คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ` c h a p t e r 8 ♡ { d e p r e s s e d }
C I R C L E
` c h a p t e r 8 ♡ { d e p r e s s e d }
นี่ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย
ภาพล่าสุดก่อนผมจะหมดสติไปแว้บขึ้นมาในหัวทันทีที่ผมลืมตาตื่น ภาพที่ผมเห็นรถยนต์คันหนึ่งพุ่งเข้ามาทางผมและคยองซูอย่างจงใจ และผมก็ผลักคยองซูให้กระเด็นออกไปอีกทางเพราะกลัวว่าน้องเขาจะโดนรถคันนี้ชน และนั่นคือคำตอบสินะ ว่าทำไมผมถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้
“ตื่นแล้วเหรอลูก” แม่ของผมเดินเข้ามา ในมือถือถุงอะไรไม่รู้พะรุงพะรังไปหมด คาดว่าน่าจะเป็นพวกของกินที่แม่ซื้อมาให้ผม เพราะดูจากทรงแล้วเป็นของโปรดของผมทั้งนั้นเลย ที่จริงผมกินข้าวโรงพยาบาลก็ได้อยู่หรอกน่า
“ผมหลับไปนานมั้ยครับ” ผมเอ่ยปากถามแม่ ผมแค่อยากรู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน
“ประมาณ 18 ชั่วโมงได้น่ะ หมอบอกว่าแกควรจะนอนให้เยอะๆ พักผ่อนมากๆ แล้วก็งดขยับตัวด้วย” แม่ตอบไปวางของบนซิงค์ไปด้วย
“ผมจะไม่ขยับตัวได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อผมต้องทำงานนี่”
“จุนมยอน แกยังจะดื้อไปทำงานอีกเหรอ? แกอย่าลืมสิว่าพ่อแกเป็นเจ้าของบริษัทนะ แกจะหยุดสักสามเดือนยังได้เลย”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ อีกสามวันผมจะไปทำงาน”
จะให้ผมนอนนิ่งเฉยเป็นหุ่นยนต์ไร้ชีวิตในห้องสีเหลี่ยมสีจืดแบบนี้เป็นอาทิตย์ๆ ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อผมไม่ใช่คนชอบอยู่เฉย และผมก็เกลียดโรงพยาบาลที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ผมต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้
และที่สำคัญ ผมจะไม่ขาดงานเกินสามวันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกละอายใจที่ไล่ชานยอลออกน่าดู
“สามวันอะไรกัน แกน่ะอยู่ที่นี่แหละ งานของแกช่วงนี้ก็ไม่ได้เยอะไม่ใช่เหรอ อย่าดื้อสิลูก”
แม่เดินเข้ามาหาผม ลูบผมของผมด้วยความรัก สายตาอ่อนโยนของแม่ทำให้ผมรู้สึกโกรธพ่อมากไปกว่าเดิมล้านเท่า แม่เป็นคนดี เป็นคนเรียบร้อย สุภาพ อ่อนน้อมกับทุกๆ คนแบบนี้เสมอ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะนอกใจคนดีๆ อย่างแม่ไปหาคุณนายคิมนั่นได้ลงคอ
“เซฮุนไปโรงเรียนเหรอครับ”
“อื้ม จริงๆ แล้วก็เพิ่งจะไปเมื่อกี้นี้เอง เซฮุนอยู่เฝ้าลูกทั้งคืนเลยนะ”
“เด็กคนนี้…” ผมยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู น้องชายของผมรักผมมากจริงๆ แม้จะไม่ค่อยได้แสดงออกก็เถอะ
“แม่ครับ ผมขอมือถือผมหน่อยสิครับ” ผมบอกแม่เมื่อกวาดตามองรอบๆ ตัวแล้วไม่มีมือถือของผมอยู่ และก็พบว่าแม่ของผมเก็บไว้จริงๆ ด้วย แม่หยิบมือถือของผมที่ชาร์จเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ออกมาให้ผมก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เอ้อ จริงสิ เพื่อนของลูกที่ชื่อคยองซูเค้าโทรมาหาแทบจะทุกชั่วโมงเลยแหละ”
“คยองซูเหรอ…”
“แม่รับตลอดเลย จริงๆ แล้วมือถือนี้อยู่กับเซฮุนนะ แต่เจ้านั่นโบ้ยให้แม่เป็นคนรับ ทำอย่างกับว่าไม่ถูกกับคนชื่อคยองซูอย่างนั้นแหละ”
“เซฮุนเนี่ยเหรอครับไม่ถูกกับคยองซู”
“อื้ม ทำหน้าเหม็นเบื่อจะแย่เลยแหละ”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะ…”
ภาพวันนั้น วันที่คยองซูมาบ้านผมและพูดคุยเล่นกันกับผมและเซฮุนลอยมาในหัวของผมทันที ผมขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเรื่องที่แม่เล่าเมื่อครู่ เซฮุนกับคยองซูดูเข้าขากันดีและไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ผิดใจกันนี่นา
จริงด้วย…
ผมนึกออกแล้วว่าทำไมเซฮุนถึงจะไม่ชอบคยองซู
เมื่อวันก่อนเกิดอุบัติเหตุ เช้าของวันนั้น ผมเปิดประตูห้องของเซฮุนที่ไม่เคยล็อคเพราะผมมักจะเป็นคนเดินเข้าไปปลุกเจ้านั่นทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียน เมื่อประตูถูกเปิดออก ผมก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้ตอนที่พ่อของผมจูบกับคุณนายคิม
ภาพตรงหน้าผมคือเซฮุนกำลังนอนหลับฝันดีในอ้อมแขนของจงอิน และเรือนร่างของทั้งสองคนเปลือยเปล่า
ผมยืนช็อคไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะปลุกเซฮุนให้ตื่นขึ้นจากนิทรา สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ จงอินชอบคยองซู แล้วทำไมถึงมาทำอะไรแบบนี้กับเซฮุน แล้วทำไมน้องชายผมถึงได้ยอม ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องชายผมกับจงอินรู้จักกันด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้ผมเป็นอย่างมาก
ยืนอึ้งอยู่นาน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถ่ายรูปเก็บเอาไว้เหมือนตอนที่ทำเมื่อครั้งเห็นพ่อมีชู้ ผมไม่ได้คิดจะเอารูปพวกนี้ไปแบล็คเมล์จงอินหรอก ผมแค่จะใช้รูปนี้เป็นหลักฐานในการคาดคั้นเซฮุนก็เท่านั้น เพราะคิดว่าเจ้านั่นคงไม่ยอมเล่าถ้าผมถามตรงๆ
แต่จงอิน… ดันมายุ่งเรื่องที่ผมไล่ชานยอลออกน่ะสิ
“ฮัลโหลซีวอน เรื่องข้อสอบที่ฉันให้แกไปตามหามาถึงไหนแล้ว”
ทันทีที่รับมือถือมาจากมือแม่และนั่งคิดเรื่องเซฮุนกับจงอินไปได้สักพัก ผมก็รีบกดโทรฯ หาซีวอนเพื่อถามเรื่องที่ผมไหว้วานไปเมื่อวันก่อน ไม่ใช่แค่ขอให้ซีวอนโกงให้คยองซูเพียงอย่างเดียว แต่ผมได้ขอร้องให้ซีวอนช่วยหาที่พักดีๆ ให้คยองซู รวมไปถึงเรื่องข้อสอบที่จะใช้อีกด้วย
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ถ้างั้นเย็นนี้ก็ให้คนเอามาให้ฉันที่โรงพยาลได้เลยนะ”
ซีวอนถามไถ่อาการของผม ที่มันรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลก็เพราะมันโทรมาหาผมครั้งหนึ่งแต่แม่ผมเป็นคนรับ เลยรู้เรื่องไปด้วย แถมยังมีการด่าผมอีกว่า ป่วยจะตายอยู่แล้วยังจะมาคิดถึงเรื่องข้อสอบอีก
แน่นอนล่ะ ไม่ว่าจะใกล้ตายแค่ไหน เรื่องคยองซูก็ต้องมาก่อน
ทีนี้ถ้าผมมีแนวข้อสอบอยู่ในมือแล้ว ผมก็มีข้ออ้างที่จะได้อยู่ใกล้ๆ คยองซูแล้วสินะ
.
