คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ▌MASK : chapter 02
the illusion of
MASK
Chapter 02
ร่างบอบบางกลิ้งไปบนเตียงกว้างเพื่อหยิบเอาโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่อีกฝั่งของเตียง แล้วกดไล่ดูข้อความที่ถูกส่งผ่านมาทางแอพลิเคชั่นยอดฮิตบนสมาร์ทโฟน พอเห็นอีกฝ่ายส่งมาถามว่านอนหรือยัง เขาก็ตอบไปอย่างที่เป็น
+ Yixing : เพิ่งอาบน้ำเสร็จเองครับ
- KRIS : สระผมรึเปล่า ถ้าสระก็ต้องเช็ดให้แห้งก่อนนอนนะรู้มั้ย
+ Yixing : คร้าบ~~~~ ♥
- KRIS : หืม ให้ใจพี่เลยเหรอ
+ Yixing : ก็พี่อุตส่าห์เป็นห่วงผม ผมก็มีของตอบแทนไง :)
- KRIS : ไม่ใช่ ‘อุตส่าห์’ นะ คำนั้นมันดูเป็นการพยายามไปหน่อย
- KRIS : พี่ห่วงอี้ชิงของพี่จริงๆ นะ จากใจเลย
+ Yixing : คร้าบ รู้แล้วครับ พี่ถึงบ้านแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง
- KRIS : อื้มรถไม่ติดน่ะ งั้นพี่ไปอาบน้ำบ้างนะ รีบๆ นอนล่ะ
+ Yixing : อื้อ :)
- KRIS : พี่รักอี้ชิงนะครับ
ประโยคสุดท้ายที่ถูกส่งมาทำเอาจางอี้ชิงคว่ำหน้าซุกหมอนใบโตเพราะทนเขินไม่ไหว ลำพังไอ้แค่ตัวหนังสือก็ไม่เท่าไหร่ แต่ในหัวก็ชอบจะจินตนการถึงเสียงพี่คริสเวลาพูดคำนี้อยู่ได้ ไม่ชินหรอก! ได้ยินมาครึ่งปีก็ยังไม่ชินอยู่ดีนั่นแหละ
ใช้เวลาสักพักกว่าร่างบางจะกลับมาอยู่ในโหมดปกติ พอดีกับที่ลู่หานส่งข้อความมารับรู้ว่าตัวเขากลับถึงบ้านแล้ว เห็นแล้วก็อดคิดถึงเรื่องเพื่อนกับคนรักไม่ได้ ..ยังไงจางอี้ชิงก็อยากให้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
อี้ชิงยืนยันกับเพื่อนเป็นร้อยๆ รอบแล้วว่าพี่คริสก็ทำงานเหมือนกับคนอื่นเขา มีบริษัทใหญ่โตที่เป็นสาขาของประเทศจีน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คริสต้องมาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนแบบนี้
ส่วนเขามาเรียนที่นี่ก็เพราะลู่หาน ครอบครัวของลู่หานย้ายมาตั้งรกรากที่เกาหลีด้วยเหตุผลคล้ายๆ คริส คือหัวหน้าครอบครัวจำเป็นต้องมาทำงานที่นี่ อีกอย่างคือเรื่องดนตรีของประเทศนี้มีชื่อเสียง แล้วก็มีทุนให้ศึกษามากมาย เขาจึงตัดสินใจมาเรียนกับลู่หาน ตอนนี้เรียนจบแล้วพวกเขาก็มีโครงการจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรี เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี จึงยึดเอาอาชีพที่ทำควบคู่กับการเรียนเป็นอาชีพหลักไปก่อน
สักวันเขาคงชวนพี่คริสกับลู่หานไปเที่ยวพร้อมๆ กัน ให้ลู่หานได้เห็นอีกด้านของคริสดูบ้าง เผื่อว่าจะตั้งแง่กับอีกฝ่ายน้อยลง
คิดอะไรเรื่อยเปื่อยต่ออีกนิดหน่อย คนตัวขาวก็ปล่อยให้สติหลุดลอยไปในโลกแห่งความฝัน และจมอยู่ในนิทราจวบจนรุ่งเช้า
..
