คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ` c h a p t e r 7 ♡ { h a p p i n e s s & p a i n }
C I R C L E
` c h a p t e r 7 ♡ { h a p p i n e s s & p a i n }
“อ… อืม”
ผมค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งแล้วขยี้ตาตัวเองด้วยความงัวเงียแบบสุดฤทธิ์ ถ้าหากว่าแสงอาทิตย์มันไม่ได้จ้าขนาดที่ว่ามาแยงตาผมได้ล่ะก็ ป่านนี้ผมคงยังไม่คิดจะตื่นขึ้นมาเลยแหละ
ผมเหลือบมองผู้ชายที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในตอนนี้ … จงอินนอนอยู่ข้างๆ ผมมาตลอดทั้งคืน
ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดได้แบบนั้น
ผมมีความสุขของผม ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้คิดแบบเดียวกันเลยก็ตาม
“กี่โมงแล้วเนี่ย โอ้ย… ปวดหัว” สงสัยว่าผมจะขยับตัวแรงไปหน่อย จงอินก็เลยตื่นตามผมมาติดๆ ท่าทางงัวเงียบวกกับเรือนร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าแบบนี้ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ปนน่ารักดีจังเลยแฮะ
“สิบโมง” ผมตอบไปเรียบๆ จ้องมองใบหน้าของคนที่เพิ่งตื่นจากนิทราด้วยสายตารักใคร่
“เดี๋ยวนะ” จงอินเบิกตากว้างทันทีที่เห็นว่าเป็นผม สายตาคมกวาดมองทั่วห้องของผม และมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของผมอย่างตกอกตกใจราวกับเพิ่งได้รับรู้ในเรื่องที่ไม่คาดฝันมาก่อน
“นี่เมื่อคืนฉัน… กับนาย?” จงอินรีบเด้งตัวขึ้นมาทันทีที่นึกขึ้นได้ ดวงตาเบิกกว้าง อาการงัวเงียเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมพยักหน้าช้าๆ สบตาอีกคนก่อนจะค่อยๆ หลบสายตาไปทางอื่น กลืนน้ำลายลงคอลำบากจริงๆ วินาทีนี้
“คือ…” จงอินเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด หน้าถอดสีจนเห็นได้ชัด
“คือว่าเซฮุน ฉัน…”
“………………”
“ฉันไม่ได้ลืมหรอกนะว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้าง แต่…”
“………………” ผมจ้องตาอีกฝ่าย แอบดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
“แต่ฉันคิดว่านาย… คือคยองซู”
…ราวกับโลกทั้งใบพังลงตรงหน้า…
ผมยอมให้จงอินต่อว่าด่าทอผม ผมยอมให้จงอินพูดว่าผมมันห่วยแตกเรื่องบนเตียง ผมยอมให้จงอินด่าว่าผมจูบไม่ได้เรื่อง ผมยอมทุกอย่าง แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
มันต้องไม่ใช่การเห็นภาพคยองซูซ้อนบนใบหน้าผมแบบนี้
“งั้นเหรอ” ผมยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ผมตั้งใจจะยิ้มให้จงอินจริงๆ เป็นรอยยิ้มโง่ๆ ของคนโง่ๆ ที่พ่ายแพ้หมดหน้าตัก
“ขอโทษ” จงอินได้แต่ก้มหน้าและขยี้หัวตัวเองไปมาช้าๆ เหมือนเดิม คิ้วที่ขมวดแน่นของเขาทำให้ผมพอจะเดาออกว่าจงอินลำบากใจและรู้สึกผิดมากแค่ไหน
“เราหน้าเหมือนคยองซูมากเลยเหรอ”
“เปล่า… ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษ”
“ขอโทษแล้วความรู้สึกดีๆ มันกลับมาไหมล่ะ”
“ก็รู้… ก็บอกว่าขอโทษไงโว้ย”
จงอินสลัดผ้าห่มออกแล้วเดินไปใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อยโดยไม่หันมามองผมสักนิด แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะผมไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องหันมาเห็นน้ำตาที่มันค่อยๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มของผม
ความเจ็บปวดของผมตอนนี้ ถึงร้องไห้ออกมาจะเป็นจะตายแค่ไหนมันก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นหรอก
“คยองซูสำคัญกับนายขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมรีบปาดน้ำตาลวกๆ พยายามข่มเสียงไม่ให้สะอื้น
“อืม… มาก” จงอินตอบในขณะที่กำลังจัดเข็มขัดตัวเองอยู่ ไม่หันมาสบตาผมเช่นเคย
“เราชอบจงอิน”
“………………………”
“ที่เรายอม ก็เพราะเราชอบ รู้บ้างรึเปล่า”
“ขอบใจ”
“ขอบใจ?”
“ขอบใจที่ชอบฉัน แต่ขอโทษ… ที่ฉันไม่รู้สึกชอบนายเลย”
“จงอิน”
“ขอโทษ จะให้ขอโทษกี่รอบก็ได้ แต่ในใจฉันมีแค่คยองซูคนเดียว และเมื่อคืนที่ฉันทำลงไปก็เพราะฉันนึกว่านายคือคยองซูจริงๆ”
จงอินหันมาจ้องตากับผม เราสองคนสบตากันเนิ่นนาน ไม่ว่าผมจะพยายามถ่ายทอดความเจ็บปวดที่มีอยู่ตอนนี้ผ่านทางดวงตาไปให้อีกฝ่ายรับรู้มากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไม่มีหนทางเลยที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกของผมในตอนนี้
ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอเซฮุน เขาไม่ชอบ และไม่มีทางชอบ เข้าใจไหมเซฮุน
“ลงไปส่งหน่อย”
“……………………”
“นี่ ลงไปส่งฉันหน่อย ฉันต้องรีบกลับ”
“อืม”
ผมรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยความโกรธที่สั่งสมอยู่เต็มอก ทั้งโกรธ เจ็บปวด เสียใจ และน้อยใจในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดจริงๆ ผมขอบอกเลยว่าผมไม่เคยเป็นแบบนี้ จนกระทั่งได้มารู้จักกับคิมจงอิน
ผมเดินนำจงอินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน โชคดีที่พี่จุนกับคุณพ่อออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากผมและจงอิน เราทั้งสองต่างสาดความเงียบใส่กันจนผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม
ก่อนจะเดินจากไป จงอินมองตาผมอยู่นานราวกับว่าจะบอกอะไรกับผม แต่กระนั้นก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากคนใจร้ายคนนี้อยู่ดี ในที่สุดจงอินก็เดินจากไป ไม่มีคำพูดใด ไม่มีแม้แต่คำลาดีๆ สักคำ
เจ็บ… ยิ่งกว่าโดนมีดกรีดลงตรงหัวใจ
ผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน กำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น โดยไม่ต้องลงมืออะไรเลย…
.
.
.
