ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] ★ When I Found You ,, { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #3 : 「come across : two」65%

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 57



    come across : two

     

     

    ปาร์คชานยอลรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แขนของตัวเองชาไปหมดในตอนเช้า เพราะเขาใช้มันต่างหมอนตอนที่ผล็อยหลับอยู่ตรงข้างเตียงของรุ่นพี่ตัวเล็ก ซึ่งแม้แต่เวลานี้ก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา

     

    ชานยอลปรายตามองมือข้างหนึ่งที่ถูกคนอายุมากกว่ายึดไปครอง เมื่อวานถูกบังคับให้วางลงบนหน้าท้องนิ่ม ส่วนเช้าวันนี้เขาต้องตื่นขึ้นมาพบว่าหลังมือของตนแนบอยู่กับแก้มนุ่มหยุ่นของอีกฝ่าย

     

    “งือ..” ไวกว่าความคิดที่ชานยอลชักมือของตัวเองกลับมา ซึ่งเท่ากับเป็นการรบกวนการนอนของคนขี้เซา เสียงเล็กครางดูไม่พอใจอยู่ในลำคอ และทั้งที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว ดวงตาก็ยังเรียวเล็กจนเหมือนว่าแบคฮยอนลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังหลับ

     

    “อือ..” หรี่ตาสู้แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบลงบนใบหน้างัวเงีย มือเรียวสวยยกขึ้นเกาหัวนิดหน่อยตอนที่อ้าปากหาวแบบไม่เกรงใจคนไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

     

    “อ้าวชานยอล! มาได้ไงเนี่ย” เขาถามด้วยเสียงบู้บี้อย่างคนเพิ่งตื่น ผมได้แต่กรอกตาให้เป็นคำตอบ ..สงสัยว่าผมจะเข้าห้องตัวเองไม่ได้เลยมาอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง!

     

    “..หรือว่าเมื่อวานมาเฝ้าฉันเหรอ?” แบคฮยอนตั้งข้อสันนิษฐาน ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ คนตัวเล็กก็เกาแก้มแก้เก้อ.. “ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวทำข้าวเช้าไปให้กินนะ”

     

    “ไม่ต้องหรอก”

     

    “หน่า กลับห้องไปอาบน้ำ เดี๋ยวนี่อาบเสร็จจะรีบทำอาหารไปเสิร์ฟ”

     

    “อย่าวุ่นวายนักสิ เพิ่งฟื้นจากไข้ไม่ใช่หรือไง”

     

    “ฉันไม่ป่วยแล้วเชื่อเหอะ แพ้อาหารนิดเดียวเอง”

     

    “เหอะ” ชานยอลหัวเราะเสียงขึ้นจมูก อย่างนั้นน่ะเหรอที่เรียกว่านิดเดียว

     

    “จริงๆ นะ ไม่เป็นไรแล้ว” แบคฮยอนเอื้อมไปคว้ามือใหญ่มาทาบลงบนหน้าผากของตัวเอง ชานยอลรับรู้ได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของรุ่นพี่ตัวเปี๊ยกเป็นปกติแล้ว แต่ที่กำลังจะเป็นไข้น่าจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า..รู้สึกแปลกๆ สงสัยไข้จะติดมา

     

    “ตามใจ” ชานยอลรับคำอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความเมื่อยขบที่ไม่ได้ขยับตัวเลยตลอดหลายชั่วโมง

     

    “เออนี่! ฉันเป็นพี่นายนะ พูดจาให้มันน่ารักหน่อยไม่ได้หรือไง”

     

    “อ๋อ..” ร่างสูงหันกลับมาเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ที่ยืนกอดอกมองมาที่เขา ก่อนที่ชานยอลจะก้มลงให้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับที่เสมอกันอย่างที่จงใจให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความสูงที่แตกต่าง “ขอโทษครับ รุ่นพี่ตัวเล็กแค่นี้ผมก็เลยลืมไป” เคาะนิ้วชี้ที่ข้างขมับด้วยท่าทางกวนประสาทนิดหน่อยพอให้คนอายุมากกว่าได้โมโห เสร็จแล้วก็เดินฮัมเพลงอารมณ์ดีกลับห้องไป

     

     

     

    ..

    ..