..
“ลู่หาน พรุ่งนี้ฉันไม่มานะ”
“อะไร ไปกับพี่คริสอีกล่ะสิ”
“อื้อ~ ก็พรุ่งนี้วันครบรอบอะ” อี้ชิงตอบขณะที่มือก็ยังทำงานไม่มีบกพร่อง
“โอ้ กี่เดือนแล้วนะ?”
“หก”
“โอเค มีความรักแล้วเสียการเสียงานนะ เพื่อนก็ชอบทิ้ง”
“ลู่หานอะ”
“ล้อเล่นหน่า ไม่ว่าอะไรหรอก ว่าแต่ไปไหนล่ะ”
ร่างบางนั่นคิดถึงบทสนาที่เกิดขึ้นเมื่อวานพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังแล่นอย่างเอื่อยๆ ..ที่ต้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เพราะเช้าวันนี้คริสจำเป็นต้องเข้าบริษัทกะทันหัน จึงส่งคนรถมารับ แล้วเจอกันที่เอเวอร์แลนด์เลย
ใช่..ไม่ผิดหรอกครับ เอเวอร์แลนด์ สวนสนุกชื่อดังของประเทศเกาหลีนั่นแหละ ทีแรกที่ชวนมา พี่คริสก็ทำท่าไม่อยากจะมาหรอกครับ ผมเข้าใจนะ ก็พี่คริสเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเสียอีก จะมาเที่ยวเล่นในที่แบบนี้ก็ดูจะขัดกับตัวเขาเกินไปหน่อย แต่ทำไงได้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมก็ยังไม่เคยมีโอกาสมาเลยสักครั้ง แล้วใครก็ต่อใครก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากมันจะเป็นสถานที่สำหรับครอบครัวแล้ว มันก็ยังเหมาะสำหรับคู่รักไม่แพ้กันเลย
ก็ไหนๆ วันนี้มันก็เป็นวันพิเศษ จะให้ไปกินข้าว ดูหนังแค่นั้นมันก็เหมือนทุกๆ วันน่ะสิครับ อีกอย่างนึง..หลังจากวันนี้จางอี้ชิงจะไม่ได้เจอคริสอีกตั้งหลายวัน
“ถึงแล้วครับ คุณคริสก็ถึงแล้ว รอคุณอี้ชิงอยู่ด้านในน่ะครับ” คนขับรถที่อี้ชิงคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีหันมาบอกหลังจากที่รถจอดเทียบท่าอยู่หน้าสวนสนุกขนาดใหญ่
ร่างบางวาดยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ลงจากรถไปยังจุดที่นัดกับคริสเอาไว้
“พี่คริส~~~!” สวมกอดคนตัวโตไว้จากด้านหลัง ฝ่ายคนถูกกอดก็หันมาพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางลงเมื่อหันกลับมาเห็นคนรักเต็มๆ ตา
“ทำไมใส่เสื้อแบบนี้ล่ะอี้ชิง” คริสถามขณะที่คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากันจนแทบจะเป็นปม
“ก็มาสวนสนุกนี่ครับ ก็ต้องใส่เสื้อผ้าสบายๆ สิ พี่ยังใส่แปลกตากว่าทุกวันเลย” อี้ชิงตอบพลางสำรวจการแต่งกายของคนรักทีด้วยสายตา ก็ปกติเขาเห็นแต่พี่คริสในชุดสูท หรือไม่ก็ใส่เสื้อเชิ้ตตลอดเวลา แต่วันนี้กลับมาด้วยเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์ธรรมดา แบบนี้ดูเด็กลงตั้งเยอะ
“พี่ไม่ชอบ” คริสตอบเสียงแข็งก่อนจะคว้าข้อมือเล็กแล้วกึ่งลากกึ่งจูงให้เข้าไปในร้านค้าบริเวรณนั้นด้วยกัน
“เอ้านี่ พี่ซื้อให้แล้วไปเปลี่ยนซะ” มือใหญ่ยื่นเสื้อพื้นขาวลายมิกกี้เมาส์ให้คนตัวเล็ก นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวยังคงมองเสื้อกล้ามสีขาวที่คนน่ารักใส่มาอย่างไม่พอใจ
