลอบประโลมที่อี้ชิงฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ตลอดเวลา และความเหนื่อยล้าจากเรื่องต่างๆ มากมาย ก็บีบบังคับให้คนตัวขาวผล็อยหลับไป..

     

     

    ..

    ..

     

     

    นัยน์ตาใสปรือขึ้นกะพริบถี่ๆ ก่อนจะหยัดกายขึ้น จังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคุณหมอตัวเล็ก บุคคลสุดท้ายที่อี้ชิงเห็นเมื่อคืนก่อนจะเผลอหลับไป

     

    “คุณมีไข้นะครับ แต่ลดลงจากเมื่อคืนมากแล้ว ทานข้าวแล้วก็ทานยาอีกสามวันก็คงหายเป็นปลิดทิ้ง ว่าแต่วันนี้คุณอยากไปทำงานรึเปล่า?” จุนมยอนถามขณะวางชามข้าวต้มไว้ตรงหัวเตียง

     

    “...ไปครับ” อี้ชิงตอบ

     

    “งั้นทานเสร็จแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปรอข้างล่างได้เลยนะครับ แล้วผมจะบอกคุณอี้ฟานให้”

     

    “ครับ” อี้ชิงตอบรับ เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรดื้อดึง สิ่งที่ควรทำคือออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด..

     

     

    ทิ้งเวลาไม่นานร่างบางก็ออกจากห้องมาด้วยเสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี ที่กลางห้องรับแขกขนาดใหญ่นั้น ปรากฏร่างสูงที่คุ้นตานั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ ภาพแบบนี้อี้ชิงเคยเห็นมันตอนที่เข้าไปรอพี่คริสที่บริษัท ตอนนั้นเขาจำได้ดีว่ารู้สึกนับถือคริสที่เอาจริงเอาจังกับงานขนาดไหน..

     

    “เสร็จแล้วเหรอครับ” เพราะมันแต่หวนนึกถึงอดีต ร่างบางจึงไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ครั้นรู้สึกตัว ขาเจ้ากรรมก็ถอยห่างออกโดยอัตโนมัติ และดูเหมือนนั่นเป็นการสร้างความไม่พอใจเล็กๆ ให้กับคริส

     

    “งั้นไปกัน เดี๋ยวพี่ไปส่งเราแล้วต้องไปญี่ปุ่น ถ้าคราวนี้ผิดล่ะแย่แน่ๆ” คริสพูดอย่างเป็นธรรมชาติราวกับทุกอย่างยังเป็นปกติ และเมื่อคนตัวเล็กไม่โต้แย้งอะไร ทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นรถที่จอดเทียบอยู่หน้าประตู

     

    บรรยากาศบนรถไม่สู้จะดีนักเมื่อต่างฝ่ายต่างก็เงียบ เสียงเพลงที่เปิดคลอนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่ ที่สุดแล้วจางอี้ชิงจึงหนีความอึดอัดนั้นด้วยการปิดเปลือกตาลง แม้จะไม่ได้เข้าสู่ห่วงนิทราเลยสักวินาทีก็ตาม

     

    “อี้ชิง ถึงแล้วครับ” มือหนาเอื้อมไปสะกิดคนตัวบางแผ่วเบาพร้อมทั้งบอกคำนั้น เมื่อคนถูกเรียกลืมตาขึ้นก็เปิดประตูรถโดยไม่พูดจา หากแต่ไม่ได้ก้าวลงไปอย่างที่ใจคิด

     

    “อี้ชิง” คริสเรียกอีกฝ่ายเสียงแข็งพร้อมทั้งรั้งไว้ด้วยการฉวยจับท่อนแขนผอมไว้ในมือ “ตอนนี้พี่มีงาน ยังใช้เวลาคุยกับเราไม่ได้ แต่ถ้าพี่กลับมาเมื่อไหร่ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

     

    “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว” อี้ชิงสะบัดแขนออกจากการจับกุมแล้วลงจากรถไปได้ในที่สุด แต่คริสก็ไม่ปล่อยให้จบลงด้วยการหนีแบบนั้น เขาก็ลงมายืนอยู่ข้างรถ นัยน์ตาคมจ้องตรึงอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ขยับไปไหน

     

    “อย่าหนีพี่”

     

    “....”

