คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ▌MASK : chapter 09
the illusion of
MASK
Chapter 09
“ฉันต้องกลับเกาหลี เดี๋ยวนี้เลย!” คริสตะคอกใส่โทรศัพท์หลังจากขับรถออกมาจากตรงนั้น มาถึงยังสนามบิน และมารออยู่ในห้องรับรองนี้
ที่นี่ไม่ปลอดภัย.. อู๋อี้ฟานอาจจะเก่งกาจจนสามารถยึดพื้นที่ในเกาหลีไว้ได้ในเวลาเพียงไม่นานและขึ้นเป็นหัวหน้าของที่นั่น แต่เขาก็ไม่สามารถสู้กับแก๊งค์ใดแก๊งค์หนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียว
“ผมอยากกลับบ้าน” อี้ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ไม่ได้!” คริสเผลอตะคอกใส่เพราะอารมณ์ที่ตีกันมั่วไปหมด นั่นทำให้อี้ชิงหลับตาแน่นเพราะความกลัว เช่นนั้นแล้วคริสจึงสงบสติอารมณ์ได้ทันควัน
“อี้ชิงกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ พี่ไม่รู้ว่ามีใครตามเรามาอีกรึเปล่า หรือมีเครื่องติดตามที่ไหนมั้ย การกลับบ้านเท่ากับเป็นการเปิดเผยที่อยู่”
“.......”
“ครอบครัวของเราจะตกอยู่ในอันตราย”
“ฮึ่ก....เพราะพี่! เพราะพี่ใช่มั้ย!” มือเรียวทั้งทุบทั้งตีคนตัวโตกว่าด้วยแรงเท่าที่มี ..คริสยอมรับแม้ว่ามันจะเจ็บ เพราะเรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเขาจริงๆ ..
“พี่ขอโทษอี้ชิง พี่ขอโทษ...” คริสเอ่ยเสียงอ่อน พร้อมกับที่อี้ชิงรู้ว่าการทำร้ายคริสไปก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นแล้วเขาจึงหยุดทำ เปิดโอกาสให้คริสได้รวบคนตัวเล็กมากอดไว้อีกครั้ง
“เขาจะเอาผมไปทำไม ฮึก..”
“อี้ชิงอา ..พี่ขอโทษจริงๆ” ร่างสูงกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น และอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจนโทรศัพท์แจ้งสายโทรเข้า คริสะกดรับในทันทีที่เห็นชื่อปลายสาย
“ฉันฝากจื่อเทาด้วย ..อืม เรื่องของเราไว้ค่อยว่ากัน” ประโยคหลังเรียกให้อี้ชิงสนใจบทสนทนาขึ้นมาบ้าง ..แต่เขาไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าต้องเป็นซงเฉียนแน่ๆ อยู่แล้ว..
อี้ชิงคงไม่ถามว่าเรื่องที่ว่านั้นเป็นเรื่องอะไร เกี่ยวกับการที่เขาถูกพามาที่นี่ หรือกระทั่งถูกหมายหัวมั้ย.. ก็ได้ยินชัดอยู่แล้วไงอี้ชิงจะยุ่งทำไม มันเป็น เรื่องของเรา เรื่องระหว่างอู๋อี้ฟานกับซงเฉียน จางอี้ชิงน่ะ ไม่มีส่วนในคำว่าเรานั่นเสียหน่อย
..
..
ใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็ข้ามประเทศกลับมายังเกาหลีและมาถึงยังที่พักเรียบร้อย เป็นคุณหมอจุนมยอนและพยอนแบคฮยอนที่ออกมารับเช่นทุกที และเช่นกัน ทั้งคู่แปลกใจที่คนขับรถกลับมาคือตุ้ยจางของบ้านเสียเอง
“เทาล่ะครับ?” แบคฮยอนถาม
“จื่อเทาบาดเจ็บ เขาจะตามกลับมาเร็วที่สุด” คำตอบของคริสอู๋ทำให้แทบทุกชีวิตที่มีโอกาสได้ยินตกใจ ถ้าถึงระดับที่เทาบาดเจ็บ นั่นหมายความว่าเหตุกาณ์กำลังเลวร้ายขึ้นทุกที
“ตุ้ยจางครับ มีงานที่ต้องไปด่วนเย็นนี้” จงอินเดินเข้ามารายงานพร้อมทั้งแจ้งสถานที่ เวลา และความจำเป็นเสร็จสรรพ ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกคนตัวขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อี้ชิงเย็นนี้ไปงานกับพี่”
“แต่ผม..”