วันนี้ผมมีธุระรัดตัวแต่เช้าเลย
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของผมหรอก มันเป็นเรื่องที่ผมเข้าไปยุ่งเองมากกว่า อย่างที่ผมเคยบอกเอาไว้ว่าผมจะต้องหาทางช่วยคยองซูให้ได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นให้ได้ และตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าสถานฑูตเรียบร้อยแล้ว
ผมรู้จักกับเพื่อนที่ทำงานที่นี่ และไอ้หมอนี่น่ะเส้นสายเยอะทีเดียว สามารถช่วยผมได้เกือบจะทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องสอบชิงทุนไปญี่ปุ่นนี่ ผมโกหกเจ้าซีวอนมันไปว่าคยองซูเป็นน้องชายที่รู้จัก และอยากจะให้ช่วยเดินเรื่องพิจารณาเด็กคนนี้หน่อย สิ่งที่ผมต้องนำมาในวันนี้คือประวัติของคยองซูพร้อมรูปถ่าย ซึ่งผมใช้ให้คนไปสืบค้นมาด้วยตัวเอง
คยองซูจะสอบชิงทุนในเดือนหน้า แต่ผมพอจะรู้มาว่าภาษาญี่ปุ่นของคยองซูไม่ได้อยู่ในระดับที่จะแข่งขันกับคนเก่งๆ หัวกระทิได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาสอบนั้น มีความรู้ชนิดที่เรียกได้ว่าเจ้าของภาษายังอาย
ใช่… วันนี้ผมมาทำเรื่องเตรียมโกงให้คยองซูล่วงหน้า
ใช่… ผมรู้ว่ามันผิด แต่มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอถ้าผมจะทำอะไรให้คนที่ผมรักบ้าง
“มาแต่เช้าเชียวนะ ไม่ไปทำงานรึไง” ซีวอนทักทายผมด้วยรอยยิ้มเมื่อผมปรากฏตัวตรงหน้า เราสองคนต้องเดินไปคุยกันในห้องส่วนตัวที่ไม่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ผมเดินตามซีวอนไปอย่างรู้กัน งานนี้ซีวอนก็ไม่อยากจะทำให้ผมเท่าไหร่นักหรอก ถ้าไม่ติดว่าผมตื๊อจนมันรำคาญน่ะนะ
“ดูจากประวัติแล้ว เด็กคนนี้ดูไม่มีโอกาสเลยนะ” ซีวอนกวาดตามองใบประวัติที่ผมเตรียมมาให้แล้วหัวเราะเบาๆ
“ฉันถึงต้องพึ่งแกไง” ผมไม่ได้จะดูถูกคยองซูแต่อย่างใด แต่เด็กที่จะสอบชิงทุนไปญี่ปุ่นได้ ส่วนใหญ่จะต้องเป็นเด็กที่มีฐานะอยู่พอสมควร ถ้าอยู่ในฐานะยากจน แน่นอนว่าจะใช้ชีวิตที่โน่นแบบลำบาก พูดง่ายๆ ว่าถึงจะมาสอบชิงทุนแต่ที่บ้านก็ต้องมีเงินหนุนให้อยู่พอสมควรด้วย
“อยากได้อะไรบ้างล่ะ”
“ที่พักฟรี อาหารเช้ากับเย็นฟรี”
“โอ้โห งานช้างเลยนะเนี่ย”
“เหอะน่า เด็กไปมันไปเรียนแค่ปีเดียวเอง”
พอเห็นว่าเริ่มผิดสังเกต ซีวอนก็เริ่มขยับหน้าเข้ามาใกล้ผม จ้องตาผมด้วยสายตาจับผิดชนิดที่ว่าผมต้องหลบตาไปก่อนเพราะกลัวเพื่อนตัวดีจะรู้ความลับในใจผม
“ถามจริงเหอะ น้องชายแท้ๆ ก็ไม่ใช่ ไอ้เซฮุนมันก็อยากไปญี่ปุ่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอวะ ทำไมแกไม่เห็นจะเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้เลย”
“ไม่ต้องถามมากหรอกน่า ไอ้เซฮุนมันไม่เคยบอกฉันว่าอยากไปนี่”
“แต่ถึงมันจะปริปากบอกแก แกก็ไม่ถ่อมาหาฉันแบบนี้อยู่ดี”
“ก็… เออ มันก็ควรจะพึ่งพาตัวเองบ้างสิ มันเพรียบพร้อมทุกอย่างนี่”
“แกนี่มันน่าสงสัยจริงๆ”
ผมกับซีวอนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ควรรู้อยู่ประมาณสิบนาที หลังจากนั้นผมก็แยกกับซีวอนเพราะเราทั้งคู่ต่างมีงานที่ต้องทำ และการที่ซีวอนขอตัวออกมาจากห้องทำงานแบบนี้มันก็ถือว่าเสียเวลามากพอแล้ว
ผมเองก็เช่นกัน … วันนี้ผมจะปล่อยให้เวลาหมดไปแบบเฉยๆ ไม่ได้ เพราะที่ที่ผมจะไปที่ต่อไปมันก็สำคัญไม่แพ้กัน
.
.
.
“สวัสดีค่าเชิญค่า”
ผมผลักประตูเข้ามาในร้านหนังสือการ์ตูนที่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีแม้ว่าจะไม่ได้มาบ่อย กวาดตามองรอบๆ ร้านก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือพนักงานที่ประจำการหน้าเคาท์เตอร์
“ผมมาขอพบคุณชานยอลครับ”
“อ้อ! ชานยอลไม่อยู่นะคะ ไปญี่ปุ่นสองอาทิตย์กว่าแล้วอ่ะค่ะ มีธุระสำคัญอะไรไหมคะ”
“ญี่ปุ่น?”
“ค่ะ นี่ชานยอลให้ฉันมาทำงานแทนก่อน หมอนั่นแย่มากๆ เลยล่ะค่ะ”
“แย่ยังไงเหรอครับ”
“ก็บริษัทไม่อนุญาตให้ลางานเกิน 3 วัน ถ้าไม่ลาจริงๆ แต่หมอนั่นไม่ได้ลา แถมยังหายไปสองอาทิตย์แบบนี้แล้ว ฉันทำงานไม่เป็นสุขเลยค่ะ กลัวโดนพวกหัวหน้าบริษัทหมอนั่นมาตรวจจะแย่อยู่แล้ว”
“อ่อ… แบบนี้นี่เอง”
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นมาทันทีที่ผมฟังจบ ผมพูดคุยกับพนักงานสาวช่างจ้อคนนี้อยู่พักหนึ่งก่อนจะทำเนียนเช่าหนังสือการ์ตูนติดมือไปสักสองสามเล่ม โชคดีที่เธอไม่รู้จักผม ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ทำอะไรสนุกๆ แน่
ผมกล่าวลาพนักงานสาวก่อนจะผลักประตูออกจากร้าน เดินห่างไปไม่กี่ก้าวก็รีบกดโทรศัพท์หาพ่อทันที
“พ่อครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย”
(มีอะไรจุน พ่อยุ่งอยู่นะ)
“คือว่า… พ่อเคยบอกว่าถ้ามีพนักงานในเครือทำงานไม่ดี ผมสามารถออกใบลาออกได้เลยใช่ไหมครับ”
(ฮ่าๆๆ จริงๆ พ่อก็พูดเล่นไปแบบนั้นเอง แต่ถ้าแกจะลองดูก็ไม่เสียหาย)
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ใช้ความคิดอยู่นิดหน่อยก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกว่าอำนาจในการไล่ออกอยู่ในมือเล็กๆ ของผมแล้ว อันที่จริงผมกำลังโกรธและเกลียดพ่อที่ไปมีชู้กับผู้หญิงอื่น แต่นาทีนี้ผมรู้สึกรักพ่อขึ้นมาเสียอย่างช่วยไม่ได้เลยล่ะ
“ผมสามารถไล่พนักงานออกได้จริงๆ ใช่ไหมครับพ่อ”
.
.
.
หลังจากที่คยองซูกับผมตกลงเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ ผมก็เริ่มต้นด้วยการไปนอนที่บ้านคุณยายของคยองซูโดยใช้เหตุผลโง่ๆ ว่าผมอยากไปช่วยคยองซูเฝ้าคุณยาย ทั้งๆ ที่ตัวคยองซูก็รู้อยู่ว่าผมไม่ได้จะไปนอนเพราะจุดประสงค์นั้น แต่เจ้าตัวเล็กก็ยอมให้ผมค้างคืนที่ห้องโดยไม่ขัดอะไร
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ผมไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่เมื่อคืน คงเป็นเพราะว่าผมไม่อยากเจอหน้าพ่อที่โกหกผมมาตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนด้วยแหละมั้ง โชคดีที่บ้านคยองซูติดกับผม พ่อเลยไม่ได้เป็นห่วงอะไรผมมากนัก
เราสองคนตื่นมาทำอาหารให้ตัวเองและคุณยายทานกันตั้งแต่เช้า ทั้งที่ปกติผมไม่ใช่คนตื่นเช้าแต่อย่างใด แต่คยองซูกลับเป็นคนที่ทำให้ผมลุกตื่นขึ้นมาได้ คนอะไรมีประสิทธิภาพเสียยิ่งกว่านาฬิกาปลุกเรือนแพงๆ ซะอีก
ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะพกนาฬิกาปลุกมีชีวิตนี่ติดตัวไว้ตลอดเวลา
“คยองซู ซุปนี้ขมอ่ะ”
“หืม ทำไมถึงขมล่ะ เรากินมันก็ปกตินะ”
“มันขม… เพราะว่าไม่มีคนป้อนไง”
“อะไร”
“ซูซูคร้าบ ป้อนซุปแบคแบคหน่อยนะคร้าบ”
ผมทำเสียงอ้อน ยื่นชามซุปไปทางคยองซูแล้วอ้าปากรอเป็นเด็กๆ จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนขี้อ้อนแบบนี้แหละ แต่พอได้เป็นแฟนแบบเต็มตัวแล้ว ผมก็จัดซะเต็มแม็กซ์เลย
คยองซูหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางปัญญาอ่อนของผม เจ้าตัวเล็กเอาช้อนเคาะหัวผมหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ยอมตักซุปในชามของผมแล้วป้อนเข้าปากผมโดยดี
เป็นซุปที่อร่อยและหวานที่สุดในโลกเลย
“ซูซูค้าบ เดี๋ยวกินเสร็จเราไปเดินเล่นกันนะ”
“เลิกเรียกว่าซูซูได้ไหมเนี่ย น่าอายชะมัด”
“ทำไมล่ะ ซูซูก็น่ารักดีออก ซูซูกับแบคแบคไง”
“แบคแบคบ้าอะไร ไม่เอาเว้ย”
“ซูซูคนใจร้าย”
ผมเบะปากเป็นเด็กปอหนึ่ง ทำให้คยองซูต้องทุบลงที่ไหล่ของผมแรงๆ อีกครั้ง ผมยอมเจ็บตัวแบบนี้นะถ้าจะทำให้คยองซูมีรอยยิ้มและหัวเราะออกมาได้มากขนาดนี้
ผมชอบเวลาคยองซูยิ้ม เพราะมันเหมือนเป็นแสงสว่างให้กับโลกทั้งใบของผม
หลังจากที่เรากินข้าวกันจนอิ่ม ผมกับคยองซูก็ออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากบ้านมากนัก ผมแอบหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อคยองซูบอกผมว่าที่นี่เป็นที่ๆ คยองซูเจอกับพี่ซูโฮเป็นครั้งแรก ผมไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก แต่ถึงยังไงผมก็ชนะแล้วนี่นะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น … ผมก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่หมอนั่นขู่เอาไว้เลย
ครอบครัวผมจะปลอดภัยไหมนะ ? พ่อผมจะมีงานทำอยู่หรือเปล่า ?
เรื่องพวกนั้นน่ะ ช่างมันก่อนเถอะ … ตอนนี้ผมอยากสนใจแค่คนที่ผมกำลังกุมมืออยู่เท่านั้น
“รู้ไหมว่าเรารอวันนี้มานานแค่ไหน” ผมเอ่ยปากพูดออกมา ดวงตาจ้องมองไปยังฟากฟ้ากว้าง นึกขอบคุณพระเจ้าในใจเป็นร้อยๆ หนที่ทำให้ผมได้มีวันนี้เสียที
“เราไม่นานกว่าเหรอ” คยองซูขำเบาๆ ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคยองซูชอบผมก่อนที่ผมจะชอบคยองซูซะอีก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเลยจริงๆ
“ใครจะไปรู้ว่าคยองซูคนเนื้อหอมแอบชอบผู้ชายหล่อๆ อยู่ล่ะ”
“ผู้ชายหล่อๆ เหรอ เราว่าเราไม่เคยชอบนะ”
“เห้ย เราว่าไม่จริงอ่ะ คนที่คยองซูชอบเนี่ย นอกจากจะหล่อจนสาวเหลียวแล้วยังเก่งรอบด้านด้วยน้า”
“เราว่าเราไม่เคยรู้จักคนแบบนั้นเลยแหละ”
ทั้งผมและคยองซูต่างพากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับคำพูดของกันและกัน เรานั่งเล่นกันอยู่ที่ริมทะเลสาปอยู่นาน ถ่ายรูปเล่นกันอย่างมีความสุข ผมรู้สึกอิ่มแม้ว่าจะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วที่ไม่ได้กินอะไร
“อยากหยุดเวลาเอาไว้จัง”
ผมพูดในขณะที่หัวของตัวเองพิงอยู่ที่ไหล่เล็กของคยองซู มือของเราสองคนประสานกันแน่นมาเป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าเหงื่อจะออกตามรูขุมขน แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดทำทีว่าจะปล่อยมือออกจากกันเลย
“ไม่เห็นต้องหยุดเลย ยังไงเราก็อยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนหรอก”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปไหน…” ผมพูดแผ่วเบา
“เราใช่คนขี้โกหกหรือไง”
“แม้ว่าจะมีแต่คนดีๆ เข้ามาน่ะเหรอ…”
คนดีๆ ที่ผมว่า แน่นอนว่าไม่รวมไอ้พี่ซูโฮนั่น จงอินเป็นคนดีในสายตาของผมถ้าไม่นับเรื่องที่มันเคยทำกับคยองซูเอาไว้ แต่คนที่ดีโดยไม่มีข้อแม้อะไรเลยในความคิดของผมก็คือชานยอล ผมไม่รู้หรอกว่าหมอนี่ทำอะไรให้คยองซูบ้าง แต่คิดไว้ว่าคงจะไม่เลวร้ายเหมือนกับสองคนที่เหลือ
“คนดีๆ… เหรอ” คยองซูเลิกคิ้ว หยุดคิดไปพักหนึ่ง
“อืม ดีกับคยองซูทุกอย่าง คยองซูจะไม่สนเขาเลยเหรอ”
“สนสิ”
“…………”
“ก็กำลังสนอยู่นี่ไง… คนดีๆ ที่ว่าน่ะ”
พูดจบ คยองซูก็ใช้มือที่ว่างยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ไม่มีอะไรจะรู้สึกดีไปกว่าการที่คยองซูพูดคำหวานกับผมเพียงแค่คนเดียวแบบนี้อีกแล้ว เฉกเช่นเดียวกันกับผม คนที่หยาบกระด้าง ก้าวร้าวกับคนอื่นๆ แต่กลับกลายเป็นคนละคนไปโดยปริยายเมื่ออยู่กับคนที่รักแบบนี้
“แบคฮยอน…”
“หืม?”
