คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ` c h a p t e r 6 ♡ { c o n f e s s i o n }
C I R C L E
` c h a p t e r 6 ♡ ; { c o n f e s s i o n }
มยองดง
15.00 น.
หลังจากที่ยายผมอยู่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาลเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนเต็ม วันนี้ผมก็พายายกลับมาอยู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ผมจัดการย้ายข้าวของที่หอตัวเองมาอยู่บ้านยายให้หมดทุกอย่างหลังจากที่ผมทำตัวครึ่งๆ กลางๆ มาหลายปี หลังจากนี้ผมคงต้องดูแลคุณยายชนิดที่ว่าใกล้ชิดเป็นพิเศษ
วันนี้แบคฮยอนหายไปไหนก็ไม่รู้ ผมโทรหาก็ไม่รับสาย กะจะให้มาช่วยขนของย้ายหอสักหน่อย สุดท้ายก็มีเป็นพี่จุนมยอนที่เป็นคนขับรถเทียวไปเทียวมาให้ผม ผมว่าจะเข้าไปขอบคุณพี่เขาในแชทอีกสักรอบล่ะ
‘ หายดีแล้ว ขอให้แกเจอเจ้าของไวๆ นะ ’
ทันทีที่ผมกดเข้าเฟสบุคของพี่จุนมยอน ผมก็เจอรูปที่พี่เขาเพิ่งจะอัพไปเมื่อสองนาทีที่แล้ว เป็นรูปที่พี่จุนมยอนถ่ายรูปคู่กับน้องหมาตัวหนึ่งที่มีปลอกคอเขียนเอาไว้ที่คอว่าซูชิแบบเลือนลาง
นั่นมัน… เจ้าซูชิ…
หมาของผมที่หายตัวไปเป็นเดือนๆ นี่ !
‘ หมาผมอ่ะ นี่มันหมาผม! ’
ผมรีบรัวแป้นใส่ในกล่องคอมเม้นทันทีที่เห็น ทั้งตื่นเต้นและดีใจไปพร้อมๆ กันที่เจ้าซูชิมันยังอยู่ดี ผมไม่มั่นใจว่าพี่จุนมยอนไปเจอมันที่ไหนและเจอนานรึยัง แต่ผมมีความรู้สึกมั่นใจแปลกๆ ว่าพี่เขาต้องพามันไปทำอะไรมาสักอย่างแน่ๆ
ไม่ถึงหนึ่งนาที สายเรียกเข้าจากพี่จุนมยอนก็ดังขึ้น
(นั่นหมาคยองซูจริงๆ หรอ)
“ผมจะโกหกทำไม พี่ครับ ผมอยากเจอมันแล้ว ผมไปหาพี่ได้มั้ย”
(โอเค ตอนนี้พี่อยู่บ้านกับน้องชายสองคน เดี๋ยวพี่ไปรับนะ)
“ผมนั่งรถไปเองก็ได้ พี่แค่บอกทางมาก็พอ”
(ไม่เอาครับ พี่จะไปรับเรา รอเดี๋ยวแล้วกันนะ)
พี่จุนมยอนชิงวางสายไปในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากตอบ ผมได้แต่ส่ายหน้าและมองรูปพี่จุนมยอนบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมเป็นคนตั้งด้วยตัวเอง ลอบยิ้มออกมาคนเดียวเพราะรูปนี้เป็นรูปที่พี่เขาแย่งมือถือไปจากมือผมแล้วจัดการถ่ายเซลฟ์ก้าเองเสร็จสรรพ
จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มารู้จักกับคนแบบนี้
ไม่นานนักรถเก๋งคันหรูของพี่จุนมยอนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้านผม พี่จุนขับรถไปรับไปส่งผมไปไหนมาไหนจนผมรู้สึกเคยตัว ในบางครั้งผมก็แอบอ้อนให้พี่เขาพาผมไปโน่นมานี่ประหนึ่งตัวเองเป็นน้องชายอีกคน
จะว่าไป วันนี้ผมจะได้เจอกับน้องชายพี่จุนมยอนแล้วนี่นา
“ขึ้นมาเลยครับคุณหนู” พี่จุนมยอนเปิดกระจก พูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทแล้วยิ้มทะเล้นให้ผม ผมทำหน้าถมึงทึงใส่ไปหนึ่งทีก่อนสอดตัวเองเข้ารถไปอย่างเคยชิน
“จริงๆ แล้วพี่น่าจะเอาเจ้าซูชิมาให้ผมเลยนะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
“ไม่เอาหรอก พี่อยากพาคยองซูทัวร์บ้านพี่บ้าง” พี่จุนมยอนพูดไปบังคับพวงมาลัยไป วันนี้พี่จุนมยอนใส่เสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นสบายๆ เป็นการแต่งตัวที่เหมือนกับครั้งแรกที่ผมเจอพี่เขาที่สวนสาธารณะเมื่อสองเดือนก่อน หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้เห็นอีกเลย
จะว่าไป ผมกับพี่เขารู้จักกันมาสองเดือนแล้วเหรอเนี่ย
“ผมยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้อยู่เลย” ด้วยความที่เป็นคนคิดอะไรอยู่ในตอนนั้นก็พูดออกมา ผมจึงโพล่งออกมาเบาๆ พลางยิ้มเล็กน้อยเมื่อภาพในอดีตที่เกาะตัวกันเป็นกลุ่มควันปรากฏขึ้นในหัว
ภาพที่ผมกำลังเดินข้ามเกาะกลางถนนของสวนสาธารณะ แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานของใครคนหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างกระทันหัน
“หืม” พี่ซูโฮที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการบังคับพวงมาลัยและมองทางข้างหน้าถึงกับหันมาหาผมพลางเลิกคิ้วสงสัย
“ผมฝันอยากจะมีพี่ชายที่น่ารักขนาดนี้มานานแล้ว”
“……………………”
“พ่อกับแม่ของผมเสียตั้งแต่ตอนผมอยู่ป.4 ผมเหงา ผมใช้ชีวิตอยู่กับยายมาโดยตลอด”
“……………………”
“โชคดีที่มีแบคฮยอนกับจงอินอยู่เป็นเพื่อนผม ทำให้ชีวิตวัยเด็กของผมไม่เงียบเหงาจนเกินไป”
“คยองซู… โอเครึเปล่า”
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตผม”
“หืม?”
“ขอบคุณที่มาเติมเต็มส่วนที่ผมขาด ขอบคุณจริงๆ”
“เรื่องนั้นน่ะ… ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าผมขอพรได้ข้อหนึ่งจากนางฟ้า…”
“…………………”
“ผมจะขอ… ให้เรา… เป็นพี่ชายน้องชายกันแบบนี้ตลอดไป”
“…………………”
“แต่จริงๆ ไม่ต้องถึงกับนางฟ้าหรือเทวดาหรอก พี่เองก็ทำให้ผมได้อยู่แล้ว”
“…………………”
“ใช่มั้ยครับพี่จุนมยอน”
.
.
.
ไม่ถึงยี่สิบนาที ผมกับคยองซูก็มาถึงที่บ้านของผม ผมคิดว่าเซฮุนน่าจะยังไม่ตื่น เพราะถ้าตื่นแล้วเจ้าเด็กนั่นจะต้องมานั่งดูทีวีที่ห้องรับแขกเป็นประจำ ผมเดินนำคยองซูเข้ามาในบ้านในฐานะเจ้าบ้าน ในขณะที่คยองซูเอาแต่เบิกตากว้างกับความใหญ่โตโอ่อ่าของบ้านหลังนี้ บ้านที่ผมอยู่มาเป็นสิบๆ ปี
ทุกอย่างมันคงจะเป็นปกติดี ถ้าหากว่าคยองซูไม่พูดเรื่องแบบนั้นออกมา
พี่ชาย
พี่ชายกับน้องชาย
พี่ชายกับน้องชาย… ตลอดไป
ผมจะเอาชนะคำว่าพี่ชายได้ยังไงดี…
“เจ้าซูชิ!”
ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของ เจ้าหมาน้อยพันธุ์ชิสุที่ผมเฝ้าบ่มเลี้ยงมาตลอดระยะเวลาสองอาทิตย์ก็กระโจนใส่คยองซูทันที ผมเชื่อสนิทใจแล้วว่าเจ้าของหมาน้อยตัวนี้คือคยองซูจริงๆ
หมาน้อยที่ขี้อ้อน น่ารัก ตาแป๋ว… ควรค่าแค่การได้รับความรัก… เหมือนกับเจ้าของมันไม่มีผิด
“พอเจอเจ้าของก็ลืมฉันเลยนะ” ผมเดินเข้าไปยีหัวเจ้าหมาน้อยในอ้อมแขนคยองซูอย่างหมั่นไส้ ทำเป็นลบล้างเรื่องพี่ชายบ้าบอนั่นออกไปจากหัวแล้วปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติที่สุด ผมจะพยายามไม่คิดอะไรแล้วก็แล้วกัน
“นี่พี่จุนดูแลซูชิมานานแค่ไหนแล้วครับเนี่ย”
“สองอาทิตย์มั้ง ถ้าจำไม่ผิด” ผมทำท่านึก “พี่ให้มันกินแต่อาหารดีๆ แล้วก็พามันไปเดินเล่นแทบจะทุกวันเลยนะ”
“โอ้โห นี่เจ้าซูชิ ทำยังไงกับพี่จุนก่อนเร็ว” คยองซูพยายามจับขาสองข้างของซูชิให้ประกบกันเป็นท่าไหว้ คนเป็นเจ้าของยิ้มออกกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ทำให้โลกใบหม่นของผมสดใสขึ้นทันตาทุกครั้งที่ได้เห็น
ผมอยากจะเก็บ อยากจะเฝ้าดูรอยยิ้มนี้ไปอีกนานเท่านาน
“เจ้าซูชิน้อย เจ้าของแกนี่ใจร้ายจังเลยเนอะ ฉันทำให้แกหายเป็นแผลได้ขนาดนี้ เจ้าของแกยังไม่ให้รางวัลอะไรเลยอ่ะ” ผมทำเสียงแอ๊บแบ๊ว แกล้งมองตาหมาน้อยสลับกับเจ้าของที่โอบอุ้มมันอยู่
“เจ้าซูชิ ถามพี่เขาไปซิว่าอยากได้อะไร” คยองซูพูดกลั้วหัวเราะ
“ขอหอมหน่อย”
“หื้อ!?”
“ขอหอมหน่อยสิ… เจ้าซูชิ” ผมรีบพูดต่อเพราะลืมตัวพลั้งปากพูดในสิ่งที่คิดออกไป “ไหนๆ แกก็จะไปจากฉันแล้ว ฉันต้องคิดถึงแกแย่ มาให้หอมหน่อยเร้ว”
“เล่นอะไรกันครับ เสียงดังนอนไม่หลับเลย”
ในระหว่างที่ผมกำลังจะหอมเจ้าซูชินั้น เซฮุน น้องชายตัวแสบของผมก็เดินหัวยุ่งหน้ามุ่ยลงมาจากชั้นบนด้วยเสื้อกล้ามสีขาวและบ็อกเซอร์ตัวเดียว พอเห็นว่าวันนี้มีแขกพิเศษมาที่บ้าน เจ้านั่นก็จัดผมตัวเองแทบไม่ทัน ดีหน่อยที่คยองซูเป็นผู้ชาย ไม่อย่างนั้นเซฮุนคงได้กลับขึ้นไปห้องเป็นแน่
“นี่เซฮุน มานี่ดิ๊” ผมเรียกน้องชายให้เดินมาหา คยองซูมองเซฮุนตาไม่กระพริบ หวังว่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ดีนะ อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันเสียด้วย
“นี่คยองซู เป็น… น้องชายที่สนิทกัน” ผมกระอักกระอ่วนใจกับคำว่าน้องชาย จริงๆ แล้วผมเกลียดคำนี้มากเลยล่ะ
“สวัสดีครับ” เซฮุนพยักหน้ารับรู้ ไม่รู้ว่าเจ้านี่จะรู้ว่าตัวเองอายุเท่ากันกับคยองซูหรือเพราะคยองซูตัวเล็กเกินไปกันแน่ถึงไม่ได้ยกมือไหว้อะไร
“คยองซู นี่น้องชายพี่เอง เซฮุน… รุ่นเดียวกับเราเลย”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเซฮุน” คยองซูมองหน้าเซฮุนอย่างไม่เคอะเขิน ยิ้มกว้างตามสไตล์ เซฮุนเองก็ยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ผมกับคยองซูนั่งเล่นเจ้าซูชิกันอยู่พักใหญ่ ในขณะที่เซฮุนเอาแต่นั่งดูบอลคู่เมื่อคืนก่อนที่นำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่เล่นกันจนเหนื่อย ผมก็พาคยองซูเดินดูรอบบ้าน พลันเจ้าตัวเล็กเห็นเข้ากับห้องเบเกอรี่ที่แม่ผมชอบขลุกตัวอยู่เป็นประจำ (แต่วันนี้แม่ไปธุระ)
“มีห้องเบเกอรี่แบบนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย” เจ้าตัวเล็กตาลุกวาว รีบพุ่งตัวเข้าหาอุปกรณ์ที่มีอยู่ครบครัน จนผมอดเดาไม่ได้ว่าคยองซูต้องชอบทำอาหารหรือขนมพวกนี้เป็นแน่
“คยองซูชอบเหรอ”
“ผมชอบทำขนมนะ เวลาเรียนวิชาคหกรรมผมจะเป็นคนทำขนมของกลุ่มตลอดเลย เพื่อนเลยชอบหาว่าผมเป็นตุ๊ด”
“แล้วเป็นรึเปล่า” ผมหัวเราะ ถามติดตลก
“จะเหลือเหรอครับ” คยองซูพูดตลกหน้าตายแล้วโพล่งหัวเราะออกมา “ล้อเล่นนะ”
คุยหยอกล้อกันได้ไม่นาน คยองซูก็เดินสำรวจรอบๆ ห้องเบเกอรี่ คยองซูบอกว่าชอบการตกแต่งห้องแบบนี้มาก และเจ้าตัวก็ใฝ่ฝันอยากจะมีห้องแบบนี้ไว้ที่บ้านบ้าง เผื่อว่าว่างๆ จะได้ลุกขึ้นมาทำขนมให้ยายกิน
“คยองซูอยากทำมั้ย”
“ผมทำได้หรอครับ? เดี๋ยวนี้เลยเหรอ?” คยองซูตาโต เขย่าแขนผมเหมือนเด็กๆ
“อื้ม ทำไปฝากคุณยายไง”
ผมยิ้มหวาน คยองซูรีบพยักหน้ารัวแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาส่วนผสมที่แม่ผมเก็บไว้ในตู้เป็นอย่างดี และแล้วเจ้าตัวเล็กก็เริ่มลงมือทำขนมโดยมีผมเป็นผู้ช่วยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด
“หยิบไข่ไก่ให้อีกสองฟองสิครับ” ผู้ช่วยเชฟจำเป็นอย่างผมรีบวิ่งไปหยิบไข่ไก่ให้ตามคำสั่งคนตัวเล็กโดยไม่มีข้อแม้ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้
มีความสุขจัง
.