“ไม่มีแต่ นายต้องไป” คริสยื่นคำขาดก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงคนตัวเล็กกว่าให้ก้าวไปทางมุมหนึ่งของบ้านที่อี้ชิงไม่เคยเดินมาถึง มือใหญ่ต่อสายหาใครคนหนึ่งแล้วสั่งมาถึงโดยไว หลังจากนั้นไม่เกินยี่สิบนาทีชายร่างเล็กแก้มกลมก็เดินทางมาถึงพร้อมกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบ
“สวัสดีครับคุณอี้ฟาน”
“สวัสดีครับคุณมินซอก” ร่างสูงเอ่ยทักทายตามมารยาท ก่อนจะส่งคนน่ารักให้กับผู้มาใหม่นั้น “ขอสูทสีขาวครับ ใช้เย็นนี้”
“ตกลงครับ” คิมมินซอกยิ้มกว้างจนแก้มกลมขึ้นมาเบียดให้ตาหยี แล้วก็รับมือจางอี้ชิงที่อู๋อี้ฟานส่งมาให้ “ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
ได้รับคำมั่นสัญญาเช่นนั้นแล้วร่างสูงก็ผละออกจากห้องไป ส่วนอี้ชิงก็ถูกสายวัดของมินซอกวัดตรงนู้นทีตรงนี้ทีอย่างละเอียด ไม่นานนักแบคฮยอนก็เข้ามาพูดคุยด้วยอย่างสนุกสนานในตอนที่คิมมินซอกกำลังคิ้วขมวดกับเสื้อผ้าที่เตรียมมา
“เสร็จแล้วครับ คุณอี้ชิงลองดู” คนตัวเล็กยื่นชุดสูทสีขาวที่ตัดเย็บอย่างดีภายในเวลาอันแสนสั้นให้กับคนที่ได้แต่มองตาค้างอยู่อย่างนั้น
“เก่งสมเป็นพี่มินซอกจริงๆ เลยครับ” แบคฮยอนเจื้อยแจ้วไปตามนิสัย ก่อนจะเร่งเร้าให้อี้ชิงลองสวมมัน
“โอ้โหห พอดีเด๊ะเลย ใส่แล้วดูดีมากเลยพี่อี้ชิง” แบคฮยอนชมเบาะ แววตาเป็นประกายของลูกหมาที่ใครๆ เรียกกันนั้นบอกให้อี้ชิงรู้ว่าแบคฮยอนไม่ได้โกหก
“ผมว่ามันออกจะ..เข้ารูปไปหน่อยมั้งครับ” อี้ชิงบอก
“แบบนี้แหละครับ เหมาะกับคุณอี้ชิงดี แล้วก็เหมาะกับคุณอี้ฟานมากด้วย ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีมีธุระ” ดีไซน์เนอร์มือฉมังกล่าวลาก่อนจะเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและจาก
“จะได้เวลาพอดีเลยครับ” แบคฮยอนบอกหลังจากดูนาฬิกา ร่างเล็กวิ่งไปหยิบเนคไทด์ที่คุณมินซอกวางเอาไว้แล้วส่งให้อี้ชิง
“อันนี้ของพี่อี้ฟานครับ” แบคฮยอนอธิบายเพราะอีกฝ่ายทำหน้าสงสัย ..ก็ใช่สิ จางอี้ชิงผูกหูกระต่ายอยู่แล้ว พอโดนยื่นเนคไทด์ให้ก็ต้องแปลกใจเป็นธรรมดา แต่หลังจากแบคฮยอนบอกแล้วเขาก็ถือมันไว้และเดินตามคนตัวเล็กกว่าออกไปจนถึงหน้าบันได ยืนรออยู่ได้สักพักคริสอู๋ก็ลงมาในชุดสูทสีดำสนิทอย่างที่ใส่เป็นประจำ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกทับอยู่ด้านในดูโล่งเพราะขาดเนคไทด์ผิดทับ
“นี่ครับ” มือขาวยื่นอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายให้ร่างโปร่ง แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมรับมันไป
“ใส่ให้พี่หน่อยสิครับ” อี้ฟานบอกพร้อมทั้งก้าวเข้ามาใกล้อี้ชิงเพิ่มขึ้นอีก
“ใส่เองสิครับ” ร่างบางยังดื้อที่จะยื่นของให้ ขณะที่ฝ่ายก็ดึงดันที่จะยืนเฉยๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นอี้ชิงเองที่ถอนหายใจยาวและส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อคล้องเนคไทด์เส้นนั้น แล้วตั้งใจผูกเป็นปมให้สวยงาม
“ขอบคุณครับ” อี้ฟานตอบก่อนจะฉวยจับมือนิ่มเอาไว้ แล้วบังคับให้เดินไปที่รถพร้อมๆ กัน
..