คยองซูเรียกชื่อของผมแผ่วเบา เป็นการเรียกชื่อที่เคยได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้กลับดูพิเศษ และดูมีอะไรๆ มากกว่าทุกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองคยองซูทั้งที่ยังพิงไหล่เนียนอยู่
คยองซูค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าผมเบาๆ ดวงตาของเราสบตากันเนิ่นนาน ทั้งผมและคยองซูไม่พูดอะไร ผมเองถึงจะงงว่าคยองซูเป็นอะไรแต่ก็ยอมให้คนตัวเล็กทำตามชอบใจอยู่อย่างนั้น
มือเล็กค่อยๆ เปลี่ยนจากลูบแก้มเป็นไล้มือไปตามแขนเรียวยาวของผม คยองซูจับมือผมขึ้นมาเบาๆ แล้วค่อยๆ ลูบทีละนิ้วจนครบห้านิ้ว ผมทั้งชอบและสงสัยในเวลาเดียวกัน แต่แล้วทุกอย่างก็เฉลย
“นี่แบคฮยอน… เป็นของเราแล้วจริงๆ ใช่มั้ย… ร่างกายนี้ของแบคฮยอน เป็นของเราแล้วจริงๆ เหรอ…”
“อะไรกัน ก็จริงน่ะสิ” ผมขำออกมานิดหน่อย ไม่คิดว่าคยองซูจะคิดละเอียดอ่อนขนาดนี้
“ไม่อยากจะเชื่อเลย…”
“ผมบยอนแบคฮยอน ถึงจะหล่อและมีแต่สาวมารุมรัก แต่ผมก็สนใจแค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวครับ”
พูดจบผมก็ค่อยๆ เอื้อมไปจุ๊บที่ปลายคางของคยองซูเบาๆ แล้วยิ้มกว้าง ก่อนกลับมาพิงไหล่เล็กที่ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันเป็นไหล่ที่อุ่นที่สุด อุ่นและนิ่มกว่าหมอนใบใดบนโลกนี้ มือของผมโอบรอบเอวคยองซูแนวราวกับกลัวว่าคยองซูจะหนีหายไปไหน
ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นแค่เริ่มต้น แต่ผมกลับนึกไม่ออกแล้วว่าถ้าชีวิตผมไม่มีคยองซูอยู่ ผมจะเป็นยังไง
“ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกนะ ว่าเราจะไปชอบใครน่ะ … หัวใจเราหนักแน่นพอ”
“แล้วคยองซูล่ะ เคยกลัวว่าเราจะไปชอบคนอื่นบ้างไหม”
“ไม่กลัว”
“ทำไมล่ะ”
“ก็… คุณแบคแบค… จะไปหาคนอื่นที่รักคุณแบคแบคแบบผมได้ที่ไหนล่ะครับ”
ว่าจบ ผมก็ผละหัวออกจากไหล่มนแล้วรีบหอมแก้มคนตัวเล็กไปฟอดใหญ่ทันที คยองซูน่ารักขึ้นกว่าเดิมสิบเท่าจากที่น่ารักมากๆ อยู่แล้ว ผมหอมแก้มคยองซูจนเจ้าตัวเริ่มตีผมให้หยุด แต่ผมก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆ หรอก
“ซูซูหอมแบคแบคบ้างจิ” ผมพูดเสียงอ้อน พลางเอียงแก้มไปทางอีกคนแล้วยิ้มนิดๆ แต่คยองซูกลับส่ายหน้าแล้วผลักหัวผมนิดๆ
“คนเยอะ ไม่เอา”
“ไม่เห็นจะมีสักคนเลย ถึงจะมีก็ไม่เห็นเป็นไร นี่เราเป็นแฟนกันนะ”
“เงียบเลยนะ” คยองซูหยิกผม ทำให้ผมต้องร้องโอยออกมาอัตโนมัติ
“ไม่หอมก็ไม่หอม”
ผมเบ้ปากงอนเป็นเด็กๆ อีกครั้ง แกล้งทำทีเป็นเขยิบตัวออกห่างอีกฝ่ายเพื่อบอกให้รู้ว่าตัวเองกำลังงอนอยู่และต้องการการง้อเป็นอย่างมาก คยองซูถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นการกระทำของผม
คนตัวเล็กกว่าค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ผมที่เอาแต่มองไปข้างหน้าด้วยความงอน ก่อนจะฝังจมูกเล็กลงที่แก้มผมเนิ่นนาน
ให้ตายสิ … ใครก็ได้ช่วยบอกวิธีหุบยิ้มให้ผมที
.
.
.
นี่ผมกำลังฝันไปรึเปล่า…
ทั้งเรื่องเมื่อคืนกับเซฮุน และภาพตรงหน้าของผมในตอนนี้… ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
คยองซูกำลังหอมแก้มแบคฮยอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไอ้แบคฮยอนเองก็ทั้งหอมทั้งฟัดคยองซูอย่างไม่อายคน ผมที่ใช้เวลาเกือบค่อนวันอยู่ที่นี่และกำลังจะกลับ เดินมาสะดุดกับภาพที่บอกไปทั้งหมด
คยองซูกับแบคฮยอน… เป็นแฟนกันแล้วเหรอ
เรื่องที่ผมเจอในวันนี้มันแย่เกินกว่าผมจะรับได้ ผมเพิ่งปฏิเสธผู้ชายคนหนึ่งไปเมื่อเช้า เป็นผู้ชายคนที่ผมมีอะไรด้วยไปแล้วเรียบร้อย ผมบอกตรงๆ ว่าผมตั้งใจจะทำอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่เพราะว่านั่นคือเซฮุน
หัวใจของผมไม่สามารถใส่คนสองคนลงไปได้พร้อมกันหรอก และแน่นอนว่าคนที่จะสามารถอยู่ในใจของผมได้ก็มีแค่คยองซูเพียงคนเดียว คนที่ทำให้ผมยิ้ม และเสียใจได้ในตลอดเวลาที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้… คยองซูทำให้ผมเสียใจมากเกินไป มากเกินหัวใจของผมจะรับไหวแล้ว
ผมได้แต่ยืนมองคยองซูกับแบคฮยอนพลอดรักกันอยู่นานจนตะวันเกือบตกดิน ก่อนตัดสินใจกลับบ้านเพราะผมไม่มีเรี่ยวแรงจะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนอีกแล้ว มันเจ็บคนละแบบกับตอนที่ผมรู้เรื่องแม่ไปมีชู้ แต่ผมบอกได้เลยว่ามันเจ็บไม่ต่างกัน
นี่ผมแพ้แล้วเหรอ
“หายหัวไปไหนมาทั้งวันเนี่ย” ทันทีที่ผมมาถึงบ้าน แม่ก็ทักทายผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าโมโห แบตมือถือผมหมดตั้งแต่เช้าเลยไม่ทันได้โทรบอกแม่ ผมไม่ค่อยได้คุยกับแม่มาหลายวันแล้ว และแม่ก็ไม่รู้ว่าทำไม
“สนใจผมเป็นเหรอครับ”
“จงอิน แกนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” แม่ผมส่ายหน้ากับพฤติกรรมน่าเอือมของผม ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยให้เสียงของแม่ทะลุผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจ ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะมาฟังอะไรแบบนี้จริงๆ
“แกน่าจะดูพี่ซูโฮเค้าเป็นเยี่ยงอย่างบ้างนะ” ทันทีที่แม่พูดชื่อนั้นออกมา ผมก็รีบหันขวับไปหาแม่ด้วยความโมโห ผมไม่อยากได้ยินชื่อนี้ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากตะคอกแม่ออกไปนั้น แม่ก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“แกรู้ไหมว่าพี่ซูโฮเขาเก่งแค่ไหน เขาไล่พนักงานที่ไม่ได้เรื่องออกไปคนหนึ่งแล้วนะ”
“พนักงาน?” ผมเลิกคิ้ว
“พนักงานที่ร้านการ์ตูนที่เมียงดงน่ะ หรือว่าแกรู้จักยะ”
ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม พลางนึกไปถึงเหตุการณ์วันที่มีปาร์ตี้ในคืนนั้น ผมมั่นใจว่าไอ้คนที่มายุ่งกับคยองซูคนนั้นต้องเป็นพนักงานของร้านการ์ตูนที่เมียงดงอย่างแน่นอน แต่ผมไม่ได้ติดใจอะไร ผมรู้ว่าหมอนั่นมันชอบคยองซูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกหมั่นไส้เท่าคนอื่นๆ หมอนั่นดูเป็นคนดีทีเดียว
“คนที่สูงๆ ตาโตๆ รึเปล่าครับ”
“แม่จะไปรู้ได้ยังไง รู้แค่ว่าชื่ออะไรชานๆ เนี่ยแหละ”
“ชานยอล…”
“เอ้อ ชื่อนี้นี่แหละ เพื่อนแกรึไง”
“เปล่าหรอกครับ… ว่าแต่ ผมขอเบอร์พี่ซูโฮหน่อยได้ไหมครับแม่”
ผมกระดากปากนิดหน่อยที่ต้องเรียกไอ้เลวนั่นว่าพี่ … แม่งงกับคำพูดของผมเล็กน้อยแต่ก็บอกเบอร์ซูโฮกับผมแต่โดยดี ผมรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นห้องตัวเองไปอย่างไม่ลังเล สร้างความมึนงงให้แม่อยู่ไม่น้อย
ผมจัดการกดโทรฯ หาไอ้ซูโฮทันทีเพราะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
(สวัสดีครับ) ทันทีที่ปลายสายกดรับ ผมก็รีบพูดอย่างไม่รีรอ
“แกไล่ชานยอลออกทำไม”
(นั่นใครน่ะ)
“แกไล่ชานยอลออกเพราะอะไร!”