.
ผ่านไปร่วมสองชั่วโมง มัฟฟิ่นและคุ้กกี้ที่คยองซูอบไว้ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแถมรสชาติเยี่ยม ไม่แปลกใจเลยถ้าเพื่อนๆ จะมองว่าคยองซูเป็นแบบนั้นน่ะนะ ในเมื่อทำขนมออกมาเก่งกว่าผู้หญิงทั่วไปซะขนาดนี้
“พี่จุนครับ เดี๋ยวเอาอันนี้ไปให้เซฮุนนะ” คยองซูเดินถือมัฟฟิ่นสองชิ้นกับคุกกี้ประมาณห้าชิ้นมาให้ผมในขณะที่ผมเอาแต่เพลิดเพลินกับการชิมขนมฝีมือคนพิเศษอยู่ ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย
“แล้วคยองซูไม่เอาให้ยายเหรอ นี่มันเยอะมากเลยนะ”
“ผมจะเอาให้ยายแค่อย่างละชิ้นสองชิ้นน่ะ คนแก่กินหวานมากได้ที่ไหน” คยองซูพูดพร้อมจิ้มนิ้วที่เปื้อนแป้งเข้าที่จมูกผมเป็นการเอ็ด
“เลอะเลย” ผมตะโกนเหวแกล้งอีกคน
“สมน้ำหน้า”
“นี่แหน่ะ!” ผมเอานิ้วป้ายแป้งสาลีแล้วจิ้มลงที่จมูกคยองซูบ้างเพื่อเอาคืน คยองซูทำท่าจะไล่กวดผมอีกแต่ผมกลับคว้าขนมในมือที่คยองซูจะให้เซฮุนแล้ววิ่งออกมาเสียก่อน
ผมจัดการวางขนมที่คยองซูน่าจะตั้งใจทำเผื่อเซฮุนตั้งแต่แรกไว้ตรงหน้าเซฮุนที่กำลังดูบอลอย่างเพลิดเพลิน เจ้าบ้านี่เลิกคิ้วมองขนมสลับกับหน้าผมอย่างงุนงง เชื่อเลยล่ะว่าในใจมันต้องคิดประมาณว่า นี่พี่ชายกูทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอเนี่ย?
“พี่ไม่ได้ทำเอง ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย” ผมพูดไปยิ้มไป
“ผมรู้น่า แต่ว่าพี่สองคนเล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เนี่ย จมูกเลอะกันทั้งคู่เลยนะ” เซฮุนพูดเมื่อเห็นคยองซูเดินตามออกมาและมีรอยแป้งเป็นจุดๆ ที่จมูกเหมือนกัน ทั้งผมกับคยองซูต่างหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขินเมื่อได้ยินคำแซวแบบนั้น
“มัวนั่งบื้ออยู่อีก ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็ขอบคุณกันได้ ขอบคุณคยองซูเค้ารึยัง” ผมเอ็ดน้องชายที่เอาแต่มองหน้าผมกับคยองซูสลับกันงงๆ .. จริงๆ แล้วเซฮุนก็ชอบทำหน้าแบบนี้อยู่แล้วแหละ ไอ้เด็กเอ๋อเอ๊ย
“ข… ขอบคุณนะคยองซู”
“ไม่เป็นไร อร่อยไม่อร่อยก็บอกด้วยนะ”
.
.
.
ช่วยบอกผมทีว่าคนตรงหน้านี่คือพี่ชายผม
ผมเซฮุน คนที่มีพี่ชายชื่อว่าจุนมยอน หรือชื่อในวงการธุรกิจคือซูโฮ ผู้ชายที่สุขุม เยือกเย็น ไม่ค่อยคุยหรือเข้าหาใครก่อนถ้าไม่จำเป็น ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นตัวเป็นตนเพราะเป็นคนเลือกคบเพื่อน บ้างานไปวันๆ ไม่คิดหาผู้หญิงคนไหนมาเป็นคู่ครองจนผมหนักใจ
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละคนกัน
พี่จุนไม่เคยยิ้มเยอะขนาดนี้มาก่อนยกเว้นตอนเห็นของกิน พี่จุนไม่ชอบเล่นอะไรเป็นเด็กๆ หนำซ้ำยังมาว่าผมเวลาที่เห็นผมนั่งเล่นเกมส์เพลย์ด้วยซ้ำ บอกว่าโตเป็นควายแล้วยังจะมานั่งเล่นเกมส์อยู่อีก และที่สำคัญ พี่จุนพี่ชายผมคนนี้เกลียดการทำอาหารเป็นที่สุด
แต่… ภาพที่ผมเห็นพี่จุนวิ่งไล่ป้ายแป้งกับเจ้าหมอนี่มันคืออะไรกัน?
ผมสลัดความคิด ความสงสัยในหัวทิ้งไปแล้วหันมาให้ความสนใจกับขนมตรงหน้าแทน ใช้จังหวะที่คยองซูเอาแต่พูดคุยกับพี่จุนหยิบขนมขึ้นมากินเพราะอายถ้าจะกินให้คยองซูเห็นซึ่งๆ หน้า แต่แล้วก็ไม่วายอยู่ในสายตาเจ้านั่นอยู่ดี
“เดี๋ยวเซฮุน” คยองซูเรียกผมจนผมสะดุ้ง ผมได้แต่เลิกคิ้วงง
“ที่แขนนั่นไปโดนอะไรมาเหรอ”
คำพูดของคยองซูทำให้ผมต้องก้มมองแขนของตัวเองทันทีโดยไม่มีข้อแม้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนตอนที่ทำงานในห้องคุณหมอคิม ผมเผลอไปโดนกรรไกรผ่าตัดเข้าตอนที่คุณหมอกำลังผ่าตัดคนไข้อยู่ (ผมไปเป็นผู้ช่วยคอยยืนหยิบของให้) นี่ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย แล้วตอนนี้เลือดก็กำลังซิบอยู่ด้วยสิ
“อยู่เฉยๆ นะ” คยองซูรีบคว้าอะไรบางอย่างในกระเป๋าแล้วเดินมาหาผมทันที ผมได้แต่นั่งงงไม่พูดอะไร ปล่อยให้คยองซูเดินเข้ามาแล้วเอาพลาสเตอร์ปิดแผลมาปิดที่แผลของผม
ทั้งพี่จุนมยอนและผมมองหน้ากันอย่างงงๆ
“คยองซูพกอะไรแบบนี้ไว้ตลอดเลยเหรอเนี่ย” พี่จุนพูดขึ้นหลังจากนั่งดูเงียบๆ อยู่นาน ส่วนผมก็ยังคงนั่งเงียบต่อไป แขนผมเกร็งไปหมดเพราะไม่เคยมีใครมาทำอะไรแบบนี้ให้ โดยเฉพาะเพศชายแบบนี้น่ะนะ
“ก็ต้องพกไว้สิครับ เผื่อหกล้มหรือโดนอะไรขึ้นมา” คยองซูพูด “เสร็จแล้ว”
“ขอบ…ใจนะ” ผมพูดเบาๆ พลางมองตาอีกคนอย่างงุนงง ก่อนที่คยองซูจะย้ายตัวเองไปนั่งกับพี่จุนเหมือนเดิม
เด็กผู้ชายคนนี้ แปลกดีจังเลยแฮะ
ดูเป็นคนอ่อนโยน และมีอะไรหลายๆ อย่างที่มีเสน่ห์ในตัวอยู่มาก… ขนาดผมเพิ่งจะได้รู้จักเป็นวันแรก … ตั้งแต่ตอนเล่นกับหมาที่ผมคอยแอบดูอยู่นาน ยันตอนทำขนม ไหนจะตอนมาทำแผลให้ผมเมื่อกี้อีก
