หลังจากการประชุมวันนั้นฉันก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เช้านั่งรถเมล์ไปทำงาน ตั้งใจรีดผ้า ตกบ่ายก็นั่งรถเมล์บ้าง คุณพีทมารับบ้างเพื่อไปช่วยงานเขาที่บริษัทต่อ
หลังจากที่เขาให้หาข้อมูลแล็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีแล็บที่เขาเล็งไว้อยู่สองสามแล็บ หน้าที่ของฉันต้องหาข้อมูลเชิงลึกของแล็บที่เหลือนั้น โดยเฉพาะข้อมูลการติดต่อ และข้อมูลของประธานและคณะกรรมการของบริษัทแล็บนั้นๆ
เขากำลังคิดจะเทคโอเวอร์
ฉันเพิ่งรู้ถึงเหตุผลที่ต้องเทคโอเวอร์แล็บเหล่านั้นก็เพราะว่าแล็บที่โรงพยาบาลในเครือใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องการทุจริต
ได้ข่าวแว่วๆมาว่าเขากำลังจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานในคณะกรรมการชุดใหม่ ฉันคิดว่าเขาคงไม่ดีใจหรอก ก็แค่ทำไปตามหน้าที่ แต่ถามว่าเหมาะไหม…เป็นประธานเลยก็ยังไหวมั้ง
ดูเหมือนช่วงนี้มิ้นจะพยายามติดต่อฉันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ แต่หลายวันมานี้ฉันเลิกงานค่อนข้างดึก ทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนทั้งสามมาพักใหญ่เลย สมัยก่อนคนเป็นฉันที่ว่างที่สุดและพยายามติดต่อคนอื่นๆ แต่ตอนนี้มันกลับตรงข้าม
ทุกอย่างช่วงนี้ดูเหมือนจะราบเรียบเป็นปกติ แต่สิ่งที่ต่างไปและฉันเพิ่งจะสังเกตได้คือ ฉันไม่เจอป้าแม้นมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ที่ป้าให้พะโล้ฉันมาวันนั้น ทั้งๆที่ปกติป้าต้องมาขายของทุกวัน จะบอกว่าป้ารวยแล้วเลยเลิกขายของก็คงไม่ใช่มั้ง
“พี่ๆ ป้าแม้นแกไม่มาขายของเหรอคะ” ฉันถามพี่ผู้หญิงที่ขายกล้วยแขกอยู่ข้างป้ายรถเมล์ อย่างที่รู้กัน ป้าแม้นน่ะเป็นที่รู้จักของคนแถวนี้
“นั่นสิ ไม่มาสามวันแล้วนะ ปกติแกไม่เคยหยุดขายของเลยนะ”
ฉันจำได้ แม้แต่วันเสาร์ที่คนไม่ค่อยมี ป้าก็ยังมานั่งขายของ แต่นี่วันทำงานแท้ๆ คนหาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ป้าไม่น่าจะหยุดงานเพื่อนอนอยู่บ้านหรือไปเดินชอปปิงแบบที่ฉันเคยทำแน่ๆ
แล้วป้าไปไหนกันนะ…
“ไม่รู้แกไม่สบายรึเปล่า” พี่ร้านกล้วยแขกเอ่ยต่อ “ป้าแกขยันหาเงินจะตาย ถ้าไม่ตายแกไม่เลิกขายหรอก”
ไม่ตายไม่เลิกขาย…อ้าวเดี๋ยวสิ!