(ผมถามว่านั่นใคร)
“ฉันคิมจงอิน ตอบมาสิ ไอ้เลว ตอบมา”
(ฮ่ะๆๆๆ แกนี่เอง จะอยากรู้เรื่องชาวบ้านไปทำไมล่ะ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหม)
“………………”
(ฉันไล่ชานยอลออกเพราะเหตุผลสองอย่าง… ถ้าแกอยากรู้จริงๆ ฉันบอกให้ก็ได้)
“…………………”
(เหตุผลรองน่ะ คือชานยอลไม่มาทำงานสองอาทิตย์แล้ว มัวแต่หนีไปเที่ยวญี่ปุ่น)
“……………”
(ส่วนเหตุผลหลักน่ะเหรอ… ฉันก็แค่… อยากให้มันหายไปจากชีวิตคยองซูไงล่ะ)
“ไอ้เวร…”
ผมกัดฟันกรอดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งที่นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าเหตุผลของไอ้คนบ้าอำนาจคือเรื่องนี้ แต่ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเลวจนทำให้คนๆ หนึ่งต้องตกงานเพียงเพราะว่าเป็นศัตรูหัวใจกันแบบนี้
(นายเองก็เหมือนกันนะจงอิน อยู่เฉยๆ ไว้บ้างก็ดี ถ้าไม่อยากเจ็บ…หัวใจ)
“มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก” ผมอดไม่อยู่ เผลอสบถคำหยาบใส่มันออกไปโดยไม่ทันคิด
(แน่ใจเหรอว่าทำอะไรไม่ได้น่ะ ฮ่ะๆๆๆ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ)
ไอ้เลวซูโฮตัดสายไปด้วยประโยคนี้ สร้างความหงุดหงิดให้ผมเป็นอย่างมาก ผมได้แต่สบถคำด่าออกมาแล้วเขวี้ยงมือถือลงเตียงด้วยความโกรธกริ้ว ผมโกรธที่ผมรู้สึกกลัว ผมโกรธที่ผมรู้สึกอ่อนแอ ผมโกรธที่ผมกำลังจะกลายเป็นคนแพ้อีกครั้ง
ถัดจากแบคฮยอน… ผมก็แพ้ไอ้ซูโฮด้วยอีกคนหรอกเหรอ?
ไม่ ผมจะไม่ยอมแพ้คนเลวๆ แบบนี้เป็นอันขาด
ผมรีบตื่นมาแต่เช้าเพราะเมื่อคืนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ วันนี้ผมได้กินข้าวเช้ากับแม่หลังจากที่ไม่ได้กินด้วยกันมานาน แต่ก็ไม่มีคำพูดใดปริออกมาจากปากผม ผมทำใจคุยกับแม่ยาวๆ ไม่ได้จริงๆ เพราะเวลามองหน้าแม่เมื่อไหร่ รูปที่แม่จูบกับพ่อของไอ้เลวนั่นมันก็ลอยมาแทบจะทุกครั้ง
“อิ่มแล้วเหรอ ไม่กินอีกหน่อยล่ะ” แม่พูดหลังจากที่เห็นผมลุกพรวดออกไปทั้งๆ ที่กินไปนิดเดียว ผมไม่ตอบอะไรและรีบเดินขึ้นห้องเพื่อเตรียมตัวไปเรียนทันที
เมื่อมาถึงห้อง ผมก็ได้รับรูปที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าผมจะเห็นมัน…
‘ ถ้าไม่ยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ฉันก็จะทำให้นายแพ้เหมือนหมาเอง
Suho K. ’
ภาพนี้ถูกส่งมาเมื่อสองนาทีที่แล้ว ไอ้เวรซูโฮส่งภาพที่ผมกำลังนอนหลับสนิทโดยมีเซฮุนอยู่ในอ้อมแขน … มือที่กำลังถือมือถือของผมชาไปหมด รวมไปถึงขาด้วย หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมทั้งตกใจ และโกรธในเวลาเดียวกัน
ไอ้ซูโฮมันเข้ามาในห้องของเซฮุนก่อนที่เราสองคนจะตื่นหรือไง มันถึงได้มีภาพชั่วๆ แบบนี้
ไวกว่าความคิด ผมรีบคว้ากุญแจทันทีที่นึกอะไรออก
.
.
.
วันนี้ผมมีนัดกับพี่จุนมยอนที่บริษัทของพี่เขา ไม่ใช่การนัดทานข้าวหรือทานขนมแบบที่เคยทำเพราะผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว แต่เป็นการนัดพูดคุยเรื่องสอบชิงทุนภาษาญี่ปุ่นที่พี่ซูโฮกับผมคุยกันเมื่อคืน(โดยมีแบคฮยอนคอยกำกับอยู่ทุกประโยค) วันนี้ผมเลยต้องเอาเอกสารพวกใบเกรดมาให้พี่ซูโฮเพราะพี่เขาบอกว่าพอจะหาทางช่วยผมได้
ที่จริงแล้วแบคฮยอนจะมากับผมด้วย แต่ผมต้องห้ามแบคฮยอนอยู่นาน กว่าหมอนั่นจะยอม
“ว่าไงคุณแบคแบค” พอนึกถึงเท่านั้น แบคฮยอนก็โทรเข้ามาหาผมทันที
(คิดถึงแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับ)
“นี่เราเพิ่งมาถึงเองนะ” ผมหัวเราะ
(รีบๆ กลับมาหน่อยซี่ ก็เค้าคิดถึงอ่ะ อยากหอมแก้มนิ่มๆ จะแย่แล้ว)
“เดี๋ยวก็ได้หอมแล้วน่า แวะมาธุระแป๊ปเดียว ไม่ต้องหึงนะ”
(ใครบอกหึง คุณซูซูคนมั่ว)
“ไม่หึงก็ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่จุนมาแล้ว”
(อื้อ รีบกลับนะครับ)
ผมวางสายจากแบคฮยอนไปเมื่อเห็นว่าพี่จุนกำลังเดินออกมารับผมที่หน้าบริษัทเพราะผมบอกว่าไม่กล้าเข้าไปคนเดียว พี่จุนกับผมกล่าวทักทายกันนิดหน่อย เราสองคนกำลังจะเดินเข้าไปในตึก แต่กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสียก่อน
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด!!