“เดี๋ยวผมคงต้องกลับก่อน คุณยายอาจจะหิวแล้ว”
“อ้อ เหรอ โอเคงั้นกลับกัน”
“พูดเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่บ้านนี้เลยเนอะ” ผมพูดแทรกขึ้นแล้วขำ เริ่มกล้าจะมีส่วนร่วมในบทสนทนามากขึ้น
“เงียบไปเลย” พี่จุนมยอนหันมาแยกเขี้ยวใส่ผม ผมเอาแต่หัวเราะกวนแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าส่องผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองด้วยความเคยชิน
“เอ้อ จริงด้วย” พี่จุนพูดขึ้นเมื่อเห็นการกระทำของผม
“เรามาถ่ายรูปกันหน่อยดีกว่า เราสามคน”
ทั้งผมและคยองซูมองหน้ากันงงๆ แต่ก็ยิ้มบางๆ ให้กัน คยองซูพยักหน้าแล้วค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับพี่จุน ทั้งสองคนดูยินดีปรีดากันมาก ไม่มีใครสนใจหน้าผมเลยสักคน นี่ผมกำลังอยู่ในชุดนอนอยู่นะโว้ย
“สภาพแบบนี้ไม่ดีมั้งพี่” ผมขัดขึ้นมาแม้จะรู้ว่าไม่ทันแล้ว
“เอาน่า ปกติแกก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้เท่าไหร่หรอก”
คำพูดของพี่จุนทำให้ผมชกแขนไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ กล้ามาแขวะผมต่อหน้าแขกอย่างนี้ได้ยังไง ปกติผมแต่งตัวดีจะตาย
เราสามคนถ่ายรูปร่วมกันโดยที่ผมเป็นคนถือกล้องเพราะแขนยาวที่สุด ถ่ายไปถ่ายมาก็ชักเพลิน จากสองรูป เป็นสามรูป สี่รูป ห้ารูป จนผมคิดว่าน่าจะพอได้แล้ว
“เซฮุนกับคยองซูถ่ายด้วยกันหน่อย เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ทำไมผมต้องถ่ายกับคยองซูด้วยอ่ะ ภาพคู่เนี่ยนะ
“ก็… คยองซูเป็นเหมือนน้องชายอีกคนของพี่ไง” พี่จุนมยอนขำ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดนั้น คยองซูเองก็หัวเราะออกมาแบบไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน ในที่สุดเราสองคนก็มานั่งติดกันแล้วชูสองนิ้วให้กล้องโดยไม่มีข้อแม้
“ทีนี้ก็กลับได้แล้ว” พี่จุนพูดหลังจากที่ดูรูปแล้วยิ้มอยู่คนเดียวอยู่นานสองนาน ผมกับคยองซูได้คุยกันเรื่องเรียนต่อนิดหน่อย เราสองคนค่อนข้างจะคุยกันรู้เรื่องเลยทีเดียว
ผมบอกลาคยองซูก่อนที่สองคนนั้นจะออกไป ส่วนผมเองก็นั่งดูทีวีต่อ วันนี้ผมไม่ต้องไปเรียนเพราะเป็นวันหยุด แถมตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปทำงานอีกด้วย
เวลาว่างแบบนี้ทีไร ผมคิดถึงไอ้บ้าจงอินนั่นขึ้นมาทุกทีเลย
เมื่อไหร่จะได้เจออีกก็ไม่รู้…
18.00 น.
โรงพยาบาลโซล
วันนี้คุณหมอคิมไม่มีเคสผ่าตัด คุณหมอเลยฝากงานนิดหน่อยไว้ให้ผมแล้วออกไปหาอะไรกินกับเพื่อนข้างนอกและบอกว่าจะกลับมาภายในสามชั่วโมง ผมทำงานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จเลยเช็คเฟสบุคในคอมคลายเครียด(ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย)
การแจ้งเตือนในเฟสของผมมีของเพื่อนสองคนและของพี่จุนมยอนอีกหนึ่ง ผมกดเปิดดูของพี่จุนก่อนเป็นอันดับแรก
‘ นี่รูปวันนี้นะ ’
พี่จุนทักแชทเฟสผมมาพร้อมกับแนบรูปวันนี้ที่ผมถ่ายกับพี่เขาและคยองซูมาให้ ผมถึงกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะลืมไปหมดแล้วว่าวันนี้คยองซูมาบ้าน และแปลกใจที่พี่จุนดูจะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วย ปกติพี่เขาไม่ชอบแม้แต่จะถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ เรื่องถ่ายแล้วส่งให้ผมนี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ หรือเพราะคิดว่าผมชอบถ่ายรูปเลยอยากรีบส่งรูปมาให้ผมดูกันนะ
พี่จุนมยอนแปลกไปมาก มากเลยจริงๆ
แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ผมกดดูรูปแล้วกดเซฟลงในเครื่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดูหน้าตัวเอง หน้าพี่ชายตัวเอง และหน้าคยองซูในแต่ละรูปตามลำดับ ก็พบว่ารอยยิ้มของพี่จุนมันกว้างกว่าปกติ เพราะธรรมดาพี่ชายผมจะไม่ค่อยยิ้มเห็นฟันแบบนี้ ด้วยความที่เป็นคนสุขุมนั่นแหละ
ผมทักแชทพี่จุนมยอนไปถามว่าตอนนี้พี่เขาอยู่ไหน และกลับบ้านแล้วหรือยัง ก็ได้ความว่าตอนนี้พี่เขายังไม่กลับบ้าน แต่กำลังมานั่งเล่นที่บ้านคุณยายของคยองซู พี่ผมบอกด้วยว่าคุณยายคยองซูใจดีมากเลย ทำกับข้าวให้ทานด้วย
พออ่านแล้วผมก็รู้ทันทีเลยว่าคยองซูได้นิสัยชอบทำอาหารมาจากใคร
RRRRRRrrrrrr~~
“ครับผม” ผมรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้น คาดว่าน่าจะมาจากแผนกหน้าห้อง
(เซฮุน เดี๋ยวเรามาช่วยพี่จัดเอกสารตรงนี้นิดนึงสิจ๊ะ ยัยจียองมันหายไปไหนก็ไม่รู้)
“ได้ครับพี่ซอนฮี” ผมวางสายแล้วรีบเดินออกไปหาพี่พยาบาลที่สนิทกันโดยปล่อยให้หน้าจอคอมผมโชว์รูปของผมกับคยองซูที่ถ่ายคู่กันอยู่แบบนั้นเพราะยังดูไม่เสร็จดี
.
.
.