ภาพสุดท้ายของวันที่เจอกันผุดขึ้นมาในหัวฉันอีกครั้ง มือหยาบกร้านที่เกิดจากการทำงานนั้นยื่นถุงพะโล้มาให้ฉัน
แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่แค่พะโล้ แต่มันเป็นความน้ำใจ เป็นจิตใจดีๆของป้าต่างหากที่หยิบยื่นมาให้ฉัน รอยยิ้มของป้าที่ยิ้มจนตาหยีโชว์ฟันผุสองสามซี่นั่นจริงใจยิ่งกว่าเพื่อนคนไหนๆ
แล้วป้าของฉันไปไหน
“นั่นสิ ป้าแม้นเนี่ยนะหยุดงาน แกป่วยรึเปล่า” ป้าร้านหมูปิ้งที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นบ้าง “จำได้ไหม ปีที่แล้วยายเพิ่มก็แบบนี้ ขายของอยู่ดีๆหายไป รู้อีกทีตายอยู่ในบ้านมาเจ็ดวันแล้ว เพิ่งมีคนไปเจอตอนส่งกลิ่น”
คำพูดของป้าหมูปิ้งทำให้ฉันนึกภาพตาม ให้ตายสิ แค่คิดฉันก็รู้สึกพะอืดพะอม
“ไม่ขนาดนั้นมั้งคะ” ฉันส่ายหน้าไปมา ในใจก็ภาวนะขอให้ไม่เป็นเช่นนั้น
“ไม่แน่หรอกหนู” ป้าไม่ให้กำลังใจฉันเลยแม้แต่น้อย
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อ รถเมล์ก็มาพอดี ฉันจึงบอกลาแม้ค้าทั้งสองร้านนั้นก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถเมล์
คำพูดของป้าร้านหมูปิ้งวนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดช่วงเช้าจนไม่เป็นอันทำการทำงาน บางครั้งก็เผลอคิดภาพตามซ้ำๆจนเกือบจะทำผ้าไหม้จนวิไลต้องวิ่งเข้ามาช่วย
เกือบโดนหักเงินอีกแล้ว
“ดา ไม่สบายรึเปล่า ทำไมดูเหม่อๆ” วิไลถามขณะที่เราสองคนกำลังเดินไปหยิบปิ่นโตมาวางที่โต๊ะ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็แบ่งอาหารกับวิไลเสมอ ของสดในตู้เย็นที่ฉันไม่รู้จะเอามาทำอะไร ฉันก็ขนมาให้วิไลเอาไว้ทำ ก็อย่างที่บอก ฉันทำเป็นแค่ไข่ต้ม ฉันค้นพบว่าตอนนี้ฉันมีของโปรดเมนูใหม่เพิ่มขึ้นคือแกงจืดเต้าหูหมูสับฝีมือวิไลนี่แหละ
“เปล่าหรอก”
“มีอะไรเล่าได้นะ หน้าเธอดูเครียด” น้ำเสียงและแววตาของวิไลบ่งบอกชัดถึงความเป็นห่วง จนฉันเผลอคิดไปว่าถ้าวิไลก็หายไปอีกคน ฉันจะทำยังไง
“นี่ วิไลถามหน่อยสิ”
“หืม ได้สิ ว่ามาเลย” วิไลรับคำพร้อมกับทำหน้ารอฟังฉันด้วยความตั้งใจ
“เธอเคยมีเพื่อนเป็นแม่ค้าหาบเร่ริมทางไหม ปกติถ้าเขาหยุดงานเขาไปไหนกัน”
วิไลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะทำท่ากลั้นขำ จนฉันเริ่มสงสัย จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าอีกครั้ง
“อย่าว่าแต่มีเพื่อนเลย แม่ค้าหาบเร่ฉันก็เคยเป็นมาแล้ว” วิไลทำหน้าภูมิใจเมื่อตัวเองมีประสบการณ์ตรง
“การเป็นแม่ค้าน่ะ เขาไม่หยุดงานกันหรอกนะ หยุดก็ไม่มีกินสิ จำได้ว่าตอนนั้นฉันต้องทำงานวันต่อวันเพื่อให้มีเงินกินข้าวและจ่ายค่าที่กับค่าเช่าบ้าน เงินเก็บนี้แทบไม่ต้องพูดถึงเลย สมัยนั้นนะ ฉันอยากจะขายของให้ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนเลยด้วยซ้ำ”
ฉันก็คิดว่าชีวิตของป้าน่าจะไม่ต่างจากวิไลมากนัก แล้วมันมีเหตุผลอะไรกันล่ะที่ป้าไม่มาขายของ…
“แล้วไม่เคยหยุดงานเลยเหรอ” ฉันถามเสียงอ้อมแอ้ม
“เคยสิ ตอนป่วยหนักไง ป่วยนิดหน่อยเป็นหวัดธรรมดาน่ะห้ามฉันทำงานไม่ได้หรอกนะ แต่ตอนนั้นเป็นไข้เลือดออกมั้ง เกือบตายต้องนอนโรงพยาบาล ขายของไม่ไหวจริงๆ”
“วิไล ฉันมีเพื่อนที่เขาขายของน่ะ แต่เขาไม่มาขายสามวันแล้ว คนแถวนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน เธอว่าเขาจะเป็นอะไรมั้ย” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ภาพในหัวตอนนี้คือป้าแม้นกำลังนอนอ่อนระโหยโรยแรง ไอเป็นเลือดอยู่ที่เตียงนอนที่บ้านเก่าๆ มีแมลงวันบินวนไปมา และหมาอีกหนึ่งตัวที่นอนอยู่ข้างๆเพื่อเฝ้าดูใจ
ทำไมน่าสงสารแบบนั้นนะ!