“งั้นเอานี่ด้วยได้มั้ยฮะ” มือขาวหยิบเอาที่คาดผมที่เลียนแบบจากหูมิกกี้เมาส์ขึ้นมาคู่กันกับเสื้อ นั่นทำให้ร่างสูงเผยยิ้มเอ็นดูออกมา
“เอาเลย มาจ่ายเงินก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยน” คริสวางของที่ต้องการลงบนเคาท์เตอร์พร้อมบัตรเครดิท พอเสร็จจากนั้นก็ไปยืนรอคนตัวเล็กหน้าห้องลองเสื้อ เปลี่ยนออกมาเรียบร้อยพอใจที่อยากให้เป็น ..อันที่จริงอยากให้เป็นสีดำ แต่ติดตรงที่มันไม่มีไซส์ของอี้ชิงน่ะสิ
“น่ารักมั้ยพี่คริส” อี้ชิงถามพลางชี้ที่คาดผมรูปหูหนูที่อยู่บนหัวตัวเองแล้วเรียบร้อย
“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
“ก็จะถอดออก แต่ถอดเสื้อนะ ไม่ใช่ไอ้หูนี่”
“ร้ายนะเรา แต่ว่าไม่เห็นต้องถามเลย น่ารักอยู่แล้วล่ะ อี้ชิงของพี่ทั้งคน”
ทั้งที่เป็นคนถามเองแท้ๆ ..แต่พอได้คำตอบก็ดันทำอะไรไม่ถูกไปเสียได้.. ก็ไม่ได้คิดว่าพี่คริสจะตอบตรงๆ แบบนี้นี่หน่า
“ไปกันดีกว่าเนอะ” มือใหญ่เอื้อมมาสอนประสานกับมือเรียวเล็กเอาไว้ ออกแรงรั้งเบาๆ ให้อี้ชิงเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้น ก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังสวนสนุกที่มีของเล่นหลากหลายชนิดอย่างที่เขาร่ำลือกัน
ทว่าเครื่องเล่นชิ้นแรกที่คริสเลือกเล่นกลับเป็นรถไฟเหาะที่ขึ้นชื่อว่าน่าหวาดเสียวที่สุดที่สุดในประเทศซะได้ ทีแรกอี้ชิงก็คิดว่ามันก็แค่เครื่องเล่น ไม่น่ากลัวอะไรนักหนาหรอก
แต่พอใกล้ถึงคิวตัวเอง ได้เห็นคนที่กลับมารอบแล้วรอบเล่าหน้าซีดเป็นไก่ต้มก็นึกหวั่นขึ้นมาบ้าง
“ขึ้นจริงๆ เหรอพี่คริส”
“รอมาตั้งนานขนาดนี้แล้วจะถอยเหรอ?”
“ขึ้นก็ขึ้น..” แล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนเครื่องเล่น รัดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วก็แบมือขอจับมือใหญ่ไว้ให้อุ่นใจ
“จับแน่นเลยนะ”
“ไม่ต้องพูดเลย ก็ผมกลัวนี่”
“ไม่เป็นไรหรอก จับมือไว้ พี่ไม่ปล่อยให้เราเป็นอะไรแน่ๆ”
“อื้อ” แค่เท่านั้นแล้วเครื่องเล่นก็พุ่งออกจากจุดเริ่มต้น หลายนาทีกว่าจะกลับมาหยุดอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
“งือออออ ไม่เอาแล้ว ไม่เล่นเครื่องเล่นแบบนี้แล้วนะพี่คริส ผมเกือบตายแหนะ”
“ฮ่าๆ โอเคครับ ไม่เล่นแล้ว” คริสหัวเราะร่วนให้กับหน้าซีดเผือดของคนรัก พร้อมทั้งเอื้อมมือไปลูบเรือนผมนิ่มแผ่วเบาอย่างเอ็นดู
“ไม่เอาพี่จะบ้าเหรอ ! จะไปแย่งเด็กเขาเล่นทำไม” อี้ชิงยื้อยุดเอาร่างของตัวเองไว้ ไม่ให้เดินไปตามแรงดึงของร่างสูงนั้น
“ทำไมล่ะ ก็เราบอกว่าไม่อยากเล่นอะไรหวาดเสียวไม่ใช่เหรอ แล้วม้าหมุนนี่มันหวาดเสียวยังไง?”
