คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อันนี้ขยันอ่านหน่อยมันยาว
เราคือใคร มาจากไหน
คนเราเมื่อเกิดมาแล้วเติบโตขึ้นรู้จักสิ่งต่างๆมากขึ้น รู้ว่าเรามีใครเป็นพ่อเป็นแม่ รู้ว่าเราชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน เรียนที่โรงเรียนใด รู้ไปตามลำดับจนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำงานประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว มีสุขมีทุกข์อย่างใดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ถ้ามีใครไปถามว่าเขาคือใคร? เขาจะตอบว่าเขาคือเขา เหมือนกับเราคือเรา ซึ่งหลักธรรมะในพุทธศาสนาหมายถึง อัตตา คือความยึดมั่นถือมั่นใน ตน ซึ่งเป็นตนเองในปัจจุบัน ซึ่งพุทธศาสนาชี้ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่านอกจากชีวิตนี้ยังมีชีวิตหน้า เช่นเดียวกับคนในศาสนาอื่นๆที่ไม่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด (Reincarnation) คือมีแต่ชีวิตปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นคนเหล่านี้จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าจะดีหรือชั่วขอเพียงให้ตนเองได้ดีมีความสุข ถ้าเป็นคนดีจิตใจดีอาจจะแบ่งปันส่วนของความสุขเพื่อคนอื่นบ้าง ซึ่งทุกศาสนาสอนให้ทำเช่นนี้ ชาวพุทธบางคนอ้างว่าหลักธรรมสอนให้ดูแต่ “ปัจจุบัน” เท่านั้นไม่ต้องสนใจกับสิ่งที่จะมาข้างหน้า เช่นเดียวกันบางคนบอกว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกสิ่งเป็น “อนิจจัง” คือความไม่แน่นอน ดังนั้นจะรีบกอบโกยทำทุกสิ่งที่ต้องการ บางคนอ้างว่าธรรมะสอนว่าทุกอย่างเป็น อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตนเราไม่ใช่เรา ตายแล้วจบกันไป ซึ่งเป็นการนำหลักพุทธธรรมที่สำคัญมาใช้ผิดทั้งในความหมายและกาละเพื่อประโยชน์ของตนเอง ความคิดเช่นนี้พระพุทธเจ้าถือเป็นความคิดที่ผิด มิจฉาทิฏฐิ ไม่ชอบไม่ถูกไม่สมควรคิด คนพวกนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตนเองทั้งดีและชั่ว ไม่ต้องสนใจต่อบุญหรือบาปจากการกระทำนั้นๆ
มีชาวพุทธอีกกลุ่มหนึ่งที่มีปัญญาหรือบารมีเก่าที่เมื่อมีเวลาหรือชีวิตพบอุปสรรคหรือความผันแปรที่ไม่เข้าใจจะพยายามคิดตอบคำถามว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนี้แก่เรา เราเป็นใคร คิดว่าทำไมเราต้องเกิดมา ทำไมเป็นผู้หญิง ทำไมเป็นผู้ชาย ทำไมจึงเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ ทำไมเกิดมาหน้าตาน่าเกลียด ทำไมฉลาด ทำไมโง่ ทำไมยากจน ทำไมสวย ทำไมพิการ สุขภาพไม่ดี ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ตนเองคงหาคำตอบไม่ได้ มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่รู้คำตอบในวันเพ็ญที่ตรัสรู้ รวมถึงบรรดาอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายที่มีคำตอบ รู้เหตุที่ทำให้เกิดผลเหล่านี้ และมีแต่ธรรมะของพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะอธิบายคำถามเหล่านี้ได้
พุทธศาสนาสอนว่าทุกสิ่งมี “เกิดดับ” ต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ซึ่งตรงกับความเป็นจริงที่อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์เช่นกระแสไฟฟ้าที่เราเห็นสว่างอยู่ตลอดเวลา ความจริงมีการติดดับๆสืบเนื่องกันอย่างเร็วจนตาเราจับไม่ได้ คนเราเช่นเดียวกันมีเกิดมีตายติดต่อกันไป
ถ้าตายแล้วจบในครั้งเดียวย่อมผิดธรรมชาติผิดหลักวิทยาศาสตร์เพราะวิทยาศาสตร์บอกว่าสสารย่อมไม่สูญหาย ดังนั้นเมื่อมีของเดิมอยู่ต้องไม่หายไปมีของใหม่เกิดขึ้น ชีวิตคนเราจึงมีการเกิด-ดับ เกิดดับต่อเนื่องไป การเกิดครั้งหนึ่งจะเป็นคนๆหนึ่งรูปร่างหน้าตาจิตใจเป็นอย่างหนึ่ง มีชื่อมีสกุลอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปคนเดิมก็หายไป เช่นในธรรมชาติต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมตายไปก็มีหน่อเกิดต้นใหม่ขึ้นเติบโตแทนต้นเดิม ถึงไม่ใช่ต้นเดิมแท้ๆแต่ความจริงสืบเนื่องมาจากส่วนหนึ่งของต้นเดิม คนก็เช่นกันจะต้องเกิดใหม่เพียงแต่ไม่เห็นชัดอย่างต้นไม้เพราะคนมีภพภูมิอีกมากมายที่จะต้องไปเกิดได้ แต่ถ้าบังเอิญเกิดเป็นคนใหม่ต่อเนื่องกันจะมีรูปร่างหน้าตามีเพศใหม่มีชื่อใหม่ เป็นคนใหม่ไม่รู้จักคนเก่า แต่ว่าในบางครั้งคนใหม่ระลึกชาติได้ว่าชาติก่อนตนเป็นใครอยู่ที่ไหน ซึ่งมีหลักฐานพิสูจน์ไว้มากมาย
ในคืนวันเพ็ญที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในพระญานแรกทรงรู้แจ้งว่าพระองค์มีชาติภพย้อนหลังมายาวนานอย่างไรบ้างจนถึงชาติสุดท้าย ต่อมาจึงทรงตรัสรู้ถึงเหตุและหนทางที่จะตัดภพชาติทั้งสิ้นได้ ไม่ให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และได้นำสัจธรรมความรู้ในความจริงของชีวิตมนุษย์มาสั่งสอนมวลมนุษยชาติให้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ไม่ต้องมีภพมีชาติอีกต่อไป