..
จางอี้ชิงรู้สึกอยากหายตัวไปจากงานเสียเดี๋ยวนั้น เมื่อในห้องห้องแกรนด์บอลรูมนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายในสูทสีทะมึน กวาดตาแบบผ่านๆ แล้วก็เห็นจะมีแต่จางอี้ชิงเท่านั้นแหละที่สวมเสื้อผ้าสีสว่างเช่นนี้
ร่างบางสาวเท้าตามคนที่ช่วงขายาวกว่ามากไวๆ จนไปถึงโต๊ะที่มีป้ายเด่นอยู่ตรงกลาง เขียนเอาไว้ว่า “ชิงหลง”
“จงอินนายอยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันมา” คริสบอกก่อนจะหายตัวไป นั่นทำให้อี้ชิงกอดอกฉับพร้อมทั้งแสดงสีหน้าไปพอใจอยู่คนเดียว ไปไหนก็ชอบบอกว่าให้ไปด้วยกัน พอถึงที่ก็ทิ้งเขาไว้คนเดียวทุกที
ร่างบางกวาดตาไปทั่วงานก็พบว่าตนไม่สามารถสบตาใครได้เลย ทุกโต๊ะมีชายร่างใหญ่ยืนคุมอยู่ ให้เอาอี้ชิงก็คิดว่าคงเป็นบอดี้การ์ดหรืออะไรทำนองนั้น ส่วนคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ง่วนกับการสนใจเทคโนโลยีในมือ ก็ได้ยินคุยกันแต่เรื่องที่อี้ชิงไม่เข้าใจ ร้ายกว่านั้นก็นั่งกอดอกตีหน้าขรึมอยู่คนเดียว
“จงอิน นี่มันงานเลี้ยงประเภทไหนเนี่ย”
“อ่า.. ผมก็จัดประเภทไม่ถูกเหมือนกับคุณอี้ชิง คือก็..มาหาข้อตกลงเรื่องพื้นที่กัน อะไรทำนองนั้นน่ะครับ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ที่นี่ไม่มีหมาลอบกัดหรอกครับวางใจได้” จงอินอธิบาย ด้วยคำที่ซอฟท์ที่สุดเท่าที่จะคิดได้
“คุณอี้ชิงดื่มอะไรมั้ยครับเดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“อื้อ” อี้ชิงพยักหน้ารับส่งๆ เขาไม่ได้อยากกินอะไรแต่ก็พอจะดูออกว่าคนที่อยากคือจงอินเอง เช่นนั้นจึงไม่ได้รั้งอีกฝ่ายไว้แม้จะรู้สึกกลัว ..ก็จงอินบอกเองว่าที่นี่ไม่อันตราย
“นั่งคนเดียวเหงามั้ยครับ” เพราะเสียงนั้นไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ประกอบกับที่ในห้องจัดงานมีเสียงจ้อกแจ้กอยู่ตลอดเวลา อี้ชิงจึงหันรีหันขวางอยู่สองสามทีก่อนจะเจอต้นเสียง พอเห็นว่าเป็นคนไม่รู้จักจริงๆ เขาก็เลือกจะไม่ตอบ
“อ่า..ผมน่ากลัวเกินไปเหรอครับ ผมพูดกับคุณนะ” เจ้าของร่างโปร่งฉีกยิ้มกว้าง ..นั่นทำให้อี้ชิงแปลกใจอยู่นิดหน่อย เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาก็ยังไม่มีใครยิ้มให้เขาเลยสักคน
“สวัสดีครับ แต่ผมไม่รู้จักคุณ”