“น่าแปลกนะ แต่คิดในแง่ดี เขาอาจจะกลับบ้านต่างจังหวัดรึเปล่า”
ภาพของป้าแม้นที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆจางหายไป เปลี่ยนเป็นป้าแม้นในชุดเสื้อฮาวายกำลังนั่งจิบน้ำสับปะรดอยู่ที่ริมทะเลพร้อมกับกุ้งเผาตัวใหญ่อยู่ในจานอาหารท่ามกลางเสียงคลื่นทะเลและดนตรีแจ๊สด้วยความสบายใจ
ป้าอาจจะสบายดีก็ได้แค่กลับบ้าน
“แต่ถ้าเอาให้แน่ ก็ไปหาเขาที่บ้านเลยสิ” วิไลเสนอ เสียงของเธอดึงฉันให้ออกมาจากจินตนาการและกลับสู่โลกความจริงอีกครั้ง
“ไปที่บ้านเหรอ…”
“ใช่ ก็แค่ไปดู ถ้าเขาสบายดี เราก็สบายใจ ถ้าเขาป่วยหรืออะไรเราก็จะได้ช่วยไง”
จะว่าไปวิไลก็นับว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่งเลยล่ะ ถ้าไม่ติดว่าโอกาสของเธอมีน้อย ได้เรียนจบแค่ชั้นม.หก อนาคตของเธอคงจะไปไกลได้มากกว่านี้
“แล้วฉันจะไปยังไงล่ะ บ้านอยู่ที่ไหนฉันก็ไม่รู้จัก”
“เย็นนี้ฉันว่าง ให้ฉันพาไปไหมล่ะหลังเลิกงาน แค่หาบ้านคน ไม่ยากนักหรอก ส่วนมากเขารู้จักกันหมดนั่นแหละ” วิไลตอบพร้อมกับขยิบตาให้ฉัน
“งั้นก็พาไปหน่อยนะ”
“โอเคงั้นเรารีบเคลียร์งานกันดีกว่า จะได้รีบไปกัน”
พูดจบเราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารโดยไม่ได้คุยอะไรกันอีก จากนั้นก็รีบกลับไปทำงาน เพื่อให้เลิกงานได้ไวที่สุด จะได้ไปไขข้อสงสัยเรื่องป้าแม้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฉันมาจนถึงตอนนี้
.
.
ทั้งๆที่รีบแสนรีบ แต่วันนี้ผ้าที่ต้องรีดดูเหมือนจะเยอะเป็นพิเศษ ต่อให้เราเร่งสปีดกันแค่ไหน สุดท้ายก็มาเสร็จเอาตอนบ่ายสามพอดี
วิไลรีบไปเก็บของเพื่อที่เราสองคนจะได้ออกเดินทางกันต่อ ฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันควรจะบอกคุณพีทก่อนว่าวันนี้ฉันจะไม่ไปหาเขา แต่ก่อนที่ฉันจะได้หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร รถยุโรปสีดำก็มาจอดอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
ก็ดี บอกตอนนี้เลยแล้วกัน
“วิไลรอก่อนนะ” ฉันบอกกับวิไล ก่อนจะเดินไปที่รถคันนั้นและเปิดประตูออกเพื่อคุยกับคนที่ขับมา
“วันนี้ฉันจะไม่ไปกับคุณนะคะ”
“หืม…ไปไหน” เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันมีธุระค่ะ”
“อ้อ…”
“ฉันกลับเองได้ค่ะ ส่วนข้าวเย็นไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะจัดการเอง”
ฉันบอกเขาด้วยความเคยชินและไม่ได้คิดอะไร ฉันชินแล้วที่เขาจะไปรับไปส่งฉัน ชินแล้วที่เขาต้องมาทำไข่เจียวให้ฉันกินทุกวันตอนเย็น
“ครับ” เขารับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไปก่อนนะคะ”
“…ครับ”
.
.
.
Talk มีคนโดนทิ้ง โถๆๆ
ปล. ขอโทษนะคะที่เมื่อคืนไม่ได้มาลง มาไม่ไหวเจ้าค่ะ T^T
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ช่วงนี้ไรท์ทำหลายหน้าที่พร้อมๆกัน เลยจะมาช้านิดนึงค่า
ผิดหวัง บ้างก็ได้
นี่เข้ามาผิดหวังหลายรอบแล้ว 555
แอบรอไรท์อยู่นะจ๊ะ
รอไรท์ค่ะ มา ๆ คิดถึงน้องดา
พี่พีทโดนเท น้องไม่รู้แต่พี่รู้ หึหึ
อุ๊ย บทสนทนาของน้องดากับคุณพีทเหมือนภรรยาบอกสามีเลยนะคะ แอบเขิน
ไรท์คะ: สมัยก่อนคนเป็นฉัน(คงเป็นฉัน/ฉันเป็นคน)ที่ว่างที่สุด, ในใจก็ภาวนะ(ภาวนา), ฉันจึงบอกลาแม้(แม่)ค้า, แกงจืดเต้าหู(หู้)หมูสับ,
น้องดา ตืนมาทำงานสายน่ะค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่ ตั้งแต่เช้าแล้ว