ปัญญาชนในปัจจุบันบางคนที่ยึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าโดยอ้างว่าพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเขาจริงๆ มีภพภูมิต่างๆจริง อ้างว่าการระลึกชาติได้เป็นเพียงเหตุบังเอิญ เพราะคนในโลกหลายพันล้านมีผู้ที่ระลึกชาติได้ที่มีการบันทึกหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงเป็นร้อยๆคนเท่านั้น ความจริงพุทธศาสนาเป็นสัจธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด และต้องไม่ลืมว่ามีเรื่องอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้หรือยังค้นไม่พบ จะต้องมีการศึกษาลึกซึ้งมากขึ้นเช่นในอดีตย้อนหลังไปสักร้อยปีเราไม่มีความรู้ว่าอะไรเป็นตัวบงการให้มีความแตกต่างของคนของสัตว์ต่างๆ แต่ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ศึกษาลงลึกถึงระดับเซลล์ ระดับโปรตีนในเซลล์ รู้เรื่อง gene รู้เรื่อง chromosome รู้ว่าเอกซ์หรือวายโครโมโซมเป็นตัวกำหนดเพศชายหญิง รู้ว่าตัวใดทำให้เกิดตาบอดสีหรือมีความพิการบางอย่างของร่างกาย จนถึงความสามารถที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตเลียนแบบเดิมได้ (cloning) ภายใน 2-3 ปีนี้เอง ดังนั้นถ้าย้อนหลังไปมีคนมาบอกว่าสามารถสร้างแกะเลียนแบบตัวเดิมได้คงไม่มีใครเชื่อ ฉันใดฉันนั้นพระพุทธองค์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 2500 กว่าปีที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคต ทุกสิ่งที่พระองค์บอกเป็นสัจธรรมเป็นความจริง ซึ่งสูงเกินความสามารถของนักวิทยาศาสตร์หรือห้องปฏิบัติการในปัจจุบัน เพราะคำอธิบายของพระพุทธองค์ลงถึงระดับจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มีการพิสูจน์แล้วว่ามีพลังงานจริงที่ต้องการเครื่องมือพิเศษที่จะตรวจสอบรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถพิเศษที่จะมาพิสูจน์
เปรียบได้กับเราอยู่ในที่มืดมากจนตาเรามองไม่เห็นว่ามีวัตถุอะไรอยู่ในที่มืดบ้าง ถ้าเราบอกไม่มีอะไรแต่ถ้าใช้กล้องอินฟราเรดที่สามารถส่องดูหรือถ่ายรูปจะเห็นวัตถุในที่มืดได้แสดงว่าเราผิด หมายถึงว่าไม่ว่าเราจะมีปัญญาสูงเพียงใดจะยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นพิสูจน์ยังไม่ได้อยู่เสมอ ต่างจากพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงที่เรียกว่า รู้แจ้ง และนำความรู้เพียงบางส่วนเปรียบเสมือนหยิบใบไม้ในป่ามากำมือเดียวจากใบไม้ทั้งป่ามาสอนมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่ด้อย ปัญญา เปรียบได้กับบัวที่จมอยู่ในโคลนตมหรือใต้น้ำ มีเพียงส่วนน้อยที่ลอยเหนือน้ำเบ่งบานได้เมื่อได้รับแสงอาทิตย์หรือธรรมะของพระพุทธองค์ เราในฐานะปัญญาชนยุคปัจจุบันอย่างน้อยควรปฏิบัติตนให้เหมือนบัวที่จะโผล่พื้นน้ำ โดยเชื่อมั่นศรัทธาในสัจธรรมของพระพุทธองค์โดยไม่ต้องสงสัยเป็นเบื้องต้น แล้วศึกษาปฏิบัติต่อไปจนเป็นดอกบัวที่เบ่งบานอยู่เหนือน้ำประดับโลก
จิตและวิญญาณคืออะไร
คำว่า จิต หรือ วิญญาณ หรือบางทีรวมเรียกว่าจิตวิญญาณ เป็นคำที่มีอยู่ในหลายศาสนา เพราะเป็นความเชื่อถือของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ว่าคนเมื่อตายไปแล้วจิตหรือวิญญาณยังคงอยู่ ดังนั้นในศาสนาต่างๆจึงมีคำเหล่านี้อยู่ แต่ในความหมายต่างกัน
ตามหลักของพุทธศาสนา จิต เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง จึงไม่มีรูปร่าง บางท่านเรียกว่า ใจ ตรงกับ มโน ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันกับจิต มีคุณสมบัติสามารถเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่เรารู้จัก เพียงคิดถึงสถานที่หนึ่งจิตก็วิ่งไปถึงแล้ว จิตสามารถทะลุทะลวงผ่านวัตถุและสิ่งต่างๆได้มากจนเกือบไร้ขอบเขต แต่พลังของจิตแตกต่างจากพลังงานอื่นๆทางวิทยาศาสตร์ เช่น พลังไฟฟ้า พลังแม่เหล็ก พลังน้ำ ตรงที่จิตมีตัว รับรู้ อยู่ด้วยโดยอาศัยการรับรู้อารมณ์ต่างๆ โดยอาศัยอวัยวะสัมผัสต่างๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งการรับรู้นี้เป็นกริยาของจิต ตรงกับคำว่า วิญญาณ จึงมักรวมเรียก จิตวิญญาณ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีวิญญาณกับกลุ่มที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณเช่นพืช ทางพุทธศาสนาอธิบายถึงวิญญาณดังนี้ เป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง สามารถรับอารมณ์ได้ไกล มีการเกิดดับทีละขณะ และอยู่ในร่างกายโดยมีสมองเป็นที่อยู่เป็นส่วนใหญ่ ตามศัพท์ วิ หมายถึงมากมาย ญา หมายถึงรู้ รวมกันจึงหมายถึงการรับรู้อารมณ์ได้มากมาย โดยอาศัยอวัยวะรับรู้ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อรับทางใดก็ให้เกิดวิญญาณตามอวัยวะนั้นๆ ได้แก่ จักขุวิญญาณ คือ การรับรู้ด้วยสัมผัสทางตา, โสตวิญญาณทางการได้ยิน, ฆานวิญญาณจากการได้กลิ่น, ชิวหาวิญญาณจากการลิ้มรส, กายวิญญาณจากการสัมผัส และมโนวิญญาณจากใจตามลำดับ (ดูภาพที่ 1) เพื่อเปรียบเทียบให้เข้าใจโดยอาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์ อาจเทียบได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องไฟฟ้า เป็นพลังงานไฟฟ้าแต่ถูกบรรจุโปรแกรมตัวรู้เข้าไว้ในเครื่องทำให้สามารถทำงานคิดคำนวณหรือตอบคำถามต่างๆได้ บันทึกข้อมูลได้ แต่ต่างจากตัวรู้ของจิตมาก เพราะรู้เท่าที่เขากำหนดโปรแกรมเอาไว้ ไม่สามารถดัดแปลงรู้ด้วยตัวเองได้
มีอีกคำหนึ่งที่อาจสับสนกับจิต คือ เจตสิก หมายถึง สิ่งปรุงแต่งจิต การที่จิตรับรู้อารมณ์เรียกว่า เวทนา แล้วบันทึกอารมณ์ไว้เรียกว่า สัญญา และปรุงแต่งอารมณ์นั้นๆอีกด้วยเรียกว่า สังขาร เจตสิกจึงเป็นการรวมเวทนา สัญญา สังขารเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด ส่วนจิตและวิญญาณนั้นคือการรู้อารมณ์อย่างเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นนามธรรมของขันธ์ห้า
จิตแต่ละดวงจะมีการบันทึกความดีความชั่ว บุญบาปที่แต่ละคนได้ทำไปทุกครั้งโดยอัตโนมัติคล้ายบันทึกเสียงลงในเทป แต่เนื่องจากจิตเป็นนามธรรม ดังนั้นไม่ว่าจะบันทึกไว้มากเท่าใดนานเท่าใดก็ไม่รู้จักเต็ม
การรับรู้อารมณ์ดังกล่าวของจิตวิญญาณเรียกว่าเป็น วิถีวิญญาณ ซึ่งมีการเกิด-ดับอยู่เสมอในขณะที่เราตื่นอยู่ แม้เราหลับไปก็ยังมีการรับรู้ของจิตขณะหลับ เรียกว่า ภวังควิญญาณ ด้วยจิตใต้สำนึก โดยรับรู้อารมณ์ที่เคยผ่านมาในวิถีวิญญาณมาเป็นอารมณ์ อาจเกิดในขณะหลับ เกิดขึ้นตลอดเวลา
ในสภาพปกติจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมจะติดอยู่กับ รูป หรือร่างกายเสมอ แต่บางครั้งอาจแยกกันได้ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา เช่น ผู้ป่วยหนักใกล้ตาย หรือคนอื่นคิดว่าตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา มักจะเล่าว่าจิตวิญญาณของตนล่องลอยไปที่ไหน เห็นอะไรมาบ้าง ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่เราก็รู้ไม่ได้ แต่เป็นการแยกจิตออกไปจากกายโดยไม่เจตนาและคงเป็นการปรุงแต่งด้วยอารมณ์มาแล้ว สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิถึงขั้นสูงได้ ฌาณสมาธิ สามารถถอดจิตออกจากกายไปโดยเจตนาเรียกว่า มโนมยิทธิ ในผู้ที่ปฏิบัติขึ้นสูงขึ้นไปอีกอาจเข้าสู่ นิโรธสมาบัติ คือขณะที่จิตกำหนดแยกออกไปจากกาย จะตัดไม่ให้ประสาทสัมผัสทั้งหกของกายรับรู้อะไรทั้งสิ้นจนกว่าถึงเวลาที่จิตตั้งกำหนดไว้ว่าจะกลับมา ซึ่งในขณะนั้นใครจะไปทำอะไรต่อร่างกายของเขาก็ไม่รับรู้ทั้งสิ้น เหล่านี้เป็นการแยกของกายและจิตใจโดยเจตนา
เมื่อถึงเวลาที่คนหรือสัตว์ตายจะมีการแยกจิตวิญญาณจากร่างเดิมเข้าสู่ภพภูมิใหม่สร้างใหม่ จิตในวาระที่ร่างกายจะแตกดับเรียกว่า จุติวิญญาณ คือจิตขณะออกจากร่างเดิมไปหาชาติภพใหม่ ซึ่งเมื่อจิตไปสู่ชาติภพใหม่เรียกว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งถ้าเข้าสู่ร่างของทารกหรือตัวอ่อนของสัตว์ในครรภ์แล้วจะเป็น ภวังควิญญาณ จนกว่าเมื่อถึงเวลาคลอดจึงเรียก จิตวิญญาณ เพราะจะรับรู้อารมณ์ต่างๆได้เองแล้ว ซึ่งความจริงเป็นจิตวิญญาณเดิมที่เปลี่ยนภพภูมิ เป็นของใหม่ที่นำมาจากกรรมที่เคยทำมาในอดีตไม่สามารถจดจำของเดิมได้ นอกจากในสภาวะพิเศษบางอย่าง เช่น จิตของผู้ปฏิบัติธรรมขั้นสูงหรือในผู้ที่สามารถระลึกชาติได้ เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายของคำว่าวิญญาณในวาระต่างๆ
ชีวิตเกิดได้อย่างไร
มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เหมือนสิ่งมีชีวิตมีวิญญาณอื่นทั้งหลาย ซึ่งอาจอยู่ในโลกของเรานี้ หรืออยู่ในภพภูมิอื่น เช่น เป็นผี เป็นเปรต เป็นโอปปาติกะ เป็นเทวดา เป็นเทพ เป็นพรหม ฯ เป็นต้น ซึ่งแม้เราจะไม่สามารถรู้เห็นด้วยตาเรา แต่ก็เป็นสิ่งที่ศาสนาต่างๆยืนยันว่ามีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติสมาธิจนจิตถึงระดับหนึ่งแล้ว จะสามารถรู้เห็นได้ สมัยใหม่เรียกว่าอยู่ใน มิติ อื่น หากเรามีเครื่องมือที่สามารถจับพลังในมิติอื่นได้เราก็คงจะได้เห็น ดังนั้น ความหมายของการเกิดในทางพุทธศาสนาจึงครอบคลุมไปถึงการเกิดในภพภูมิอื่นๆด้วย
ในทางวิทยาศาสตร์เรารู้ว่าชีวิตของคนและสัตว์ เกิดจากการผสมของไข่จากแม่กับอสุจิจากพ่อ แล้วมีการเจริญเติบโตในมดลูกของแม่ ถ้าสภาพต่างๆถูกต้องเมื่ออยู่ในครรภ์จนครบกำหนดเวลาของสัตว์แต่ละชนิดก็จะคลอดออกมาและเริ่มต้นชีวิต สัตว์บางชนิดปล่อยไข่ออกมาข้างนอกและเจริญเป็นตัวออกจากไข่และเริ่มต้นชีวิต บางชนิดเกิดจากการแบ่งตัว เช่น แบคทีเรีย ฯ
ทางพุทธศาสนาได้อธิบายถึงการเกิดของสัตว์โลกไว้มากกว่านั้น คือนอกจากสัตว์โลกยังรวมถึงภพภูมิอื่นที่มนุษย์เราไม่รู้จักอีก โดยอธิบายได้ว่าการเกิดมี 4 แบบ คือ
1.ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์ออกเป็นตัว ได้แก่ มนุษย์และสัตว์บางจำพวก 2.อัณฑะชะกำเนิด คือ การเกิดในฟองไข่ นับเป็นการเกิด 2 ครั้ง คือในไข่ 1 ครั้ง และเมื่อฟักตัวออกจากไข่อีกครั้ง 3.สังเสทชะกำเนิด คือ การเกิดจากเถ้าไคลของสิ่งสกปรก ได้แก่บรรดาสัตว์เซลเดียวพวกเชื้อโปรโตซัว แบคทีเรีย เชื้อราทั้งหลาย 4.โอปปาติกะกำเนิด คือ การเกิดที่มีการผุดขึ้นมาทันที เป็นตัวใหญ่เลย ไม่มีการเติบโตอีก มีแต่ตายไป ได้แก่ การเกิดของพวกชีวิตชั้นต่ำได้แก่เปรต อสุรกาย ไปจนถึงชั้นสูงได้แก่เทพ เทวดา พรหม ยกเว้นมนุษย์และสัตว์บางจำพวก ซึ่งเป็นการเกิดเป็นส่วนใหญ่ของสัตว์โลก รวม 29 ภูมิ ถ้ารวมมนุษย์ และสัตว์เดรัจฉานจะมีทั้งหมด 31 ภพภูมิ |
สำหรับการเกิดของมนุษย์นั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์หรือไม่ที่พระพุทธองค์ได้อธิบายอย่างละเอียดถูกต้องจนถึงระดับของเซลล์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2600 ปีก่อน ก่อนมีวิทยาศาสตร์คือบอกว่าการเกิดของมนุษย์ต้องมีองค์สาม คือ บิดามารดาอยู่ร่วมกันหนึ่ง มารดายังมีประจำเดือนหนึ่ง และมีคันธัพพะมาปรากฏในครรภ์มารดาหนึ่ง ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์ที่เรารู้ปัจจุบันกับทางพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์อธิบายไว้ในอดีตนั้นต่างกันตรงนี้คือ ทางศาสนามี คันธัพพะ คันธัพพะคืออะไร คันธัพพะคือจุติวิญญาณที่เข้ามาจุติในครรภ์มารดา เป็นปฏิสนธิวิญญาณซึ่งเกิดขึ้นทันที (ผู้รู้บางท่านว่าอาจเกิดขึ้นได้ภายใน 7 วันหลังปฏิสนธิ) ซึ่งอาจเป็นวิญญาณจากมนุษย์ เทพ เทวดา หรือสัตว์นรกที่ตายไปแล้วจุติลงมาเกิดในครรภ์ ทางพุทธศาสนาถือว่าคันธัพพะนี้มีความสำคัญต่อการเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าปราศจากเสียแล้วจะเกิดเป็นชีวิตมนุษย์ขึ้นมาไม่ได้ (ตรงกับหลักปฏิจจสมุปบาทข้อที่ว่า นามรูปมีได้ เพราะว่าวิญญาณเป็นปัจจัย) ซึ่งเรื่องนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังรู้ไม่ถึง เป็นเรื่องน่าคิดว่าขณะนี้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าถึงสามารถนำไข่มาผสมกับอสุจินอกครรภ์มารดาได้ และเลี้ยงจนแยกเป็น 2-8 เซลได้แล้ว แต่ต้องนำไปใส่ในครรภ์มารดาจึงจะเกิดเป็นเด็ก ถ้าใครสามารถจะเลี้ยงจนโตเป็นเด็กอยู่ในห้องทดลองและเติบโตเป็นมนุษย์ได้คงจะพิสูจน์ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าพิจารณาตามที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์หากวิญญาณจักไม่หยั่งสู่ครรภ์มารดา ชีวิตใหม่ (นามรูป) จักเกิดในครรภ์มารดาได้หรือ
พระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่ได้พระเจ้าข้า
ตรัสถามต่อไปว่า ดูก่อนอานนท์หากวิญญาณหยั่งลงสู่ครรภ์มารดาแล้ว จักเลยไปเสีย (ดับ) นามรูปจักเกิดได้อย่างนี้หรือ
พระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่ได้พระเจ้าข้า
ในที่สุดพระพุทธองค์จึงตรัสสรุปว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุนั้นแลสิ่งที่เป็นต้นเหตุ เป็นแดนเกิด เป็นปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณ
ผู้ที่เป็นแพทย์ทางสูติ-นรีเวช รวมทั้งคนไข้ที่ต้องการมีบุตรและใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ต่างๆแต่ไม่เกิดผลสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น ควรจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่า ถึงแม้เรื่องทางกายต่างๆจะพร้อม แต่วิญญาณที่จะมาจุติซึ่งจะต้องมีความผูกพันกันกับบิดามารดามาก่อนอาจจะยังไม่พร้อม จึงไม่ตั้งครรภ์หรือมาแล้วละไปทำให้แท้ง ซึ่งอาจจะเป็นผลจากกรรมในชาติก่อน ภพก่อน ที่ทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ หากมีทางใดสามารถทำให้วิญญาณลงมาจุติในครรภ์ในวาระที่เหมาะสมแล้ว ชีวิตใหม่ย่อมอุบัติขึ้นแน่นอน ซึ่งธรรมเนียมไทยและจีนที่ไปขอบุตรจากเทพ เทวดา เทวรูป เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือผู้ทรงศีลต่างๆ และประสบความสำเร็จคงเป็นไปตามแนวเรื่องการนำจิตวิญญาณลงมาสู่ครรภ์มารดานั่นเอง เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หมายถึง ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องธรรมเท่านั้น จึงขอนำคำอธิบายของพระพุทธองค์เมื่อ 2600 กว่าปี เกี่ยวกับการเติบโตของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้ เมื่อไข่ที่ผสมกับเชื้อของบิดาแล้วจะเกิดเป็น กลละ ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำใสสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาที่ติดปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด 3 เส้น (เปรียบเทียบขนาดเล็กมาก) ซึ่งในกลละนั้นมีโครงสร้างทางกาย (กายทสกะ) โครงสร้างทางสมอง (วัตถุทสกะ) และโครงสร้างทางเพศ (ภาวทสกะ) (ซึ่งตรงกับความรู้ทางแพทย์ที่ว่าในไข่ที่ผสมมีโครโมโซมเพศเอ็กซ์และวาย และยีน (gene) กำหนดลักษณะรูปร่าง
หน้าตาและจิตใจ) หลังจากนั้น 7 วันกลละจะกลายลักษณะเป็นน้ำขุ่นข้นที่เรียก อัมพุทะ (ซึ่งตรงกับทางแพทย์ที่กลายเป็นตัวอ่อน embryo) หลังจากนั้นอีก 7 วัน จะเปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้อสีแดงเรียกว่า เปสิ แล้วกลายเป็นก้อนเนื้อ ฆนะ ต่อไปในสัปดาห์ที่ห้าเกิดสาขามีปุ่มห้าปุ่มเรียกว่า ปัญจสาขา (ซึ่งตรงกับทางแพทย์เริ่มมีตุ่มของหน้าตาและแขนขา) หลังจากนั้นจึงวิวัฒนาการเป็นมือเท้าจนครบอวัยวะทั้งสิ้นในสัปดาห์ที่ 9 เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 42 ส่วนต่างๆของร่างกายค่อยๆเกิดจนครบ ซึ่งตรงกับความรู้ทางแพทย์ นอกจากนี้ยังอธิบายด้วยว่าทารกในครรภ์มีน้ำหล่ออยู่รอบตัวและได้อาหารทางก้านสะดือซึ่งมีรูพรุนเหมือนก้านบัว (ตรงกับรก) เพียงคำอธิบายโดยละเอียดเพียงนี้คงยืนยันว่าพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งทางโลกและทางธรรมโดยไม่ต้องสงสัย และโดยไม่ต้องค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ในการเกิดของมนุษย์นอกจากเรื่องทางกายภาพคือบิดา มารดา และการผสมกันระหว่างอสุจิกับไข่แล้วทางพุทธศาสนายังเน้นเรื่องของคันธัพพะหรือวิญญาณที่จะเข้ามาจุติในครรภ์มารดาทำให้เกิดนาม-รูป หรือชีวิตใหม่ อะไรเป็นตัวชักนำให้วิญญาณใดเข้ามาสู่ครรภ์มารดา คำตอบก็คือ กรรม ตามพุทธวัจนะที่ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ต้องรับมรดกของกรรมนั้นมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ฯ หรืออาจอธิบายในเชิงเปรียบเทียบปัจจัยให้คนเกิดไว้ดังนี้
มีกรรมเป็นนา
มีวิญญาณเป็นพืช
มีตัณหาเป็นสิ่งที่จะทำให้พืชงอกงาม
สรุปว่าการเกิดต้องอาศัยกรรมเป็นตัวนำวิญญาณมาเกิด เปรียบเหมือนการปลูกพืชต้องอาศัยดินคือตัวกรรมมาก่อน วิญญาณที่จะมาเกิดที่เรียก ปฏิสนธิวิญญาณ เปรียบเหมือนพืชที่จะนำมาปลูก จะต้องมีความผูกพันกันด้วยผลแห่งกรรมในอดีตกับบิดามารดา มิใช่ว่าจะเป็นวิญญาณใดๆก็ได้ เมื่อวิญญาณลงมาจุติแล้วและไม่ละทิ้งไป ก็จะมีตัณหาหรือความทะยานอยากเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะคลอดออกมา เปรียบตัณหาเหมือนปุ๋ยเหมือนอากาศเหมือนน้ำฯ ที่ทำให้พืชเติบโตงอกงาม เพื่อความเข้าใจอาจเปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์คือ เปรียบชีวิตเสมือนหลอดไฟที่ให้แสงสว่างคือชีวิต ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้ามาจุดหลอดไฟ ซึ่งเทียบได้กับวิญญาณ และพลังไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้ก็จากเครื่องปั่นไฟหรือตัวกรรมนั้นเอง ผู้อ่านที่ได้อ่านมาตั้งแต่ต้นถึงปัญหาของตัวเราว่าคือใครมาจากไหน เป็นเราอยู่ตลอดไปหรือไม่ เราเกิดได้อย่างไรอะไรเป็นปัจจัยให้เราเกิด คงจะพอเข้าใจของสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และคงจะตอบตัวเองได้ว่าจิตวิญญาณของเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพภูมิต่างๆโดยไม่มีที่สิ้นสุด สุดแต่กรรมจะเป็นตัวชักนำไปทางใดแต่ละคนจะต้องเลือกทางตัวเอง และทางที่ดีที่สุดที่มีในโลกนี้คือทางที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ คือ อริยสัจสี่ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งมีเพียงทางเดียวที่ทุกคนสามารถปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นได้
ตัวคนเราประกอบด้วยอะไร
ทางโลกอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์รู้ดีว่าคนเราประกอบด้วยส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งมีน้ำ กระดูก โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และไวตามิน ฯลฯ มีตัวกำหนดเพศด้วยโครโมโซม กำหนดลักษณะด้วยยีนมี DNA และ RNA เป็นตัวกำหนดโครงสร้างต่างๆ มีอวัยวะที่สำคัญทั้งภายในและภายนอก โดยอาศัยอาหาร อากาศและน้ำ เพื่อการยังชีวิต มีความรู้สึกนึกคิด มีสติปัญญา มีความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความต้องการ สามารถสืบพันธุ์กับสัตว์ประเภทเดียวกัน และมีกาลเวลาที่ชีวิตต้องสิ้นสุดและเน่าเปื่อยสลายลง ทางพุทธศาสนาบอกว่าคนประกอบด้วยสองสิ่งคือ กาย (หรือรูป) และนาม (คือเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) หรือรวมเรียกว่า ขันธ์ห้า (ขันธ์ แปลว่ากองหรือการรวมเข้าเป็นหน่วยเดียว) ได้แก่
1.รูป หมายถึงร่างกาย |
2.เวทนา หมายถึงความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ (อุเบกขา) |
3.สัญญา หมายถึงความจำ กำหนดหมาย |
4.สังขาร ไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่หมายถึงการปรุงแต่ง ดี ชั่ว บุญ บาป |
5.วิญญาณ หมายถึงการรับรู้ของจิตซึ่งได้อธิบายไว้แล้ว |
ในทางศาสนาแบ่งสิ่งต่างๆในโลกนี้เป็นสองอย่างคือ รูป หมายถึงสิ่งที่เห็น จับต้องได้ด้วยสัมผัสทั้งห้าตรงกับที่เราเรียกว่าวัตถุ อีกอย่างเรียก นาม คือสิ่งที่มีแต่ไม่สามารถจับต้องสัมผัสทั้งห้าได้ ทางปัจจุบันเรียก อวัตถุ ถ้าเราดูขันธ์ห้าจะเห็นได้ว่าเป็น นาม เสีย 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงอาจบอกได้ว่าคนประกอบด้วยรูปหนึ่งและนาม สี่ อย่าง และถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นได้ว่านามทั้งสี่ อย่างนี้ ตัวหลักก็คือวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณมีตัวรู้ที่เรียกว่า เจตสิก ได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร จึงสรุปได้ว่า คนประกอบด้วยรูปและวิญญาณดังข้างต้น แต่เมื่อจะอธิบายรายละเอียดจึงใช้ขันธ์ห้ามาอธิบาย
นอกจากนี้ทางพุทธศาสนายังอธิบายถึงคนว่าประกอบด้วย ธาตุ ซึ่งคำว่าธาตุนี้ไม่ตรงกับธาตุทางวิทยาศาสตร์ ที่มีธาตุเหล็ก ทองคำ พลวง ฯลฯ แต่ธาตุทางศาสนาแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ คือ ธาตุรู้ (ซึ่งเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้) ซึ่งมีอยู่อย่างเดียวคือ วิญญาณธาตุเป็นธาตุรู้ที่มีตัวรู้อยู่ และกลุ่ม ธาตุไม่รู้ คือจับต้องได้แต่ไม่มีตัวรู้จึงเป็นรูปธรรม ธาตุไม่รู้ที่เป็นรูปธรรมมี 5 อย่างคือ
1.ปฐวีธาตุ ธาตุดิน หรือของแข็ง |
2.อาโปธาตุ ธาตุน้ำ หรือของเหลว |
3.เตโชธาตุ ธาตุไฟ หรือของร้อน |
4.วาโยธาตุ ธาตุลม หรือแก๊ส |
5.อากาศธาตุ หมายถึง ที่ว่างไม่มีอะไร |
สรุปว่าคนมี รูป ซึ่งประกอบด้วยธาตุไม่รู้ห้าอย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุหรือที่ว่าง และธาตุรู้หนึ่งอย่าง คือ วิญญาณ ซึ่งก็ตรงกับคำอธิบายเรื่องคนประกอบด้วยกายและวิญญาณนั้นเอง. เมื่อชีวิตคนสิ้นสุดลง กายก็จะสลายลงเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ของแข็ง เช่น กระดูก ฟัน ก็เป็นธาตุดินผุพังไปตามกาลเวลา เลือด น้ำเหลือง และน้ำจากส่วนต่างๆก็เป็นธาตุน้ำละลายสูญหายไป ความร้อนนี้เกิดจากการเผาผลาญพลังงานก็สูญสิ้นไป ลมหายใจหรือธาตุลมก็หยุดไป พุทธศาสนาจึงให้หมั่นพิจารณาถึงตัวเราอยู่เสมอว่าเมื่อตายแล้ว จะกลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่วิญญาณที่จะต้องเกิดดับต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ทำไมคนเกิดมาแตกต่างกัน
มีผู้สงสัยว่าทำไมคนเราเกิดมาจึงมีความแตกต่างกัน บางคนรูปสวย บางคนรูปชั่ว บางคนเกิดในตระกูลดีมั่งคั่ง บางคนเกิดในตระกูลยากจน บางคนจิตใจงาม บางคนใจชั่วร้าย บางคนแข็งแรง บางคนอ่อนแอ ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าสุดแต่พันธุกรรม หรือ Gene แต่หลักนี้ไม่สามารถอธิบายว่าเหตุใดบางคนเกิดมาดีแล้วต่อมาประสบเคราะห์กรรม บางคนเกิดมาโง่พิการแต่มีโชคร่ำรวย บางคนเป็นอัจฉริยะในบางด้าน เช่น วาดรูป ดนตรี ตั้งแต่เด็ก เป็นต้น บางศาสนาอธิบายไม่ได้ก็บอกว่าสุดแต่อารมณ์ของพระผู้สร้างจะบันดาล คือ พระผู้เป็นเจ้า หรือเทพเจ้า ทางพุทธศาสนาอธิบายว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะกรรมที่แต่ละคนได้ทำสะสมกันมาในอดีตต่างๆนับไม่ถ้วน การก่อกรรมในบางลักษณะทำให้เกิดผลในบางรูปแบบ ซึ่งพระพุทธองค์เคยตอบปัญหาของสุภมานพและอธิบายในพระสูตรอื่นๆ โดยยกตัวอย่างว่า
ผู้ที่มีใจเหี้ยมโหด ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน จะทำให้เกิดเป็นคนอายุสั้น |
ผู้เอ็นดูเกื้อกูลสัตว์จะอายุยืน |
ผู้ที่ชอบเบียดเบียนคนหรือสัตว์ให้ลำบาก จะเกิดเป็นคนมีโรคมาก |
ผู้ช่วยเหลือพยาบาลผู้อื่นหรือสัตว์ จะไม่ใคร่เป็นโรค |
ผู้ที่เป็นคนขี้โกรธ พยาบาท จะเกิดมาผิวพรรณไม่งาม |
ผู้ที่จิตเมตตากรุณา จะเกิดมารูปร่างหน้าตาสวย ผิวพรรณงาม |
ผู้ที่มีใจริษยาไม่เคารพคนอื่น เกิดมาจะไม่มีอำนาจ |
ผู้ที่ตระหนี่ ขี้เหนียว ไม่ชอบทำทานจะเกิดมาจน |
ผู้ที่บำเพ็ญทานเกิดมาจะมั่งมี |
ผู้ที่ใจกระด้าง เย่อหยิ่ง ถือตัว จะเกิดมาในตระกูลต่ำ |
ผู้อ่อนน้อม บูชาคนควรบูชา จะเกิดในตระกูลสูง |
ผู้ไม่ชอบหาผู้รู้ ไม่สนใจไต่ถาม จะเกิดมาเป็นคนโง่ |
ผู้หมั่นไต่ถามสมณะพราหมณ์ผู้รู้ เกิดเป็นคนฉลาด |
ผู้ลักขโมย คดโกง จะเกิดมายากจน |
ผู้ผิดลูกเมียผู้อื่น เกิดมามักจะถูกใส่ความ |
ผู้เป็นนักเลงเจ้าชู้ จะเกิดเป็นหญิงแพศยา |