     

     

     

     

    ชานยอลไม่ได้คาดหวังว่าอาหารเช้าวันนี้จะหน้าตาและรสชาติเยี่ยมเหมือนอาหารในร้าน แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยชมให้คนตรงหน้านี้เหลิงหรอก ตอนที่ถูกถามว่าอร่อยรึเปล่า เขาก็แค่พยักหน้าตอบไปเท่านั้น

     

    “ห้องใหญ่จังเลยอะ ขี้โกง” แบคฮยอนเดินสำรวจดูรอบๆ แล้วก็บ่นออกมา เพราะห้องของรุ่นน้องตัวสูงเป็นห้องริมสุดของตึก จึงมีพื้นที่มากกว่าห้องอื่นนิดหน่อย รวมไปถึงระเบียงที่กว้างพอจะนั่งลงชมท้องฟ้าได้อีกด้วย

     

    “วันไหนฟ้าเปิดมานั่งดูดาวที่นี่ได้มั้ย”

     

    “ห้องตัวเองดูไม่ได้หรือไง”

     

    “มันนั่งไม่ได้อะ ยืนดูมันเมื่อยนะ”

     

    “อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ” ชานยอลตอบส่งๆ ขณะเก็บจานไปกองไว้ในอ่าง

     

    “กินเสร็จแล้วงั้นพี่ไปก่อนนะ”

     

    “ไปไหน?”

     

    “เข้ามหาลัยน่ะ”

     

    “พี่จะไปยังไง จงอินเอารถพี่กลับบ้านไปนะเมื่อวาน”

     

    “เออจริงด้วย” แบคฮยอนขมวดคิ้ว “ชานยอลมีรถมั้ย ไปส่งหน่อยได้เปล่า” ขอความช่วยเหลือกันดื้อๆ แบบนั้นคนตัวสูงก็หมดทางจะปฏิเสธ แต่ครั้นลงมาถึงลานกว้างใต้หอพัก แบคฮยอนก็กวาดตามองหารถเก๋งคันโก้หรือมอเตอร์ไซค์เท่ๆ สักคัน ..แต่ก็ไม่มี

     

    “โน่นรถผม” ชานยอลเดินนำไปยังจักรยานสีแดงที่พิงรั้วอยู่ นั่นทำให้คนตัวเล็กหลุดขำออกมาระลอกใหญ่

     

    “ไหนจงอินบอกว่านายเป็นลูกคนรวยไงล่ะ นี่เป็นคุณหนูตกยากเหรอ ฮ่าๆ” หัวเราะตาปิดจนแทบหายใจไม่ออกแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด จนคนเป็นน้องหันมาส่งสายตาเชือดเฉือนให้ก็ยังไม่ยอมหยุดดี

     

    “ดีกว่ามอเตอร์ไซค์บุโรทั่งของพี่ตั้งเยอะ รู้มั้ยว่าเมื่อวานลำบากแค่ไหนกว่าจะถึงหอน่ะ ป่วยก็ไม่ยอมนั่งดีๆ รถก็ดับกลางทาง เป็นภาระคนอื่นเขาชะมัด” ชานยอลบ่นไม่ยอมหยุดถึงความลำบากเมื่อวาน เพราะพอนึกถึงคำว่า รถ ภาพรถยนต์สี่ประตูแบบของพี่คริสก็ปรากฏขึ้นมาในหัว แต่พอเดินตามไอ้จงอินไปถึงที่จอดรถ ดันกลายเป็นมอไซค์เก่าๆ ไปเสียได้ พอบ่นเข้ามันก็บอกว่าถ้าเป็นรถเก๋งคงไม่ขอให้ผมช่วย..ดีจริงๆ

     

    “โธ่ ไม่ว่าแล้วก็ได้ ถ้างั้นพี่ยืมจักรยานไปก็ได้นะ ชานยอลจะออกไปไหนรึเปล่า”

     

    “ทำไมพี่ถึงพูดมากแบบนี้นะ ขึ้นมาเร็วๆ” ชานยอลนั่งลงบนอานเรียบร้อยแล้ว ขาเรียวยาวข้างหนึ่งยันอยู่กับพื้น ส่วนอีกข้างก็พักอยู่ที่บันไดจักรยานพร้อมที่จะออกตัว

     

    “ให้ฉันปั่นมั้ย”

     

    “ขาสั้นแบบนั้นเมื่อไหร่จะถึง ขึ้นมาเร็ว!