“มันไม่ใช่ว่าหวาดเสียวแต่...” ตากลมกวาดมองไปยังด้านหน้าของแถวและคนที่มาต่อคิวเป็นรายถัดจากเค้า ..เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบทั้งนั้นสาบานได้
“พี่ฮะเดินขึ้นไปสิฮะ แถวไปแล้ว” เสียงเด็กชายวัยใสเอ่ยบอกพร้อมทั้งออกแรงดึงชายเสื้อของคนน่ารักเบาๆ
“พี่ไม่เล่นแล้ว เราขึ้นไปต่อเลย~”
“ไม่เอาฮะ แม่ผมบอกว่าไม่ให้แซงคิว”
“หน่าอี้ชิง แค่นั่งไปรอบนึงไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ถึงใจจะอยากปฏิเสธแค่ไหนแต่ขาเจ้ากรรมกลับยอมเดินตามคนข้างหน้าไปแต่โดยดี
“พี่คริสขี้แกล้ง” อี้ชิงยู่ปากขัดใจ ไอ้ที่บอกไม่เล่นอะไรหวาดเสียวน่ะหมายถึงพวกรถไฟเหาะตีลังกาอะไรพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเล่นอะไรเป็นเด็กน้อยแบบนี้นี่หน่า
“ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเล่นเลยล่ะฮะ” เด็กน้อยคนเดิมเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอกครับ พี่คนนี้เขากลัวตกม้าน่ะ” ร่างสูงย่อตัวลงก่อนจะเอ่ยบอก
“อ๋อ! อย่างงั้นไม่ต้องกลัวหรอกครับ ไม่ตกลงมาหรอก ไม่น่ากลัวเลย ผมขึ้นตั้งหลายครั้งแล้ว” เด็กตัวเล็กบอกอย่างมั่นใจพร้อมทั้งเอื้อมมือเล็กๆ ไปบีบมืออี้ชิงเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“ฮะๆ” มือใหญ่วางบนหัวทุยของเด็กตรงหน้าอย่างเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังเครื่องเล่นที่ว่าเมื่อถึงคิวตัวเองแล้ว
คริสจูงมือคนตัวเล็กนั้นไปทางม้าหมุนตัวใหญ่ซึ่งพ่วงไว้ด้วยรถม้าคันหรู .. ถ้าหากว่าจางอี้ชิงเป็นเด็กอายุ 4 ขวบ ..เขาคงจะตื่นตากับเครื่องเล่นนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“นายนั่งตรงนั้น ..ส่วนม้านี่พี่จะขี่ให้เอง”
“ไม่เอา ..นั่งด้วยกันสิ” ลำพังแค่เล่นนี่ก็อายจะแย่อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาเป็นนั่งในรถม้าเป็นซินเดอเรลล่าแบบนั้นล่ะ
“ถ้าอย่างงั้นก็มานั่งตรงนี้” ตบที่ว่างตรงอานม้า เรียกให้ร่างบางเดินมาหย่อนตัวลงอย่างว่าง่าย ก่อนตัวเองจะเป็นฝ่ายซ้อนทับอยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งส่งมือแกร่งไปโอบรอบเอวคอดไว้มั่น
“พี่คริส!”