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนถึงสามารถรู้เรื่องในอดีตชาติได้ คงจะยืนยันความจริงข้อนี้ แต่เพราะเราไม่สามารถจำสิ่งที่เราทำในชาติก่อนได้ ผู้ที่หวังในชีวิตหน้าที่ดีขึ้นจึงควรเชื่อพระพุทธเจ้าและประกอบแต่กุศลกรรมหรือ กรรมดี
เราเกิดและมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
ในบางช่วงเวลาของชีวิต บางคนอาจนึกหาคำตอบว่าเราเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มักจะคิดถึงเรื่องนี้ในขณะที่ตนเองพบปัญหา ผิดหวัง หรือมีความทุกข์ บางคนนึกถึงขณะชีวิตประสบผลสำเร็จแต่เหนื่อยมาก ผู้ที่มีความสุขมักจะไม่คิดถึงคำถามนี้ คำตอบที่ได้คงจะแตกต่างกันไป
บางคนคิดว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข
บางคนที่ชีวิตยากลำบาก คงคิดว่าเกิดมาเพื่อพบความทุกข์
บางคนคิดว่าเกิดมาเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ วงศ์ตระกูล
บางคนคิดว่าเกิดมาทำงานเพื่อตนจะได้เจริญรุ่งเรือง
บางคนคิดว่าเกิดมาเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้อื่น
ถ้าผู้คิดทางธรรมะอาจตอบว่า
เกิดมาเพื่อทำบุญกุศล
เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า
เกิดมาเพื่อสร้างบารมียิ่งขึ้น
คงมีน้อยคนที่คิดว่าเกิดมาเพื่อหาทางหลุดพ้นไม่เกิดอีก
ในความเป็นจริงเราอยู่เพื่ออะไร
ถ้าจะตอบทางธรรม คงตอบได้ว่าอยู่เพื่อใช้กรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่ต่อไป ทุกๆคนผ่านภพ-ชาติมานับไม่ถ้วน ได้เคยทำกรรมไว้ต่างๆกัน ทั้งกรรมดี (กุศลกรรม) และกรรมชั่ว (อกุศลกรรม) ซึ่งตามกฎแห่งกรรม เราย่อมรับผลแห่งกรรมนั้นๆทั้งสิ้น บางคนเกิดความท้อถอยว่าถ้าชีวิตนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมจริงๆแล้ว ก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้ สู้ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิด เพราะความสับสนจากหลักการของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่เกิดมาก่อนพุทธศาสนา พระพุทธองค์มิได้เชื่อว่าทุกสิ่งเกิดตามกำหนดโดยเปลี่ยนแปลงมิได้ กรรมอาจเปลี่ยนได้ตามการกระทำในปัจจุบัน แต่ในเวลาเดียวกันพระพุทธองค์ไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมิได้มีการกำหนด (อธิจจาสมุปปัณนะ) หรือเชื่อว่ากรรมที่ทำไม่มีผลต่อชีวิตข้างหน้า เราทุกคนที่เกิดมาแล้วจึงไม่ต้องสนใจกับกรรมที่เราทำผ่านมาแล้วในอดีต เพราะคนธรรมดาย่อมไม่รู้ว่าเราทำอะไรมาแล้วบ้าง ถึงรู้ก็แก้ไขไม่ได้ แต่พึงยอมรับว่าที่เราเป็นเราอยู่ในทุกวันนี้เป็นผลจากกรรมในอดีตชาติ ร่วมกับกรรมใหม่ที่เราได้ก่อในชาตินี้ เราเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้สร้างกรรมขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตในอนาคตทั้งชาตินี้และชาติหน้า หลวงพ่อชา สุภัทโท ได้สรุปไว้สั้นๆว่า “ปัจจุบันคือผลแห่งอดีตและเหตุแห่งอนาคต”
ถ้าเราตระหนักถึงความจริงแท้แน่นอนของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ จงอย่ายึดมั่นในตัวตน และรู้ถึงทางที่พระพุทธองค์ได้ชี้ไว้แล้วถึงทางพ้นทุกข์ คือ อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราจึงต้องพยายามทำกรรมดีที่สุดที่จะทำได้ในปัจจุบัน สะสมกุศลกรรมบารมีไว้หนุนส่งในชาติภพหน้าต่อๆไป เพื่อให้เรามีชาติมีภพที่ดียิ่งๆขึ้นจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นได้ เราจึงมีชีวิตอยู่โดยเพื่อรับผลของกรรมที่ผ่านมา และสรรสร้างกรรมใหม่ต่อไปนั่นเอง
ตายแล้วไปไหน มีชาติหน้าจริงหรือ
คนในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังถามตัวเองว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วตายเลยคือสูญ หรือตายแล้วเกิดอีก ไม่เกิดได้ไหม? เลือกเกิดได้ไหม? เกิดเป็นคนหรือเป็นสัตว์ หรือเป็นผีเป็นเปรต หรือเป็นเทวดา เทพ พรหม ตายแล้วมีนรก มีสวรรค์จริงหรือ ตายแล้วอาจต้องไปรับทุกข์ทรมานจริงหรือ บางคนคิดว่าถึงแม้จะจริงคนที่รับทุกข์ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่รู้ว่าใครเพราะตนเองตายไปแล้ว ซึ่งนับเป็น มิจฉาทิฐิ คือความเชื่อผิด ผู้ที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ดีที่สุดก็คือพระพุทธองค์ ในคืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในพระญาณแรกทรงระลึกชาติหนหลังจนนับไม่ถ้วนชาติ พระองค์จึงเข้าใจว่าพระองค์มาจากไหนตามคำถามที่ตั้งไว้ นอกจากพระพุทธองค์แล้วบรรดาพระอรหันต์หรือพระสงฆ์และฆราวาสที่ได้ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่รู้ภพรู้ชาติก่อนๆได้เท่านั้นที่จะรู้ชาติภพเดิมได้ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆไม่มีความสามารถที่จะรู้ แต่ควรได้เข้าใจว่าเราได้เกิดดับมาแล้วนับไม่ถ้วนชาติ และยังมีภพมีชาติรออยู่ข้างหน้าอีกมากมายนักที่เรียกว่าสังสารวัฏ ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งตรงกับหลักของธรรมชาติที่มีการวนเวียนเปลี่ยนรูปร่างไปไม่รู้จบ เช่นเดียวกับน้ำในทะเลที่ถูกความร้อน ระเหยเป็นไอน้ำขึ้นไปในอากาศ ต่อมารวมตัวเป็นเมฆฝน แล้วตกลงมาเป็นหยดน้ำรวมอยู่ในบ่อ บึง คลอง หนอง แล้วไหลลงแม่น้ำสู่ทะเลเช่นเดิม ไม่รู้อะไรต้นอะไรปลาย แต่พระพุทธองค์สอนว่ามนุษย์เราอยู่ในกามาวจรภูมิ คือเกี่ยวข้องกับกาม ซึ่งมี 11 ชั้น ส่วนที่เป็นส่วนดี หรือสุคติ ได้แก่ มนุษย์ชั้นหนึ่งและสวรรค์ 6 ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา จนถึง ปรนิมมิตวสวัตดี และส่วนที่ไม่ดี เรียกว่าอบายภูมิ 4 ตั้งแต่นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย เราทุกคนย่อมวนเวียนไปมาอยู่ในภูมิ 11 ชั้นนี้ เช่นอาจมาจากสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งลงมาเป็นมนุษย์ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกุศลกรรมก็ส่งให้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าก่อแต่กรรมชั่ว