อาหารมื้อกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากวันนี้งานผ้าที่ต้องรีดของเราเยอะมาก เพื่อที่จะจบงานให้ทันบ่ายสามทำให้วันนี้เรามีเวลาพักกันไม่มากนัก
หลังจากนั้นช่วงบ่ายเราก็ลุยงานกันเต็มที่ วันหยุดสองวันทำให้สกิลการรีดผ้าของฉันตกลงไปเล็กน้อย ต้องให้วิไลมาช่วยฟื้นฟูใหม่อยู่บ้าง แต่ช่วงบ่ายการทำงานของฉันก็ราบรื่นมากขึ้น
เมื่อเสร็จจากงานรีดผ้า วันนี้คุณไพลินแจ้งว่าคุณพีทจะมารับฉันตอนเลิกงาน ทำให้แทนที่ฉันจะต้องไปขึ้นรถเมลล์ ก็แค่ไปยืนรอรถที่ประจำแทน
แต่รู้อะไรไหม ปิ่นโตเจ้าปัญหาเนี่ยกลับทำให้ฉันรู้สึกประหม่าที่ต้องถือมันขึ้นไปบนรถของเขา เจ้าของตัวจริงของแกไงเจ้าปิ่น!
“ปิ่นโตใช้ดีไหม” คำทักทายแรกจากเขาเมื่อฉันก้าวเท้าขึ้นไปบนรถทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงเจ้าปิ่นโตสีเงินนั้นให้พ้นๆสายตาเขาไป
จะถามทำไมเนี่ย
“กะ…ก็ดี” ฉันตอบไปแบบติดๆขัดๆ
“หืม ก็ดีครับ”
โชคดีที่เขายอมจบบทสนทนาเพียงแค่นั้น หลังจากนั้นในรถก็เข้าสู่ความเงียบ ในขณะที่ฉันนั่งตัวเกร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกประหลาดทำให้ฉันต้องทำตัวประหลาดไปด้วย
ฉันพยายามไม่สนใจเขาด้วยการมองเรื่อยเปื่อยออกไปนอกรถ ช่วงบ่ายวันจันทร์มีรถและผู้คนมากมายขวักไขว่กันอยู่บนท้องถนน
สายตาของฉันพลันไปสะดุดเข้ากับร่างของหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของบริษัทที่อยู่ติดกับตึกของเอกเวชกรุ๊ป เธอกำลังถือแก้วกาแฟและเดินเข้าไปในตึกนั้นพร้อมกับเพื่อนๆอีกสองคน
มิ้นนี่นา เพิ่งรู้ว่ามิ้นทำงานแถวนี้
แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้เปิดกระจกทักทาย รถก็เลี้ยวเข้าที่จอดรถภายในตัวอาคารเสียแล้ว ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาเธอแทน
‘มิ้น ฉันเห็นเธออยู่แถวๆบริษัทคุณพ่อ’
‘ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอทำงานแถวนี้ ฉันก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน แต่ฉันเลิกทำงานดึกหน่อยนะ บางทีเราอาจจะได้เจอกันถ้าเธอว่าง’
ฉันนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งเพื่อรอการตอบกลับของเพื่อน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอคงไม่ได้เปิดโทรศัพท์ดูมั้ง ปกติมิ้นก็ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์สักเท่าไหร่
คิดได้ดังนั้นฉันจึงละสายตาจากหน้าจอ ก่อนจะค้นพบว่าตอนนี้รถจอดสนิทแล้วและมีใครบางคนยืนส่งสายตาเย็นๆมาให้ฉันจากด้านนอกตัวรถ
ตายจริง ฉันลืมเขาเสียสนิทเลย
“รอนานแล้ว” เสียงสวรรค์ดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาบอกให้รู้ว่าถ้าช้ากว่านี้ฉันอาจจะได้รับบทลงโทษอะไรบางอย่าง และนั่นก็ทำให้ฉันต้องดีดตัวออกจากรถภายในวินาทีนั้น
“มาแล้วค่ะ”
เขาปรายตามองมาที่ฉันเล็กน้อยก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องทำงานของเขา หน้าที่ของฉันคือต้องรีบตามไปให้เร็วที่สุดก่อนที่เขาจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้
ฉันเริ่มเรียนรู้อารมณ์ของเขาภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั่นได้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ถ้ามุมปากเขาเหยียดออก แปลว่าเขากำลังเริ่มจะเบื่อ ถ้าเขาหลุบตาลงก่อนที่จะพูดอะไรออกมาแปลว่าเขากำลังข่มใจ และถ้าเขาพูดเรื่องเวลาออกมาเมื่อไหร่แปลว่าเขากำลังหงุดหงิดแล้ว
แม้ว่าฉันจะหัวช้า แต่ฉันก็เรียนรู้มาหลายครั้งอย่างหนักหน่วงแล้วว่า…ไม่ควรทำให้ปีเตอร์ คิมหงุดหงิด
วันนี้ฉันใส่ชุดมาทำงานที่ค่อนข้างมิดชิด เสื้อแขนขาวสีเข้มติดกระดุมจนถึงคอกับกางเกงขายาวสีดำ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนเขาจับมัดอีกเป็นครั้งที่สอง แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
“ข้อมูลที่ผมให้คุณหาทั้งหมด ให้คุณทำสรุป และทำออกมาในรูปที่พร้อมนำเสนอ” เขาสั่งงานฉันทันทีที่ประตูห้องปิดลง
“ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับเดินไปประจำที่ที่นั่งทำงานอยู่เป็นประจำ พร้อมกับเว้นทางให้เขาเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ แต่วันนี้เขากลับไม่เข้ามา
“ผมมีประชุมต่อ” เขาเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าฉันทำหน้าสงสัย
“อ้อ…”
“เดี๋ยวผมกลับมา”
“ค่ะ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป เหลือเพียงฉันที่นั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้องนี้
ข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมด ฉันจัดการทำตารางสรุปเปรียบเทียบในแบบของฉัน ก่อนจะแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้มาอยู่ในรูปแบบของการนำเสนออีกที และในเมื่อเขาไม่ได้จำกัดรูปแบบการนำเสนอ ฉันจึงสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของฉันได้เต็มที่ ทำให้ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของการทำงานหมดไปกับการออกแบบและตกแต่งล้วนๆ
ก็ฉันชอบอะไรสวยๆนี่นา!
