บท(จะ)รัก: Please teach me how to love (สนพ.พิมพ์คำ)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ รักหวานแหวว Tags : พีทดา, บอดี้การ์ด, เจ้านาย, เด็กฝึกงาน, คุณหนูไข่เจียว
ผู้แต่ง : caneus
My.iD :
https://my.dek-d.com/carecaneus/writer/
ตอนที่ 53 : อัพเพิ่ม EP15 Good night 3/4
คำว่าเดินเล่นทำให้ฉันตาโต นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ทำแบบนั้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้การเดินช็อปปิงแทบจะเป็นกิจวัตรประจำวัน ใช้เงินเหมือนโปรยเล่น
ถามว่าตอนนี้อยากกลับไปทำแบบนั้นไหมมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกนะ แต่นานๆที่ได้เดินดูของ ถึงแม้จะเป็นตลาดนัด และถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินซื้อ ฉันก็ยังอยากจะเดินอยู่ดี
ฉันรีบยัดเบอร์เกอร์ชิ้นโตนั้นเข้าปากให้มันเสร็จๆ จากการอยู่กับวิไลมาได้สักระยะฉันก็ได้เรียนรู้วิธีการว่ากินอย่างไรให้หมดไวที่สุด เนื่องจากงานของเรานั้น ถ้ายิ่งเสร็จไวเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลับเร็วเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนจึงใช้เวลาในการพักน้อยมาก เพื่อที่จะได้เลิกงานไวๆ
“ท่าทางที่ต้องใช้เวลาช่วยเหลือคนที่อาหารติดคอมันไม่ค่อยสวยหรอกนะครับ”
คนตรงหน้ามองฉันแบบนิ่งๆก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่รู้ตัวหรือไงว่าเขานั่นแหละจะเป็นตัวการให้ฉันสำลัก
ฉันมองค้อนเขาหน่อยๆ ก่อนจะหันมาสนใจกับอาหารต่อ ด้วยความที่รู้แล้วว่าการไม่มีอาหารมันลำบากแค่ไหน หลังๆมานี้ฉันจึงไม่อยากจะกินทิ้งกินขว้างเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะรู้สึกอิ่มมากแล้วแต่ก็ยังพยายามจะยัดมันเข้าไปต่อ
เบอร์เกอร์ราคาร้อยสิบเก้าบาทนี้ก็ชิ้นใหญ่เหลือเกิน!
“อิ่มแล้วก็พอสิครับ” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ไม่เอา เสียดาย นี่ฉันกำลังเห็นคุณค่าของเงินนะ คุณควรจะชื่นชมฉัน” ฉันตอบเขาก่อนจะยัดขนมปังที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเข้าปากด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมหน่อยๆ
“ผมเชื่อแล้วว่าคุณรู้จักค่าของเงิน แต่คุณคงยังไม่รู้จักความพอดี”
“ไม่พอดีตรงไหน”
ฉันขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ก็ซื้อมาแล้วก็ต้องกินให้หมดก็ถูกแล้วนี่ แถมสภาพอาหารตอนนี้ก็เละจนไม่น่าจะห่อไว้กินพรุ่งนี้ได้แล้วด้วย
“เฮ้อ...” เขาถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง ก่อนจะเอามือเท้าค้างและจ้องมาที่ฉัน “ไม่คิดบ้างว่าถ้าคุณท้องอืด ปวดท้อง ไม่สบาย คุณจะต้องเสียเงินเพื่อไปหาหมอนะ”
ฉันนิ่งแล้วคิดตามที่เขาบอกอีกครั้ง...เออ ก็จริง
ฉับพลันมือทั้งสองก็ว่างส้อมกับมีดลงอย่างอัตโนมัติ ฉันเริ่มเห็นภาพตัวเองตอนประมาณตีสามที่จะเริ่มมีอาการอืดแน่นท้องอาหารไม่ย่อยและนอนกระสับกระส่ายอยู่คนเดียวในคอนโด อย่าว่าแต่เงินเลย แค่ลุกไปหาหมอฉันก็อาจจะไปไม่ไหว
ตอนนี้อาหารก็เริ่มจะจุกๆที่คอฉันอยู่รอมร่อ ขืนยัดเข้าไปอีก ถ้าไม่อ้วกออกมา ก็คงมีสภาพแบบที่เขาว่าเป็นแน่ๆ
“อิ่มแล้วก็ได้”
สุดท้ายอาหารทั้งหมดก็ลงถังไปพร้อมกับจานรองกระดาษนั่น เอาน่ะ อย่างน้อยฉันก็กินไปแล้วมากกว่าครึ่ง ชาวนาที่ปลูกข้าวสาลีมาทำเป็นขนมปังคงไม่ว่าอะไรมั้ง
หลังจากนั้นเราก็เดินไปที่โซนขายของ ที่ตอนนี้มีผู้คนเดินกันแน่นขนัด รู้สึกว่าตลาดนี้ยิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะขึ้นไปอีกจนแทบจะไหล่ชนไหล่
ฉันหันไปมองคุณพีทเป็นเชิงถามว่าโอเคไหมที่ฉันจะเดินเข้าไป แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ผลักฉันเบาๆให้เดินไปข้างหน้าก่อนที่เขาจะเดินซ้อนเข้ามาประชิดจากด้านหลังและคอยใช้มือกันฉันออกจากอยู่คนรอบข้างอยู่เนืองๆ
เขาคงติดนิสัยจากตอนที่ต้องเป็นบอดี้การ์ดด้วยล่ะมั้ง...รู้สึกปลอดภัยดีจัง
โซนขายของนั้นมีทั้งของใช้ เสื้อผ้า ของจุกจิกน่ารัก รวมทั้งยังมีอาหารเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นพวกขนม ของกินเล่น และน้ำหวานต่างๆ
“กินน้ำปั่นกันมั้ย ดูน่ากินนะ” ฉันถามในขณะที่สายตาก็จ้องมองไปที่น้ำหวานน่ากินเหล่านั้นด้วยความสนใจ
“น้ำตาลเยอะ คุณจะยิ่งท้องอืด”
พูดจบเขาก็จับฉันหมุนตัวให้หันไปอีกทางก่อนจะผลักหลังฉันเบาๆให้เดินต่อโดยไม่ถามฉันสักคำ การไปไหนมาไหนกับเขานี่ก็ดีมันก็มี แต่ข้อเสียก็มากเช่นกัน
ยิ่งกว่ามากับพ่ออีก!