ผมไม่เคยรู้สึกอยากมาหาพ่อขนาดนี้มาก่อนเลย
หัวใจผมมันอ่อนแอมากขึ้นทุกวันทุกวันจนผมแทบไม่เหมือนจงอินคนเดิม คนที่เคยเข้มแข็งและไม่หวั่นไหวกับเรื่องร้ายใดๆ แต่สำหรับเรื่องแม่… มันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะทนทำตัวเข้มแข็งได้จริงๆ
ผมคิดถึงพ่อ… อีกครั้งที่ผมมาหาพ่อด้วยความตั้งใจอยากมาหา ไม่ใช่เพราะว่าอยากมากวนประสาทเหมือนเคย ครั้งนี้ผมอยากจะกอดพ่อให้รู้แล้วรู้รอด ผมอยากจะระบายทุกอย่างออกไปให้พ่อฟัง แต่ผมไม่เคยกล้าพอเลยสักครั้ง
“คุณหมอคิมไม่อยู่นะคะ แกออกไปทานข้าวกับเพื่อนค่ะ เดี๋ยวอีกสักสองชั่วโมงมาใหม่นะคะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ หน้าจ๋อยลงทันทีที่ได้ยินเลขาฯ หน้าห้องของพ่อบอกแบบนั้น ผมเปิดประตูเข้าไปที่ห้องพ่ออย่างถือวิสาสะ แล้วนั่งลงกับโซฟาที่ไม่เคยมีโอกาสได้นั่งเลยสักครั้ง
สองชั่วโมงคงไม่นานเกินไปที่จะรอพ่อตัวเองหรอกมั้ง…
‘ โอ เซฮุน ’
สายตาของผมเหลือบไปเห็นเข้ากับป้ายที่ติดอยู่หน้าโต๊ะข้างๆ โต๊ะทำงานของพ่อ ที่จริงผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไอ้คนน่ารำคาญนั่นทำงานกับพ่อผม เพิ่งจะนึกขึ้นได้ก็ตอนที่เห็นชื่อแบบนี้นี่แหละ ถ้าพ่อผมไปกินข้าวข้างนอก แล้วหมอนี่ไปไหนซะแล้วล่ะ หรือพ่อผมจะพกเจ้าบ้านั่นไปด้วยนะ
ดูเหมือนว่าจะเปิดคอมทิ้งไว้ด้วย
ผมค่อยๆ เดินไปสำรวจโต๊ะของเซฮุนที่มีเพียงหนังสือการ์ตูนสองเล่มกับโน้ตบุคตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบหนังสือการ์ตูนนั่นมาดูพลางคิดในใจว่านี่คงเป็นสิ่งที่เซฮุนใช้อ่านเวลาเบื่อๆ อย่างแน่นอน ผมเริ่มเดินเข้าไปที่โต๊ะของเซฮุน และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอโน้ตบุคของหมอนั่นตอนนี้ทำเอาผมถึงกับตาค้าง
… รูปถ่ายของเซฮุนกับคยองซู …
หมอนั่น… รู้จักกับคยองซูของผมได้ยังไง?
“มายุ่งอะไรกับโต๊ะของคนอื่นแบบนี้ล่ะครับคุณ”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อเซฮุนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมรีบลุกออกมาจากบริเวณโต๊ะทำงานของเซฮุนโดยเร็วราวกับคนทำความผิดไว้แล้วถูกจับได้ ถึงจะตกใจมากขนาดไหน ผมก็ยังเอาแต่ทำหน้าเก๊กใส่อีกฝ่ายอยู่เหมือนเคย
“รู้จักกับคยองซูด้วยเหรอ” ผมทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง แต่จริงๆ แล้วผมก็อยากรู้จริงๆ นั่นแหละถึงได้ถามออกไป
“ก็เพิ่งจะรู้วันนี้นี่แหละ มีอะไร” เซฮุนมองหน้าผมกวนๆ คงจะรู้สึกว่าเป็นต่อผมอยู่เพราะผมเพิ่งจะเป็นฝ่ายเสียหน้าไปเมื่อครู่
“ไปรู้จักกันได้ยังไง”
“วันนี้เขามาที่บ้าน มาหาพี่ชายเรามั้ง”
“พี่ซูโฮ?”
“อืม รู้จักด้วยเหรอ”
คยองซูไปหาไอ้บ้าอำนาจนั่นทำไม… ผมเลิกคิ้วและขมวดคิ้วในเวลาถัดมา ใช้ความคิดของตัวเองจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน และยิ่งคิดภาพเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่าไหร่ ความหึงหวงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
โธ่เว้ย หงุดหงิด… โคตรหงุดหงิดเลย
“ตอนนี้คยองซูกลับบ้านรึยัง” ผมถามอีกฝ่าย เผื่อว่าไอ้บ้านี่จะรู้คำตอบ
“กลับไปแล้ว…” ผมถอนหายใจออกมานิดหน่อย โล่งอกไปที
“แต่ตอนนี้พี่ชายเราก็อยู่บ้านคยองซูนั่นแหละ”
“ว่าไงนะ?”
ผมตะโกนลั่นจนเซฮุนขมวดคิ้วงง หมอนี่คงไม่คิดว่าผมจะตกใจกับอะไรแบบนี้ และคงสงสัยว่าผมเป็นอะไรกับคยองซูถึงได้มาวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคยองซูนัก
“อะไรของนายวะเนี่ย มาทำเสียงดังทำไม”
“เปล่า…”
ผมย้ายตัวเองที่กำลังหงุดหงิดได้ที่มานั่งที่โซฟาเหมือนเดิมอีกครั้ง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความคิด ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ คิ้วของผมก็ยิ่งขมวดขึ้นมากเท่านั้น ผมควรจะไปบ้านยายคยองซูเพื่อไปขัดจังหวะไอ้เวรซูโฮนั่นตอนนี้เลยดีไหมนะ
ทำไมมันต้องมายุ่งกับคยองซูด้วยวะเนี่ย
“เออนี่ คืนนี้ไปดื่มกันมั้ย” เซฮุนที่นั่งมองผมอยู่นานเอ่ยปากถามออกมาแบบนั้น ผมหันขวับ เลิกคิ้วใส่ทันทีที่ได้ยิน
“อะไรของแกอีก”
“ก็ดูจากหน้าแล้วน่าจะมีเรื่องเครียดอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปดื่มกันหน่อยป่ะ” เซฮุนพูดไปยิ้มไป ให้ตายเถอะ ไอ้บ้านี่เคยเครียดอะไรบ้างไหม
“ไม่ไป และถึงจะไปก็ต้องไม่ใช่กับนาย” ผมพูดเสียงเรียบ
“แน่ใจเหรอ ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกนะ เดี๋ยวจะ sms ชื่อร้านกับซอยไปให้”
“ไม่ต้อง”
“ดื่มคนเดียวมันเหงาจะตาย ไปเป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้”
เซฮุนพูดพร้อมกับกดโทรศัพท์ไปด้วย ไม่ถึงสามวิผมก็ได้รับ sms ชื่อร้านตามที่ไอ้คนน่ารำคาญนี่เพิ่งจะพูดไว้ ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยิ้มยั่วโมโหผมแล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดอีกครา ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดด้วยเลยจริงๆ
ให้ตายสิ … ไอ้บ้านี่เป็นคนประเภทไหนกันนะ
“ใครเพื่อนแกวะ”
“ลืมไปว่าไม่ใช่เพื่อน…” เซฮุนกระตุกยิ้ม ส่งเสียงกวนมาให้ผมที่อยู่ไม่ไกล