เวลาไปสักพัก ความหิวก็เริ่มมาทักทายฉันหน่อยๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังอดใจรอ ข้าวไข่เจียวหอมๆกำลังรอฉันอยู่ในคืนนี้วัน
รู้อะไรไหม ต่อให้ฉันไม่อยากจะเจอหน้าตาคุณพีทนั่นแค่ไหน ฉันก็ต้องยอมรับว่าฉันชอบไข่เจียวของเขามากอยู่ดี ถ้าเขาอ่อนโยนกว่านี้สักนิดฉันคงจะชอบเขามากกว่านี้
…
เดี๋ยวนะ!
อาการรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้ามาเยือนฉันอีกครั้งจนฉันต้องตบหน้าตัวเองเพื่อตั้งสติ ฉันหมายถึงเกลียดเขาน้อยลงกว่านี้ต่างหากล่ะ
“พี่จิ้นๆๆ ท่องไว้ ทั้งกายทั้งใจฉันเป็นของพี่จิ้นเท่านั้น” ฉันหลับตาเอามือทาบอกพร้อมกับท่องคาถายึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น
“ทำอะไรของคุณ”
“เฮ่ย!!”
ฉันสะดุ้งโหยงพร้อมกับอุทานขึ้นมาดังลั่น ก็จู่ๆก็มีหน้าของใครบางคนที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาปรากฏยู่ตรงหน้าฉัน ให้ตายสิมาไม่ให้สุ้มให้เสียง หัวใจจะวาย
“เพ้ออะไรตอนทำงาน” เขาถามหน้าตายก่อนจะค่อยๆหยัดกายขึ้นยืนตรง
“ฉันทำงานมาตลอด เพิ่งเพ้อแค่เมื่อกี้เอง” ฉันแก้ตัวพร้อมกับเอามือโบกพัดความร้อนที่กำลังรุกรานใบหน้าของฉัน
“ช่างเถอะครับ เก็บของ จะกลับแล้ว” เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปรอที่หน้าห้อง
ฉันไม่รอช้ารีบเก็บของตามเขาไปทันที วันนี้กลับไวเป็นประวัติศาสตร์เลย ดีนะจะได้ไม่ต้องหิวนาน
“วันนี้ผมต้องกลับเร็ว มีนัดกับบอส” ประโยคบอกเล่าของเขาขณะที่เรากำลังเดินไปขึ้นรถทำให้ความฝันที่มีมาทั้งหมดของฉันดับวูบ
“เหรอ…” ฉันตอบเขาไปอย่างเลื่อนลอย
แปลว่าวันนี้ไม่มีไข่เจียวงั้นสิ…
ความผิดหวังทำให้ฉันไม่ค่อยอยากจะมองหน้าเขาเท่าไหร่เลยต้องเมินหน้าหนีออกไปทางกระจกอีกครั้ง และเมื่อรถขับออกมาถึงที่หน้าบริษัท ฉันก็ได้เจอกับมิ้นอีกครั้ง เธอกำลังยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์
“นี่คุณ ขอเพื่อนฉันติดรถกลับไปด้วยได้ไหม”
สภาพการรอรถเมล์ของมิ้นท่ามกลางแดดร้อนๆและผู้คนที่เบียดเสียดทำให้ฉันนึกไปถึงตอนที่ตัวเองลำบาก
ความร้อนและกลิ่นเหงื่อที่แทบจะทำให้ฉันเป็นลมนั้นยังเป็นความรู้สึกที่ตราตรึงในจิตใจฉันเสมอมา มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันควรไปขึ้นรถเมล์เวลาไหน และห้ามไปสายอย่างเด็ดขาด และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกสงสารและเป็นห่วงมิ้นขึ้นมา
“เอาสิ” เขาตอบอย่างว่าง่าย ก่อนจะไปเทียบรถจอดที่บริเวณใกล้จุดที่มิ้นยืน
“มิ้น กลับด้วยกัน ฉันไปส่ง” ฉันเปิดหน้าต่างและตะโกนเรียกมิ้นทันที เธอทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นฉันก่อนจะวิ่งขึ้นรถเมื่อเห็นว่าฉันกวักมือเรียกเธออีกครั้ง
“มิ้น นี่คุณพีท เขาจะไปส่งเราสองคน” ฉันแนะนำคุณพีทให้กับมิ้นทันทีที่เธอขึ้นมาบนรถ
“สวัสดีค่ะคุณพีท” เธอทักคุณพีทด้วยพร้อมกับยกมือไหว้