     

    “ย่าห์! ไอ้บ้านี่” บ่นอย่างนั้นแต่ก็ยอมขึ้นไปยืนเกาะไหล่น้องรหัสปากเสียแต่โดยดี.. ใช่ จักรยานของชานยอลน่ะไม่มีเบาะให้ซ้อนหรอกนะ ต้องยืนบนเหล็กซี่เล็กๆ ที่ยื่นออกมาตรงกลางวงล้อหรือที่เรียกว่าตีนผีเอา

     

     

    “กลัวหรือไงมือเย็นเฉียบเลย”

     

    “อย่าหันมามองสิ ปั่นดีดี!!

     

    “ฮ่าๆ กลัวก็เกาะแน่นๆ” ชานยอลตอบกลับอย่างอารมณ์ดีแต่ก็แกล้งขับเบี่ยงซ้ายบ่ายขวาจนโดนมือเรียวที่เขาคิดว่าสวยตั้งแต่ได้เห็นทุบไหล่อยู่หลายที พอถึงที่หมายแล้วเห็นว่าผู้ร่วมทางหน้าซีดตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำ เขาก็ทั้งสงสารทั้งสนุกอยู่ในที แต่ก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอไปลูบเรือนผมนุ่มของคนที่ย้ำนักย้ำหนาว่ามีศักดิ์เป็นพี่เข้าจนได้

     

    “เดี๋ยวจะเอาไปติดเบาะให้ก็ได้นะหมาน้อย”

     

     

    ถึงจะขี้แกล้งไปหน่อย..แต่แบคฮยอนก็คิดว่าน้องรหัสของเขาเป็นคนดี และแบคฮยอนก็ดีใจที่รู้สึกว่าเราจะเข้ากันได้

     

     

     

     

    ..

    ..

     

     

     

    “นี่ห้องชมรมดนตรี ชมรมที่ฉันอยู่ล่ะ” แบคฮยอนไขกุญแจเข้าห้องชมรมอย่างคนมีอภิสิทธิเหนือกว่าใคร มือเรียวขยับเปิดไฟให้แสงสว่างแก่ห้อง แล้วเดินไปที่เปียโนหลังใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรื้อร้น

     

    “ร้องเพลงเป็นรึเปล่า”

     

    “ก็พอได้ครับ” ชานยอลตอบ

     

    “งั้นเต้นล่ะ?”

     

    “แย่”

     

    “ฮ่าๆ” แบคฮยอนหัวเราะให้คำตอบนั้นพร้อมกับกดคีย์เปียโนเป็นเสียงช่วยตบมุขให้อีกแรง

     

    “จงอินน่ะ เต้นเก่งมากเลยนะ เต้นแบบไหนก็ได้หมดเลย พี่ก็เคยลองเรียนนะ แต่ก็ไม่ค่อยเอาไหนหรอก จงอินว่าเอาประจำเลย ทั้งๆ ที่เป็นน้องแท้ๆ นะ” แบคฮยอนมุ่ยปากเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น

     

    “ก่อนที่เราจะคุยกัน ผมว่าพี่ควรจะเลือกสรรพนามสักอย่างนึงนะ จะ ฉัน หรือจะ พี่ หืม?”

     

    “ฮ้า~~~ ก็นี่ไม่เคยมีน้องที่จะได้คุยกันบ่อยๆ แบบนี้นอกจากจงอินเลยนี่”

     

    “งั้นเวลาคุยกับไอ้จงอินเรียกตัวเองว่าอะไรล่ะครับ”

     

    “กับจงอินเหรอ.. อ๋อ เรา”

     

    “งั้นใช้เราก็ได้นี่”

     

    “โอเค” แบคฮยอนตกลงง่ายๆ แล้วหันไปสนใจที่จะพรมนิ้วลงบนแป้นสีขาวดำแทนอย่างสนุกสนาน ชานยอลไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่คนตัวเล็กมาที่นี่ในวันนี้คืออะไร แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่เขาจะนอนอยู่ที่หอเฉยๆ ล่ะ

     

    “ชานยอลอยากไปไหนรึเปล่า?”