     

    “นายหนีพี่ไม่ได้หรอกอี้ชิง” แล้วร่างสูงซึ่งใส่สูทดำทั้งชุดก็กลับไปนั่งหลังพวงมาลัยและจากไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์

     

     

    “ร..เรื่องจริงเหรอเนี่ย” ลู่หานเบิกตากว้างหลังจากฟังเรื่องราวที่เพื่อนเล่าให้ฟังทั้งหมด อย่างไม่ใคร่จะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก ถึงจะเคยคิดเล่นๆ ว่าคริสเหมือนมาเฟียอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอได้ยินเข้าจริงๆ เขาก็อดคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหกไม่ได้

     

    “แล้วนายจะทำยังไงต่อไปล่ะ”

     

    “ฉันจะกลับบ้าน” อี้ชิงตอบ “ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนคนโง่มากๆ เลยลู่หาน ถ้าฉันฟังที่นายบอกบ้างก็คงดี..” หน้าหวานฟุบลงกับโต๊ะที่มีแขนตัวเองรองรับอยู่ อี้ชิงไม่อยากร้องไห้ให้กับเรื่องหลอกลวงพวกนั้นอีกแล้ว แต่เขาก็อดเสียใจไม่ได้ พี่คริสที่เขารู้จักหายไป ..มันดูเจ็บปวดไม่ต่างอะไรกับการตายจากกัน เมื่อพี่คริสที่เขารัก กลายเป็นคนนั้นที่เขาไม่รู้จักเลย

     

    “ไม่เป็นไรนะอี้ชิง กลับไปอยู่ที่บ้านก็ดีเหมือนกัน อยู่กับป๊ากับม้า ให้รู้สึกว่าเข้มแข็งขึ้นแล้วค่อยกลับมา ร้านเนี่ย ฉันดูคนเดียวไหวไม่ต้องห่วง” มือเรียวยีผมนุ่มของเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะโอบกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ให้รู้ว่าโลกไม่ได้ถล่ม แต่ก็ไม่ห้ามให้ไม่เศร้า เพราะเขาก็รู้ว่ามันลำบาก

     

    “แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”

     

    “จะไปพรุ่งนี้เลยลู่หาน อีกสองวันพี่คริสก็จะกลับจากญี่ปุ่นแล้วฉันกลัว”

     

    “โอเค งั้นเลิกงานแล้วเราก็ไปจัดการเรื่องกันนะ ไม่ต้องห่วง ถ้าเขามาตาม ฉันจะไม่บอกแน่ๆ”

     

    “ถ้าเลิกงาน..ฉันกลัวว่าจงอินจะมารับ” อี้ชิงบอก เช่นนั้นทั้งคู่จึงจัดการเรื่องภายในร้านอีกเล็กน้อย แล้วออกไปจากที่ทำงานเดี๋ยวนั้น จัดการเรื่องทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการบินกลับประเทศ และเช้าวันต่อมา ทั้งคู่ก็มารออยู่ที่สนามบินก่อนเวลาเครื่องออกเพียงไม่นาน

     

    “ฝากโสมให้ม้าฉันด้วยนะ แล้วนายก็ดูแลตัวเองดีๆ ถึงแล้วบอกฉันด้วย”

     

    “อื้อ ไปนะ”

     

    “รีบๆ กลับมาล่ะ”

     

    “อื้อ ไม่นานหรอก” อี้ชิงยิ้มให้ก่อนจะโบกมือเป็นครั้งสุดท้าย แล้วขึ้นเครื่องเพื่อบินข้ามประเทศกลับไปยังบ้านเกิดที่จากมา

     

     

    ..

    ..