.
.
“พี่จุนมยอนเป็นยังไงบ้างครับ”
ผมรับสายพี่จุนมยอน วันนี้ผมไปโรงเรียนตามปกติ กะไว้ว่าตอนเลิกเรียนจะไปเยี่ยมพี่จุนมยอนที่โรงพยาบาลสักหน่อย แบคฮยอนรู้เรื่องของพี่จุนมยอนแล้ว และก็รู้ด้วยว่าคนที่ทำให้พี่จุนมยอนเป็นแบบนี้คือจงอิน แบคฮยอนได้แต่สงสัยว่าจงอินทำแบบนั้นทำไม
(คยองซู พี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ที่โทรมานี่มีเรื่องอยากจะเสนอน่ะ)
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
(เพื่อนพี่ทำงานสถานฑูต มันบอกว่ามันมีแนวข้อสอบชิงทุนไปญี่ปุ่น คยองซูสนใจมาติวกับพี่ไหม)
“จริงหรอครับ!” ผมตาลุกวาว ลืมคิดไปเลยว่าพี่จุนมยอนเขาป่วยอยู่ ผมไม่ควรจะสนใจเรื่องอื่นนอกจากอาการป่วยของพี่เขาสิ
“แต่ว่าพี่จุนป่วยอยู่นะ จะมาสนใจเรื่องผมทำไมนักหนาล่ะ”
(ฮ่าๆ พี่บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เอาอย่างงี้มั้ย ในระหว่างที่พี่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล เรามาติวกับพี่ดีมั้ยล่ะ พี่เบื่อน่ะ อยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อจะตาย)
“มันจะไม่รบกวนพี่เหรอครับ ผมเกรงใจจัง”
(รบกวนรบเกินอะไรกัน เอาเป็นว่าเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยนะ เลิกเรียนเจอกัน)
พูดจบพี่จุนมยอนก็วางสายไปทันทีโดยไม่รอให้ผมตอบอะไร ทำแบบนี้ก็เหมือนเป็นการมัดมือชก ผมต้องไปติวกับพี่เขาจริงๆ สินะ มันจะไม่รบกวนคนป่วยเกินไปหน่อยเหรอไง ถึงมันจะไม่ต้องใช้แรงมากก็เถอะ
“จุนมยอนเหรอ”
แบคฮยอนที่นั่งฟังผมคุยโทรศัพท์อยู่นานส่งสายตาดุดันมาที่ผม ถึงแบคฮยอนจะรู้ว่าพี่จุนป่วย แต่ผมก็ไม่เห็นว่าแบคฮยอนจะเป็นห่วงอาการของพี่เขาเท่าไหร่เลย ทำไมถึงใจจืดใจดำขนาดนี้ก็ไม่รู้
“นี่คุณบี ทุกๆ เย็นเค้าขอไปติวญี่ปุ่นกับพี่จุนที่โรงพยาบาลได้มั้ย” ผมพูดเสียงอ้อน แกล้งเขยิบตัวเข้าไปใกล้เพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้แบคฮยอนต้องไม่ยอมง่ายๆ แน่
อ้อ… ใช่แล้วล่ะครับ เราสองคนเปลี่ยนการเรียกชื่อกันและกันในแบบใหม่แล้วเมื่อวานนี้เอง เป็นคุณบีกับคุณเค ซึ่งเป็นตัวย่อของชื่อเรา แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังคงเรียกผมว่าซูซูบ้างเป็นบ้างครั้งนะครับ
“ไม่ได้” แบคฮยอนพูดเสียงแข็ง
“คุณบีอ่ะ นี่มันอนาคตเค้าเลยนะ”
“ไม่ให้ไป”
“ถ้างั้นคุณบีไปนั่งเฝ้าเลยก็ได้”
“ไม่ ไม่อยากเจอหน้ามัน”
“โหย… เค้าขอไปหน่อยนะ นะ นะ อยากให้เค้าหนีไปหรอ”
“คยองซูจะหนีไปจริงๆ เหรอไง”
ผมจ้องตาอีกฝ่ายไม่กระพริบ ค่อยๆ จับมืออีกคนขึ้นมาลูบแก้มของผมไปมาเพราะผมรู้ว่าแบคฮยอนแพ้อะไรแบบนี้ที่สุด ตาแป๋วๆ เหมือนลูกหมาของผมบวกกับเสียงอ้อนๆ ที่ผมไม่ค่อยได้ทำให้เห็นแบบนี้คงจะช่วยให้แบคฮยอนใจอ่อนขึ้นมาได้นะ
“ก็ได้ๆ” ในที่สุดแบคฮยอนก็ยอม ผมยิ้มกว้างออกมาโดยอัตโนมัติ
“แต่ว่าให้แค่วันละชั่วโมงนะ ห้ามมากไปกว่านี้” แบคฮยอนพูดเสียงเรียบ แววตานิ่งราวกับว่ากำลังโกรธเคืองอะไรผมอยู่ ผมรู้ว่าในใจแบคฮยอนก็ไม่ได้อยากยอมให้ผมไปหาพี่เขาหรอก แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผมอ้อนขนาดนี้แล้วนี่นะ
“ใจดีจังเลย” ผมหยิกแก้มเนียนๆ ของแบคฮยอนอย่างรักใคร่ ใบหน้าของผมตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับใบหน้าของแบคฮยอนที่เอาแต่ทำหน้ามุ่ยเหมือนคนโดนขัดใจ
“ยิ้มหน่อยสิคุณบี” ผมยืดแก้มแบคฮยอนให้ริมฝีปากแยกออกกว้างๆ พลางหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ถึงแบคฮยอนจะไม่ค่อยอยากยิ้มออกมาเท่าไหร่ แต่ในที่สุดแบคฮยอนก็ยอมยิ้มออกมาให้ผมเห็นจนได้
ขอบคุณนะแบคฮยอน ขอบคุณที่ตามใจคนดื้ออย่างเรา
.