     

    “ไม่ครับ แล้วนี่พี่มาที่นี่ทำไมล่ะ”

     

    “ไม่มีอะไรหรอก เวลาเบื่อๆ ก็ชอบมาที่นี่น่ะ”

     

    “ถ้าเบื่อนักทำไมไม่กลับบ้านล่ะครับ อีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเรียน” ชานยอลถามขณะที่ไล่นิ้วไปบนคีย์บอร์ดอย่างไร้ความหมาย

     

    “ไม่รู้จะกลับไปทำไม..” แบคฮยอนตอบเสียงแผ่วแล้วกดนิ้วให้เป็นทำนองเพลงพื้นฐานง่ายๆ Twinkle Twinkle Little Star  ซึ่งคนเล่นดนตรีอย่างชานยอลสามารถกดประสานตามได้อย่างง่ายดาย

     

    ร่างสูงไม่คิดซักไซ้อะไรต่อ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจเกิดคำถามว่าทำไมถึงไม่อยากกลับบ้าน ใครๆ ก็พูดกันว่าบ้านคือที่ที่อยู่แล้วสบายใจที่สุด อบอุ่น และผ่อนคลาย แต่บ้านของเขาไม่ใช่แบบนั้น ดังนั้นชานยอลจึงไม่แปลกใจถ้าจะมีอีกสักคนบนโลกที่รู้สึกแบบเดียวกัน

     

    “เล่นอะไรเป็นบ้างอะ”

     

    “กีตาร์ กับกลองก็พอไหวครับ” ชานยอลตอบเมื่อเข้าใจคำถาม

     

    “เอาไว้มาเล่นด้วยกันสักเพลงนะ”

     

    “ผมไม่ได้เล่นมานานแล้ว คงต้องเคาะฝุ่นกันยาว”

     

    “นี่~ ถ้าไม่รู้จะเข้าชมรมอะไรก็มาอยู่ด้วยกันสิ” แบคฮยอนยิ้มกว้าง

     

    “..ก็..ถ้าไม่มีนะ” ชานยอลไม่ได้รับคำอย่างหนักแน่น เขาก็เผื่อเอาไว้ว่าอาจจะมีชมรมที่ตัวเองสนใจจริงๆ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเสียทีเดียว ..ก็ยิ้มให้มาเสียขนาดนั้นนี่นะ

     

     

     

    แบคฮยอนสรรหาเรื่องมาคุยกับชานยอลได้อีกหลากหลาย ถึงแม้ว่าชานยอลจะถามคำตอบคำ แต่บทสนทนาของทั้งคู่ก็ไหลลื่นไปกว่าชั่วโมง กว่าจะถูกขัดเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก พร้อมๆ กับที่คิมจงอินมูนวอล์คเข้ามานั่นแหละ

     

    “จงอิน!

     

    “เข้ามาอย่างหล่ออะผมรู้สึกได้” ชมตัวเองดื้อๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้พี่ชายคนสนิท พร้อมทั้งส่งน้ำโกโก้ของโปรดให้อีกด้วย

     

    “น่ารักที่สุดเลยยย” รับแก้วบรรจุน้ำสีน้ำตาลจัดที่พราวไปด้วยไอน้ำมาแล้วก็ดูดรวดเดียวให้ชื่นใจก่อนจะยิ้มตาหยี

     

    “นี่ก็หิวน้ำเหมือนกันนะ” ชานยอลพูดออกมาเผื่อว่าทั้งคู่จะลืมว่ามีเขาอยู่ด้วยตรงนี้ และนั่นทำให้แบคฮยอนหันมายื่นน้ำให้กับเขา

     

    “เฮ้ยไม่ต้องแย่งพี่แบคกิน เอานี่เอาของกู” จงอินส่งของของตัวเองให้พร้อมกับที่ยึดของแบคฮยอนไปจากมือร่างสูง

     

    “สตรอเบอร์รี่ปั่น?” ชานยอลเลิกคิ้วถาม ..กินอะไรเข้ากับหน้ามากเลย

     

    “กินๆ ไปเหอะแหม”

     

    “จงอินไปไหนมาอะ เมื่อคืนนึกว่าจะนอนด้วยกันซะอีก”

     

    “เมื่อเช้าพาแม่ไปทำธุระนิดหน่อยอะพี่ เมื่อกี้ก็รีบกลับไปหาที่หอเลยนะ เห็นว่าไม่อยู่เลยลองมาดูนี่ โกโก้ละลายหมดเลยเนี่ย”

     

    “ฮ่าๆ มิน่าล่ะเหงื่อแตกมาเลย ทีหลังก็โทรมาก่อนสิ” แบคฮยอนหัวเราะแต่ก็เดินไปหยิบทิชชู่ของชมรมมาซับเหงื่อให้ตอบที่จงอินกำลังเอ่ยปากตอบ