     

     

    “ผมกลับมาแล้วครับ” อี้ชิงเอ่ยหลังจากเปิดประตูบ้านเข้าไปในตอนที่แม่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเช้า ส่วนคุณพ่อก็นั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร และทั้งคู่ก็ละทิ้งสิ่งที่ทำอยู่เพื่อมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

     

    “ทำไมกลับมาไม่บอกล่ะลูก?” ทั้งสองคนผลัดกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมทั้งตรงเข้ามาสวมกอดลูกชายคนเดียวของบ้าน อี้ชิงไม่ได้ตอบตามความจริง เขาให้เหตุผลว่ากลับมาทำธุระแทนลู่หานที่ติดพันการงานจนกลับมาไม่ได้ และไม่ได้บอกแน่ชัดว่าจะอยู่กี่วันจึงจะกลับเกาหลี

     

    “อยู่นานๆ ก็ได้นะลูก ม้าคิดถึง”

     

    “ผมก็คิดถึงม้าครับ~” ร่างบางกอดหญิงผู้ให้กำเนิดไว้แน่น และพยายามอย่างมากที่จะสะกดน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล.. หม่าม้าครับ ลูกชายหม่าม้าเป็นคนโง่ที่โดนหลอกมา ช่วยใช้ความรักอันบริสุทธิ์ของม้ารักษาผมทีนะครับ..

     

    หลังจากการเดินทางที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตึงเครียด จางอี้ชิงจึงขอขึ้นไปพักผ่อนบนห้องที่พร้อมรองรับเขาอยู่เสมอ บรรยากาศเก่าๆ ที่คุ้นเคยชวนให้เคลิ้มหลับได้ง่ายกว่าคืนก่อน กว่าอี้ชิงจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ทันมื้อเที่ยงของวันพอดี

     

    รอยยิ้มและเสียงหัวเราะใสของร่างบอบบางถูกดึงกลับมาด้วยความอบอุ่นของครอบครัวนั้น และนั่นทำให้อี้ชิงคิดว่าเขาคงใช้เวลาทำใจไม่นานนัก

     

     

    ..

    ..

     

     

    หลังจากจัดการธุระที่แดนอาทิตย์อุทัยเสร็จเป็นที่เรียบร้อย คริสก็เตรียมตัวบินกลับเกาหลีทันที

     

    ตลอดเวลาเกือบสามวันที่อยู่ที่นี่ คริสไม่มีสมาธิและคิดเรื่องต่างๆ จนเข้าข่ายฟุ้งซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยเหตุผลเดียวคือจางอี้ชิง ..คริสไม่มั่นใจเลยว่าคำสั่งที่ว่า ห้ามหนี นั้นจะรั้งอี้ชิงไว้ได้รึเปล่า หรือกระทั่งลูกน้องคนสนิทอย่างจงอินจะทำตามคำสั่งได้มั้ย

     

    “ตุ้ยจางขึ้นเครื่องเถอะครับ ได้เวลาแล้ว” เทาบอกพร้อมทั้งเดินนำไป

     

    เพียงไม่เกินสามชั่วโมงเท่านั้น คริสก็กลับมายืนอยู่บนแผ่นดินเกาหลีอีกครั้ง หลังจากดูนาฬิกาที่บอกว่าเกือบเป็นเวลาเลิกงานของอี้ชิงแล้ว เขาก็ตรงไปยังร้านอาหารนั้นทันที

     

     

    “อี้ชิงอยู่ไหน?” หลังจากกวาดตามองทั่วร้านแล้วไม่พบคนที่ต้องการหา เขาก็ถามเอาจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของอี้ชิง

     

    “เขาไม่อยู่ที่นี่”

     

    “ฉันรู้แล้ว ถึงถามว่าอยู่ที่ไหนไง!” คริสแสดงความไม่พอใจรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าขึ้นเสียง

     

    “ถ้าฉันไม่บอกจะทำไม ฆ่าฉันเหรอ?” ลู่หานถามด้วยแววตาไม่ยี่หระ

     

    “ฉันไม่ฆ่านายหรอก ฉันจะไม่ทำให้อี้ชิงเสียใจ”

     

    “นายทำไปแล้ว”

     

    “ก็ให้โอกาสฉันแก้ไขมันสิ”

     

    “ปล่อยอี้ชิงไปเถอะ”

     

    “ถ้าไม่บอกก็เงียบซะ!