“อ่า..ผมก็ไม่รู้จักคุณเหมือนกันครับ แต่ผมเพิ่งมางานแบบนี้ครั้งแรก แล้วก็ไม่มีใครสนใจผมเลยด้วย” ชายแปลกหน้าบอก “เห็นคุณดูเป็นมิตรที่สุดแล้ว..” ร่างสูงทิ้งประโยคไว้แค่นั้นแล้วยิ้มกว้างเมื่ออีกมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ดีขึ้น
“ผมจางอี้ชิงครับ คุณยิ้มเก่งนะ” อี้ชิงพูดอย่างที่คิด เพราะแม้ว่าคนตรงหน้าจะใส่ชุดสีดำสนิทเหมือนคนอื่นๆ แต่รอยยิ้มของเขาทำให้อะไรๆ ดูสดใสขึ้นได้ง่ายๆ และนั่นก็ทำให้อี้ชิงรู้สึกผ่อนคลายไปได้มาก
“ผมปาร์คชานยอลครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ร่างสูงแนะนำตัวตบท้ายด้วยรอยยิ้มแบบที่คนตัวเล็กเพิ่งเอ่ยชม “ผมว่าถ้าคุณยิ้มจะต้องน่ารักมากแน่ๆ”
“ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ” ร่างบางปฏิเสธ ต่อจากประโยคนั้น ทั้งคู่ก็ได้คุยกันอยู่พักใหญ่ ..และทุกการกระทำนั้นก็อยู่ในสายตาของคริสอู๋ทั้งหมด คริสแทบจะลืมรอยยิ้มของจางอี้ชิงไปแล้ว เพราะต่อหน้าอู๋อี้ฟานอี้ชิงไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง แต่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาสักอย่าง อี้ชิงก็ร้องไห้
แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ถึงได้รอยยิ้มของอี้ชิงไป..
“อี้ชิง”
“พี่คริส..”
“สวัสดีครับ” บุคคลที่สามเอ่ยทักทายเจ้าของโต๊ะอีกคน แต่เหมือนว่าฝ่ายนั้นไม่ได้อยากเสวนากับเขาเท่าไหร่ ยิ้มกว้างๆ จึงต้องลดระดับลงเหลือแค่ยิ้มเจื่อนๆ “คุณอี้ชิงมีเพื่อนแล้ว งั้นผมขอตัวนะครับ” ร่างสูงจากไปอย่างง่ายดาย แต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น
“รู้จักมันเหรอถึงคุยกันสนิทสนมขนาดนั้น” คริสถามเสียงแข็ง นั่นทำให้ร่างบางหัวเราะออกมาเบาๆ สมเพชตัวเองจริงๆ ที่ก่อนจะออกจะบ้านเขาเผลอดีใจที่พี่คริสพูดดีด้วย ..มันก็เท่านั้นแหละจางอี้ชิง
“รู้จักแล้วเมื่อกี้”
“อี้ชิง เราไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ นะ”
“ผมรู้ครับ ผมมีบทเรียน”
“อี้ชิงพี่จริงจังนะ”
“ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นเหมือนกัน”
“ตอนนี้เราไม่เหมือนเมื่อก่อนนะอี้ชิง อันตรายรอบตัวไปหมด พี่พูดอะไรก็เชื่อพี่บ้าง” คิ้วเข้มขมวดลงกับท่าทีดื้อรั้นของคนตรงหน้า
“เชื่อเหรอครับ? ..จะให้ผมเชื่ออะไร ผมไม่เคยรู้อะไรเลย เรื่องของพี่ที่โกหกมาตลอด เรื่องที่พาผมไปที่จีน หรือกระทั่งมาที่นี่วันนี้ พี่ก็ไม่เคยให้เหตุผลอะไรสักอย่าง แล้วจะให้ผมเชื่ออะไรพี่”
