ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] the illusion of MASK ,, { krislay }

    ลำดับตอนที่ #8 : ▌MASK : chapter 07

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 56


    the illusion of

    MASK

    Chapter 07

     

     

    ต่อให้เบื่อจนอยากกัดลิ้นตัวเองตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่อี้ชิงก็ยังต้องอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่น่าอึดอัดอย่างไม่มีทางเลือกอยู่ดี.. และมันก็อึดอัดขึ้นหลายเท่าเมื่อไม่มีใครที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ในบ้านเลยสักคน

     

    “แบคฮยอนเอาไปเก็บในห้องเย็น ส่วนเทาเอาไปไว้ในห้องพยาบาลเลย” คิมจุนมยอนสั่งคนที่วันนี้รับบทเป็นลูกมือไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าบ้าน ซึ่งเด็กทั้งสองก็ยอมฟังพี่ชายตัวเล็กแต่โดยดี โดยเฉพาะจื่อเทาที่มีของเต็มไม้เต็มมือแล้วก็ยังแย่งของจากคุณหมอมาถือไว้ได้อีก

     

    “หลังหักพี่ไม่รักษาให้นะ” จุนมยอนพูดติดตลกก่อนจะเดินตามหลังร่างสูงไปติดๆ

     

    “พวกคุณไม่ไปโรงพยาบาลกันเหรอ?” จางอี้ชิงที่เดินตามมาถึงห้องที่ทุกคนเรียกว่าห้องพยาบาลอย่างเงียบๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ..อันที่จริงมันจะเรียกว่าโรงพยาบาลเลยก็ยังได้

     

    “ไม่หรอกครับ เราบางคนไม่ได้เข้ามาในประเทศอย่างถูกกฎหมาย การต้องกรอกประวัติอะไรพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่” จุนมยอนตอบ ..อันที่จริงจางอี้ชิงไมได้อยากได้คำตอบนักหรอก เขาแค่อยากรู้ว่าคุณหมอจะโกรธหรือเกลียดที่ตนใส่อารมณ์ไปเมื่อวานหรือเปล่า ..ทั้งที่คุณหมอหวังดี

     

    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำเองหมดเลยงั้นเหรอ?”

     

    “ครับ ก็ต้องมีผู้ช่วยนิดหน่อยถ้าผ่าตัดใหญ่ แต่ก็ไม่ค่อยต้องทำหรอกครับ ส่วนมากที่กลับมา ถ้าไม่โดนแค่เล็กน้อยก็เป็นศพไปเลย” คุณหมออธิบายด้วยรอยยิ้มซึ่งค่อนข้างไม่เข้ากับประโยคที่พูดมา

     

    “คุณหมอครับ”

     

    “ครับผม?”

     

    “เมื่อวาน..ผมขอโทษ”

     

    “ฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ” คุณหมอยังคงยิ้มให้ และคราวนี้มันทำให้อี้ชิงยิ้มตาม

     

    “แต่ผมไม่เข้าใจหรอกนะ”

     

    “อาเทาอา.. อย่าตั้งแง่สิ”

     

    “ก็ผมไม่เห็นว่าการโวยวายหรือพาลใส่คนอื่นมันจะมีประโยชน์อะไร” เทาตอบขณะที่มือก็ยังจัดเรียงของอย่างเคยชิน

     

    “จื่อเทาไม่เอาหน่า คุณอี้ชิงเขาเจอเรื่องร้ายๆ มา..” จุนมยอนบอกด้วยเสียงที่เบาลง ..ก็เขาไม่อยากไปสะกิดตะกอนของเรื่องร้ายๆ ให้ขุ่นขึ้นมาในใจของใครอีก

     

    “หึ”

     

    “จื่อเทา.....” ที่จริงแล้วจุนมยอนตั้งใจจะเรียกด้วยเสียงดุๆ เพื่อเป็นการปราม แต่เทียบกันแล้วเสียงพูดธรรมดาของเทายังน่ากลัวกว่าเสียอีก..