.
.
วันนี้ทั้งวันผมแทบไม่เป็นอันเรียนเลย ผมเอาแต่คิดภาพเวลาคยองซูอยู่กับไอ้จุนมยอนนั่น แค่คิดขึ้นมาได้ฉากเดียวผมก็หงุดหงิดแล้ว ผมไม่อยากคิดอะไรมากและพยายามคิดว่านั่นคืออนาคตของคยองซู
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คยองซูหรอก ผมเชื่อใจคยองซูอยู่แล้ว แต่ไอ้จุนมยอนนี่สิ
คาบสุดท้ายของวันนี้จบลงแล้ว ผมสลัดความคิดบ้าๆ ให้ออกไปจากหัวแล้วเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปทำงานพิเศษวันแรกในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ตลอดทางกลับบ้านเจ้าตัวเล็กเอาแต่อ้อนและคลอเคลียผมจนผิดปกติ ผมจะรู้สึกดีอยู่หรอกถ้าคยองซูทำแบบนี้เพราะอยากทำจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากอ้อนผมเรื่องไอ้จุนมยอน
คยองซูเสนอให้ผมไปอาบน้ำที่บ้าน และคยองซูจะสระผมให้ผมก่อนไปทำงาน ผมเองหรือจะปฏิเสธได้ลงคอ ถึงรู้ดีแก่ใจว่าการที่คยองซูมาคอยเอาอกเอาใจผมขนาดนี้มันเพราะอะไร
และคยองซูก็สระผมให้ผมจริงๆ (แต่เราสองคนไม่ได้โป๊นะครับ ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นไว้อยู่) ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเวลาคยองซูนวดผมให้ผม มันดีซะยิ่งกว่าแฮร์สปาร์ทุกที่ที่เคยไปใช้บริการมาเลยล่ะ
ผมนึกอะไรไม่ออก นอกจากนึกอยากให้คยองซูอยู่กับผมแบบนี้ไปตลอดกาล
พอสระผมเสร็จเรียบร้อย คยองซูก็จัดการเป่าผมให้ผมด้วยไดร์จนแห้ง สาบานเลยนะครับว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้ผมเลย คยองซูเป็นคนแรก … ลองนึกภาพคนที่ทำอะไรก็ตามด้วยความอ่อนโยน เบามือดูสิครับ นั่นแหละ ผมรู้สึกมีความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์เลย เพราะคยองซูเป็นคนมือเบามาก (ยกเว้นตอนทุบตีผมเนี่ยแหละ ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนก็ไม่รู้) เวลาที่คยองซูเช็ดผมให้ผม เป่าผมให้ผม หรือหวีผมให้ผม ผมไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิด
ยิ่งตอกย้ำให้ผมได้รู้ว่า คยองซูอ่อนโยน และมีค่าเหลือเกิน … ควรค่าแก่การทะนุถนอมที่สุด
“อ่ะนี่” คยองซูแกะเนคไทออกมาจากกล่องหรูๆ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเนคไทสีครามซึ่งเป็นสีโปรดของผม ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย
“นี่ไปซื้อมาตอนไหนเนี่ย แพงน่าดูเลยไม่ใช่เหรอ”
“เซอร์ไพร์ส” คยองซูยิ้มกว้าง ค่อยๆ อ้อมเนคไทรอบคอผมแล้วบรรจงผูกเนคไทให้ผมเหมือนศรีภรรยาที่แสนดีกำลังผูกเนคไทให้สามีก่อนไปทำงาน
ผมยืนมองการกระทำของคนตัวเล็กกว่าอยู่นาน ยังไม่ทันที่คยองซูจะได้ผูกเนคไทให้ผมเสร็จดี ผมก็ค่อยๆ เชยคางเรียวของคนตัวบางขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเราสองคนสอดประสานกันเนิ่นนาน ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ผมจรดปลายจมูกลงกับจมูกเล็กของคยองซู แพขนตาสวยของคยองซูค่อยๆ ปิดลง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ริมฝีปากของเราทั้งสองดึงดูดเข้าหากัน … เราจูบกันเนิ่นนาน ริมฝีปากทั้งสองชุ่มไปหมด จนกระทั่งลมหายใจของเราทั้งคู่เริ่มขาดห้วง
เราค่อยๆ ผละใบหน้าออกจากกันเล็กน้อย กระนั้นมือเล็กก็ยังคงโอบรอบคอผมไว้อยู่ทั้งสองข้าง
ราวกับมีแรงดึงดูด เราสองคนโผเข้าหากันอีกครั้ง จูบที่ดูดเดิมกว่าเดิมกำลังเริ่มต้นขึ้น ทุกครั้งที่เราจูบกัน ผมมักจะตื่นเต้นกับการรุกริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่านี่เสมอ เพราะมันเป็นจูบที่เหมือนเด็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ร้อนแรงและอยากที่จะละริมฝีปากออกไปได้
หลังจากผ่านไปราวสามนาที ซึ่งนับว่าเป็นจูบที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยจูบมา คยองซูและผมก็ยิ้มให้กันด้วยความเคอะเขิน คนตัวเล็กกว่าเดินไปหยิบหวีมาหวีผมให้ผมอีกรอบเพราะมันเริ่มจะยุ่งกว่าเดิม แถมยังเอาแป้งพัฟมาตบที่หน้าผมสองสามที คาดว่าเพราะแรงจูบเมื่อครู่ที่ทำให้แป้งหลุดออกจากหน้าผมหมด
ให้ตายสิ … ผมไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย
.