“งั้นขนมสายไหมตรงนั้นมั้ย เหมือนก้อนเมฆ น่ากินมากเลย” ฉันชี้ไปอีกทางที่มีร้านขายสายไหมที่ดูฟูนุ่มสีสันสดใส
“นั่นก็น้ำตาลล้วนๆครับ อยากฟันผุตอนโต?”
หึ
ฉันเริ่มจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆเพื่อระบายความหงุดหงิด นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ ไหนบอกพามาเดินเล่นไง ฉันว่าที่จริงแล้วพี่จิ้นอาจจะเป็นเจ้าของตลาดนี้ ส่วนเขาก็มาเก็บเบี้ยไม่ก็สำรวจตลาดโดยให้ฉันมาเป็นเพื่อนก็เท่านั้น
ต้องใช่แน่ๆ
แต่แล้วเขาก็ให้แขนอ้อมตัวฉันจากด้านหลังไปจับแขนอีกข้างของฉันไว้ก่อนจะออกแรงลากให้ฉันเดินตามเขาไป ทำให้ท่าทางเหมือนกำลังโอบฉันอยู่กลายๆ เราใกล้กันจนลมหายใจอุ่นของเขาเฉียดผ่านใบหูของฉันไปเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ จากนั้นเขาก็พาฉันเดินไปหยุดที่หน้าร้านผลไม้
“กินเนื้อมาก็กินสับปะรดเข้าไปด้วย จะได้ช่วยย่อย”
พูดจบเขาก็สั่งสับปะรดมาให้ฉันหนึ่งชิ้นใหญ่ๆ และเมื่อแม่ค้าส่งมาให้ เขาก็ยื่นมาให้ฉันโดยไม่ถามความต้องการของฉันสักคำ แต่สายตาเขาบอกกับฉันว่า ‘ต้องกิน’
สับปะรดสีเหลืองฉ่ำนั้นจึงตกมาอยู่ในมือฉันแบบงงๆ และสายตาคมคู่นั่นก็ยังจ้องมองมาเพื่อดูว่าฉันจะกินมันเข้าไปเมื่อไหร่
“จะกินเองหรือว่ายังไง” น้ำเสียงของเขามีความขู่บังคับอยู่หน่อยๆตามสไตล์เขานั่นแหละ ฉันจึงต้องจิ้มเจ้าผลไม้สีเหลืองนั่นเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้
...ก็อร่อยดีแฮะ
จากนั้นเราสองคนก็เริ่มเดินกันต่อคราวนี้ฉันเลิกสนใจร้านที่เป็นของกินแล้ว นอกจากจะไม่ได้กินในสิ่งที่อยาก ยังจะถูกบังคับให้กินโน่นนั่นนี่ที่เขาเห็นว่าเป็นประโยชน์อีกด้วย นี่ถ้าฉันท้องผูกเขาอาจจะบังคับให้ฉันกินผักวันละกะละมังก็ได้ ใครจะไปรู้
คราวนี้ฉันเลือกที่จะเดินดูไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจร้านไหนเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าฉันไม่คิดจะหันไปถามความเห็นอะไรจากเขาด้วย ฉันกลัวเขาบังคับฉันทำอะไรอีก
ที่ตลาดนี้มีเสื้อผ้าน่ารักมากมาย แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะซื้อ เพราะที่มีอยู่ในตู้ บางตัวฉันยังไม่เคยใส่ด้วยซ้ำ นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ยังมีงานแฮนด์เมดจุกจิกน่ารักให้เดินดูเพลินๆ
แต่สุดท้ายที่เห็นจะสะดุดตาที่สุดก็คงจะเป็นร้านขายสร้อยที่มีจี้รูปร่างแปลกตา ความน่ารักของสร้อยนั้นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และก็พบว่าจี้ของสร้อยนั้นเมื่อเปิดออกมาก็จะเป็นนาฬิกาที่บอกเวลาได้จริง
นาฬิกาทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงกลางวันขึ้นมา หางคิ้วก็อดกระตุกไม่ได้เมื่อภาพเลขาสาวหน้าสวยของพี่จิ้นลอยขึ้นมาพร้อมกับนาฬิกาข้อมือสีเงินเรือนนั้น
เหอะ!!
คิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ แม้ว่าจะรู้สึกชอบใจของที่กำลังหยิบอยู่ในมือนี้แค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ดันหมดอารมณ์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น สุดท้ายฉันก็ตัดใจวางสร้อยในมือลง ก่อนจะเดินหนีออกมาจากร้านนั้นโดยไม่รอคุณพีทที่เดินมาด้วย แต่ไม่ทันที่จะได้เดินไปไหน มือหนาก็จับที่ข้อมือฉันเอาไว้ก่อนจะฉุดให้ไปอยู่ใกล้ๆเขาเหมือนเดิม
“ก็บอกให้อยู่ใกล้ๆไงครับ”
“ก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้วอะ” ฉันตอบเขาไปตามตรง เห็นนาฬิกาแล้วหงุดหงิด ไม่รู้ทำไม
“ไหนบอกไม่มีนาฬิกาไง” เขาถามพร้อมกับหยิบสร้อยที่ฉันเพิ่งวางขึ้นมา “ตอนแรกก็เห็นเหมือนจะชอบ”
“ไม่ชอบแล้ว ไม่ชอบนาฬิกา ยิ่งคนที่มีนาฬิกาเยอะๆแล้วเอาไปให้เพื่อนยิ่งไม่ชอบไปใหญ่” ฉันตอบพร้อมกับเชิดหน้าใส่เขา แต่คนตรงหน้ากลับหลุดขำออกมา
“ถ้าคุณหมายถึงนาฬิกาที่ผมให้ปุ๊ยืม...นั่นไม่ใช่ของผม แต่เป็นของที่บอสให้กับทุกคนไว้ เพราะมันบอกเวลาได้เที่ยงตรงมาก ช่วงนี้เขาต้องทำหน้าที่แทนผม ผมเลยคิดว่าเขาคงต้องใช้” เขาอธิบายในขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่สร้อยในมือ
ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังเป็นอะไร แล้วทำไมต้องรู้สึกสบายใจหลังจากที่ได้ฟังเขาเล่าด้วย...
“แต่ผมว่าสร้อยนี้เหมาะกับคุณนะ”
“มันสวยใช่มั้ย”
“คุณจะได้ตรงเวลาไง”
ไอ้()*^&$#%$@%^&^(*&
หลังจากหลอกด่าฉันเป็นที่เรียบร้อย เขาก็หันไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้า ก่อนจะยื่นนาฬิกานั่นมาให้ฉันด้วยท่าทางเฉยชา ปกติถ้ามีใครสักคนซื้อของให้ฉันควรจะดีใจหรือซาบซึ้งใจมากกว่านี้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหมั่นไส้แทน
“หลังจากนี้ถ้าคุณสาย ปรับนาทีละห้าบาท”
“ไม่เอาได้มั้ยนาฬิกานั้นน่ะ”
ค่าปรับที่เขาพูดมารวมๆแล้วมันอาจจะแพงกว่านาฬิกานั่นหลายเท่า แต่คนเผด็จการอย่างเขามีหรือจะฟัง แทนที่เขาจะเก็บของกลับไป เขากลับเอาสร้อยนั้นมาคล้องคอฉันทันที
“ให้แล้วไม่รับคืนครับ!”
โอ๊ยยยยฟินนนน
น้องปุ๊ค่ะไรท์ ไม่อ่านผิดเป็นชื่ออื่นแน่นอนค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ดีจังมีบอดี้การ์ดเดินตลาดด้วย ปีเตอร์ คิมทำเกินหน้าที่ไปป่าวคะ อิอิ
ไรท์คะ: ฉันคน(ค้น)พบแล้วว่า, สายตาทั้งสองจ้าง(ข้าง), เขาสบตาตา(-ตา)ฉัน, ดวงตาคมคู่นั่น(นั้น), ไม่อยาก(อย่าง)นั้น, ไม่เคยจะปราณี(นี)..แต่ว่าทำ(-ทำ)ทำไม, มือทั้งสองก็ว่าง(วาง)ส้อมกับมีด, สายตาคมคู่นั่น(นั้น)
นน้องน่าร้ากกก
สนุก อิน ฟิน มากค่ะไรท์ จะรออ่านตอนหนูดาตกน้ำแล้วไปนอนห้องคุณพีทนะคะ
ปล.ไรท์คะฝากบอกคุณพีททีว่า.....ชั้นรักเค้าาาาาาา