     

    “ครับ เจี่ยเจีย”

     

    “เจี่ยเจีย?” อี้ชิงทวนสรรพนามนั้นซ้ำพร้อมกับขมวดคิ้วลงเล็กน้อย อันที่จริงก็เอะใจตั้งแต่เมื่อวานแต่ไม่มีกะจิตกะใจจะถาม และที่สงสัยก็เพราะนั่นเป็นภาษาจีนที่ใช้สำหรับเรียกพี่สาว..

     

    “เทาเขาชอบแกล้งเรียกผมแบบนั้นน่ะครับ ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรก็ให้เขาเรียกไปเพราะเขาบอกว่าชื่อผมเรียกยาก พอรู้แล้วบอกให้หยุดทีนี้ก็ดื้อ” จุนมยอนว่าเหมือนจะตัดพ้ออยู่กรายๆ แต่แน่นอนว่าบุคคลที่โดนกล่าวถึงก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจ

     

    “ถ้าจะยืนเฉยๆ ช่วยออกไปรอข้างนอกได้มั้ยครับ” เทาพูด ซึ่งอี้ชิงเดาว่าร่างสูงคงจะละคำว่า เกะกะ เอาไว้ในใจ แต่เมื่อเขาทำตัวขวางทางอย่างนั้นจริงๆ อี้ชิงก็ยอมเดินออกมาจากห้องนั้น

     

    ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนอน โทรทัศน์ก็เปิดไว้พอให้มันส่งเสียงออกมาโดยไม่คิดจะดู.. ที่อี้ชิงคิดอยู่ตลอดเวลาคือทางออกของเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดนี้ ซึ่งมองไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน

     

    “อ๊ะ!” มือเรียวเผลอปัดแจกันบนโต๊ะตัวเล็กตรงหน้าล้ม โชคดีที่มันไม่แตกแต่น้ำก็หกรดเอกสารตรงนั้นเสียเปียกชุ่ม อี้ชิงจับกระดาษสองสามแผ่นนั้นขึ้นสะบัดก่อนจะนาบลงกับเสื้อตัวเองเพื่อซึมซับความชื้น

     

    “..!?” เขายกแผ่นกระดาษขึ้นดูความเรียบร้อย และก็เห็นว่ามันเป็นหลักฐานการโอนเงินเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง โดยระบุชื่อคนรับอย่างเจาะจง กระดาษแผ่นสุดท้ายเป็นจดหมายขอบคุณจากเด็กผู้ได้รับอุปการะ เนื้อความในจดหมายกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ..มันดูเป็นเรื่องที่ดี ถ้าไม่ติดตรงที่รูปที่มุมขวาของจดหมาย ไม่ใช่เด็กคนนั้นที่คริสพามาส่งที่ร้านของเขาในวันแรกที่เจอกัน ..เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้..

     

     

    “คุณหมอครับ ช่วยบอกผมทีว่านี่คืออะไร?” อี้ชิงยื่นเอกสารทั้งหมดให้คุณหมอ ซึ่งรับไปอ่านแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับอี้ชิงอีกครั้ง

     

    “ก็อย่างที่เห็นแหละครับ คุณอี้ฟานเขาอุปการะเด็กคนนี้อยู่”

     

    “เพื่ออะไร? ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคนที่ฆ่าคนได้แบบนั้น อยู่ๆ นึกอยากจะเลี้ยงเด็กขึ้นมาเฉยๆ”

     

    “ถ้าถามผม ผมคิดว่าคงเป็นเพราะเด็กคนนี้ทำให้เขาได้พบกับคุณอี้ชิงนะครับ เพราะคุณอี้ฟานให้ชื่อภาษาจีนกับเด็กคนนี้ว่าชิงชิง..” จุนมยอนอธิบายเสียงเรียบ.. ก็ทำให้เขาเกือบเชื่ออยู่หรอก แต่ไม่มีทาง..

     

    “คุณไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ ผมโทรไปถามที่นั่นมา พวกเขาบอกว่าพ่อของเด็กซึ่งเป็นผู้ปกครองเพียงคนเดียว....ถูกฆ่า

     

    ถึงจะเป็นเรื่องน่าตกใจที่จุนมยอนก็ไม่เคยรู้มาก่อนเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ “ผมไม่ทราบครับ”

     

    “คุณโกหก!

