ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO's fiction] the illusion of MASK ,, { krislay }

    ลำดับตอนที่ #11 : ▌MASK : chapter 10

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 56


    the illusion of

    MASK

    Chapter 10

     

     

    “อี้ชิงครับ”

     

    “ครับ?”

     

    “พี่รักอี้ชิงนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกคนที่ยึดร่างกายของตัวเองเป็นเก้าอี้จำเป็น เช่นนั้นแล้วเขาจึงบอกคำหวานแนบชิดใบหูเล็กได้ง่ายๆ

     

    “ย..อยู่ๆ พูดทำไมล่ะครับ”

     

    “แค่อยากให้อี้ชิงรู้ ว่าพี่รักตลอดเวลาก็เท่านั้นเอง” กดจูบอุ่นๆ ที่ขมับของคนน่ารักเสียที แล้วก็กอดตัวบางๆ ให้แน่นขึ้นอีก ..ช่วงเวลาที่แสนมีความสุขของคริสอู๋และจางอี้ชิง

     

     

     

    เขาจะได้วันเวลาอย่างนั้นคืนมาหรือเปล่า?

    แล้วถ้าอยากได้ต้องทำยังไง..

     

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูเรียกให้ร่างสูงต้องออกความทรงจำกลับมาอยู่ในโลกของความจริง คริสไม่ได้ขานรับเพื่ออนุญาตให้คนเคาะเป็นฝ่ายเปิดเข้ามาเองเหมือนทุกที เขาเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง เพราะหวังลึกๆ ว่าจะเป็นอี้ชิงที่หนีหน้าไปขอจุนมยอนอาศัยนอนในคืนนี้

     

    “จุนมยอน”

     

    “ผมเข้าไปได้มั้ยครับ” คุณหมอเอ่ยปาก ครั้นร่างสูงพยักหน้าและเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเชื้อเชิญ ร่างเล็กก็ก้าวเข้ามาและปิดประตูให้เรียบร้อย

     

    “อี้ชิงหลับแล้วเหรอ”

     

    “ยังครับ เอาแต่นั่งกอดเข่าร้องไห้ แล้วก็บอกว่าอยากอยู่คนเดียว” นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จุนมยอนออกจากห้องมา

     

    “ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยจุนมยอน”

     

    “คุณอี้ฟานอยากให้มันเป็นแบบไหนล่ะครับ”

     

    “ฉันแค่อยากรักอี้ชิงได้เหมือนที่เคยทำ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขา แต่ก็พลั้งมือทำไปจนได้ ..เรื่องที่ไม่น่าอภัย นายก็รู้..” คริสพูดถึงเรื่องในค่ำคืนไหน จุนมยอนรู้ดีแก่ใจ เพราะเหตุการณ์วันนั้นก็ทำให้เรื่องเลวร้ายลงอีกหลายๆ อย่าง..

     

    “ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ..ฉันรู้ว่าอี้ชิงไม่ผิดเลยที่จะเกลียดฉัน แต่ฉันก็ไม่ต้องการแบบนั้น” คิมจุนมยอนมองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของตุ้ยจางอย่างเห็นใจ ..เขาไม่เคยเห็นอี้ฟานเป็นแบบนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่เรื่องของแบคฮยอนเมื่อหลายปีก่อน..

     

    “คุณอี้ชิงรักคริสอู๋ในตัวอู๋อี้ฟาน ..คุณอี้ฟานก็ต้องเป็นพี่คริสของคุณอี้ชิงเหมือนเดิมให้ได้สิครับ” จุนมยอนบอกทางแก้ง่ายๆ ที่ไม่ใช่ว่าคริสไม่เคยนึกถึง

     

    “เขาเกลียดฉันทุกวันนี้ก็เพราะโกหก ..จะให้ฉันกลับไปเป็นคริสแบบนั้นได้ยังไง” ร่างสูงย้อนถามที่เขาให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้

     