.
.
วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานครั้งใหม่ของผม
ผมยืนมองดูตัวเองหน้ากระจก ผูกเนคไทอย่างทุลักทุเลเพราะคนอย่างปาร์คชานยอลไม่เคยต้องมาทำงานที่ใช้เนคไทแบบนี้มาก่อน หลังจากที่เช็คตัวเองเสร็จสรรพแล้ว ผมก็ออกเดินทางไปยังร้าน XYZ ซึ่งเป็นที่ทำงานใหม่ของผมทันที
วันนี้คงจะยังไม่ได้ทำอะไรหนักมาก คนที่เป็นคนสัมภาษณ์ผมบอกว่าวันแรกจะให้เรียนรู้งานก่อน ร้าน XYZ เป็นร้านอาหารที่จัดว่าอยู่ในระดับหรูและบริการแต่คนระดับไฮโซเท่านั้น ดังนั้นบริกรอย่างผมจำเป็นจะต้องใส่สูท อันที่จริงผมไม่ค่อยชอบงานบริการเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ติดว่าคยองซูแนะนำร้านนี้มา ผมก็คงไม่คิดจะทำ
เมื่อผมมาถึงที่ร้าน ก็พบว่าคยองซุกับแบคฮยอนมาถึงอยู่ก่อนแล้ว ผมหน้าเจื่อนไปนิดหน่อยเมื่อได้เห็นแบคฮยอนอีกครั้ง หมอนั่นเองก็เช่นกัน เอาแต่มองผมด้วยสายตาดุดันราวกับโกรธผมมาแต่ชาติปางไหน แต่ผมก็ดีใจนะที่เราสองคนรู้สึกเหมือนกัน
“มานานรึยังหรอคยองซู” ผมเดินเข้าไปทักทายคยองซูด้วยรอยยิ้มกว้าง และทำทีเป็นไม่สนใจสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ข้างๆ คยองซู ทำให้หมอนั่นต้องยกมือขึ้นโอบเอวคยองซูเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ถึงจะโมโหกับภาพตรงหน้ามากแค่ไหน แต่ผมก็จะไม่แสดงออกไปหรอกนะ
“เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เองแหละ ตั้งใจทำงานนะ” คยองซูพูดกับผมพลางยิ้มกว้าง ดูเหมือนจะเกร็งๆ เพราะอยู่ต่อหน้าแบคฮยอน ให้ตายสิ ผมชักเกลียดหมอนี่ขึ้นมามากกว่าเดิมแล้วนะ ทำไมต้องทำให้ผมกับคยองซูอึดอัดด้วยเนี่ย
“คยองซู หน้าเค้ามีอะไรเปื้อนมั้ย” แบคฮยอนจงใจพูดแทรกขึ้นมาระหว่างที่คยองซูกำลังยิ้มให้ผม หมอนั่นแกล้งเอียงหน้าเข้าใกล้คยองซูจนเกือบจะหอมแก้มกันได้ต่อหน้าต่อตาผม
ผมยืนกำหมัดแน่น สิ่งเดียวที่ทำได้คือมองไปทางอื่น
“ไม่ได้เปื้อนอะไรนี่” หลังจากที่คยองซูสำรวจใบหน้าของแบคฮยอนที่จงใจจะแกล้งผมให้เจ็บอยู่ครู่หนึ่ง คยองซูก็พูดออกมาแบบนั้น เจ้าตัวเล็กนี่ทั้งลูบแก้มแบคฮยอน ทั้งจิ้มโน่นจิ้มนี่บนใบหน้าแบคฮยอนต่อหน้าผม ทำให้ผมยิ่งอยากจะต่อยหน้าแบคฮยอนมากขึ้นไปอีก
“เดี๋ยวเราเข้าไปทำงานก่อนแล้วกันเนอะ”
ผมพูดเพราะเริ่มทนไม่ไหว ตอนนี้ผมยอมแพ้ก่อนเพราะผมไม่มีทางสู้จริงๆ ยังไงคยองซูก็มองผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ทันทีที่ผมบอกลา คยองซูก็พยักหน้ารับรู้และหันไปงุ้งงิ้งกับแบคฮยอนต่ออย่างไม่สนใจผมเลย
แบคฮยอน … ตอนนี้ฉันต่อให้นายก่อนก็แล้วกัน
ผมเดินเข้ามาในห้องรับรองพนักงานและมีโอกาสได้คุยกับหัวหน้าแผนกตามลำพังเพราะแบคฮยอนยังไม่เข้ามา คาดว่าคงจะยังสวีทกับคยองซูไม่เสร็จ ผมนึกอะไรขึ้นมาได้เลยใช้จังหวะนี้คุยกับหัวหน้าซะเลย
“หัวหน้าครับ คือ ถ้าผมขออะไรบางอย่างหัวหน้าจะว่ามั้ยครับ”
“มีอะไรล่ะ ลองว่ามาซิ”
“คือผมกับแบคฮยอน… เราสนิทกันมากเลยครับ” ผมยิ้มกว้าง หัวหน้าตั้งใจฟังผมอย่างจดจ่อ
“ผมขอทำงานแผนกเดียวกับแบคฮยอนได้มั้ยครับ เอายังไงก็ได้ให้เราได้อยู่ด้วยกัน”
“อืม… แน่ใจนะว่าจะไม่พากันเสียงานเสียการน่ะ” หัวหน้าพยักหน้าช้าๆ เลิกคิ้วนิดหน่อย
“แน่ใจครับ ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลยครับ!”