     

    “เจี่ยเจียไม่ได้โกหกหรอกครับ เขาไม่รู้” เทาที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์อีกสองสามอย่าง วางมันลงบนเคาท์เตอร์ใกล้มือแล้วก็เอ่ยบอก

     

    “แต่นายรู้” อี้ชิงย้อน

     

    “แน่นอนสิครับ”

     

    “เล่ามา!

     

    “จื่อเทาอย่า..” คุณหมอจับต้นแขนแกร่งแล้วแบบเบาๆ แทนการขอร้อง แต่ก็ไม่ได้รับการใส่ใจเหมือนเช่นทุกที

     

    “ถ้าผมไม่บอก คุณก็จะไปถามเอากับตุ้ยจางอยู่ที่ใช่มั้ยครับ ..ถ้างั้นเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ให้ผมเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” เทากระตุกยิ้ม

     

    “ผู้ชายคนนั้นเป็นของชิงหลงที่ถูกส่งมาจากจีนเพื่อปฏิบัติงานเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาล้มเหลว และหลบหนีไป จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ แต่โชคร้ายที่มันลุกลามไปใหญ่โตเอาการอยู่  ดังนั้นทางโน้นก็สั่งให้เก็บผู้ชายคนนั้นที่กำลังจะแปรพักตร์อย่างหน้าไม่อาย..

    บ่ายวันนั้นตุ้ยจางกับจงอินพบเขาที่ริมแม่น้ำ หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ..คงตั้งใจจะพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะกลับบ้าน ก็คงไม่คิดหรอก ว่าจะได้กลับบ้านเก่าไปเลย.. หลังจากที่จงอินจัดการกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ตุ้ยจางก็สงสารเด็กที่ไม่รู้เรื่องคนนั้น......ถึงได้พาไปส่งที่ร้านของคุณ” เทาจบเรื่องเล่าลงเรียบๆ ราวกับเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ..แต่แน่นอนว่าสำหรับอี้ชิงแล้ว มันไม่ใช่เลย

     

    เพราะเหตุการณ์ในวันแรกที่ได้พบกันนั้นทำให้อี้ชิงมั่นใจเหลือเกินว่าคริสอู๋คือผู้ชายอ่อนโยนที่ใส่ใจจะพาเด็กหลงทางคนหนึ่งมาหาผู้ปกครอง.. เขาไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมคริสถึงบอกได้ว่า “เด็กคนนี้คงหลงกับพ่อ” ทั้งที่จะเป็นพ่อแม่ปู่ย่าก็ไม่อาจรู้ได้.. ความจริงที่ได้รับรู้วันนี้จึงทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน

     

    “คุณอี้ชิง..” จุนมยอนเรียกชื่อนั้นเสียงอ่อนพร้อมทั้งจับแขนขาวเอาไว้แน่นแทนการบอกให้ทำใจยอมรับความจริงนั้น

     

    “บ้า!! พวกนายมันบ้า” อี้ชิงสะบัดแขนออกจากการจับกุมของคนตัวเล็กกว่า แล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งไป

     

    “คุณเป็นคนอยากฟังเองนะครับ” เทากล่าว

     

    “ฮึ่ก.. ทำไมต้องทำแบบนี้”

     

    “....คุณอี้ชิง..”

     

    “มี..มีอะไรที่ฉันควรจะรู้อีกมั้ย ความจริงของผู้ชายที่โหดร้ายคนนั้น ฉันยังต้องรู้อะไรอีกมั้ย..”

     

    “ถ้าคุณควรต้องรู้ ถึงเวลาคุณก็จะได้รู้เองนั่นแหละครับคุณอี้ชิง” จุนมยอนบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

     

    “จะต้องรอให้ผมเจออะไรก่อนเหรอคุณถึงบอกความจริงผมได้ ทำไมต้องโกหกหลอกลวงกันขนาดนี้!!

     

    “คุณอี้ชิง บางทีถ้าความจริงมันทำให้ต้องเจ็บปวด ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรับรู้มันก็ได้นี่ครับ” จุนมยอนแย้ง

     

    “ความจริงก็คือความจริง ยังไงก็เปลี่ยนมันไม่ได้ ยังไงมันก็ไม่ตาย!