     

    “ก็จะเซอร์ไพร์สไง ผมนี่เซอร์ไพร์สเองเลย แดดตอนบ่ายนี่ร้อนฉิบหายอะ ดำขึ้นสองระดับรู้สึกได้”

     

    “น่าสงสารรรร ฮ่าๆ”

     

     

     

    ชานยอลรู้สึกเหมือนถูกกันออกจากคนสองคนตรงนั้น ..เขารู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยที่ความสำคัญของเขาลดลงตอนที่จงอินโผล่มา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแบคฮยอนเอาแต่บอกว่าดีใจที่มีตนเป็นน้องรหัส ดีที่เราดูเหมือนจะเข้ากันได้.. แต่ก็ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะเข้ากับจงอินได้ดีกว่าใครอยู่แล้ว..

     

    “ครับพี่คริส” ชานยอลกดรับสายที่โทรเข้ามาได้จังหวะพอดี ฝ่ายนั้นก็ชวนให้เขาไปปาร์ตี้ที่จัดให้เหล่าผู้เข้าร่วมประกวดในกิจกรรมดาวเดือนเป็นประจำทุกปี แน่นอนว่าชานยอลที่แสนจะเบื่อหน่ายตอบตกลงตั้งแต่รุ่นพี่ยังพูดไม่ทันจบเสียด้วยซ้ำ

     

    “พี่แบคฮยอน จะกลับเลยมั้ย” ชานยอลถามหลังจากที่วางสาย

     

    “ชานยอลมีธุระเหรอ กลับก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวเรากลับกับจงอิน”

     

    “อ๋อ..” ชานยอลพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เดินปึงปังออกไปพร้อมกับแก้วสตรอเบอร์รี่ปั่นในมือ

     

     

     

    “ไอ้ชานยอลนี่ท่าทางขี้หงุดหงิดแฮะ..”

     

     

     

    ..

    ..

     

     

     

    ผมกลับมาที่ห้อง อาบน้ำพอให้หายเหนอะหนะจากเหงื่อไคลแล้วก็ล้มตัวลงนอนชดเชยที่นอนน้อยผิดปกติเมื่อคืนนี้ ตื่นมาอีกทีก็พอเหมาะกับการมีเวลาเหลือแต่งตัวนิดหน่อยก่อนจะออกไปเจอกับพี่คริสในตัวเมืองด้วยรถยนต์มีราคาที่ขอเช่าจอดในโรงรถของเจ้าของหอพัก..

     

     

    อะไร? คุณคิดว่าผมปั่นจักรยานมากจากโซลหรือไงล่ะ

     

     

     

    ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะมาถึงร้านที่นัดหมายเอาไว้ ทีแรกชานยอลคิดว่าคงเป็นร้านอาหารธรรมดาที่จะมีดื่มเหล้าดื่มเบียร์กันนิดหน่อย ..คำว่าไนท์คลับนี่ไม่ได้มีอยู่ในความคิดของเขาเสียทีเดียว.. แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

     

    ร่างสูงเกินมาตรฐานชายหนุ่มทั่วไปก็เป็นจุดสนใจมากพออยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าปาร์คชานยอลมีดีให้สนใจมากกว่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาเข้ากับทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีนั่นน่ามองกว่าใครๆ ในร้าน รวมถึงการแต่งการที่เข้ากับบุคลิกนั้นก็น่ามอง

     

    ความตั้งใจที่จะมองหาคนที่นัดกันไว้ค่อยๆ จางลงเมื่อสบสายตาเขากับหญิงสาวมากหน้าหลายตา แต่ก็ยังไม่ทันมัวเมาไปกับเสียงเพลงได้มากเท่าใด ไหล่หนาก็ถูกดึงให้หลุดออกจากวงล้อมของคนแปลกหน้าเสียก่อน

     

    “พี่คริส”

     

    “เคลิ้มเลยนะ”

     

    “ฮ่าๆ”

     