“เดี๋ยวพี่ตกม้า ..” วางหน้าหล่อเหลาไว้บนลาดไหล่บางอย่างออดอ้อน ปล่อยให้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ และครีมอาบน้ำจาง ๆ โชยเข้าจมูกไปเรื่อย ๆ ตาคมหลับลงพริ้ม เคลิ้มไปจนกระทั่งไม่ทันได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากมือเล็กที่วางทับลงมาบนมือของตัวเองอีกที
ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เปราะบาง จางอี้ชิงดีใจที่สามารถถนอมดูแลมันได้ยาวนานจนถึงวันนี้ และได้แต่หวังว่ามันจะมั่นคงตลอดไป..
..
50%
..
ตกเย็นทั้งคู่ก็พากันเข้าไปทานอาหารในโรงแรมเอเวอร์แลนด์ โรงแรมซึ่งเป็นของสวนสนุกโดยตรง มีขึ้นสำหรับคนที่เล่นในเวลากลางวันไม่จุใจ ก็นอนที่นี่ให้เล่นเสียให้หายอยาก
แน่นอนว่าบรรยากาศภายในถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีทั้งบรรยากาศแบบครอบครัว และบรรยากาศหวานๆ แบบคนรัก
“พี่คริสไม่หิวเหรอครับ ไม่กินเลย” อี้ชิงเอ่ยถาม เพราะรู้สึกประหม่าที่อีกฝ่ายแต่จ้องอยู่อย่างนั้น
“เห็นอี้ชิงกินขนาดนี้พี่ก็อิ่มแล้วครับ” คริสตอบทีเล่นทีจริงก่อนจะยิ้มกว้าง
“ถ้าพี่กินไม่หมด ผมไม่ให้ของขวัญด้วย”
“อ่า งั้นพี่จะไม่ให้เหลือเลยนะ” ว่าแล้วก็ก้มลงให้ความสนใจกับอาหารบ้าง มีเสียงพูดคุยกันตลอดมื้อ และเมื่อกินจนอิ่มหนำ จางอี้ชิงก็หยิบเอาของขวัญที่เตรียมไว้มายื่นให้กับร่างสูงที่เปลี่ยนมานั่งข้างกันแล้ว
“หืม เนคไทด์เหรอ”
“พี่ไม่ชอบเหรอ..”
“เปล่าครับ แต่..อี้ชิงรู้รึเปล่า”
“ว่า..?”
“เนคไทด์น่ะ เป็นของขวัญยอดนิยมอันดับต้นๆ ที่ภรรยามักจะซื้อให้สามีนะ” คริสโน้มลงกระซิบบอกประโยคนั้น แล้วก็โดนมือหนักๆ ตีมาสองสามที แต่ก็คุ้มดีแลกกับการได้เห็นคนน่ารักเขินอายแบบนี้
“ของที่พี่จะให้เรา ต้องอาศัยความโรแมนติกหน่อยน่ะ” ว่าแล้วก็จับจูงมือนุ่มนิ่มให้เดินตามไปจนถึงชั้นบนสุดของโรงแรม ที่เปิดไว้ให้ออกไปเดินชมความสวยงามของสวนสนุกยามค่ำคืน แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแม้แต่คนเดียว
“พี่คริสจะให้อะไร ถึงต้อง อ๊ะ!” อี้ชิงเกือบเผลอย่อตัวลงตามคริสที่คุกเข่าลงกับพื้น แต่ร่างสูงกลับยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาตรงหน้าเสียก่อน
“พี่จองเอาไว้ก่อน ถ้าพร้อมเมื่อไหร่บอกพี่นะครับ” พูดจบก็สวมแหวนเงินเกลี้ยงเกลาไว้บนนิ้วเรียวของอีกฝ่าย พร้อมทั้งกดจูบลงบนหลังมือนิ่มนั้นอย่างถนอม
“พี่คริส.. ขอบคุณนะครับ” อี้ชิงนั่งลงในระดับเดียวกับคนตัวโตแล้วโผเข้ากอด คริสเซนิดหน่อยแต่ก็ยังตั้งรับได้ดี
ใบหน้าหล่อเหลาเผยยิ้มกว้างอย่างที่น้อยคนจะได้เห็น ก่อนจะแขนแกร่งโอบคนตัวเล็กตอบกลับบ้าง
“ผมคิดว่าอีกไม่นาน ..ก็พร้อม” เสียงหวานบอกเพียงแผ่วเบาเพราะห่างกันไม่ถึงคืบ จางอี้ชิงคิดว่าเขาคงพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกับคริสอย่างเต็มที่ เขาได้เห็นในสิ่งที่คริสเป็น สิ่งที่คริสทำเพื่อเขามาตลอด นั่นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเขาเลือกคนไม่ผิด
“อย่าหลอกให้พี่ดีใจเก้อนะ” ประทับจูบลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนลงมาชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่มนั้น เนิ่นนานจนอี้ชิงต้องเป็นฝ่ายประท้วง คริสจึงคืนอิสรภาพให้ร่างบางนั้น
..