     

    “ผมรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ถ้าพูดออกมาแล้วทำให้ใครสักคนต้องตาย แล้วจะต้องพูดออกมาทำไมกันล่ะครับ!” ถึงขีดจำกัดของจุนมยอนบ้าง เมื่ออี้ชิงไม่คิดจะฟัง ..แต่แล้วคุณหมอก็สงบลงเมื่อตระหนักได้ว่าโลกของจางอี้ชิงกับพวกเขามันต่างกัน

     

    “คุณคิดว่าความจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดใช่มั้ย? ไม่ว่ายังไงการรู้ความจริงทั้งหมดก็ดีกว่าอยู่กับการหลอกลวงใช่มั้ย?” ฮวางจื่อเทาถามเสียงเย็น แต่อี้ชิงก็พยักหน้าตอบอย่างไม่เกรง

     

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่าเรื่องสั้นๆ อีกสักเรื่องให้คุณฟัง พอฟังจนจบแล้ว ช่วยบอกผมทีว่าความจริงมันจะทำให้อะไรดีขึ้นรึเปล่า..” จื่อเทาพูดพร้อมทั้งสาวเท้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

     

    “นายจะพูดเรื่องอะไร?” จุนมยอนถาม แต่ร่างสูงเพียงชายตามองแล้วยกยิ้มที่มุมปาก ..ไม่มีคำตอบอื่นใด

     

    ..วันนี้เมื่อหกปีที่แล้ว..”

     

    “จื่อเทา!” เสียงหวานร้องห้ามเมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยถึงเป็นเรื่องอะไร

     

    “อย่าห้ามเจี่ยเจีย ถึงเวลาที่เขาควรต้องรู้แล้ว ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาคิด”

     

     

     

    “วันนี้เมื่อหกปีที่แล้ว พ่อของตุ้ยจางเสียชีวิต.. เพราะข่าวสารที่ถูกบิดเบือนโดยชายคนหนึ่งอย่างจงใจ ทันทีที่รู้แบบนั้น ตุ้ยจางก็ออกจากบ้านไป

    เขาตรงไปที่บ้านหลังเล็กๆ แถบชานเมือง ที่นั่นมีครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ ครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และลูกชายที่น่ารักอีกหนึ่งคน..” จื่อเทาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะหลับตาลงนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นพร้อมทั้งเล่าไปตามที่เห็น

    “ตุ้ยจางหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ได้ยินเสียงชายวัยกลางคนสั่งให้ลูกขึ้นไปเก็บของ โดยให้เหตุผลว่า เราจะไปเที่ยวกัน ..เด็กชายคนนั้นคงดีใจมากถึงได้วิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านพร้อมทั้งร้องว่า เย้..เย้

    และในตอนที่ตุ้ยจางกำลังจะเอื้อมมือไปแตะลูกบิด..ประตูก็ถูกเปิดออกโดยคนในบ้านเสียก่อน..

    ใบหน้าของชายคนนั้นดูตกใจมากที่เปิดมาเจอเข้ากับปากกระบอกปืนซึ่งจ่ออยู่ตรงอกข้างซ้ายอย่างพอดีราวกับจับวาง.. เขายังไม่ทันได้แก้ตัวอะไร..เปรี้ยง! เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของชายคนนั้น..ห่างจากกันไม่ถึงนาทีลมหายใจของสตรีคนเดียวในบ้านก็สิ้นลงเพราะเธอพยายามจะปลิดชีวิตตุ้ยจางบ้าง..

    ..เพราะเสียงปืนที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ตุ้ยจางต้องหลบออกมา ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ..แต่เพราะนั่นเป็นการ 'ฆ่า' ครั้งแรกของตุ้ยจาง ความรู้สึกผิดเล็กๆ ทำให้เขาต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้น เพื่อต้องการชดเชยบางสิ่งให้กับเด็กคนน้อยผู้บริสุทธิ์

    ที่บ้านซึ่งเป็นที่เกิดเหตุฆาตกรรมถูกล้อมไว้ด้วยรั้วพลาสติกและเทปสีเหลืองของสถานีตำรวจ ..เด็กคนนั้นไม่สามารถอาศัยอยู่ได้แม้กระทั่งในบ้านของตัวเอง..