    “ไปๆ ไปห้องเรา” ชานยอลเดินตามรุ่นพี่ตัวสูงไปยังห้องชั้นสองที่จองเอาไว้ ที่นั่นมีทั้งคนที่ชานยอลเคยเจอ และคนที่ไม่คุ้นตา หลังจากใช้เวลาร่วมกันสักพักถึงได้รู้ว่าเพื่อนร่วมชะตากรรม(?)ที่เข้าร่วมการประกวดดาวเดือนของทุกภาคส่วนในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ปีนี้เท่านั้น รุ่นพี่ปีก่อนๆ ที่ว่างก็มาเจอกันที่นี่ด้วย

     

    มันก็เจริญหูเจริญตาดีที่ได้อยู่ในที่แบบนี้ ผู้หญิงสวยบางคนก็เรียบร้อยจนดูไม่เหมาะกับที่นี่ แต่บางคนก็ดูจะเปลี่ยนสีให้เข้ากับบรรยากาศได้ดีจนเกินไป

     

    “ฉันได้ดูคุณประกวดด้วยค่ะ” สาวเจ้าตรงเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม.. อันที่จริงอีกนิดเดียวหล่อนจะนั่งลงบนตักผมอยู่แล้ว

     

    “ผมเหรอครับ?” ผมละจากการสนทนากับเพื่อนใหม่ต่างคณะมาคุยกับเธอ

     

    “ค่ะ ฉันอิมจินอา” เธอทักทายผม แต่มือของเธอไม่ได้ยื่นมาทำความรู้จักกับผม มันยังม้วนวนอยู่ที่เส้นผมที่ดูนุ่มลื่นของเธอ และดูเหมือนเธออยากให้ผมสัมผัสมันด้วย

     

    “ผมปาร์คชานยอล” ตอบเสียงเข้มก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวของตัวเองเกลี่ยผมที่ยาวสลวยไปทัดไว้ที่หลังหู

     

    “ถ้างานเลิกแล้วคุณไม่ได้ไปไหน..”

     

    “ผมไม่มีแผนจะไปไหนต่อคนเดียวหรอก” คำตอบของชานยอลทำให้หญิงสาวหัวเราะคิกคักเพราะเข้าใจในความหมาย “แต่ถ้าไปกับคุณผมก็โอเค”

     

     

     

    คืนนั้นเรื่องราวของเราจบลงเตียง.. ผมไม่ได้โชกโชนในเรื่องพวกนี้มากนักหรอก แต่เธอก็สวย และก็แสดงออกว่าสนใจผมเสียขนาดนั้น เรามีอะไรกันแต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ที่จริงแล้วผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนอกจากชื่อ.. แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ามันจำเป็นอะไร

     

     

    ต่างฝ่ายต่างพอใจแล้วก็จากกันไป.. ผมเรียนรู้ชีวิตแบบนี้มาดีพอที่จะไม่ผูกมัดตัวเองไว้กับใคร

     

     

     

    แม้จะเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อมีความสุข แต่ผมยังหาความสุขที่แท้จริงนั้นไม่พบ ..ระหว่างทางที่ค้นหาก็ใช้ทุกอย่างเติมเข้าไปเผื่อจะเจอสิ่งที่ใช่ ..แต่ดูเหมือนว่ามันยังห่างไกลจากคำว่าถูกเติมเต็มเหลือเกิน..

     

     

     

    ..

     

     

     

    ผมนั่งง่วงอยู่ข้างๆ คิมจงอินในเวลาเช้าตรู่.. พระอาทิตย์ยังไม่อยากจะโผล่พ้นขอบฟ้าเลย แล้วทำไมผมต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเนี่ย..

     

    “ไหนบอกไม่มาไง” จงอินถาม มันเองก็ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

     

    “ก็พี่มึงไปปลุก ปลุกจนจะตื่นแม่งทั้งหอแล้วกูเลยต้องตื่น” ชานยอลทำหน้าเบื่อโลก แต่จงอินกลับบอกว่าคิดถึงเวลาที่แบคฮยอนปลุกตนไปโรงเรียนสมัยที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ต่อจากนั้นเราก็ต่างคนต่างซ่อนตาดำเอาไว้ใต้เปลือกตาหนักอึ้ง แต่ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงอะลูมิเนียมเย็นจัดมาแนบที่ข้างแก้ม

     

    “ฮ่าๆ สะดุ้งโหยงเลยอะ” รุ่นพี่ตัวเล็กชี้หน้าผมแล้วก็หัวเราะเอิ้กอ้าก ก่อนจะยัดกระป๋องน้ำเย็นเฉียบไว้ในมือใหญ่ “กินซะจะได้ตื่น”