ก็ต้องตกไปอยู่ในอบายภูมิ ตัวนำพาก็คือกรรมที่ได้กระทำมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำครุกรรม หรือกรรมหนักที่จะเป็นตัวนำที่สำคัญที่สุด ถ้าผู้นั้นไม่ได้ทำครุกรรมก็จะอยู่ที่อาจิณณกรรม คือ สิ่งที่ได้ทำอยู่เป็นประจำ ผู้ที่ทำดีเสมอจนถึงวาระสุดท้ายก็จะนำไปเกิดที่ดี ที่เรียกว่า ชนกกรรม เป็นตัวที่นำไปให้เกิด และปัจจัยสุดท้ายที่จะมีผลต่อภพภูมิใหม่ ก็คือ อาสันนกรรม คือสภาพของจิตในวาระสุดท้ายที่จะดับ ซึ่งทุกศาสนาจะสอนให้จิตของคนใกล้ตายนึกถึงพระหรือพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าทำได้จะเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่ภพภูมิที่ดี เราทุกคนจึงควรมุ่งปฏิบัติให้ภพหน้าชาติหน้าของเราดีขึ้นสูงขึ้น แม้ว่าเราจะกำหนดเอาเองไม่ได้ พระพุทธองค์ได้ชี้ทางที่เรียกว่ามรรคไว้ให้เราเดิน จนถึงที่เราอาจหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ที่น่าสนใจและตกใจคือมีผู้อ้างทางโทรทัศน์ว่า ได้มีการสำรวจสอบถามคนที่เดิน ณ ถนนที่ 5 กรุงนิวยอร์ค ซี่งเป็นถนนมีชื่อมีระดับโลก ว่าเชื่อไหมว่าตายแล้วมีการเกิดอีก เพราะตามหลักคริสต์ศาสนา สอนคนให้เชื่อว่าตายแล้วสุดไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า แต่ปรากฏว่าประมาณ 60 เปอร์เซนต์ ของคนที่นี่เชื่อว่ามีการเกิดใหม่จริง 20% เชื่อว่าไม่เกิดและอีก 20% ไม่แน่ใจ และมีผู้อ้างว่าได้มีการศึกษาในทำนองเดียวกันที่คนเดินอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า คนไทยยุคนี้ที่เป็นชาวพุทธเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 70% บอกว่าไม่เชื่อเพราะพิสูจน์ไม่ได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเขาเป็นชาวพุทธประเภทใด เพราะหลักพุทธศาสนาที่สำคัญคือ การเวียนว่ายตายเกิด และทางที่พระพุทธองค์ชี้แนะคือให้คนพ้นทุกข์โดยไม่ต้องมาเกิดอีก คือ นิพพาน
สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ที่เขาเชื่อเพราะอาจมีการศึกษา ได้มีการอ่านหนังสือหลายเล่มที่ศึกษาว่ามีการเกิด หรือมีชีวิตใหม่หลังชีวิต เช่น การศึกษาเรื่องระลึกชาติได้ ซึ่งมีการยืนยันว่ามีชาติที่แล้วจริง และในระยะหลังมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่แสดงถึงการเกิดหลังการตาย เป็นต้น แต่คนไทยมีโอกาสฟังธรรมทางพุทธศาสนา มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อ คิดว่าตนฉลาด มีการศึกษาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร และเป็นการชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อและค่านิยมของคนไทยซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนยุคใหม่ บางคนถึงกับอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆตามกาลามสูตร!
คนบางคนอยากจะได้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือข้อพิสูจน์เพื่อยืนยันตามที่ได้เขียนไว้แล้วว่า จิตวิญญาณ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มีการเกิดขึ้น จิตเป็นนามธรรมที่มีตัวรู้ ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ พลังงาน สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ โดยไม่เปลี่ยนในสาระสำคัญ พลังงานจากน้ำสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้ามีการเกิดดับต่อเนื่องกันโดยไม่หยุด พลังงานของชีวิตที่ดับไปจึงจะต้องเกิดขึ้นใหม่ทันทีและโดยต่อเนื่องตรงตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
มีข้อพิสูจน์ในคนที่เรียกว่าระลึกชาติได้ ซึ่งพบได้ในคนทุกชาติทุกภาษา และมีการสอบสวนว่าเป็นความจริงตามที่คนที่เกิดใหม่อ้างถึงคนที่ตายไปแล้ว ทั้งนี้เพราะ สัญญา หรือความจำของจิตเก่ายังติดมาในชาติใหม่ อาจเป็นเพราะการตายและเกิดเป็นคนต่อเนื่องกัน ซึ่งอาจพบได้ไม่บ่อยนัก สิ่งหนึ่งที่ควรเข้าใจคือการตายแล้วเกิดใหม่นั้น มิได้หมายถึงว่าจะต้องเกิดเป็นคนอีก อาจเกิดแล้วไปเป็นโอปาปาติกะ เป็นเทวดา เป็นเทพ หรือเกิดไปเป็นสัตว์ต่างๆ หรือเกิดเป็นเปรต เป็นผี ซึ่งถ้าหากมีสัญญาเดิมติดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่สามารถมาเล่าให้เราฟังได้ การเกิดนั้นจะเกิดขึ้นทันทีที่ตายโดยไม่มีช่วงเวลาว่าง บางคนสงสัยว่าบางคนตายไปสองสามวันแล้วยังติดต่อได้ ยังไม่ไปเกิด ความจริงก็คือเขาเกิดแล้วทันทีที่ตาย แต่อาจอยู่ในภพภูมิที่ยังติดต่อกับคนได้ เช่น โอปปาติกะ นอกจากนี้ระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ในภพภูมิต่างๆกันก็ย่อมต่างกันไป เพราะหน่วยนับปีนับเดือนในภพภูมิอื่นย่อมไม่ตรงกับโลกมนุษย์ ทางพุทธศาสนาอธิบายว่าการตายมีสาเหตุ 4 อย่างคือ
1.การตายโดยสิ้นอายุขัย เปรียบเหมือนไฟดับเพราะหมดน้ำมัน |
2.การตายโดยสิ้นกรรม เปรียบเหมือนไฟดับเพราะหมดไส้ |
3.การตายโดยสิ้นอายุและสิ้นกรรม คือไฟดับเพราะน้ำมันหมดและไส้หมด |
4.การตายโดยอุบัติเหตุเกิดก่อนเวลา เปรียบเหมือนลมพัดไฟดับทั้งๆที่ยังมีน้ำมันและมีไส้ |
การฆ่าตัวตาย คงจะอนุโลมอยู่ในข้อที่ 4 แต่เป็นเจตนาจากเจ้าตัวเอง ซึ่งบางคนเข้าใจว่าไม่บาป เพราะไม่ได้ทำร้ายใครอื่น แต่ตามหลักทางพุทธศาสนาแล้วถือว่าเป็นกรรมอย่างมหันต์ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าหรืออาจหนักกว่าการฆ่าผู้อื่น
มนุษย์เป็นภูมิเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเลือกเส้นทางเกิดได้โดยสะดวกที่สุด โดยพิจารณาจากการปฏิบัติตนขณะมีชีวิตว่า เมื่อตายแล้วจะไปไหน คือ
|