    ..เด็กชายตัวผอมบางนั่งกอดเข่าพิงอยู่ที่รั้วของบ้าน และการชดเชยที่ตุ้ยจางมอบให้..คือการรับเขามาดูแลอย่างดีที่สุด..” จื่อเทาจบเรื่องลงไว้เท่านั้น เขามองหน้าคนตัวขาวที่มองกลับมาที่เขาอย่างตกใจถึงขีดสุด ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายของเรื่องนี้แทนผู้เล่า..

     

     

    "..แบคฮยอน.."

     

     

    “ยังไงครับ? ถ้าแบคฮยอนรู้ความจริง..เขาจะได้อะไรบ้าง?”

     

     

    อี้ชิงส่ายหน้าให้กับประโยคนั้น ไม่เลย..ไม่มีเลย.. นอกจากเทวดาของแบคฮยอนจะหายวับไปกับตา เขายังกลายเป็นซาตานที่พรากเอาทุกอย่างไปจากชีวิตของแบคฮยอนด้วย จากนั้นแบคฮยอนจะหมดสิ้นทุกอย่าง ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว และไม่เหลือใคร..

     

     

    “พี่อี้ชิง!

     

    “แบคฮยอน!” ร่างบางเรียกชื่อคนที่พรวดเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมาไม่ทันฟังเรื่องร้ายอะไรทั้งสิ้น

     

    “ผมหาตั้งนานแหน่ะ มาอยู่นี่เอง ไปคลายเครียดกันดีกว่าครับ” มือเล็กเอื้อมมาฉุดคนตัวบางให้เดินออกจากห้องไปด้วยกัน ซึ่งอี้ชิงก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี

     

    “เฮอะ คิดว่าผมเอาตัวรอดมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่มีสัญชาตญาณอะไรเลยหรือไง ถ้าแบคฮยอนมาแอบฟังมีเหรอผมจะไม่รู้?” จื่อเทาพูดประโยคยาวเหยียดนั้นกับคิมจุนมยอนที่ส่งสายตาคาดโทษมาให้

     

    “นายก็ไม่เห็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเลย..ที่พวกเราต้องเก็บไว้มันอึดอัดแค่ไหนนายก็รู้..”

     

    “เขาจะได้เข้าใจความจริงมันไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่เขาคิดไงล่ะครับ” เทาให้คำตอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรับโทรศัพท์แล้วออกไปทำงานตามตุ้ยจางและคิมจงอินที่ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว

     

     

    ..

    ..

     

     

    “พี่นั่งตรงนี้นะ เดี๋ยวผมเล่นเปียโนให้ฟัง” แบคฮยอนกดไหล่คนอายุมากกว่าให้นั่งลงบนเก้าอี้นุ่ม ก่อนตัวเองจะไปนั่งประจำที่อยู่หน้าแกรนด์เปียโนกลางห้องที่รายล้อมไปด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด

     

    เพลงคุ้นหูถูกบรรเลงให้คนฟังได้ยินใจ บวกกับเสียงร้องใสๆ ที่คลอเคลียไปกับโน้ตก็ทำให้อี้ชิงยิ้มออกมาจางๆ

     

    “ร้องเพลงจีนได้ด้วยเหรอ?” อี้ชิงถามหลังจากที่เพลงจบลง

     

    “ได้เพลงนี้เพลงเดียวแหละครับ พี่อี้ฟานสอนตอนเด็กๆ” แบคฮยอนยิ้มกว้างหลังจบประโยค แต่กลับทำให้อี้ชิงรู้สึกหดหู่ เช่นนั้นแล้วคนตัวเล็กจึงละจากเปียโนมานั่งลงบนพื้นตรงหน้าจางอี้ชิง

     

    แบคฮยอนจับมือขาวของคนแก่กว่ามากุมเอาไว้แล้วลูบเบาๆ ราวกับต้องการจะปลอบโยน

     

    “พี่อี้ชิงอย่าโกรธพี่อี้ฟานเลยนะครับ ทุกอย่างที่พี่เขาทำเขาต้องมีเหตุผล.. กับผมที่เป็นเด็กทีไหนก็ไม่รู้เขายังใจดีด้วยขนาดนี้ กับพี่อี้ชิงที่เขารัก..เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหรอกครับ”

     

    สิ่งที่แบคฮยอนพูดกำลังทำร้ายความเข้มแข็งของจางอี้ชิงอย่างสาหัส ..เขาอยากจะถามดูเหลือเกิน ว่าหากรู้ความจริงว่าพี่อี้ฟานที่แสนดีเป็นคนทำให้พ่อแม่ของตัวเองต้องตาย ..แบคฮยอนยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกมั้ย..