..
แล้วช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายของวันก็มาถึงอีกครั้ง รถของคริสจอดสนิทอยู่หน้าคอนโดของอี้ชิงเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้จางอี้ชิงงอแงไม่ยอมขึ้นไปบนห้องก่อนที่เขาจะกลับเหมือนเคย
“ก็พี่จะไม่อยู่ตั้งหลายวัน ผมอยากอยู่มองพี่นานๆ ไม่ได้เหรอ?” อี้ชิงถามเสียงอ่อน เพราะเขาดื้ออยู่นานแล้วและคริสก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอม สุดท้ายเลยเลือกจะอ้อนเอาแบบที่เคยทำ
“..................”
“นะครับพี่คริส ตามใจผมหน่อยนะ วันเดียวเอง” ไม่พูดเปล่า มือนุ่มนิ่มก็เกาะไว้ที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน สุดท้ายร่างสูงก็ต้องถอนหายใจยาวแล้วมองคนตัวเล็กกว่าพร้อมทั้งเอื้อมมือไปบีบจมูกรั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“โอเค ยอมก็ได้ วันเดียวนะ”
“ครับ ขึ้นรถๆ รีบกลับเดี๋ยวตกเครื่องพอดี” มือเล็กดุนหลังคนตัวโตให้เดินขึ้นรถไปอย่างที่พูด พร้อมออพชั่นเสริมปิดประตูให้แถมท้าย
“ไปนะครับ” ลดกระจกลงเพื่อบอกลา จางอี้ชิงโบกมือให้คนรักอยู่อย่างนั้นจนลับสายตาไป แต่ก็ยังค้างอยู่อย่างนั้นสักพัก.. ก็พี่คริสจะต้องบินไปญี่ปุ่นคืนนี้ ไปทำธุรกิจของเขานั่นแหละ แต่คราวนี้จะไปตั้งเกือบสองอาทิตย์ ไม่ได้อยากจะงี่เง่าหรอกนะ แต่ก็คงคิดถึงมากๆ จริงๆ
“เฮ้อ~~~” คนตัวบางถอนหายใจยาวก่อนจะหมุนตัวเพื่อจะกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องเหมือนทุกวัน แต่ในขณะที่เขากำลังหาคีย์การ์ดที่ใช้สำหรับเปิดประตูรั้วนั่นเอง ที่มีรถตู้วิ่งมาจอดที่ตรงนั้น ยังไม่ทันกะพริบตา ชายฉกรรจ์สามคนก็กรูกันลงมาจากรถ ตรงเข้าจับจางอี้ชิงไว้!
“ปล่อยนะ!” ร่างบางทั้งขืนตัวสู้ และดิ้นอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่ทำได้
“โอ๊ย!” และก็ได้ผลเมื่ออี้ชิงกระทืบเท้าหนักๆ ลงบนเท้าของคนที่จับตัวเชาไว้ แต่วิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว แขนเพรียวก็ถูกกระชากกลับไปที่เดิม
“เก่งนักใช่มั้ย!”
“ช่วยด้วย!! ช่วย อะ...” อี้ชิงงอตัวลงพร้อมด้วยสติอันเลือนลางซึ่งถูกพรากไปด้วยหมัดแน่นๆ ที่หน้าท้องเมื่อครู่ ก่อนประสาทสัมผัสจะดับลงอย่างสมบูรณ์เมื่อล้มลงศีรษะกระแทกกับพื้นคอนกรีตหนา
..