“……………”
“เราเป็นแฟนกันนี่”
“ห๊ะ!?????” คิ้วของผมขมวดเป็นปม โคตรจะงงกับคำพูดของไอ้คนประสาทไม่ดีคนนี้เลย
“คราวที่แล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าบอกเด็กคนนั้นว่าเป็นแฟนเราอ่ะ”
“…………………”
ครั้งไหนของมันวะ
ผมยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เจอเซฮุนครั้งก่อน คิดไปคิดมาก็พอจะเริ่มนึกออกแล้วบ้างว่าผมทำอะไรลงไป คราวที่แล้วที่ผมบอกเด็กผู้หญิงบ้าผู้ชายนั่นไปแบบนั้นเพราะผมไม่รู้จะสรรหาวิธีไหนมาช่วยไอ้หมอนี่ดี แต่ผมไม่คิดว่าเซฮุนจะจำมายันวันนี้ เพราะผมลืมไปตั้งแต่สองนาทีแรกหลังจากที่พูดเสร็จแล้วล่ะ
“ประสาท”
ผมได้แต่พูดแบบนั้นแล้วรีบคว้ากระเป๋าเป้ตัวเองลุกพรวด ตอนนี้ผมหงุดหงิดกับคนน่ารำคาญคนนี้เกินกว่าจะนั่งร่วมห้องกันได้อีกเป็นชั่วโมง เชื่อได้เลยว่าขืนนั่งต่อ ไอ้หมอนี่มันจะต้องสรรหาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากวนผมไม่รู้จบแน่ๆ
ทำไมถึงได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญขนาดนี้ก็ไม่รู้
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องพ่อเพราะทนรำคาญไม่ไหว ผมก็ขับรถเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อย จอดโน่นแวะนี่จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงสี่ทุ่มแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตของผมว่างเปล่าขนาดนี้มาก่อนเลย สามสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมปล่อยให้เวลาหมดไปกับการคิดเรื่องของแม่ เรื่องของครอบครัวในอนาคต ผมแค่คิดว่า ถ้าพ่อผมรู้เรื่องนี้เข้า พ่อผมจะทำยังไง
ถ้าพ่อกับแม่เลิกกันขึ้นมาจริงๆ ผมคงต้องกลายเป็นเด็กที่มีปัญหากว่าเดิมเป็นแน่
แค่จินตนาการว่าพ่อแม่ของผมหย่ากัน และผมต้องทนอยู่กับแม่ที่นอกใจพ่อผมไปมีชู้ ผมก็รู้สึกเครียดและปวดหัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแล้ว แน่นอนว่าผมคงทนอยู่กับผู้หญิงที่นอกใจสามีตัวเองไม่ได้หรอก ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแม่ผมก็ตาม
ผมยอมอยู่คนเดียวเสียยังจะดีกว่า
ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้มาหยุดอยู่ที่ sms ของไอ้เซฮุนที่ส่งมาหาผมเมื่อตอนเย็น จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าอยากดื่ม แต่ถ้าดื่มคนเดียวก็คงจะฟุ้งซ่านกว่าเดิม
คงไม่เสียฟอร์มมากหรอกมั้งถ้าจะไปดื่มกับไอ้คนไร้สาระพรรณนั้น
พอมาถึงผับที่เซฮุนว่า ผมก็จัดการจอดรถและมองหาว่าเซฮุนนั่งอยู่โต๊ะไหน ไม่ถึงหนึ่งนาทีผมก็เจอหมอนั่น อันที่จริงแล้วหาได้ไม่ยากเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนในผับตอนนี้หน้าตาธรรมดากันเกินไป หรือเป็นเพราะเซฮุนหน้าตาดีและดูมีออร่ามากกันแน ผมยืนมองห่างๆ และวางฟอร์มอยู่นานกว่าจะเดินไปนั่งข้างๆ เซฮุน
มาคนเดียวอย่างที่บอกไว้จริงๆ ด้วย
“เบลนด์ขวดนึงครับ”
ผมค่อยๆ นั่งลงข้างเซฮุนแล้วเอ่ยปากสั่งเหล้าโดยไม่หันไปมองหน้าเจ้านั่นเลยแม้แต่นิด เซฮุนได้แต่หันมามองผมงงๆ พอเห็นว่าผมมาอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ ไอ้บ้านี่ก็หัวเราะออกมาอย่างกับคนเมา
“ลมอะไรพัดมาล่ะครับคุณจงอิน”
“ก็แค่อยากดื่ม ไม่ต้องพูดมาก” ผมหันไปชักสีหน้าใส่ รู้สึกเสียฟอร์มแบบสุดๆ
“ว่าแล้วเชียว นายนี่มั…………”
“หยุดพูดมาก ถ้าขืนยังพูดแบบนี้ฉันจะกลับ”
“……………” คำพูดของผมได้ผล เพราะมันทำให้เซฮุนเงียบไปทันที หมอนี่เชื่องดีจริงๆ
.
.
.
เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าแล้วที่ผมเอาแต่นั่งเงียบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จงอินจะมานั่งกินเหล้ากับผมแบบนี้ได้ แสดงว่านายนี่ต้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจจริงๆ ผมขอเดาว่าไม่เรื่องครอบครัวก็คงเป็นเรื่องผู้หญิง
ผมเป็นคนคอแข็งเพราะดื่มกับเพื่อนบ่อย ผมไม่ชอบดื่มคนเดียว แต่วันนี้ที่มาก็เพราะอยากลองใช้ความคิดเงียบๆ คนเดียวดูบ้าง ผมไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรเลย แค่รู้สึกกระหายเพราะไม่ได้ดื่มมานานแล้ว แล้วก็ไม่อยากชวนเพื่อนด้วย ไม่รู้ทำไม
ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว จงอินเหมือนเป็นคนที่ดื่มเก่งคนหนึ่ง แต่ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมดูไว้นั้นมันผิด ตอนนี้จงอินเอาแต่ครวญครางเสียงยืดยาดหลังจากดื่มหมดไปเกือบค่อนขวด ผมจับใจความไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่อยากจะกวน ปล่อยให้พูดไปแบบนั้นแหละ
“นี่… เซฮุน”
“หือ?” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตัวเอง รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะรู้ว่าเมาก็เถอะ
“เคยมีความรักป่ะ” จงอินพูดเสียงยาน แน่นอนว่าหมอนี่เมาเรียบร้อยแล้ว
“ถามทำไม” จะให้ผมตอบยังไงดีล่ะ ในเมื่อคำตอบของผม ก็คือคนถามนั่นแหละ
“ก็พี่แก!” จงอินตะคอก ผมสะดุ้งนิดหน่อย “พี่แก… แย่งคยองซูไปจากฉัน”
“ว่าไงนะ”
“คยองซู… คยองซู… แม่งไม่เคยรักฉันเลย”
“คยองซูเหรอ?”
“พี่แกมันเลว แกไม่รู้เลยเหรอ พี่แกมันเลว!”