    “ผมคิดว่าคุณอี้ชิงแค่กลัว ..เขากลัวเพราะสิ่งที่คุณอี้ฟานเป็นมันต่างจากที่เขาเคยรู้จักราวฟ้ากับดิน เทียบคุณคริสเป็นเทวดาสักองค์ คุณอี้ฟานก็คงไม่ต่างจากซาตาน” ร่างบางกล่าวก่อนจะนั่งลงบนเตียงนุ่มข้างกันกับร่างสูงที่เคยโตมาด้วยกันในช่วงชีวิตหนึ่ง

     

    “ตอนนี้ถึงคุณจะกลับไปเป็นเทวดาที่บริสุทธิ์ไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นคนที่คุณอี้ชิงสามารถจะรักได้..แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

     

    “มันก็เท่ากับว่าฉันใส่หน้ากากเข้าหาเขาอยู่ดีไม่ใช่เหรอจุนมยอน”

     

    “ถ้าหน้ากากนั้นไม่ได้ใส่แล้วอึดอัดจนหายใจไม่ออก ไม่ได้ทำให้คนมองต้องคำสาปจนถึงตาย สวมมันไว้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอครับ” จุนมยอนค่อยๆ บออกให้อู๋อี้ฟานได้คิด ..ถ้าเขาทำแล้วตัวเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน.. อย่างนั้นเหรอ?

     

     

    “มันไม่ใช่การหลอกลวง.. คุณอี้ฟานแค่พยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนที่รัก มันก็เท่านั้นเอง..”

     

     

    ..

    ..

     

     

     

                ร่างบางพลิกตัวหนีแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องผ่านผ้าม่านสีครีมเข้ามากระทบเปลือกตาของตัวเอง ก่อนจะขยับยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ได้สักพักก็ตระหนักได้ว่าหากไม่ใช่เวลาที่ควรตื่น แดดก็คงไม่แยงตาเอาอย่างนี้ คิดได้อย่างนั้นแล้วจางอี้ชิงจึงเปิดตาขึ้น ร่างเล็กๆ ดันตัวเองออกจากผ้าแสนอุ่น มองไปรอบๆ ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าของห้องอย่างคิมจุนมยอนไม่อยู่แล้ว

     

    “ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงทุ้มนั้นเรียกให้อี้ชิงหันมองที่ประตู ร่างสูงเกินมาตรฐานไปไกลโขก้าวเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารเช้า

     

    “พี่คริส..”

     

    “อรุณสวัสดิ์ครับ” คนถูกเรียกวาดยิ้มกว้างก่อนจะนั่งลงบนเตียงไม่ห่างจากร่างบางนัก

     

    “จุนมยอนบอกว่าเมื่อคืนเรามีไข้” พูดพลางเอื้อมไปวัดอุณหภูมิอีกฝ่ายด้วยหลังมืออย่างที่ใครๆ ชอบทำ “กินข้าวเช้าแล้วก็กินยานะครับ”

     

    “พี่จะทำอะไร?” อี้ชิงถามเสียงแผ่ว

     

    “อะไรนะครับ?”

     

    “พี่ทำแบบนี้ทำไม”

     

    “อี้ชิง พี่ก็แค่..”

     

    “พี่จะหลอกอะไรผมอีก”

     

    “อี้ชิงครับ พี่ไม่ได้หลอก ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่พี่อยากจะทำ”

     

    “แต่ผมไม่อยากได้” อี้ชิงถดตัวลงจากเตียงอีกฝั่ง แต่คริสก็ลุกขึ้นดักไม่ให้ได้หนีไปไหนไกลกว่าแถวๆ เตียงนอนนั้น

     

    “อี้ชิง ถ้ามันไม่เกี่ยวกับสุขภาพเราพี่จะไม่บังคับเลย แต่ตอนนี้อย่าดื้อ กินข้าวกินยาก่อน แล้วพี่จะไปให้พ้นๆ หน้าเราเอง” คริสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่อี้ชิงไม่ได้ยินมานาน ร่างสูงไม่ได้ใช้กำลังบังคับให้เขาอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็ยอมนั่งลงที่เดิม แล้วเอื้อมมือไปรับชามข้าวต้มจากอีกฝ่าย

     