     

    “ไม่เห็นมีของผมเลยอะ” จงอินตั้งท่าจะโวยวาย ดีที่จุนมยอนเข้ามายื่นนมกล้วยของโปรดให้เสียก่อน ปากที่เตรียมจะโหวกเหวกเลยไม่ว่างไปเสีย

     

    รออยู่อยู่อีกหลายสิบนาทีกว่าทุกคนจะมากันพร้อมหน้า ใครที่มาสายก็โดนหัวหน้าชั้นปีที่สองทำโทษไปตามระเบียบ ไม่ได้โหดร้ายนักแต่ก็พอจะทำให้รู้สึกขยาดกับการผิดเวลาไปได้บ้าง

     

    “เอาล่ะทุกคน!!” ไอ้นิสัยชอบตะโกนใส่โทรโข่งนี่คงแก้ไม่หาย รุ่นพี่ก็มีตะโกนด่าไปบ้าง แต่ส่วนน้องปีหนึ่งหน้าใสก็ได้แต่ยกมือขึ้นปิดหูด้วยความคกใจเท่านั้น

     

    “เอาล่ะคงตื่นมาฟังผมหมดทุกคนแล้ว ฮ่าๆ การเดินทางของเราเนี่ย ถ้าเป็นมหาลัยในโซลเขาก็เรียกว่าไปรับน้องต่างจังหวัด แต่เราที่อยู่ต่างจัดหวัดอยู่แล้ว ก็จะยังอยู่ต่างจังหวัดต่อไป เฮ้~~~~~~” พูดเองก็เฮโลเองอยู่อย่างนั้น พอเห็นว่าไม่มีใครเล่นด้วย คิมจงแดก็พูดสาระต่อไป “มหาวิทยาลัยอันเลื่องชื่อของเราแม้ว่าจะอยู่ในเมืองท่าแต่ก็ดันไม่เห็นทะเลแม้แต่หางตา ดังนั้นเราจะพาน้องๆ ไปทะเลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล” คราวนี้ถึงมีเสียงเฮฮาจากคนอื่นดังขึ้นมา จงแดอธิบายเกี่ยวกับสถานที่และแจกใบลงชื่อให้แต่ละชั้นปี พอเขียนกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับมายึดโทรโข่งเอาไว้อีกครั้ง

     

    “พี่ๆ ปีสามปีสี่ขึ้นรถสองคันแรกไปได้เลยครับ ส่วนน้องๆ ขึ้นสองคันหลังนะ กระจายๆ กันไป” โตแล้วไม่ต้องพูดให้มากความ ทุนคนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน บิดซ้ายนิดขวาหน่อยพอไล่ความเมื่อยขบออกจากตัวได้ แต่ครั้นดึงเป้ขึ้นหลัง ขาที่เตรียมจะก้าวก็ต้องชะงักด้วยเสียงทรงพลังเสียงเดิม “อ้อ!! เว้นเบาะข้างๆ ไว้ให้พี่รหัสด้วยนะครับ”

     

     

    “ขอนั่งข้างหน้าต่างไม่ได้เหรอ” แบคฮยอนอยู่ข้างเบาะที่ว่างและถามคำถามเดิมเป็นครั้งที่สาม หลังจากที่ชานยอลส่ายหน้าปฏิเสธแล้วทั้งสองครั้ง และส่ายหน้าอีกเป็นครั้งที่สาม “ใจร้ายว่ะ” บ่นงุบงิบแล้วก็เหวี่ยงกระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ชั้นวางเหนือศีรษะ กระแทกก้นลงบนเบาะที่ไม่นุ่มนักแล้วก็ต้องซี๊ดปากเบาๆ เพราะว่าเจ็บ..

     

    “หัวเราะอะไรเล่า” ได้ยินเสียงดังหึแค่เบาๆ แบคฮยอนก็โวยวายเสียแล้ว

     

    “ไอ้สองคนนี้ ทีวันผูกข้อมือล่ะเห็นดี๊ด๊ารักน้องๆ เหวี่ยงซะละ?”