“จงอิน พูดอะไรน่ะ” ผมเริ่มจะเดือดนิดหน่อย ถึงจะจับใจความไม่ค่อยได้
“ฉันน่ะ… ฉัน… รักคยองซูมาสี่ปีแล้วนะโว้ย”
“…………………”
ผมหน้าชาเหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก ผมตัวแข็ง มือเย็น ทำอะไรไม่ถูก เหมือนมีแฟนแล้วโดนบอกเลิกกระทันหัน ทั้งที่คนที่กำลังพล่ามอยู่นี่ไม่ใช่แฟนผม แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้นะ
จงอินชอบคยองซู…
และที่ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายผม…
พี่จุนมยอน…
ก็ชอบคยองซูในเชิงนั้นด้วยเหมือนกันเหรอ
“แกไม่เคยแอบรักใคร แกแม่งไม่รู้หรอก โธ่เอ๊ย”
“………………” ผมเอาแต่นั่งเงียบ ฟังอีกคนพูดไม่ขัดแต่อย่างใด
“แค่มือ…” จงอินคว้ามือผมหมับ ผมเบิกตากว้างเพราะตกใจ “มือของคยองซู ฉันยังไม่เคยได้จับเลย”
จงอินมองหน้าผม มองลึกเข้ามาในดวงตาของผม หัวใจของผมมันกำลังร้องไห้ แต่ผมต้องเข้มแข็ง ผมต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลลงมาต่อหน้าจงอิน ถึงหมอนี่จะไม่มีสติอยู่ก็ตาม ผมจะให้จงอินเห็นน้ำตาผมไม่ได้ ผมรู้แค่นี้แหละ
“ฉันอยากจะสัมผัสคยองซู…” มือหนายกขึ้นลูบแก้มของผมแผ่วเบา ส่งสายตาเจ็บปวดมาที่ผม สัมผัสของจงอินในตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยสักนิด สิ่งที่จงอินทำอยู่ในตอนนี้ ยิ่งจะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับหัวใจของผม
ผมรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดหัวใจ…
ไม่สิ …
มันเหมือนมีเข็มหลายเล่มพุ่งตรงเข้ามาทิ่มแทงหัวใจของผม
คำพูดที่ออกมาจากปากจงอิน ประโยคหนึ่งก็เทียบได้กับเข็มหนึ่งเล่ม
ยิ่งพูดออกมามากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกเหมือนโดนเข็มแทงมากขึ้นเท่านั้น
“ฉันอยากสัมผัสคยองซูแบบนี้บ้าง…” จงอินเริ่มลูบแก้มผมหนักขึ้น ผมทนไม่ไหวเลยปัดมืออีกคนทิ้ง
“เมามากแล้ว กลับเหอะว่ะ”
“ไม่ ฉันยังไม่อยากกลับ…”
จงอินฟุบลงกับโต๊ะแล้วครางในลำคอเบาๆ เป็นคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์แม้ว่าจะพยายามเงี่ยหูฟังแล้วก็ตาม … ไม่นานนัก คนที่เอาแต่พูดเพ้อเจ้อคร่ำครวญเรื่องความรักของตัวเองอยู่นานสองนานก็ผลอยหลับไป
ผมมองคนที่ทิ้งผมไปสู่โลกนิทราด้วยความรู้สึกหลายอย่างพร้อมๆ กัน ทั้งปวดหัวใจ แล้วก็เหนื่อยหน่าย … เห็นแบบนี้ผมเลยเรียกบ๋อยมาเช็คบิล ก่อนจะค่อยๆ พยุงร่างหนักอึ้งขึ้นรถของตัวเอง จัดการให้นั่งเบาะข้างคนขับเสร็จสรรพ
ผมพยายามปลุกจงอินอยู่นาน แต่หมอนี่เมาหนักมากจนไม่ยอมตื่นมาคุยกับผม ผมเลยไม่รู้ว่าจะไปส่งจงอินที่ไหนดี ฉะนั้นบ้านของผมเลยเป็นตัวเลือกแรกที่นึกออก ยังไงถ้าไอ้บ้านี่ตื่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็ได้มั้ง
ผมค่อยๆ พยุงจงอินเดินขึ้นห้องตัวเองอย่างทุลักทุเลเพราะตัวหมอนี่หนักมาก โชคดีที่พี่ผมกับแม่หลับไปแล้ว เลยไม่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้
“ถ้ารู้ว่าตัวหนักขนาดนี้ทิ้งไว้ที่ร้านก็ดีเว๊ย” ผมพูดหลังจากโยนจงอินลงกับเตียงอย่างไม่ใส่ใจ คงไม่เจ็บหรอกมั้ง แต่ถ้าเจ็บก็ดี จะได้รู้สึกตัวแล้วรีบๆ กลับบ้านไปซะ
“อืม…”
เสียงครางไม่ได้สติของจงอินทำให้ผมที่กำลังถอดเสื้อจนเหลือแค่เสื้อกล้ามตัวเดียวและบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วต้องหันไปหาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทันทีที่หันไปนั้นผมก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะตอนนี้จงอินกำลังเดินเข้ามากอดผมจากด้านหลัง
“เฮ้ย ปล่อยดิวะ!” ผมพูดดังลั่น หวังจะเรียกสติอีกคนให้กลับมา
“ขาว… จัง”
“ปล่อยนะเว้ย จงอิน ปล่อย!”
ผมดิ้นสุดแรง สะบัดตัวจงอินจนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับเตียง ผมยืนมองจงอินที่หัวกระแทกกับเตียงอยู่นานสองนาน ไม่กล้าเข้าใกล้มากเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าอีกคนร้องโอดโอยก็อดที่จะเดินเข้าไปดูอาการอย่างเป็นห่วงเสียไม่ได้
“เจ็บ…”
“เจ็บตรงไหน” ผมถามด้วยความวิตก เจ็บมากรึเปล่าวะเนี่ย
“ตรง…นี้…”
จงอินจับมือของผมไปแนบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง สายตายั่วยวนกับรอยยิ้มร้ายนั่นของจงอินทำให้หน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ผมรีบชักมือตัวเองออกและเตรียมจะเดินหนี แต่ก็ไม่รอดพ้นจากแรงดึงของจงอินอยู่ดี
“จงอิน!”
ผมตะโกนลั่นเมื่อจงอินพยายามจะลากผมขึ้นเตียง เราสองคนฉุดกระชากลากถูกันอยู่นานจนผมเริ่มจะหมดแรง นี่คนสติดีอย่างผมสู้คนเมาไม่ได้เลยหรือไง…
พอเห็นว่าผมเริ่มอ่อนแรงและยอมอยู่เฉย จงอินก็เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ผมชนิดที่ว่าผมหายใจติดขัดและกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ริมฝีปากหนาเข้าใกล้ใบหูของผมจนเกือบแนบสนิท ก่อนกระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“มามีความสุขกันเถอะนะ”
“พูดบ้าอะไรวะ”
“เราสองคน…มามีความสุขกันเถอะ…อืม…”
พูดจบ คนที่กำลังขาดสติก็ขึ้นคร่อมผมที่เริ่มจะหมดแรงแล้วล็อคมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่นจนผมดิ้นไม่หลุด จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามลำคอของผมอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลิ้นร้อนที่ลากยาวจนผมอดรู้สึกหวาบหวามไม่ได้
กลิ่นความเป็นชาย บวกกับกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ที่โชยออกมาจากเรือนร่างของจงอินทำให้คนที่เสพแอลกอฮอลล์เข้าไปมากอย่างผมเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยากเลย
ในเวลานี้… ถึงจะมีสติ แต่ก็เหมือนไม่มี
ริมฝีปากที่เล่นซนอยู่ที่ซอกคอของผมอยู่นานสองนานค่อยๆ เลื่อนขึ้นเล็มเลียปลายคางของผม จนกระทั่งมาทาบทับที่ริมฝีปากของผมในที่สุด เราสองคนเกี่ยวกระหวัดลิ้นของกันและกันไปมาตามสัญชาตญาณดิบของผู้ชายจนริมฝีปากชุ่มเปรอะไปหมด
จูบ…
จงอินกับผมกำลังจูบกัน
เป็นจูบที่มีคนหนึ่งมีสติดี และอีกคนหนึ่งขาดสติ… แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด
ผมได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขัดขืน อีกอย่างผมเองก็เป็นผู้ชาย และผมก็ชอบจงอินมากด้วย ในนาทีนี้ เวลานี้ ถึงมันจะไม่ได้เป็นการกระทำที่เกิดจากความรัก และเป็นการกระทำที่ขาดสติ ยังไงผมก็ยังรู้สึกยินดี ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียหายอะไรเลย… นอกจากเสียใจ
ถึงแม้ว่าตื่นมาจงอินจะจำอะไรไม่ได้เลย…
ถึงแม้ว่าเรื่องในคืนนี้ทั้งหมดจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ…
ถึงแม้ว่าผมจะต้องเสียใจ…
แต่หากว่าพอจะมีสักเรื่องที่ทำให้จงอินมีความสุขได้… แม้แลกด้วยความเสียใจของผม
ผมก็ยินดี
.
.
.