งานวันนี้ไม่หนักหนาตามที่คิดเอาไว้จริงๆ ด้วย ผมได้เดินสำรวจทั่วร้านและนั่งท่องเมนูอย่างขะมักเขม้นโดยมีแบคฮยอนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ผมรู้ว่าหมอนี่อึดอัดใจมากที่ต้องมาอยู่กับผม แต่ถ้ามันเป็นคำสั่งของหัวหน้า ก็คงจะขัดอะไรไม่ได้
“นี่แบคฮยอน เราชื่อชานยอลนะ” ผมรู้ว่ามันสายเกินไปนิดหน่อยที่ผมจะแกล้งมาตีสนิทกับแบคฮยอนตอนนี้ แต่ผมก็ไม่ได้แสดงออกไปมากมายขนาดนั้นนี่เนอะ ยังไงผมก็หน้าด้านหน้าทนอยู่แล้วล่ะ เรื่องแค่นี้สบายมาก
“อ… อืม เราแบคฮยอน” แบคฮยอนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจนิดหน่อย เลิกคิ้วสงสัยในตัวผม เชื่อเลยล่ะว่าหมอนี่ต้องพยายามเดาว่าผมจะมาไม้ไหน
“จะแนะนำตัวอีกทำไม ก็เรารู้จักชื่อนายแล้ว” ผมแกล้งขำออกมาอย่างเป็นมิตร กระทุ้งแขนอีกคนเบาๆ ตีเนียนเป็นว่าสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกว่าเดิม
แต่ผมไม่สนใจหรอก บอกแล้วไงว่าผมหน้าด้าน
“เออนี่ รู้อะไรมั้ย” ผมใช้จังหวะที่หัวหน้าไม่อยู่ตีสนิทกับแบคฮยอนอย่างเต็มที่ เรื่องแบบนี้น่ะผมถนัดอยู่แล้ว เพราะใครๆ ก็บอกว่าผมเป็นคนสนิทกับคนง่าย
“หืม?” แบคฮยอนเลิกคิ้ว
“เมื่อวันก่อนเว้ย เราเพิ่งจะตกลงปลงใจเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนึง” ผมเริ่มนึกอะไรดีๆ ออก ทางที่ดีผมควรจะบอกแบคฮยอนไปว่าผมมีแฟนอยู่แล้ว เพื่อที่หมอนี่จะได้ไม่สงสัยในตัวผม และทางก็จะสะดวกมากขึ้น
“แล้ว…ยังไง”
“จริงๆ คือไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าโคตรเหมือนคยองซูแฟนนายเลย” ผมแกล้งขำออกมา ทำให้แบคฮยอนที่หน้าเจื่อนอยู่แล้วต้องหัวเราะแห้งๆ ออกมาด้วยสีหน้าที่เจื่อนยิ่งกว่าเดิม
“โอเคๆ ไม่กวนแล้ว ท่องเมนูกันต่อเถอะ”
.
.
ผมกับแบคฮยอนนั่งเรียนรู้งานกันทั้งวันจนได้เวลาเลิกงาน ผมเอาแต่ชวนแบคฮยอนคุยถึงแม้ว่าหมอนี่จะทำหน้ารำคาญผมเต็มทนก็ตาม แต่หลังๆ มานี่แบคฮยอนก็เริ่มคุยโต้ตอบกับผมบ้างแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกดีเพราะมันหมายความว่าแบคฮยอนเริ่มหมดความคลางแคลงในตัวผมแล้ว
“แบคฮยอน หิวข้าวว่ะ” ผมพูดออกมา เบ้ปากเล็กน้อยตามประสา
“เดี๋ยวเลิกงานนี่เราจะไปกินข้าวกับคยองซูอะ” แบคฮยอนพูดระหว่างที่เก็บกระเป๋า หมอนี่เริ่มยิ้มให้ผมบ้างแล้ว เห็นแบบนั้นผมเลยยิ้มกว้างกว่าเดิม
“จริงดิ งั้นเราไปด้วยคนนะ”
“อ… เออๆ ได้ เอาดิ” แบคฮยอนหน้าเหวอไปเล็กน้อยเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น ผมรู้สึกสะใจแบบโคตรๆ ที่ทำให้มันเหวอได้ขนาดนี้ มันคงคิดไม่ถึงว่าผมจะหน้าด้านขนาดนี้สินะ
ในที่สุดเราสามคนก็มาอยู่ในร้านอาหารในละแวกนั้น คยองซูทำตัวปกติดี หนำซ้ำเจ้าตัวเล็กยังรู้สึกดีด้วยที่ผมกับแบคฮยอนสนิทกัน(แบบปลอมๆ) ส่วนแบคฮยอนเองถึงแม้จะเลิกสงสัยในตัวผมแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรำคาญผมน้อยลงเลย
“อันนี้อร่อยนะ ลองชิมดู” ผมตักปลาหมึกทรงเครื่องในชามของผมใส่ชามคยองซู ทุกการกระทำอยู่ในสายตาแบคฮยอนตลอด หมอนั่นเอาแต่มองตาเป็นมัน กว่าจะกลืนแต่ละคำลงคอได้ดูลำบากเหลือเกิน ผมสะใจชะมัด
“คุณเคค้าบ ป้อนอันนั้นให้เค้าหน่อย” ผมไม่รู้ว่าแบคฮยอนคิดจะตอกหน้าผมกลับรึเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือการอ้อนของไอ้บ้านี่ทำให้ผมอยากจะสำรอกสิ่งที่กินเข้าไปออกมาทั้งหมดเลยจริงๆ
ผมอ้อนได้น่ารักกว่ามันร้อยเท่าพันเท่าเลยเหอะ ..
เราสามคนทานมื้อค่ำกันอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่ดูเหมือนจะมีแค่คยองซูคนเดียวที่มีความสุขเพราะไม่รู้อะไรเลย ส่วนคนที่ทุกข์ที่สุดก็เห็นจะเป็นผมนี่แหละ ที่ต้องมานั่งดูสองคนนี้สวีทกันต่อหน้าต่อตา แต่คงสวีทไม่ได้มากเพราะเกรงใจผมอยู่
ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกสะใจหรือเสียใจมากกว่ากัน แต่อย่างมากสุดก็คงจะพอๆ กัน ผมสะใจที่ผมทำให้แบคฮยอนรู้สึกอึดอัดและกระอักกระอ่วนใจได้สำเร็จ เพราะสถานะของผมกับคยองซูคือเพื่อนกัน และแบคฮยอนก็รู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้ว เลยไม่อยากจะหึงอะไรผมมากมาย แต่ดูท่าทีแล้วหมอนั่นก็ไม่พอใจไม่น้อยเลย
แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกเสียใจ เสียใจที่คยองซูไม่เลือกผม จะบอกว่าผมไม่ยอมรับความจริงก็ได้ แต่สิ่งที่ผมทำไปทั้งหมด ทุ่มเทไปทั้งหมด มันไม่ควรจะได้รับผลลัพธ์แบบนี้ไม่ใช่เหรอไง
คยองซูคือรักแรกพบของผม ผมไม่ยอมปล่อยรักแรกพบครั้งเดียวในชีวิตผมให้หลุดมือไปง่ายๆ หรอก
.
.
.