     

    “อือ..ขอบคุณนะแบคฮยอน..” อี้ชิงเอื้อมมือไปวางบนเรือนผมนุ่มอย่างเอ็นดู ..เขาคงไม่ทำร้ายพยอนแบคฮยอนเพียงเพื่อความสะใจของตัวเองว่าได้เปิดโปงความร้ายกาจของคริสอู๋ นั่นจะทำให้ทุกคนเจ็บปวด..

     

     

    ..

    ..

     

     

    “พี่อี้ฟานนน~ วันนี้ผมทำให้พี่อี้ชิงยิ้มได้อย่างที่บอกเลยนะ พี่จุนมยอนกับเทาอะกระจอกมากเลย” แบคฮยอนวิ่งโร่เข้าไปช่วยถือสูทตัวใหญ่ที่คริสถอดออกจากตัวพร้อมทั้งต้อนรับด้วยประโยคนั้น

     

    “เก่งที่สุดเลยแบคฮยอนน่ะ” ร่างสูงตอบพร้อมทั้งยีหัวคนตัวเล็กอย่างหมั่นเขี้ยวอยู่ในที

     

    “อี้ชิง พี่ซื้อของชอบของนายมาฝากแหน่ะ” คริสบอกก่อนจะหันไปหาเด็กในบ้านที่ถือของขึ้นมาให้ หยิบเอาถุงที่ต้องการขึ้นมาชูให้คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้เห็น แต่ก็เท่านั้น อี้ชิงก็แค่มองและไม่ใส่ใจ

     

    “ผมเอาไปใส่จานให้นะ!” แบคฮยอนคว้าถุงนั้นหายเข้าไปในครัวแป๊บเดียวก็ออกมาพร้อมกับอาหารหน้าตาน่าทาน เขาวางมันลงบนโต๊ะกินข้าวตัวยาวที่อี้ชิงนั่งอยู่นานแล้ว

     

    “กินสักหน่อยนะ จุนมยอนบอกว่านายไม่แข็งแรง” คริสเดินมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ที่ร่างบางนั่งนิ่งอยู่ ..จางอี้ชิงเอาแต่นิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแบคฮยอนต้องไปทำอย่างอื่น

     

    “อยากจะเลวนักก็ไม่ต้องแสร้งทำดีกับผมก็ได้” พบจบก็ถอยเก้าอี้ครืด ไม่สนใจว่าชนคนตัวโตที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง แต่ก็น่าเจ็บใจที่ไม่มีที่ไหนให้หนีไปได้ไกลนัก ..สวนหย่อมเล็กๆ ที่อยู่ข้างบ้านก็เดินออกมาง่ายดี เช่นนั้นแล้วร่างบางจึงเลือกจะหนีออกมานั่งอยู่ตรงศาลาไม้ แต่ก็เท่านั้น..มันหนีไม่พ้น

     

    “อี้ชิง เราจะคุยกันดีดีไม่ได้เหรอ?”

     

    “หลังจากที่พี่ทำแบบนั้นกับผม ยังหวังให้ผมมีอะไรดีๆ เหลือให้พี่อยู่อีกเหรอครับ?” อี้ชิงตอบเสียงเย็นลอดไรฟัน ทุกความเจ็บปวดยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึก จนถึงเวลานี้อาการตามร่างกายก็ไม่ได้จางหายไปทั้งหมด

     

    “..พี่ขอโทษ” คริสสูดลมหายใจลึกก่อนจะบอกคำนั้นออกมา..มันทำให้หัวใจของอี้ชิงวูบไหวไปบ้าง แต่ก็เพียงชั่ววินาที..

     

    “เรื่องอะไรครับ? เรื่องที่พี่โกหกผม ..เรื่องที่พี่โกหกผม.. หรือว่าเรื่องที่พี่โกหกผม?”