..
“อือ...” เปลือกตาบางปรือขึ้นพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้ง จางอี้ชิงกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นความมืดที่เวิ้งว้าง
ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ด้านนอกบ้าง แต่ก็ไม่ชัดเจนพอจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องอะไร ใช่เรื่องเกี่ยวกับเขาไหม? ถ้าไม่..แล้วเขามาอยู่ที่นี่ทำไม
“อ๊ะ..” อี้ชิงหลับตาแน่นเมื่อประตูเปิดออกและแสงสว่างจ้าก็สาดเข้ามา สักพักกว่าเขาจะลืมตาสู้แสงนั้นได้ และเมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามันเป็นสถานที่คล้ายกับโกดังร้าง และเขาก็ถูกมัดติดอยู่กับเสาต้นหนึ่ง แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าในห้องที่มืดสนิทเมื่อครู่ มีใครอีกคนที่ถือปืนอยู่ในห้องนี้กับเขา
“ตื่นแล้วเหรอ” คนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาคนนั้นเชยคางมนขึ้นบังคับให้จางอี้ชิงต้องสบตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นัยน์ตาของอีกฝ่ายดูดุดันและน่ากลัว
“รอหน่อยนะ” เอ่ยบอกในสิ่งที่อี้ชิงไม่เข้าใจ ก่อนจะกดโทรศัพท์แล้วคุยกับใครบางคน เขาจับใจความอะไรไม่ได้ แต่ประโยคสุดท้ายก่อนจะวางสาย ทำให้เขาเย็นสันหลังวาบ
“ถ้าไม่อยากให้ตัวประกันตายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่นี่ ก็รีบๆ เอาชีวิตแกมาแลกซะ”
ไม่ต้องฉลาดมากนักอี้ชิงก็รู้ดีว่าตัวประกันที่ว่านั้นหมายถึงใคร แต่ที่ไม่เข้าใจคือ เขามีความสำคัญต่อใครคนนั้นที่ถูกขู่มากแค่ไหน แล้วฝ่ายนั้นจะยอมเอาชีวิตตัวเองมาแลกมั้ย ...และที่สำคัญคนคนนั้นที่ถูกข่มขู่โดยมีอี้ชิงเป็นเงื่อนไข คือใครกัน?
“อย่าคิดจะหนีล่ะ รู้มั้ยว่าลูกน้องฉันคนนั้น สามารถยิงได้อย่างแม่นยำแม้ว่าจะถูกปิดตา ..ถ้าอยากตายช้าๆ ก็อยู่เฉยๆ” สิ้นคำพูดนั้นแล้วจางอี้ชิงก็ถูกปล่อยให้อยู่ในห้องมืดเหมือนเดิม..
ทิ้งเวลาไม่นานนักความเงียบสงัดข้างนอกนนั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงแห่งการต่อสู้ อี้ชิงได้ยินทั้งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงมีดกระทบเหล็ก ..และเสียงปืน
จากที่ได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นไกลๆ เสียงนั้นก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที.. เป็นจังหวะเดียวกับที่มือปืนในห้องค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ตัวเขาเช่นกัน
ร่างบางหลับตาแน่นพร้อมทั้งก้มหน้ามองพื้น เขาได้ยินเสียงวิวาทที่หน้าประตูโกดังอยู่เนืองๆ และเดาจุดจบของเรื่องนี้ไม่ถูก ..ถ้าคนที่จับตัวเขามาเป็นผู้ชนะ ยังไงเสียก็คงไม่ปล่อยเขาไปแน่ ส่วนถ้าเป็นอีกฝ่ายนึงที่ได้ชัย เขาก็ไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะเก็บเขาไว้หรือเปล่า เพราะแท้จริงแล้วเขาอาจเป็นแค่เหยื่อที่ไม่มีความสำคัญอะไร พ่อฆ่าแกงกันเสร็จแล้วพาลโมโหที่ต้องยกพวกกันมาเพื่อช่วยใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วยิงเขาทิ้งอีกคน หรือถ้าไม่อย่างนั้น มือปืนชั้นดีในห้องนี้ ก็จะจัดการกับเขาเอง..มันอาจจะต่างที่วิธีการ แต่ไม่ว่าจะทางไหน จุดจบก็คือตายเหมือนกัน