วันนี้ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปช้าแบบนี้นะ
ผมมาทำงานกับคุณหมอคิมตอนเย็นเป็นปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือตัวผม ความรู้สึกของผม ตอนนี้หัวใจผมแห้งเหี่ยวเหมือนคนใกล้ตายเต็มที ผมไม่ร่าเริงเหมือนเก่าจนคุณหมอคิมเอ่ยปากถามว่าผมไม่สบายหรือเปล่า
ผมจะบอกยังไงดี… แต่ลูกชายของคุณหมอนั่นแหละครับที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้
“วันนี้เคสผ่าตัดเยอะจริงๆ” คุณหมอคิมพูดเมื่อเดินเข้าห้องมา สีหน้าเหน็ดเหนื่อยแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน ปกติคุณหมอคิมจะดูขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลา ผมยังนึกอิจฉาที่คุณหมออายุเยอะขนาดนี้แล้วยังดูแข็งแรง และทะมัดทะแมงกว่าผมที่เป็นวัยรุ่นซะอีก
วืดดดดดดดดดดดด~
“คุณหมอ!”
ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปรับคุณหมอที่หน้ามืดและกำลังจะล้มเซลง โชคดีที่ผมรับเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นหัวคุณหมอได้กระแทกโต๊ะเป็นแน่
ผมจัดการพยุงคุณหมอเข้าห้องตรวจโดยเร็ว หัวใจของผมเต้นรัวราวกับกลองเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ถึงจะทำอะไรไม่ค่อยถูกแต่ก็นึกขอบคุณตัวเองที่ยังมีสติพาคุณหมอมาถึงที่ตรวจได้อย่างปลอดภัย ทีมแพทย์รีบตรวจดูอาการคุณหมอและบอกให้ผมออกไปรอข้างนอกก่อน
จงอินคือคนแรกที่ผมนึกขึ้นมาได้
‘ พ่อนายเป็นลมกระทันหัน มาเยี่ยมพ่อนายด้วย ’
ผมส่งข้อความหาจงอินไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าระหว่างเราสองคนมันไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว แต่ผมเคยสัญญาไว้กับนายนั่นว่าถ้าพ่อจงอินเป็นอะไรไป จงอินก็ควรจะเป็นคนแรกที่ได้รู้ และผมก็จะไม่ผิดสัญญา
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จงอินก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่คุณหมอคิมนอนตรวจอยู่
“พ่อผมเป็นยังไงบ้างครับ” จงอินถามด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลน ผมไม่ค่อยเห็นหมอนั่นเป็นแบบนี้เท่าไหร่ ปกติจะนิ่งๆ เย็นชา และดูใจร้ายมากๆ … หมอนั่นคงเป็นห่วงพ่อมากจริงๆ
“วันนี้คุณหมอมีเคสผ่าตัดเยอะ แกคงจะเหนื่อยเลยหน้ามืดไปค่ะ โชคดีที่ผู้ช่วยเซฮุนมารับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นหัวกระแทกโต๊ะไปแล้ว” พี่พยาบาลที่ทำงานอยู่ห้องเดียวกับผมเล่าให้จงอินฟัง พอผมได้ยินแบบนั้นก็ทำทีจะเดินหนีไปที่อื่นเพราะผมไม่อยากจะเสวนากับจงอิน แต่จงอินกลับรั้งไว้ก่อน
“เดี๋ยว” ผมหยุดกึกตามเสียงทุ้มนั่น แต่ก็ไม่หันไปหาแม้แต่นิด
“จะไปไหน”
“ถ้าลูกชายคุณหมอมาแล้ว ผมก็หมดธุระแล้วครับ”
“อย่าเพิ่ง…”
“……………”
“อย่าเพิ่งไปเลยนะ… ช่วย… อยู่กับฉันก่อน”
.
.
ผมอยากจะทุบตัวเองให้ตาย ถึงปากผมจะปฏิเสธว่าผมไม่อยากเจอหน้าจงอิน ไม่อยากคุยกับจงอินมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่เคยปฏิเสธหัวใจตัวเองได้เลยสักครั้งเดียว
ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนร้องขอให้ผมอยู่แบบนั้นของจงอิน แต่เป็นเพราะผมรักคนๆ นี้มาก มากเสียจนผมยอมให้ได้ทุกอย่าง ทั้งร่างกาย และหัวใจของผม
“ชอบกินโกโก้ไข่มุกใช่มั้ย” ผมเดินตามจงอินมายังร้านกาแฟเล็กๆ ของทางโรงพยาบาลระหว่างรอคุณหมอคิมตื่น จงอินหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผมเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อยที่จงอินรู้ว่าผมชอบอะไร
“อืม” ผมตอบออกไปเบาๆ แน่นอนว่าที่แสดงออกไปนั้นขัดกับใจอย่างมาก
หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มเสร็จสรรพ ผมกับจงอินก็พากันเดินมาหาที่นั่งที่อยู่ในมุมหลืบ ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินโกโก้ไข่มุกที่จงอินเป็นคนสั่งให้โดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเลย ทั้งๆ ที่หัวใจผมเรียกร้อง และอยากมองหน้าจงอินใจจะขาด
“ขอโทษ…”
จงอินพูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมอดเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้าไม่ได้ ดวงตาของจงอินที่มองมาทางผมบ่งบอกว่าเขารู้สึกผิดมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังโกรธอยู่ดี
“ขอโทษทำไม”
“ขอโทษที่ฉันทำให้พี่นายต้องเจ็บ… แล้วก็ ทำให้นายเจ็บด้วย”
“เราไม่ได้เจ็บตรงไหนนี่”
เมื่อผมว่าจบ จงอินก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาหาผม บรรจงแตะเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของผมเบาๆ .. ใบหน้าของผมร้อนผ่าวไปหมด ถึงแม้เราสองคนจะเคยทำอะไรที่มันมากกว่านี้เยอะแยะ แต่การสัมผัสเบาๆ ในครั้งนี้ของจงอินทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา ผมรีบผละตัวเองออกจากมือจงอินทันทีที่ตั้งสติได้
ผมกลัว… กลัวว่าจงอินจะรู้ว่าหัวใจของผมกำลังเต้นแรงมากแค่ไหน
“ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจ ขอโทษ…”
“จะมาพูดแค่นี้ใช่มั้ย”
“ไม่ เดี๋ยว!” จงอินพูดเสียงดังเมื่อผมทำทีว่าจะลุกหนี
“มีอะไรอีก เราไม่ได้ว่างงานเหมือนนายหรอกนะ”
จงอินจับมือผมที่เพิ่งจะลุกพรวดให้นั่งลงเหมือนเดิม ผมค่อยๆ นั่งลงตามแรงดึงของอีกคนอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงไม่ว่างานอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดเหนืองานทั้งหลายทั้งปวงก็คือคนที่อยู่กับผมตอนนี้
คิม จงอิน