โครมมมมมมมมมมมมมมม!!!!
“คยองซู!”
“พี่จุน!”
เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นไวมากจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว รถยนต์คันหนึ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีพุ่งตัวเข้ามาหาเราสองคนราวกับว่าตั้งใจจะชนเราให้ตายไปข้าง แต่พี่จุนกลับผลักผมออกไปได้ทัน
“พี่จุนมยอน!!!!!!!”
ผมตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าพี่จุนมยอนถูกรถคันนั้นชนเข้าเต็มแรง ตอนนี้พี่จุนมยอนนอนสลบอยู่และเลือดก็เริ่มไหลอาบแขนและขา เหล่ารปภ.รีบพุ่งตัวเข้ามารุมล้อมพี่จุนมยอนจนผมต้องหลีกออกมาก่อนทั้งๆ ที่ยังตั้งสติไม่ได้ ผมมือสั่น ปากสั่นไปหมด
พี่จุนมยอนโดนรถชนต่อหน้าต่อตาผม… และพี่เขาช่วยชีวิตผมเอาไว้
“จ… จงอิน”
ถึงแม้จะยังตั้งสติไม่ได้ แต่ผมก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดเดินมาหยุดอยู่ที่หน้ารถยนต์คันที่พุ่งเข้ามาชนพี่จุนมยอนอย่างตั้งใจ แน่นอนว่าเสียงของผมสั่นรัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าคนขับคือคิมจงอิน
จงอินทำแบบนี้ทำไม…
.
.
ห้องฉุกเฉิน
โรงพยาบาลมยองดง
“คยองซู… ฟังเราอธิบายก่อน เราไม่ได้…”
“………………”
ผมรีบลุกพรวดทันทีที่จงอินพยายามจะอธิบายอะไรบางอย่างออกมา ผมไม่อยากฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว แม้เหตุผลของจงอินมันจะดีขนาดไหน แต่กับชีวิตของคนๆ หนึ่ง ยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด
“อย่าเดินหนีเราแบบนี้!”
“ปล่อย” ผมพูดเสียงแข็งเมื่อจงอินจับมือผมเอาไว้ ตอนนี้แค่หน้าผมก็ไม่อยากจะมอง
“ฟังเราก่อนนะ ฟังเราก่อน”
ผมสะบัดมือทิ้งแล้วรีบเดินหนีไปทางอื่นจนจงอินเลิกเดินตามในที่สุด หมอบอกว่าคงใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงในการผ่าตัด ผมไม่ได้โทรบอกแบคฮยอนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะกลัวแบคฮยอนจะตกใจและรีบมาที่นี่ทั้งๆ ที่ไม่ควรมา และแบคฮยอนก็โทรหาผมเกือบจะสิบสายแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์โทรกลับไปเลยจริงๆ
ผมกลับเข้ามาอีกรอบเมื่อคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ผ่าตัดเสร็จแล้ว โชคดีที่ไม่เห็นจงอินนั่งอยู่ หมอนั่นคงรู้สึกผิดจนกลับบ้านไปแล้ว เอาจริงๆ ถึงตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจงอินมีเหตุผลอะไรถึงได้ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่… ผมจะไม่มีวันให้อภัยจงอินเป็นแน่
“พี่จุนอยู่ห้องนี้ใช่มั้ยครับ!” ผมหันขวับไปตามเสียง พบว่าเป็นเซฮุนที่วิ่งหน้าตาตื่นมาทางผม ผมเป็นคนโทรไปบอกเซฮุนเองว่าพี่จุนมยอนโดนรถชนจนต้องเข้าโรงพยาบาล
“เซฮุน”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่จุนถึงได้โดนรถชนแบบนี้คยองซู”
“คือ… เราก็ไม่รู้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก”
ผมก้มหน้า ตอบตะกุกตะกักอย่างรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่คนทำอะไรผิด แต่ทำไมผมต้องรู้สึกผิดขนาดนี้ด้วยนะ เซฮุนมองหน้าผมนิดหน่อยและพอเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรเลยนั่งลงข้างๆ ผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ญาติคนไข้ขอเชิญข้างในด้วยครับ”
ทันทีที่หมอเดินออกมาบอกแบบนั้น เราสองคนก็รีบลุกพรวดแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่ลังเล ผมหลีกทางให้เซฮุนซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ได้เดินก่อนถึงแม้ว่าผมจะเป็นห่วงไม่แพ้กัน หวังว่าพี่จุนมยอนจะไม่เป็นอะไรมากนะ
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ แต่คนไข้ต้องพักผ่อนให้มากๆ นะครับ เพราะเหมือนกระดูกที่แขนจะหักไปหลายซี่”
ภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วลอยมาในหัวผมอีกครั้ง… ภาพที่พี่จุนมยอนใช้มือผลักผมออกไปจนผมกระเด็นไปอีกทิศทาง แต่กลับกลายเป็นว่าตัวพี่เขาเองต้องมานอนเจ็บแบบนี้
แม้แต่ในนาทีวิกฤติแบบนั้น พี่เขาก็ยังนึกถึงชีวิตผมก่อน
“ไอ้เวรตัวไหนมันมาชนพี่ผมได้วะ” หลังจากที่คุณหมอออกไปเรียบร้อยแล้ว เซฮุนก็โพล่งออกมากับตัวเองแบบนั้น ไม่แม้แต่จะสบตาผม แต่กลับกำหมัดด้วยความเคียดแค้น และในจังหวะน่าอึดอัดนั้นเอง แบคฮยอนก็โทรเข้ามาหาผมอีกครั้ง
“ฮ… ฮัลโหล”
(จะกลับรึยังครับ หายไปนานแล้วน้า)
“ใกล้แล้วล่ะ คุณแบคแบครออีกหน่อยนะครับ”
(ทำอะไรอยู่เนี่ย เสียงไม่ค่อยดีเลย)
“เดี๋ยวเค้าโทรกลับน้า คุณแบคแบครออีกแป๊ปนึงนะครับ”
ผมรีบคุยรีบวางสายไปเพราะเกรงใจเซฮุนที่ตอนนี้ดูจะเครียดมากเป็นพิเศษ ผมเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ต้องดัดเสียงให้เป็นปกติเพราะกลัวว่าแบคฮยอนจะสงสัย
“ดูระรื่นดีจังเลยนะ” เซฮุนมองมาทางผมด้วยสายตานิ่งๆ พูดน้ำเสียงเรียบจนผมเลิกคิ้วสงสัย
“ที่พี่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะคุณ” สรรพนามที่เซฮุนใช้ดูห่างเหินจนผมตกใจ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เมื่อครั้งที่เราเจอกันตอนโน้นเรายังคุยกันดีๆ อยู่เลย แล้วทำไมจู่ๆ เซฮุนถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ
“ผมทำอะไร…”
“โธ่เว้ย!!!!”