“ฉันเอาชีวิตมาแลกแล้ว แกไม่เอาเองนะ แถมยังเป็นฝ่ายให้ฉันอีก ช่างใจดีซะจริง”
อี้ชิงได้ยินประโยคนั้นทุกคำแต่ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา และแน่นอน หลังจากที่ประโยคนั้นจบลง ก็ตามมาติดๆ ด้วยเสียงปืนสามนัด ที่ไล่ระดับให้เสียงกรีดร้องอย่างทรมาณดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฮึ่ก..” แสงสาดสว่างวาบเข้ามากระทบใบหน้าของคนที่หลับตาแน่น ความกลัวกัดกินไปทุกพื้นในหัวใจ ทั้งยังนึกโทษตัวเองที่ดื้อกับพี่คริสในวันนี้ ถ้าหากเขาเลือกจะขึ้นห้องไปเหมือนทุกวัน เขาก็แค่ต้องทนคิดถึงพี่คริสไม่กี่วัน ไม่ใช่การจากลาตลอดกาลเช่นนี้..
ปัง!!!!
เสียงปืนนัดสุดท้ายที่จางอี้ชิงมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นเพื่อเขากลับไม่ได้เป็นอย่างทีคิด ร่างบางรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่กระเซ็นมาโดนร่างกายอยู่ประปราย เขาลืมตาขึ้นมองร่างที่หายใจรวยระริน แต่ดวงตาจ้องเขม็งมาที่เขา อี้ชิงเหมือนถูกตรึงร่างเอาไว้ให้ขยับไม่ได้แม้แต่ลูกตา และในวินาทีนั้นเองที่ลูกตะกั่วอีกลูกพุ่งเข้าเจาะกะโหลกมือปืนคนนั้นจนแตกกระจาย ไม่เหลือแม้แต่ดวงตาที่ดุร้ายนั่น
อี้ชิงตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น หูก็ยังได้ยินเสียงรองเท้าที่เดินกระทบกับพื้นปูนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เขาไร้ความสามารถแม้กระทั่งจะสั่งให้ตัวเองหลับตา
จวบจนรองเท้าคู่นั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ..นานนับเป็นนาทีที่ฝ่ายนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง คล้ายกับก่อสงครามประสาท..เหมือนคนที่ยืนอยู่ต้องการให้อี้ชิงเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเขา ..แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว..
ร่างสูงสง่าย่อตัวลงช้าๆ ทว่าเมื่อย่อจนสุดแล้วก็ยังไม่อยู่ในระดับสายตาของอีกคน มือใหญ่จึงชักนำคนตัวเล็กนั้นด้วยการเชยคางมนขึ้นให้สบตากันโดยไม่มีทางหลีกหนี
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อแน่ชัดแล้วว่าคนที่เพิ่งพรากลมหายใจสุดท้ายของคนหนึ่งคนไปต่อหน้าต่อตาเขาคือใคร
ริมฝีปากแห้งผากสั่นเทาเอื้อนเอ่ยชื่อคนตรงหน้าแผ่วเบาราวกับกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นความจริง..
“พี่คริส”
To be cont.
..
# talk corner *
กลับมาจาก ตจว แล้วค่ะ เอาไปครึ่งนึงก่อนนะค้า เดี๋ยวที่เหลือมาต่อให้อย่างเข้มข้น นะคะๆ ♥
ฮว้ากกกกกกพี่คริสที่อ่อนโยนของทุกคนมาแล้วค่า XD ไม่เข้มข้นเราไม่นอน! 5555 ตัวจริงของพี่ตุ้ยเปิดเผยต่อน้องแล้ว รีดเดอร์จะชอบพี่ตุ้ยแบบไหนกันนะ ฮุฮุ ♥
ความคิดเห็น