จงอินนั่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เอาแต่ก้มหน้ามองโต๊ะจนผมอยากจะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนให้รู้แล้วรู้รอด แต่แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเห็น .. จงอินกำลังร้องไห้ น้ำตาของจงอินค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้มเนียนนั่น ผมได้แต่นั่งมองอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
“จงอิน…”
“เราไม่เหลืออะไรแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่จงอินแทนตัวเองว่า ‘เรา’ เพราะปกติจงอินจะแทนตัวเองว่าฉัน ผมรู้สึกดีใจ ในขณะเดียวกันก็กังวลใจมากที่เห็นจงอินเป็นแบบนี้ ตอนนี้จงอินคงกำลังอ่อนแอมาก และต้องการคนอยู่ด้วยสักคน
ไม่ผิดใช่ไหม ถ้าผมจะขออาสาเป็นคนๆ นั้น
“คยองซูเลือกไอ้แบค เราเป็นแค่หมาหัวเน่า”
ถึงจะโกรธที่จงอินเอ่ยชื่อคยองซูออกมาอีกครั้ง ผมก็ต้องระงับอารมณ์โกรธนั้นเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ตอนนี้ผมมีหน้าที่เป็นแค่คนคอยปลอบจงอิน ไม่ใช่คนคอยซ้ำเติม
“ไม่หรอก สำหรับเราจงอินไม่เคยเป็นหมาหัวเน่า” ผมยกมือขึ้นตบบ่าจงอินเบาๆ ผมปลอบคนไม่เก่ง และผมก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใครด้วย เวลาที่ผมเห็นจงอินเศร้าแบบนี้ หัวใจของผมมันก็จุกเสียดขึ้นมาไม่แพ้กันเลยทุกที
นี่ผมรักจงอินมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“ขอบใจนะ” จงอินพูดเบาๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไว้จนเสียงกลับมาเป็นปกติ
“ถ้ารักเขามาก ก็สู้สิ” ไม่รู้ว่าผมนึกยังไงถึงได้พูดออกมาแบบนั้น แทนที่จะเสนอตัวเองให้จงอิน ผมกลับเชียร์ให้จงอินสู้ต่อ หรือเพราะผมรู้ตัวว่ายังไงเรื่องของผมกับจงอินก็ไม่มีวันเป็นไปได้กันนะ
“หืม?” จงอินเลิกคิ้ว สงสัยในคำพูดของผม
“จงอินไม่ได้ด้อยไปกว่าแฟนของคยองซูหรอก เราเชื่อแบบนั้น”
“เราควรสู้ต่อเหรอ…”
“อืม สู้… จนกว่าจะไม่ไหวน่ะ”
จงอินเลิกคิ้วนิดหน่อย จ้องตากับผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดโทรหาใครบางคน ผมแอบเห็นชื่อว่าเป็นแบคฮยอน ผมแอบกังวลใจนิดๆ ว่าจงอินจะทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“แบคฮยอน มึงออกมาหากูหน่อย.. ห้ามให้คยองซูรู้”
.
.
.
“คุณเคครับ เดี๋ยวเค้าไปหาเพื่อนแป๊บนึงนะครับ คุณเคกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ”
ผมจำเป็นต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารกระทันหันเพราะไอ้จงอินโทรมาหาผม ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องผมกับคยองซูแล้วหรือยังไง แล้วมันจะหาเรื่องอะไรผมอีก แต่ที่แน่ๆ ผมกับมันมีเรื่องต้องคุยกันอยู่แล้ว ผมเองก็หาโอกาสนี้อยู่พอดี
“เพื่อนคนไหนอ่ะ” คยองซูเอ่ยปากถามผมในขณะที่ปากยังคงเคี้ยวข้าวอยู่
“คุณเคไม่รู้จักหรอก เอาเป็นว่าถ้าเสร็จธุระแล้วเดี๋ยวเค้าโทรหานะ”
พูดจบผมก็หอมแก้มคยองซูแบบไวๆ ไปหนึ่งทีก่อนจะเดินออกมาจากโต๊ะ อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยอยากทิ้งคยองซูไว้กับชานยอลหรอก ผมน่ะโคตรไม่ไว้ใจไอ้บ้านั่นเลย แต่พอมันเล่าให้ผมฟังเรื่องแฟนผมก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง นอกจากเป็นคนพูดมากน่ารำคาญเกินไปหน่อยแล้ว ชานยอลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หนำซ้ำผมยังคิดว่าหมอนี่สติไม่ค่อยดีอีกต่างหาก
ตลกดีที่ตอนแรกผมคิดว่าชานยอลชอบคยองซู ก็หมอนั่นน่าสงสัยจริงๆ นี่
.
.
ผมมาถึงที่หมายที่จงอินเป็นคนนัดไว้คือหน้าโรงพยาบาลโซล ที่ๆ พ่อของไอ้เวรนั่นทำงานอยู่ มันน่ะรักพ่อยิ่งกว่าอะไรดี แต่ไม่เคยจะแสดงออกแบบดีๆ ให้พ่อได้รู้เลยสักหน ผมอยากจะต่อยหน้ามันสักครั้งพอคิดขึ้นมาได้
“มาไวดีเหมือนกันนี่” พอผมมาปรากฏตัวตรงหน้า มันก็ทำน้ำเสียงกวนตีนใส่ผมทันที
“มีอะไรก็รีบพูดมา”
“เพื่อนยาก…” จงอินเดินเข้ามาหาผม ตบบ่าผมสามที “ได้ข่าวว่าคบกับคยองซูแล้วนี่หว่า”
“รู้ตัวว่าแพ้ก็ถอยไปได้แล้ว” ผมจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“แพ้… แพ้คืออะไรวะ คนอย่างจงอินไม่เคยรู้จัก”
จงอินหัวเราะร้าย ทำให้ผมหมั่นไส้จนอยากจะเตะแม่งสักทีสองทีแต่ต้องระงับอารมณ์ไว้ก่อน จงอินค่อยๆ นั่งลงแล้วมองหน้าผมอย่างเอาจริงเอาจัง ผมเองก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าจงอินจะพูดอะไรเหมือนกัน
“แบคฮยอน… ชัยชนะของมึงน่ะ มันไม่ถาวรหรอกนะ”
“มึงจะคิดแบบนั้นก็เรื่องของมึง ถ้ามึงสบายใจน่ะนะ” ผมหัวเราะร่วน
“ติดที่กูไม่สบายใจน่ะสิ” จงอินยิ้มกวน “กูโคตรจะไม่สบายใจเลยเวลาเห็นมึงอยู่กับคยองซูเนี่ย”
“มึงคิดจะทำอะไร”
“เปล๊า … ใครบอกว่ากูคิดล่ะ กูยังไม่ได้เริ่มคิดเลยด้วยซ้ำ”
“คนเลวๆ อย่างมึงคงคิดจะมาขวางทางกูกับคยองซูสินะ”
“แบคฮยอน … กูแค่อยากจะมาเตือนสติมึง” จงอินยิ้มมุมปาก จ้องตาผมอย่างกวนประสาท
“คนอย่างมึง ต้อยต่ำอย่างมึงเนี่ยเหรอ จะเป็นแฟนคยองซู จะดูแลคยองซูได้… พ่อมึงจะตกงานแหล่ ไม่ตกงานแหล่ มึงไปดูแลพ่อมึงไม่ดีกว่าเหรอ หื้ม”
ผมสะอึกไปชั่วขณะ กำหมัดแน่น พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจไม่ให้เผลอต่อยไอ้ชั่วนี่เพราะผมไม่อยากมีเรื่องกับมันอีก เรื่องที่จงอินพูดมันก็ถูก เรื่องพ่อของผมที่ผมยังไม่รู้จะเอายังไงดีเลย
“หุบปากเสียๆ ของมึงไปเถอะ ไอ้ขี้แพ้ชวนตี”
“มึงรู้รึเปล่าว่านี่เพิ่งจะเริ่มต้น มึงอาจจะมีความสุขที่ได้อยู่กับคยองซู แต่ความสุขของมึง… มันไม่เกินสามวันแน่ๆ”
“…………”
“ถ้ายังมีแรงเดิน ก็เดินต่อไปนะ เดินให้สนุก… แล้วก็อย่าลืมระวังหลังไว้ด้วยล่ะ”
“…………”
“เพราะกู… กูนี่แหละที่จะคอยขัดขามึงให้ล้มเอง… มึงคอยดูก็แล้วกัน”
.