เซฮุนรีบพุ่งเข้ามาหาผมแล้วคว้าคอเสื้อผมเอาไว้ มือของเซฮุนกำแน่น สายตาเคียดแค้นถูกส่งมาหาผมที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลย นี่ผมทำอะไรผิด หรือผมไปทำอะไรให้เซฮุนต้องโกรธขนาดนี้หรือยังไงกัน
“คนใสซื่อแต่ร้ายลึกแบบคุณเนี่ยเหรอ ที่ทำให้จงอินหลงรักหัวปักหัวปำ”
“เซฮุน… พูดอะไร” ผมจ้องตาเซฮุน หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
“นอกจากจะทำร้ายจิตใจของจงอินด้วยการหนีไปมีแฟน คุณยังมาทำลายชีวิตพี่ผมอีก”
“เซฮุน…”
“จิตใจคุณทำด้วยอะไร!!”
“เซฮุน! ปล่อยคยองซูเดี๋ยวนี้!!!!!”
จู่ๆ จงอินก็ผลักประตูเข้ามากระทันหัน เซฮุนหันไปมองจงอินพักหนึ่งแล้วยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อของผม แต่ยังไม่วายทิ้งสายตาเคียดแค้นไว้กับผม ผมไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิด และที่เซฮุนบอกว่าจงอินหลงรักผมมันคืออะไร
“คยองซู ออกไปข้างนอกก่อน ขอเราคุยกับเซฮุนแป๊บนึง” ผมมองหน้าจงอินสลับกับเซฮุน ทั้งสองมีใบหน้าเกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน ผมยอมออกไปตามที่จงอินบอกเพราะคิดว่าสองคนนี้คงมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันจริงๆ
.
.
.
“ปกป้องมันนักเหรอ” ผมพูดออกไปด้วยความโกรธ คยองซูเคยเป็นเพื่อนที่ดีของผม แต่ในวันนี้ผมไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว คยองซูทำให้พี่ชายผมต้องมานอนป่วยแบบนี้ ผมเชื่อว่ามันเป็นความผิดของคยองซู
“เรียกใครว่ามัน” จงอินจ้องผมอย่างเกรี้ยวกราด ค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม
“รักมากรึไง ถึงเค้าจะมีแฟนแล้วก็ยังโง่งมงายอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ”
“เซฮุน!!”
“นายมันโง่!! โง่พอๆ กับเรานั่นแหละ!!! ไอ้โง่!!!”
ปั่กกกกกกกกกก !
จงอินชกหน้าผมอย่างแรง ผมไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเดือดดาลเพราะผมด่าว่าโง่ หรือเพราะรู้ว่าคยองซูมีแฟนแล้วกันแน่ แต่ความรู้สึกของผมบอกว่ามันเป็นอย่างหลังมากกว่า
“หยุดปากเสียเดี๋ยวนี้นะ”
“จงอิน หยุดเถอะ…” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ถ้าเขาไม่รัก ก็หยุดเถอะ…”
“ไม่… ไม่มีทาง”
“ผู้ชายคนนั้น ไม่ได้ดีไปกว่าเราหรอกนะ”
“เซฮุน”
“มันก็แค่ปั่นหัวคนเล่นไปวันๆ นอกจากนายก็ยังมีอีกตั้งหลายคน พี่ชายเราก็ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“โอเซฮุน!!”
“ว่าไม่ได้เลยสินะ…”
“นายไม่มีสิทธิ์อะไรมาว่าคยองซูของฉันแบบนั้น”
คยองซูของฉัน
คยองซูของฉันเหรอ…
ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ดีเด่อะไรนัก แต่ผมก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ผมไม่เคยทำให้จงอินเสียใจเลยแม้แต่หนเดียว ไม่ใช่ผมเหรอที่คอยอยู่ข้างๆ จงอินเวลาที่จงอินเป็นทุกข์ ไม่ใช่ผมเหรอที่เป็นที่ระบายกับจงอินในทุกๆ เรื่อง … แม้กระทั่งเรื่องแบบนั้น
ผมอาจจะโง่เอง ที่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้กับคนที่ไม่เคยเหลียวแลผมเลย
“ไม่ว่ายังไง… นายก็จะรักแต่คยองซูเหรอจงอิน”
“อืม”
“จะนานแค่ไหน นายก็จะไม่หันมามองกันบ้างเลยเหรอ”
“…อืม”
“เรา… เคยมีตัวตนในสายตานายบ้างรึเปล่า”
“…………”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เคยมองเห็นเราในสายตาบ้างไหม เคยคิดถึงเราบ้างรึเปล่า”
“…………”
“จงอิน…”
“…………”
“ไม่เคยเลยเหรอ… ไม่เคยสักนิดเลยเหรอ…”
“…………”
“…………”
“…อืม ไม่เคยเลย”
.
.
.
ร้านเช่าหนังสือการ์ตูน SK
สาขามยองดง
15.30 น.
“ชานยอล… แกมาที่นี่อีกทำไม”
“แกพูดะไร ฉันเป็นพนักงานที่นี่นะโว้ย”
“แต่ว่าแก… โดนไล่ออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ…”
“ห๊ะ! ไล่ออก????”
ผมตะโกนลั่นร้าน เบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หลังจากที่ผมแลนดิ้งผมก็รีบแต่งตัวในชุดยูนิฟอร์มมาทำงานทันทีเพราะไม่อยากให้ซูจองลำบาก สองอาทิตย์แล้วที่ผมหายไปอยู่ญี่ปุ่นและทำงานงกๆ ที่นั่นเพื่อคยองซู ผมไม่คิดว่ากลับมาแล้วจะเจออะไรแบบนี้
“เมื่อวันก่อนมีคนจากทางบริษัทส่งใบแจ้งเชิญออกมาที่ร้าน เนี่ย..” ซูจองพูดพร้อมเปิดลิ้นชักแล้วหยิบใบที่ว่านั่นยื่นให้ผม ผมรีบหยิบมาอ่านอย่างลุกลี้ลุกลน เนื้อความในใบนี้บอกว่าผมหายไปจากที่ทำงานเกินสามวัน ทำให้ผมโดนไล่ออกโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย”
“ฉันขอโทษนะ ฉันว่าที่นายโดนไล่ออกมันก็สมควรแล้ว…”
“ซูจอง!!!”
“ก็นายเล่นหายไปนานขนาดนั้น ไหนบอกจะไปไม่ถึงอาทิตย์ไง ฉันกลัวขี้จะราดอยู่แล้ว นายเองก็ไม่ได้เขียนใบลาเอาไว้ด้วย”
ผมมองหน้าซูจองอย่างหงุดหงิดแล้วรีบเดินออกจากร้าน ตอนแรกผมก็คิดว่าผมจะไปที่บริษัทใหญ่เพื่อไปขอประนีประนอมอยู่หรอก แต่พอมาคิดดูอีกที ผมไม่มีข้ออ้างไหนที่มันสมเหตุสมผลเลยแม้แต่นิด แถมเวลาที่ผมหายไปมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
ผมมัวแต่คิดถึงเรื่องคยองซู ทำงานเพื่อคยองซูจนลืมเรื่องของตัวเองไปเสียสนิท
“คยองซู…” ผมหยิบโทรศัพท์กดโทรหาคยองซูทันที คยองซูยังเป็นคนแรกที่ผมนึกถึงเสมอและตลอดเวลา
(นี่กลับมาแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง สนุกมั้ย)
“เรา… โดนไล่ออก…”
(ห๊ะ!!!!!????)