“ส่งที่ไหนครับ”
“เลยคอนโดฉันไปหน่อยนึง ทางเดียวกับที่คุณจะกลับไปบ้านพี่จิ้นนั่นแหละ” ฉันตอบแทนมิ้น เพื่อให้การบอกทางนั้นสั้นและเข้าใจง่ายมากขึ้น
ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรกัน ทุกคนอยู่ในความเงียบ และเพราะว่าคอนโดฉันถึงเป็นคนแรก คุณพีทจึงแวะส่งฉันก่อน หลังจากที่ฉันลงจากรถ สองคนนั้นก็เหมือนจะคุยอะไรกันเล็กน้อยก่อนที่มิ้นจะย้ายมานั่งข้างคุณพีท จากนั้นพวกเขาก็ออกรถไป
ภาพเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกโหวงๆแบบแปลกๆ จนต้องสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดแล้วก็เดินขึ้นห้องไป
ทั้งที่คิดว่าวันนี้จะได้กินไข่เจียว แต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ในห้องคนเดียว เขาต้องไปส่งเพื่อนให้ฉัน จากนั้นเขาก็ต้องไปตามนัดกับพี่จิ้น เหลือแค่ฉันที่นั่งหิวอยู่ในห้องนี้
น่าแปลกคือทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกหิว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกกินอะไรไม่ลง ความอยากอาหารหายไปในพริบตา เหลือเพียงความรู้ว่างเปล่า สุดท้ายฉันจึงไปหยิบเอาอุปกรณ์วาดรูปออกมานั่งสาดสีเพื่อระบายอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักความหิวก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้งคราวนี้ศิลปะก็เอาไม่อยู่ สงสัยข้าวไข่ต้มน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของมื้อนี้
ระหว่างที่ต้มไข่ อารมณ์ของฉันก็เดือดขึ้นเรื่อยๆเหมือนน้ำในหม้อ ยิ่งหิวยิ่งโมโห คิดแล้วก็อดโมโหเจ้าคนที่ทิ้งฉันไปไม่ได้ มีนัดก็ไม่ยอมบอกกันตั้งแต่แรก หลอกให้ฉันทำงานช่วงเย็น เงินวันนี้ก็ยังไม่จ่าย แถมหายไปเลยโดยไม่บอกไม่กล่าว
ฉันรู้แล้ว ความรู้สึกแปลกๆตอนที่เขาออกไปมันต้องเป็นความรู้สึกโมโหแน่ๆ ใช่แน่ๆ
ระหว่างที่รอให้ไข่สุก ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความลงในอีเมล
‘วันนี้ฉันจะไม่ส่งการบ้านไม่ว่านายจะลงโทษฉันยังไงก็ตาม วันนี้ฉันขอลาหนึ่งวัน ไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้และหิวข้าว!’
และหลังจากที่กดส่งไปไม่นานนัก ก็มีการแจ้งเตือนเด้งเข้ามาอีกครั้ง ความเคยชินทำให้ฉันรีบกดเข้าไปอ่านอย่างลืมตัว
‘อย่างอแง เปิดประตู’
เหมือนมีน้ำสาดไปบนถ่านที่กำลังติดไฟร้อนๆแล้วเกิดเสียงดัง ‘ฟู่’ วินาทีนั้นเท้าฉันก็พลันขยับไปที่ประตูห้องอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะมือจะยื่นไปเปิดประตูออก
แกร๊ก…
.
.
.
Talk สวัสดีปีใหม่เจ้าค่ะ ขอให้มีความสุขทุกคนนะคะ
รักกกกกกกกก
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
อย่างอแง เปิดประตู ฮืออออออ กรี๊ดมาก นึกว่าจะไม่มาแล้ว
ปล.ไม่ชอบมิ้นไม่อยากให้มิ้นเข้าใกล้คุณพีท
ง้อววว5555555เขินแทนหวะ
มุ้งมิ้งกันไม่รู้ตัว
ปล สุขสันต์วันปีใหม่คะ ขอให้สมหวังทุกประการ