     

    “..........!!

     

    “ฉันจะตามหาเขาเอง” คริสพูดเสียงแข็ง และเมื่อแววตาที่สงบนิ่งวาวโรจน์ขึ้นมา เสี่ยวลู่หานก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตรึงเอาไว้ด้วยใบมีด จากนั้นร่างสูงก็เดินออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงร่างโปร่งที่ได้แต่ภาวนาว่าในแผ่นดินจีนที่กว้างใหญ่ อี้ชิงจะไม่ถูกตามหาจนเจอ..

     

     

    ..

    ..

     

     

    “ผมออกไปเดินเล่นนะครับ” อี้ชิงบอกกับผู้เป็นแม่หลังจากที่ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาจนอิ่มแล้ว แม่เพียงแค่ยิ้มให้เขาแทนการบอกว่ารับรู้แล้ว จากนั้นร่างบางก็สวมรองเท้าคู่ใจเดินออกมา

     

    ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของเขามีสวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ สมัยเด็กๆ มันเป็นสถานที่ที่สร้างความสุขให้เขาได้มากที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกลขึ้น มันก็กลายเป็นแค่ที่นั่งพักสำหรับคนที่เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น และเช่นกัน..อี้ชิงก็มาที่นี่เพราะต้องการพักผ่อน

     

    ร่างบอบบางทิ้งตัวลงนั่งบนชิงช้ากลางสนาม เขาไกวมันเบาๆ พลางนึกเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา ในห้วงความคิดของเขายังคงมีพี่คริสที่อ่อนโยนอยู่เสมอ และไม่อยากเชื่อว่ามันได้จบลงแล้ว

     

    อี้ชิงหลับตาปล่อยให้ลมอ่อนๆ พัดกระทบใบหน้าในขณะที่ชิงช้ายังคงไกวด้วยแรงที่ส่งไว้ตั้งแต่แรก กระทั่งมันหยุดการเคลื่อนไหวลง เปลือกตาบางจึงค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า จับจ้องอยู่ที่ปลายเท้านิ่ง

     

    เขาเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ คอยแต่จะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ..ส่วนนึงอาจเป็นเพราะอยู่คนเดียวเงียบๆ แบบนี้

     

    คิดได้เช่นนั้นแล้วจางอี้ชิงจึงตั้งใจจะลุกขึ้นและกลับไปใช้เวลากับครอบครัวที่บ้านต่อเป็นคืนที่สาม แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

     

    คนตัวเล็กไม่อยากเงยหน้าขึ้นให้คนแปลกหน้าคนไหนได้เห็นน้ำตาของตัวเอง เขาจึงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น จวบจนเห็นรองเท้าหนังสีดำสนิทมาหยุดอยู่ตรงหน้า เงาของอีกฝ่ายทอดยาวมาพาดผ่านอี้ชิงไป

     

    ร่างบางค่อยๆ ไล่สายตาจากปลายเท้าคู่นั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ..ผ่านขาคู่ยาว แผ่นอกแกร่ง ช่วงไหล่กว้าง ลำคอระหงส์ และหยุดลงที่ดวงตาคู่นั้น..

     

    “พี่คริส!” เสียงหวานเอ่ยด้วยความตกใจระคนเพ้อ พอตั้งสติได้ จางอี้ชิงก็ลุกพรวดและจะเดินหนีไปเสียดื้อๆ หากแต่ก็ถูกคว้าเอาไว้ได้ทัน ร่างสูงออกแรงกระชากเบาๆ อี้ชิงก็เซมาปะทะเข้ากับอกของตัวเอง

     

    “พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าหนี” คริสเอ่ยเสียงเย็นเยียบในแบบที่ร่างบางไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ..มันดูเย็นชาและน่ากลัว

     

    “ปล่อยผม”

     

    “กลับบ้านกับพี่”

     

    “ไม่! ผมไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น”

     

    “อี้ชิง”

     

    “หยุดเรียกชื่อผมห้วนๆ แบบนั้นได้แล้ว เราไม่รู้จักกัน”

     

    “.....!?