    “ร้อน!” มือขาวชักออกจากถ้วยที่ยังไม่ทันรับไว้ดี คริสเลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะตัวเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น

     

    “งั้นอี้ชิงก็ตักกินเลย พี่ถือไว้ให้” คนตัวโตกว่ายื่นข้อเสนอ

     

    “วางไว้ก็ได้ ผมกินเอง” อี้ชิงบอก ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้ปฏิเสธ มือหนาวางชามข้าวต้มไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วลุกไปนั่งให้ไกลขึ้นอีกหน่อย คอยมองคนน่ารักจัดการกับมื้อเช้า และไม่ลืมที่จะกำชับให้กินยาตาม 

     

    “พี่จะขึ้นไปทำงานบนห้องนะ” คนตัวสูงบอกเป็นนัยว่าตนจะอยู่ที่ไหนตลอดทั้งวันนี้ ถ้าเผื่อว่าอี้ชิงต้องการอะไรจากเขา แต่คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งคริสก็ไม่ได้ซักไซ้เอาอะไรอีก เขาปล่อยให้อี้ชิงมีเวลาส่วนตัวตามต้องการ..

     

     

    ..

    ..

     

     

     

    “พี่คริสคิดจะทำอะไรก็ไม่รู้” อี้ชิงเปิดประเด็นขึ้นตอนที่ช่วยคุณหมอประจำบ้านทำความสะอาดของในห้องพยาบาลด้วยยาฆ่าเชื้อ

     

    “ทำไมล่ะครับ?” จุนมยอนถามกลับ แม้จะพอรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรแล้วก็ตาม

     

    “ก็เมื่อเช้า อยู่ๆ ก็มาทำดีด้วย”

     

    “แล้วไม่ดีเหรอครับ?” คุณหมอย้อนถาม

     

    “ไม่ดีหรอกครับ..”

     

    “ทำไมไม่ลองไว้ใจคุณอี้ฟานดูอีกสักครั้งล่ะครับ เขาอาจจะทำเพราะอยากทำจริงๆ ก็ได้” จุนมยอนวาดยิ้มให้อีกฝ่าย ทว่าอี้ชิงกลับหลุบตาลงต่ำ มองบีกเกอร์ในมือที่บรรจงเช็ดอย่างเชื่องช้าแล้วเอ่ยสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ

     

    “ผมรู้ว่าคุณหมอคงคิดว่าผมงี่เง่าเอาแต่ใจ ..แต่ผมเจ็บมากนะครับ วันที่ทุกอย่างพังลงต่อหน้าต่อตา วันที่ความเชื่อใจถูกฉีกทึ้งให้ขาดวิ่นด้วยน้ำมือของคนที่เคยไว้ใจที่สุด..” ฟันขาวขบกับริมฝีปากอิ่มของตัวเองเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่ตีรื้นขึ้นมา

     

    “คนที่บอกว่ารักผมนักหนา เขาใช้กำลังทำร้ายผมอย่างเลือดเย็น.. ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ..เช้าวันที่ผมต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดที่เกาะกุมทั้งร่างกายและจิตใจ ..เขาไม่อยู่ตรงนั้นเพื่อปลอบโยน หรือแม้แต่จะขอโทษผมสักคำ..”

     

    จางอี้ชิงกะพริบตาถี่ไล่หยดน้ำที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วยให้ไหลทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ..ควรจะเร็วกว่าที่คุณหมอตัวเล็กจะสามารถสังเกตเห็นแต่ก็ไม่พ้นสายตาคู่นั้นไปได้

     

    “ถ้าเรื่องวันนั้นไม่เกิดขึ้น....” จุนมยอนมีคำถามที่คิดจะถาม แต่อีกฝ่ายไม่ได้รอให้คุณหมอได้พูดจนจบประโยค..