ในศาสนาอื่นมิได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คริสต์ศาสนาและอิสลามสอนว่าตายแล้วไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ฮินดูมีการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน แต่ต่างกันที่ทางพุทธเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน แต่ฮินดูเป็นอัตตา คือ อาตมัน ซึ่งเป็นส่วนย่อยของปรมาตมันหรือวิญญาณเดิมซึ่งมาจากพรหม การไปรวมของอาตมันกับปรมาตมัน จะทำให้พ้นทุกข์ไม่เกิดอีก ซึ่งจะทำได้โดยการบำเพ็ญเพียรกริยา และประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ ที่จิตวิญญาณของใครก็สุดแต่กรรมของตนเอง
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดโดยสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือ หลักสำคัญของพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือการเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด จนพระพุทธองค์สามารถทำพระองค์ให้หลุกพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน และบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
เพื่อให้เห็นภาพความยาวนานของการเกิดดับ พระพุทธองค์ได้ทรงอุปมาอุปมัยโดยเอาพระองค์เองเป็นตัวอย่างว่า “ในพื้นปฐพีนี้ไม่ว่าจะเอาเข็มแทงลงไป ณ ที่ใดก็ไม่พ้นถูกหลุมศพของตถาคต หากเอากระดูกในแต่ละชาติของตถาคตมากองรวมกันก็จะสูงกว่าเขาพระสุเมรุ และหากเอาน้ำตาที่ร้องไห้คร่ำครวญเพราะความทุกข์ความพลัดพรากรวมกัน ก็ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งหลาย” คงจะทำให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพของการเกิด-ดับของชีวิตแต่ละคน และหาหนทางให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ซึ่งมีเพียงวิธีเดียว คือ มรรค ที่พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมชี้แนะไว้ ซึ่งมิใช่ของง่าย ไมมีวิธีลัด ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตนเองและต้องอาศัยเวลาและความตั้งใจทุกภพทุกชาติไป ความตายทางการแพทย์ หมายถึง อวัยวะสำคัญต่างๆหยุดทำงาน ได้แก่ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ สมองหยุดทำงาน ซึ่งในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราอาจให้คนหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นโดยไม่ตายก็ได้ เช่นในการผ่าตัดหัวใจใช้เครื่องมือทำหน้าที่แทน ดังนั้นการตีความถึงการตายทางแพทย์ คือ การที่สมองหยุดทำงาน ซึ่งรู้โดยการตรวจคลื่นสมอง ถึงแม้หัวใจอาจเต้นอยู่หายใจอยู่โดยใช้เครื่องช่วยหายใจทางแพทย์ปัจจุบันก็ถือว่าตายแล้ว ซึ่งต่างจากการตายทางพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการที่ขันธ์ทั้ง 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกสลายแล้ว สิ่งแตกต่างที่สำคัญก็คือจิตวิญญาณที่ละทิ้งร่างที่หมดอายุแล้ว ทำให้จุติวิญญาณออกจากร่างเดิมและจะเป็นปฏิสนธิวิญญาณไปเกิดอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นการที่หัวใจคนไข้ยังเต้นอยู่ ยังหายใจอยู่ แต่สมองไม่ทำงานทางพุทธศาสนายังไม่ถือว่าตาย แต่เราไม่มีวิธีหรือเครื่องมือตรวจสอบว่าจิตวิญญาณทิ้งร่างไปเมื่อใด เราจึงต้องรอให้ทุกอย่างหยุดจริงๆ การที่คนเราตายแล้วจะไปไหนอยู่ที่แรงผลักดันของ ตัณหา ส่วนจะเกิดเป็นอะไรก็สุดแต่ กรรม ที่จะนำไปในขณะที่จิตจะดับ ที่เรียกว่า จุติวิญญาณ ถ้าจิตขณะนั้นดีมีกุศลก็จะนำไปเกิดในภพภูมิที่ดี และตรงกันข้าม ถ้าจิตขณะดับเป็นอกุศลก็จะนำไปสู่ภพภูมิที่ต่ำ จะมีการต่อเนื่องของจุติวิญญาณไปเป็น ปฏิสนธิวิญญาณ นอกจากนี้จิตขณะจะดับอาจจะถูกชักนำด้วยกรรมนิมิตดีหรือชั่วที่ได้ทำมาก่อนในชาตินั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าในศาสนาใดก็ตาม มักจะแนะนำให้ผู้ใกล้ตายคิดถึงสิ่งดีๆ เช่น คิดถึงพระ คิดถึงพระเจ้า พระอัลเลาะห์ เป็นต้น สำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่ควรนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ไว้เสมอว่า
|
ซึ่งจะทำให้เราเป็นคนไม่ประมาท ทำทุกอย่างที่ควรทำในโอกาสแรกที่สุด เพราะไม่แน่ว่าเราจะหมดโอกาสเมื่อไร ผู้ที่เจ็บป่วยควรนึกถึงสัจธรรมข้อนี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะข้อ มรณานุสติ เพราะจะช่วยทำให้สามารถระงับความเศร้าโศกเสียใจได้บ้าง ช่วยให้ปลงตก
สำหรับคำตอบต่อคำถามว่าเราตายแล้วจะไปไหน พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับเจ้าผู้ครองนครสาวัตถีว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ
1.คนที่มืดมาแล้ว มืดไป |
2.คนที่มืดมาแล้ว สว่างไป |
3.คนที่สว่างมาแล้ว มืดไป |
4.คนที่สว่างมาแล้ว สว่างไป |
คนที่มืดมาแล้ว มืดไป หมายถึง คนที่เกิดมาในตระกูลต่ำ ยากจน หรือพิการ เมื่อมีชีวิตยังประพฤติผิดทุจริตต่างๆเมื่อตายแล้วจะไปนรก คนที่มืดมาแล้วสว่างไป หมายถึง ผู้ที่เกิดมาอย่างเดียวกันแต่ขณะยังมีชีวิตประกอบกรรมดี ชาติภพหน้าย่อมไปในทางที่ดี ตรงกันข้ามถ้าคนที่มาดีทุกประการเกิดในชาติตระกูลดี รูปร่างหน้าตาดี สติปัญญาดีเรียกว่าสว่างมา แต่การดำรงชีวิตไม่ถูกต้อง ประพฤติแต่สิ่งที่ผิด เมื่อตายไปย่อมเกิดในภพภูมิที่ต่ำ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดมาดีและดำรงชีวิตด้วยดีทำให้ตายไปในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม
ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือ การเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากจะปฏิบัติตามพระพุทธองค์ที่สามารถทำพระองค์ให้หลุดพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน รวมทั้งบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป อย่างน้อยเราควรตั้งใจและปฏิบัติให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้สร้างสมบารมีจนกว่าจะถึงเวลาที่ได้หลุดพ้นในกาลข้างหน้า
ความคิดเห็น