     

    “แม้แต่ชื่อคุณ ผมยังไม่รู้จักเลย” คนตัวเล็กขืนข้อมือออกจากการจับกุม แต่ยังไม่ทันได้ก้าวหนีไปไหน..

     

    “พี่ก็ชื่อคริส พี่คริสของนายไง”

     

    “หึ..ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่เห็นใครเรียกคุณด้วยชื่อนั้นเลย” พูดจบร่างบางก็เดินหนีไปอีกทาง แต่ยังไปได้ไม่ไกล เสียงเสียงเดิมที่พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้าลง แล้วยอมหันมามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ

     

    “อี้ฟาน พี่ชื่ออี้ฟาน..”

     

    “คุณทำงานอะไร..” อี้ชิงกลั้นใจถามออกไปทั้งที่น้ำตากำลังไหล.. เขาร้องไห้ให้กับความจริงที่ว่าเขาไม่รู้จักคนตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ..ไม่รู้เลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นเขาใช้ชีวิตอยู่กับใคร

     

    “ก็อย่างที่เราเห็น พี่มีกิจการหลายอย่างที่เกิดจากชิงหลงกรุ๊ป”

     

    “โกหก! คุณโกหก”

     

    “........”

     

    “จนถึงตอนนี้ยังจะโกหกอีก กิจการอะไรถึงต้องฆ่าคน”

     

    “พี่เป็นมาเฟีย!” ร่างสูงตะโกนคำนั้นใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด “นี่ใช่มั้ยคำที่อี้ชิงอยากได้ยิน..” สิ้นคำนั้นร่างสูงก็เซน้อยๆ เพราะแรงผลักจากคนตัวเล็กกว่า

     

    “อย่ามายุ่งกับผม”

     

    “อี้ชิง เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง อย่าเดินหนีพี่” คริสออกคำสั่ง ทว่าไม่ได้ใช้กำลังฉุดรั้งอีกคนเหมือนที่เคย

     

    “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ฮึก.. แล้วก็อย่าตามผมมา”

     

    “อี้ชิง!

     

    “ผมเกลียด ผมเกลียดคนโกหก ผมเกลียดคุณ ถ้าคุณจะตาม ผมก็จะหนี ต่อให้ต้องหนีไปจนตายก็จะหนี ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณแล้ว!

     

    “อี้ชิง!!

     

    “เลิกเรียกผมซะที!!

     

    “ก็ได้..นายจะหนีพี่ไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกล ให้ลึกที่สุดเท่าที่นายจะไปได้”

     

    “........”

     

    “แต่รู้ไว้อย่างนึงเถอะจางอี้ชิง”

     

    “........”

     

     

    “โลกนี้ไม่กว้างพอให้นายหนีพี่พ้นหรอก”

     

     

     

     

    To be cont.

     

    ..

     

     

    # talk corner *

                    สวัสดีหลังวันสงกรานต์ค่า ไปเที่ยวกับมาใช่มั้ยคะ เราก็ไปเยี่ยมญาติทั่วไทยมาเหมือนกัน XD ช่วงสงกรานต์อากาศดันเย็นซะงั้นเนอะ

    นี่ชอบประโยคปิดของตอนนี้มากอย่างบอกไม่ถูก 5555 เขียนเองชอบเองเสร็จสรรพ กร้ากก

    น้องรับไม่ด้ายยยย พี่คริสเป็นมาเฟียน้องรับไม่ได้ แล้วคนอ่านล่ะคะ รับพี่คริสคนนี้ได้มั้ย ฮี่ๆ

     

     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×