     

    “..มันก็คงไม่เพียงพอให้ผมมองข้ามคู่หมั้นของเขาไปได้หรอกครับ” อี้ชิงเค่นยิ้ม ก่อนจะพาเปลี่ยนเรื่องไปให้ไกลจากเรื่องของตัวเอง

     

    “ผมขอโทษนะครับ เรื่องจื่อเทา”

     

    “ขอโทษผมทำไมครับ มันเป็นหน้าที่ของเขา”

     

    “ก็ผมเป็นต้นเหตุ ..ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ อาเทาไม่เคยเจ็บเกิน 24 ชั่วโมงมาตั้งนานแล้ว ให้เขาได้พักผ่อนบ้างก็ดี” จุนมยอนตอบติดตลกเล็กๆ ที่พอทำให้อี้ชิงยิ้มออก และบรรยากาศการสนทนาก็ดีขึ้นนับจากวินาทีนั้น

     

    ..

    70%

    ..

     

    “คุณหมอหิวรึยังครับ นี่บ่ายแล้วนะ”

     

    “อ๋อครับ ลืมเวลาไปเลย” จุนมยอนหัวเราะแห้งๆ แล้วก็บอกให้อี้ชิงเลิกจัดข้าวของที่ไม่เป็นระเบียบในห้องทำงานของตนเป็นรอบที่สิบ

     

    “คุณหมอชอบอาหารจีนมั้ยครับ?” อี้ชิงเอียงคอถาม นั่นทำให้จุนมยอนไม่คิดจะปฏิเสธ

     

    “ผมทำให้กินเอามั้ยครับ” คุณหมอตัวเล็กพยักหน้ารับเพราะรู้ดีว่าจางอี้ชิงคงจะเบื่อกับการต้องอยู่เฉยๆ ..คนมันเคยใช้เวลาไปกับการเรียนการทำงานแทบทั้งวัน มาอยู่แบบนี้ก็เบื่อเป็นเรื่องธรรมดา

     

    บ่ายวันนั้นในห้องครัวมีทั้งจางอี้ชิง คุณหมอจุนมยอนและลูกมือจอมซนอย่างพยอนแบคฮยอน เสียงหัวเราะดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ เพราะเรื่องตลกของน้องเล็กที่สุดในครัว ได้ยินเสียงจุนมยอนเอ็ดอยู่เป็นครั้งคราวก็เพราะแบคฮยอนอีกเหมือนกัน..

     

    “แบคฮยอนนี่น่ารักจริงๆ นะครับ” อี้ชิงบอกพลางมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ที่วิ่งออกจากครัวไปเพื่อเตรียมโต๊ะอาหาร

     

    “ครับ ..เด็กคนนั้นน่ะ เป็นสีขาวของบ้านหลังนี้จริงๆ” จุนมยอนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แบคฮยอนเป็นเด็กน่ารักแบบนั้น..เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครอารมณ์หม่นหมองจนกลายเป็นสีเทา แบคฮยอนก็จะเอาตัวเองเข้าไปเพื่อทำให้ความขุ่นมัวจางลง

     

    “คุณอี้ชิงไปตามคุณอี้ฟานให้หน่อยได้มั้ยครับ เมื่อกี้แบคฮยอนจับหม้อมือเปล่าผมเห็นอยู่ เจ็บแต่ไม่กล้าบอก คงกลัวโดนดุ” คุณหมอพูดยิ้มๆ เช่นนั้นแล้วถึงแม้ว่าอี้ชิงจะไม่อยากทำอย่างที่จุนมยอนต้องการ เขาก็เลือกจะไม่ปฏิเสธ

     

    ขาเรียวก้าวขึ้นไปบนบันไดแต่ละขั้นอย่างใจเย็น จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย ซึ่งห่างจากประตูห้องไม่มากนัก จางอี้ชิงเรียกคนด้านในโดยไม่ได้เปิดหรือเคาะประตูเพราะคิดว่าการนั่งทำงานข้างในคงใช้ความเงียบ แค่เสียงเรียกก็คงจะได้ยิน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ

     

    ร่างบางสาวเท้าเข้าใกล้ประตูห้องอีก ก่อนจะยกมือขึ้นหมายจะเคาะสักสองสามทีพอเป็นมารยาท แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจนึกเมื่อประตูเปิดถูกแง้มเอาไว้แล้ว

     