.
.
แบคฮยอนหายไปเกือบจะชั่วโมงนึงแล้ว … ตอนนี้ผมอยู่กับชานยอล และเราสองคนก็กินกันจนอิ่มแล้วด้วย คาดว่าคืนนี้ผมคงต้องกลับบ้านคนเดียวตามที่แบคฮยอนบอกเอาไว้จริงๆ
“กลับกันเหอะชานยอล”
“เดี๋ยวสิคยองซู คือ… เรามีอะไรจะพูด”
ผมจ้องหน้าชานยอลอย่างสงสัย ชานยอลจับแขนของผมเอาไว้แล้วจ้องตาผมเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ และจ้องตาอีกฝ่ายตอบ
“มีอะไรเหรอ”
“คยองซู… สำหรับคยองซูเราเป็นเพื่อนคนหนึ่งใช่มั้ย”
“เพื่อนที่ดีเลยล่ะ มีอะไรรึเปล่า” ผมยิ้มบาง ดูเหมือนว่าเพื่อนผมคนนี้จะมีปัญหานะ
“แล้วถ้า… เราจะบอกว่าเราไม่ได้คิดกับคยองซูแค่เพื่อนล่ะ”
“เห?” ผมพูดเสียงหลง หัวใจเริ่มเต้นแรงเมื่อได้ยินอะไรแบบนั้น “แกล้งอีกแล้วเหรอ”
“ไม่ ไม่ได้แกล้ง คราวนี้เราพูดจริงๆ”
นี่มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย…
“เรารู้ว่ามันไม่สมควร แต่เราชอบคยองซูมานานแล้ว ก่อนที่คยองซูจะเป็นแฟนกับแบคฮยอนเสียอีก”
“ชานยอลคือว่า…”
“เราจะไม่พูดหรอกนะว่าเราทุ่มเทอะไรไปกับคยองซูบ้าง แต่เรามีคำถาม…”
“คำถาม?”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา คยองซูเคยรู้สึกดีๆ กับเราบ้างไหม”
“รู้สึกดีๆ เหรอ…”
“เคย…ชอบเราบ้างมั้ย…”
ผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จะบอกว่าไม่เคยเลยมันก็จะดูใจร้ายเกินไป ที่ผ่านมาชานยอลดีกับผมมาก คอยเป็นทั้งที่ปรึกษาและคนคอยให้กำลังใจกับผมเสมอมา ผมไม่เคยคิดว่าชานยอลจะคิดอะไรเกินเลยกับผมแบบนี้ ผมคิดแค่ว่าชานยอลเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แม้จะมีบางช่วงที่ผมรู้สึกหวั่นไหวก็ตาม
แต่หัวใจของผม เรียกร้องแค่ชื่อของคนๆ เดียวเท่านั้น
“ชานยอล…”
“ไม่เคยเลยใช่มั้ย” ชานยอลคลี่ยิ้มบาง ไม่สบตาผมอีกต่อไป ผมไม่เคยรู้สึกสงสารใครมากเท่านี้มาก่อนเลย
“ก็…”
“สักครั้ง… ก็ไม่เคยเลยเหรอ”
“…………”
“ไม่เคยเลยแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ… คยองซู”
“…………”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ผมไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมไม่กล้าตอบอะไรออกไปเลยเพราะกลัวจะทำร้ายจิตใจคนตรงหน้า แค่ตอนนี้ชานยอลก็ดูน่าสงสารมากพออยู่แล้ว บางทีความเงียบคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้
“คยองซู…”
“…………”
“ไม่อยาก… จะพยายามกับเราสักครั้งเลยเหรอ”
“หืม?”
“คิดซะว่าสงสารก็ได้ แต่… ช่วยลองมาพยายามกับเราสักครั้งได้ไหม”
“ชานยอล…”
ผมเริ่มกล้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาของชานยอลแบบตรงๆ กว่าเดิมแล้ว และผมก็พบว่าตอนนี้น้ำใสกำลังเอ่อล้นดวงตาของชานยอล พร้อมจะไหลลงมาอาบแก้มนั่นได้ทุกเมื่อ ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในอกของผมกระทันหัน ผมไม่ชอบแบบนี้เลย ผมไม่ชอบเห็นน้ำตาของใครเลย
ผมไม่ชอบให้ใครร้องไห้เพราะผมเลย
ชานยอลจ้องมองมาที่ผม รอยยิ้มบนใบหน้านั่นขัดกับดวงตาที่เศร้าสร้อยและหดหู่เต็มทนมากๆ มือหนาค่อยๆ จับมือของผมเอาไว้เบาบางราวกับกลัวผมจะเจ็บ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“นะคยองซู… สักครั้ง.. แค่สักครั้งเดียวก็ยังดี”
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น