“ฉันขาดงานเกินสองอาทิตย์ ฉันเลยโดนไล่ออก”
(อะไรกัน นายไม่ได้ลาเอาไว้เหรอ)
“อื้อ… เราลืม”
(เดี๋ยวนะชานยอล ตั้งสติก่อน)
“………………”
(จริงด้วย! ชานยอล วันนี้แบคฮยอนจะไปสมัครงานที่ร้านอาหารอยู่พอดีเลย จะไปด้วยกันเลยมั้ย)
“หืม? แบคฮยอน?”
(มาด้วยกันเลยดีกว่า งั้นเจอกันที่ร้าน XYZ ตอนห้าโมงเย็นนะ ต้องมาให้ได้นะ)
“เดี๋ยวคยองซู เดี๋ยว………”
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ คยองซูก็วางสายไปเสียแล้ว แต่ก่อนจะวางสายไปนั้น ผมแอบได้ยินเสียงแหลมๆ ของผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกลด้วย คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของผู้ชายที่ชื่อแบคฮยอนที่คยองซูว่า
ว่าแต่ไอ้แบคฮยอนอะไรนี่เป็นใคร? และเกี่ยวข้องอะไรกับคยองซู?
ร้าน XYZ
17.00 น.
ถึงผมจะยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ แต่ผมก็พาตัวเองมาอยู่ที่ร้านนี้จนได้ ร้านที่คยองซูบอกว่าจะพาผู้ชายคนนั้นมาสมัครงานด้วย ผมมาถึงก่อน และไม่นานนักคยองซูก็มาพร้อมกับผู้ชายเจ้าของชื่อแบคฮยอน
“ชานยอล!”
คยองซูรีบพุ่งตัวเข้ามาหาผม ผมอ้าแขนกอดเจ้าตัวเล็กทันทีตามประสาคนไม่เจอกันนาน ในระหว่างที่กอดนั้น ผมแอบเห็นสายตาไม่พอใจของคนที่ชื่อแบคฮยอนด้วยล่ะ
“ไม่ต้องกลัวนะ นายจะต้องได้งาน”
“คายองจูวต้องเป็นกำลังใจให้เค้านะ” ผมพูดอ้อนๆ ทำปากจู๋นิดๆ
“อ… อื้อ แน่นอนสิ”
“คยองซู มาดูนี่หน่อยสิ”
ไม่ทันที่ผมจะได้อ้อนหรือพูดคุยทักทายอะไรต่อ แบคฮยอนก็เรียกคยองซูให้ไปหาราวกับจงใจจะขัดจังหวะเราสองคน ผมไม่รู้หรอกนะว่าแบคฮยอนนี่เป็นใคร แต่ที่ผมรู้คือมันกับผมไม่น่าจะเป็นมิตรกันได้ง่ายๆ แน่
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ระหว่างที่รอแบคฮยอนเข้าไปสัมภาษณ์ ผมกับคยองซูเลยมีโอกาสได้นั่งคุยกันยาวๆ เสียที ผมตัดสินใจควักตั๋วเที่ยวบินไป-กลับประเทศญี่ปุ่นที่ผมเป็นคนซื้อเองกับมือด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมออกมาให้คยองซูดู
“นี่มันอะไรกัน…”
“คือ…” ผมอึกอักนิดหน่อย “คือว่าเราไปเล่นเกมมา แล้วได้ตั๋วนี้น่ะ คยองซูต้องไปให้ได้นะ”
“ชานยอล นี่เรื่องจริงเหรอ ตั๋วจริงใช่ไหม”
“ตั๋วจริงสิ ไม่เชื่อเอาไปพิสูจน์ที่ไหนก็ได้” ผมยิ้มออกมาเมื่อเห็นคยองซูทำท่าดีใจเหมือนเด็กน้อยแบบนั้น
“เกมส์อะไรกันเนี่ย ทำไมเขาถึงแจกของแพงแบบนี้”
“เกมส์… เอ๋อ…” ผมอึกอักอีกรอบ ไม่รู้จะแถยังไงดี
“เดี๋ยวค่อยคุยกันเรื่องนี้ได้ไหม เอาเป็นว่าคยองซูสัญญากับเราก่อนว่าจะไปกับเรา แล้วเราจะเล่าให้ฟัง”
“………………”
“ไม่อยากไปเหรอ…”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ เราอยากไปญี่ปุ่นมากชานยอลก็รู้”
“แล้วทำไมเงียบไปล่ะ ลำบากใจเหรอที่ต้องไปกับเรา”
“คือว่า…”
“มีอะไรรึเปล่า”
“เรา… เอ่อ เรากับแบคฮยอน คบกัน… เราสองคนเป็นแฟนกัน…”
“ห๊ะ?”
“มันคงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเราจะไปกับชานยอลสองคน แบคฮยอนคง… ไม่ยอม”
ผมถึงกับจุกและพูดอะไรไม่ออก ทุกการกระทำของผมค้างไปชั่วขณะ รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของผม ที่ผมทำงานเหน็ดเหนื่อยมาเกือบสองอาทิตย์ ที่ผมทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อคยองซูคนเดียว
แล้วนี่หรือ คือสิ่งที่ตอบแทนหยาดเหงื่อของผม
“คยองซูมีแฟนแล้ว… เหรอ”
“อื้อ ขอโทษด้วยนะ”
ผมได้แต่หัวเราะออกมากลบเกลื่อนความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในอกแบบไม่ทันได้เตรียมตัว ผมต้องแสดงออกให้เหมือนเพื่อน เพราะคยองซูไม่เคยมองผมเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อน ผมพูดอะไรไม่ออก จังหวะนั้นเองผมก็โดนเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ทันที
สายตาของผมจ้องมองคนที่เพิ่งจะเดินออกมาอย่างดุดัน เชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงเกลียดขี้หน้าผมไม่แพ้กัน
“เราไปสัมภาษณ์ก่อนนะ” ผมหันไปยิ้มให้คยองซูต่อหน้าแบคฮยอนแล้วแกล้งยกมือลูบหัวคยองซูอย่างจงใจ แบคฮยอนส่งสายตาหึงหวงมาที่ผม แต่ผมกลับยิ้มเย้ยหยันไม่สนใจ ในระหว่างที่เราเดินสวนกันนั้น ผมก็แกล้งเดินชนไหล่แบคฮยอนไปอย่างแรงด้วย
ผมไม่โกรธคยองซูหรอก… ผมไม่เคยโกรธคยองซูลงเลย
แต่ผมเกลียด… เกลียดทุกคนที่มาแย่งคนที่ผมรักไปจากผม ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเลย
ผมพยายามเข้าหาคยองซูมาโดยตลอดเกือบเดือนที่ผ่านมา ผมลงทุนไปญี่ปุ่นและไปทำอะไรโง่ๆ แบบที่ไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่เชื่อ ผมต้องทำงานตั้งแต่ตีห้าจนถึงสี่ทุ่ม ได้พักแค่วันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น ผมเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่พอนึกว่าทำแบบนี้เพื่อใคร ผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
ผมจะไม่ยอมให้การลงทุนของผมเสียเปล่าไปกับคนที่ไม่ลงทุนอะไรเลยแบบไอ้เวรแบคฮยอนนี่หรอก
ผมจะไม่ยอม… เด็ดขาด
- to be continued -
ความคิดเห็น