     

    “อี้ชิง..” คริสเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงอ่อน อยากจะโมโหคำประชดประชันนั่น ..แต่มันก็เป็นความจริง “จะเรื่องอะไรพี่ก็ขอโทษทั้งนั้น”

     

    “แล้วคำขอโทษของพี่เรียกอะไรกลับคืนมาได้บ้างครับ.. ความรู้สึกของผมก็ไม่ได้ ชีวิตใครสักคนก็ไม่ได้.. เรื่องของเด็กของคนนั้นที่ทำให้ผมประทับใจในตัวพี่คริส พี่ก็เอามันคืนมาไม่ได้”

     

    “นายรู้ได้ยังไง” ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ถึงกับตกใจ

     

    “มันไม่สำคัญหรอกครับ ยังไงมันก็เป็นความจริง”

     

    “ใช่มันเป็นความจริง”

     

    “ทำไมครับ ..ทำไมพี่ถึงได้ฆ่าคนง่ายดายนัก เขาไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลานะ”

     

    “อี้ชิง..” คริสเอื้อมมือไปจับท่อนแขนบางไว้เพื่อให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กจะตั้งใจฟังที่เขาพูดจนจบประโยค “ในโลกของพี่ เราไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ถ้าเลือกจะเป็นผู้ล่าก็ต้องล่า ต้องเลือกที่จะฆ่า ไม่อย่างงั้นก็ถูกฆ่า”

     

    “แล้วพี่มายุ่งกับผมทำไม ผมเป็นหมากตัวไหนในโลกของพี่เหรอ?”

     

    “....คนอย่างพี่ก็มีหัวใจนะอี้ชิง”

     

    “แต่คงไม่ได้มีไว้ให้ผมหรอกมั้งครับ..” นัยน์ตาหวานมองข้ามไหล่กว้างของคนตรงหน้าไปทิ้งสายตาไว้ที่ประตู และก่อนที่คริสจะได้หันไปมองตามสายนั้น เขาก็ถูกเรียกชื่อโดยผู้มาเยือนเสียก่อน

     

    “อี้ฟาน! ไม่ไปเยี่ยมฉันแล้วยังไม่รับโทรศัพท์อีกนะ เดี๋ยวก็ฟ้องป๋าให้หรอก นายนี่...” เสียงแหลมเงียบไปเมื่ออี้ฟานเขยิบออกจากที่เดิมแล้วหล่อนก็เห็นว่าในสวนนี้ไม่ได้มีร่างสูงอยู่แค่คนเดียว

     

    “ช่วยไปนั่งรอก่อนได้มั้ย”

     

    “ไล่ฉันเหรอ?”

     

    “ไม่ได้ไล่ ฉันขอร้อง” คริสพูดเสียงเรียบ และสาวเจ้าก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ครั้นร่างสูงจะหันมาปรับความเข้าใจกับอี้ชิงต่อ อีกฝ่ายก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว

     

    “เชิญไปดูแลคู่หมั้นของพี่เถอะครับ” อี้ชิงหนีไปจากตรงนั้นอย่างง่ายดายเพราะคริสไม่ได้ตั้งใจจะรั้งเอาไว้ ซึ่งน่าแปลกที่อี้ชิงซึ่งภาวนาให้คริสเลิกยุ่งกับตัวเองกลับรู้สึกปวดหัวใจที่ร่างสูงยอมปล่อยให้ตัวเองเดินจากมาง่ายดายอย่างนั้น

     

     

     

    To be cont.

     

    ..

     

     

     

    # talk corner *

    สวัสดีค่า มาแล้วว มาพร้อมกับการประกาศผลแอดมิชชั่น #ไม่เกี่ยว

     เข้าเรื่อง..ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นแล้วโนะ! จริงๆ แล้วพี่คริสไม่ใช่คนดีเอาซะเลย T_T แล้วช่วงนี้ทำไมพระเอกโผล่มาน้อยจัง 55 ... อย่าเพิ่งเบื่อนะคะะ เดี๋ยวพี่ตุ้ยก็จะมาทำหน้าที่พระเอกแล้วววววววววววววว เฮ้!

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×