     

    “เงียบไปเลยปะ” เหวี่ยงเผื่อแผ่ไปถึงคิมจงแดด้วยอีกคน แล้วก็กอดอกฉับ ตั้งท่าจะหลับไปตลอดการเดินทาง

     

    และชานยอลก็พบว่าพี่รหัสของเขาหลับง่ายเหลือเชื่อ รถออกได้ไม่ถึงห้านาทีแบคฮยอนก็ครางหงิงหัวโยกไปซ้ายทีขวาทีเสียแล้ว สุดท้ายเอนมาโขกไหล่ร่างสูงดังป้อก ถึงได้ปรือตาขึ้นมอง

     

    “ที่อยากนั่งข้างหน้าต่างนี่จะพิงหลับใช่มั้ย”

     

    “อือ..” ไม่แน่ใจว่าตอบหรือแค่ครางไปอย่างนั้น แต่ชานยอลยอมสลับที่นั่งให้รุ่นพี่ตัวเล็กได้นั่งในตำแหน่งที่ต้องการในที่สุด และแน่นอนว่าพอได้ที่ที่สบายแล้วแบบนั้น แบคฮยอนก็ตั้งท่าหลับเอาเป็นเอาตาย ต่างจากรุ่นพี่คนอื่นที่ชวนน้องคุยอย่างสนุกสนาน

     

    หลายสิบนาทีที่ชานยอลทำได้แค่มองหน้ารุ่นพี่ยามนิทรา ด้วยเหตุว่าไม่มีอะไรทำ นั่นเพราะเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พกเครื่องมือสื่อสารไว้กับตัว ชานยอลมองเสี้ยวหน้าหวานที่ต้องแสงแดด คิดอยู่ในใจว่าคงจะร้อน แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เขาก็ผล็อยหลับตามไป..

     

     

    รู้สึกได้ว่ารถที่เคยสั่นๆ มาตลอดจอดนิ่งสนิทแล้ว เช่นนั้นโสตประสาทของชานยอลก็ตื่นขึ้นก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ เปิดกว้างตาม.. แต่แล้วเขาก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อพบว่าเขากำลังหันหน้าสู้กับแสง..แต่ก็ไม่ทั้งหมดทีเดียว

     

    แบคฮยอนขยับไปนั่งที่ปลายเบาะ หันหน้ามาหาเขา ..คนตัวเล็กนั่นบังแสงอาทิตย์ที่จะแยงตาเขาเอาไว้ได้พอดี

     

     

    “ตื่นพอดีเลยนะ”

     

     

     

    ...แต่แว่บนึงที่ชานยอลรู้สึกว่า ..รอยยิ้มสดใสนั่น.. ดูสว่างกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก สว่างเสียจนมองต่อไปไม่ไหว..

     

     

    “แดดแยงตารึเปล่า ข้างหน้าเขาแย่งผ้าม่านไปหมดเลยน่ะ” แบคฮยอนกระซิบถาม ส่วนร่างสูงก็ได้แต่ส่ายหน้าตอบ..

     

    “แล้วพี่บังแดดให้ผมหรือไง?”

     

    “อื้อ ก็เราเป็นคนไปปลุกชานยอลมาตั้งแต่เช้า รู้หรอกว่าง่วงก็เลยให้นอนไง ดูดิ๊ เราเป็นพี่ที่น่ารักตาย” ชมตัวเองเอาดื้อๆ แล้วก็รบเร้าให้ชานยอลรีบๆ แงะตัวเองออกจากที่นั่ง และจะได้ลงไปเจอทะเลสวยๆ กันเสียที

     

     

     

    65%

    ..

     

     

     

     

     

     

    # talk corner *

    หายไปนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนเยย เพิ่งเปิดเทอมหลังจากที่หยุดมา 6 เดือนไงคะ เลยงงๆ ปรับตัวไม่ทัน ยุ่งเวอร์วังอลังการมาก งานก็สั่งทุกคาบ ทุกคนพร้อมกันรัวๆ ฮรืออออออออออออออ ใจนี่เต้นเร่าๆ เลย อยากแต่งฟิค นี่เพิ่งจะเข้าที่เข้าทางค่ะเลยดอดมาแตะฟิคนิดนึง

    เดินทางกลับบ้านทุกวันนี่เหนื๊อยเหนื่อยค่ะ ถึงบ้านก็ตั้งหน้าตั้งตาจะหลับท่าเดียวเลย เฮิ้วววว แล้วจะมาให้เร็วที่สุดนะคะ

     

    ฮู๊วววววววววววววววววว ติดแท็กขำๆ ได้ที่  #ฟิคเมื่อเราเจอกัน :)

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×