“พี่ว่าเราคงคุยกันที่นี่ไม่รู้เรื่อง ..พี่จัดการธุระเสร็จแล้ว เรากลับไปคุยกันที่บ้าน” อี้ฟานไม่เพียงไม่ตอบคำถาม เขายังบังคับให้ร่างบางเดินออกมาจากงานด้วยแรงที่มากกว่า เพราะอย่างนั้นต่อให้อี้ชิงพยายามขัดขืนก็ไร้ค่า
“ปล่อยผม! เลิกลากผมไปไหนมาไหนเหมือนตุ๊กตาโง่ๆ สักทีได้มั้ย!” อี้ชิงระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อถูกบังคับซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดกับเขาดีๆ เหมือนเมื่อก่อนมันจะตายหรือไง
“ปล่อยแล้วอี้ชิงจะไปไหน ไม่กลับบ้านหรือไง?”
“กลับ! แต่ผมจะกลับบ้านผม!” อี้ชิงบิดขืนข้อมือตัวเองจนแดงไปหมด แต่หากมันจะทำให้หลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้ อี้ชิงก็ยอมแลก
“นายอยากตายเหรอจางอี้ชิง! ไม่รู้เหรอว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!” คริสตะเบ็งเสียงใส่เมื่อร่างบางแสดงท่าทีขัดขืนสุดกำลัง เขาหวังจะให้อี้ชิงเกรงกลัวในความตายและยอมกลับบ้านแต่โดยดี..
“ตายแล้วพ้นจากพี่ได้ก็ดีเหมือนกัน! อื้อ!!” เรียวปากบางหมดทางต่อคำเมื่อถูกครอบครองไว้ด้วยริมฝีปากร้อนของอีกคน อู๋อี้ฟานบังคับเอาจูบจากร่างบางครู่ใหญ่แล้วจึงละออกเมื่อถูกประท้วงด้วยกำปั้น
“ปล่อยผม!” อี้ชิงดิ้นอย่างรุนแรงในอ้อมกอดแข็งแกร่งนั้นอีกครั้ง เมื่อไม่เป็นผลจึงใช้ฝ่ามือขาวฟาดลงที่แก้มซ้ายของร่างสูงเข้าเต็มแรง
“ผมเกลียดพี่! เกลียดการกระทำเลวๆ ของพี่ เกลียดทุกอย่างที่เป็น.. อื้อ!” ลิ้นร้อนชื้นส่งเข้าไปกวาดต้อนคำด่าทอมากลืนเก็บไว้จนหมดสิ้น อู๋อี้ฟานไม่อยากได้ยินคำต่อว่าต่อขานอะไรจากริมฝีปากนี้อีก
“ปล่อยผม..ปล่อยผมไปสักที” อี้ชิงไม่อยากสู้ในเกมที่ไม่มีวันชนะ เขาพยศได้เท่านั้นก็รู้ซึ้งแล้วว่าไม่มีทางไหนที่ตนจะเหนือกว่าอีกฝ่ายได้เลย
“ปล่อยไม่ได้อี้ชิง พี่ปล่อยไม่ได้” คริสเอ่ยบอกคำนั้นแนบชิดใบหูแดงจัดด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบา..
To be cont.
..
# talk corner *
ไม่แน่ใจว่าพี่คริสสับสน น้องอี้ชิงสับสน หรือเราเองที่สับสน ทำไมทุกคนถึงอารมณ์แปรปรวนนักล่ะ T.T
ปล. อีกอาทิตย์นึงจะเปิดเทอมแล้ว คงอัพได้ช้ากว่านี้อีก เสียใจ #ลาออก 5555555
ความคิดเห็น