    “พี่คริส..” ริมฝีปากงับลงเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของคนในห้อง เขาไม่ต้องเดาให้เหนื่อยเลยเมื่อบานประตูถูกดันออกจนสุดแขน หญิงสาวคนนั้นก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตา.. ซงเฉียนนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตรงหน้าคริส ใบหน้าเรียวเล็กนั้นก้มลงต่ำ พร้อมๆ กับที่มือเรียวก็เชยคางของชายหนุ่มเอาไว้

     

    ใบหน้าขาวชาวาบพร้อมๆ กับที่เผลอกำมือแน่น ..จางอี้ชิงเกลียดที่ตัวเองยังรู้สึกแบบนี้ ..ยังรู้สึกผิดหวังที่ความจริงแล้วพี่คริสไม่ได้ขึ้นมาอยู่บนห้องเพียงเพื่อทำงานหรือต้องการให้ตัวเขาสบายใจที่ไม่ต้องพบหน้ากัน

     

    เกลียดที่ตัวเองยังรู้สึกเจ็บไปกับการมีตัวตนของผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาควรจะไม่รู้สึกอะไรเลย..

     

    “ไม่เอาหน่าซงเฉียน เธอก็รู้ว่าพี่ไม่ได้พูดเล่น” เสียงเข้มเอ่ยอย่างจริงจังพร้อมกับฉวยจับมือเรียวของหญิงสาวไม่ให้หยอกล้อกับตนไปมากกว่านั้น

     

     

    ..อี้ชิงไม่ได้อยากอยู่ฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ เขาไม่ได้อยากรู้เลยว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ..เขากำลังจะหันหลังและเดินออกไปจากตรงนั้น แต่ทำไม..

     

    “ถ้าพี่บอกว่ารัก ก็คือรักจริงๆ พี่ไม่เปลี่ยนใจหรอก” ประโยคนั้นไม่เสียดแทงเท่ากับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของซงเฉียน ดูเธอพออกพอใจกับคำพูดประโยคนั้นเต็มประดา..

     

    “อยากให้ปะป๊าได้ยินคำนี้เร็วๆ จัง” เธอแย้มยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะประทับริมฝีปากเคลือบสีแดงจัดลงบนแก้มของอีกฝ่าย เน้นหนักจงใจให้รอยลิปติกปรากฏชัดอยู่บนนั้น

     

     

    ..

    ..

     

     

    พี่ไม่ได้หลอก ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่พี่อยากจะทำ

     

     

    นี่ใช่มั้ยครับ นี่คือความหมายของคำนั้นใช่มั้ย ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาได้แค่พริบตาเดียว ผมก็กลายเป็นคนโง่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     

     

    จำสักทีสิจางอี้ชิง.. จำสักที

     

     

    # talk corner *

    ฮรือออออออออออออออ ประสาทจะเสียแล้วค่ะ TAT เวลาว่างหายไปหมดเลย โดนสูบไปหมดเลย คือเรายังไม่ชินกับการเดินทางที่กินเวลานานขนาดนี้ และการเรียนที่มหาศาลบานตะไทขนาดนี้ เรายังจัดหาเวลาว่างให้ตัวเองไม่ได้จริงๆ อย่าเพิ่งทิ้งเก๊านะะะ เก๊าพยายามอยู่ววว เป็นกำลังใจให้เก๊าด้วยย ฮรึกก

    แล้วก็แอบฝากคนที่เคลือบแคลงความสัมพันของคุณหมอกับมือขวา http://writer.dek-d.com/carmz100/writer/view.php?id=973748 (เวลาไม่มีก็กระแดะจะเปิดเรื่องใหม่อีกแน่ะ!) ฝากด้วยนะคะ J

     

    เรายังไม่ตายนะ 5555 มาแล้ววววววว เพิ่งสอบเสร็จไป แต่จะสอบอีกแล้วค่ะ ฮรือออออออ ชีวิตเปื่อยๆ T^T อย่าเพิ่งงงง ทิ้งเราไป อยู่กับเราก่อนนน

    เราจะสู้!!

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×