หายไปไหนของเขานะ
ผมมายืนรอคยองซูที่หน้าบ้านคุณยายอยู่นานเมื่อเข้าไปแล้วพบว่าคยองซูไม่อยู่ เกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมต้องทนหนาวอยู่แบบนี้ แต่จะให้กลับเข้าไปรอที่บ้านตัวเองก็ร้อนใจ กลัวคยองซูมาแล้วผมจะไม่รู้
ผมอาจจะดูเหมือนคนโง่คนหนึ่งที่พอรู้ความจริงว่าคยองซูชอบผมก็เอาแต่ตัดสายทิ้ง แต่ผมยังไม่กล้าสู้หน้ากับคยองซูจริงๆ
แต่ตอนนี้ ความกล้าที่ผมอุตส่าห์รวบรวมอยู่เกือบหนึ่งวันเต็มทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้แล้วในที่สุด ตอนแรกผมคิดว่าผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร และทำตัวเป็นเพื่อนกับคยองซูต่อไปเหมือนปกติ แต่พอผมจินตนาการถึงตอนที่ผมได้เป็นแฟนของคยองซูสักทีหลังจากแอบชอบมาสามสี่ปี มันก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
จะดีแค่ไหนถ้าผมได้จับมือคยองซู เดินจูงมือ ไปไหนมาไหนด้วยกัน
จะดีแค่ไหนถ้าผมได้กอดคยองซู จูบแก้มนิ่มๆ ของคยองซู
จะดีแค่ไหนถ้าผมได้บอกรักคยองซู และฟังคยองซูบอกรักก่อนนอนทุกคืน
จะดีแค่ไหน … ถ้าผมได้ทำทั้งหมดที่ว่ามานี้ ในฐานะ ‘แฟน’
“คยองซู…!”
ในที่สุดคยองซูก็ปรากฏกาย ทันทีที่สายตาของเราสองคนสบประสานกัน หัวใจของผมก็เต้นรัวราวกับกลอง มือของผมสั่นไปหมด ความรู้สึกในตอนนี้ยิ่งตอกย้ำชัดว่าผมไม่สามารถเป็นแค่เพื่อนของคยองซูได้อีกต่อไป
“มายืนรอเราเหรอ” คยองซูเลิกคิ้วชี้ตัวเองแล้วทำหน้างงเล็กน้อย
“มีอะไรรึเปล่……………”
หมับ !
ผมสวมกอดคยองซูทันทีโดยไม่ทันรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรจบ กอดแน่นมากเท่าความคิดถึงทั้งหมดที่มี ความคิดถึงที่สั่งสมอยู่ในใจจนเป็นกองพะเนิน แค่ไม่ได้เจอหน้าคยองซูหนึ่งวันผมก็แทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว
“มีเรื่อง… ไม่สบายใจอะไรเหรอ”
“………………”
ถึงจะงงกับท่าทีของผม แต่คยองซูก็ยกมือเล็กขึ้นโอบกอดผมและคอยลูบหลังผมเบาๆ ราวกับว่าผมมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรเหมือนที่เคยเป็นอยู่บ่อยครั้ง เจ้าตัวเล็กนี่ไม่รู้อะไรเลยว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ผมไม่ได้กอดคยองซูเพราะมีปัญหาอะไรแล้ว
ผมกอด… เพราะผมอยากกอด
“แบคฮยอน เป็นอะไร พูดสิ”
“………………”
“แบคฮยอน…”
“………………”
“เข้าบ้านกันก่……”
“คยองซู”
“หืม?”
“เรา…”
“…………………”
“ขออยู่แบบนี้ก่อนนะ”
“หา…”
“ขออยู่ในอ้อมกอด…คนที่เรารักแบบนี้…ก่อนนะ”
“ว… ว่าไงนะ”
ในที่สุดผมก็พูดออกไปจนได้…
ที่ผ่านมาผมเป็นแค่ผู้ชายขี้ขลาดคนหนึ่งที่ไม่กล้าเผยความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อคยองซูให้เจ้าตัวได้รู้เลยแม้แต่สักครั้ง ผมกลัวว่าความเป็นเพื่อนของเราจะจบลง หากว่าคยองซูไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับผม แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่
“เราชอบคยองซู…”
“นาย… เคยบอกเราแล้วนี่ แน่นอนสิ ก็เรา… หล่ออ่ะ” คยองซูยังพูดติดตลก นั่นยิ่งทำให้ผมต้องเร่งพูดตรงๆ มากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่แบบเพื่อน”
“อะไร…”
“เราชอบคยองซู ที่ไม่ใช่แบบเพื่อน… มาสี่ปีแล้ว”
“………………”
“ไม่ตื่นเต้นเลยใช่มั้ยล่ะ… รู้หมดแล้วใช่มั้ยล่ะ…”
“แบคฮยอน”
“ไม่ต้องพูดอะไร ฟังเราให้จบก่อน…”
“………………”
“คยองซู… เราไม่อยาก… เป็นแค่เพื่อนแล้วล่ะ”
“………………”
“ต่อจากนี้ เราอยากเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแลคยองซู จับมือคยองซูเวลามีปัญหา กอดคยองซู จูบคยองซู ในแบบที่คนรักกันเขาทำกัน ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนแบบที่ผ่านมาอีกแล้ว”
“………………”
“เอาล่ะ เราพูดจบแล้ว”
ผมพูดแล้วเว้นวรรค ปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดของผม จ้องมองเข้าไปลึกๆ ที่ดวงตาของคยองซู ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน
“เป็นแฟนเราได้ไหมคยองซู”
คยองซูเบิกตากว้าง อ้าปากค้างนิดๆ แล้วหลุบตาลงต่ำ ผมยืนมองคนตัวเล็กตรงหน้าอยู่นาน รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากปากคยองซู ผมจึงถอยห่างออกมาจากคยองซูเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรขึ้นได้
“มันลำบากใจมากเลยใช่มั้ย”
“แบคฮยอน… คือ…”
“ถ้าอยากปฏิเสธเรา อย่าปฏิเสธด้วยความเงียบแบบนี้”
“คือว่า…”
“ถ้าคำตอบคือไม่ … ให้เดินมาจับมือเราแล้วตบมือเราเบาๆ”
“หืม?”
“แต่ถ้าคำตอบคือใช่… ให้เดินเข้ามากอดเรา”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืนรอว่าอีกฝ่ายจะเลือกแบบไหน วินาทีนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ปลายเหว และพร้อมจะตกลงไปตายได้ทุกเมื่อ
และแน่นอนว่าจะเป็นหรือตาย มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่เป็นคนกำหนด
คยองซูยืนนิ่งอยู่นาน มองหน้าผมอย่างครุ่นคิด ผมเองก็สบตาคยองซูเนิ่นนานและไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิด ไม่ใช่เพราะไม่กลัว แต่เพราะอยากเก็บเกี่ยวภาพของคยองซูเอาไว้ให้นานที่สุด ตราบเท่าที่ยังทำได้
เผื่อว่าในอีกวินาทีข้างหน้า… ผมกับคยองซูจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
“แบคฮยอน คือเรา… ไม่ได้อยากทำทั้งสองอย่าง”
“ท… ทำไม…” คำพูดของคยองซูทำให้หัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิม กังวลมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
“ขอโทษนะ…”
วูบ ~
… ขาของผมกำลังไร้เรี่ยวแรง …
… เหมือนผมจะยืนต่อไปไม่ไหวแล้ว …
… ผมอยากจะคิดว่านี่เป็นแค่ฝันไป … แต่มันไม่ใช่ …
นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม ?
ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อคยองซูค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมแล้วใช้มือเล็กทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผมแล้วค่อยๆ ทาบริมฝีปากลงที่ริมฝีปากของผม ผมเบิกตากว้างกับสัมผัสที่แสนจะรู้สึกดีแต่กระทันหันมากไปจนผมทำอะไรไม่ถูก คยองซูค่อยๆ หลับตาพริ้มในขณะที่ดวงตาของผมยังคงเบิกกว้าง ริมฝีปากที่รุกหนักขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่ายนั้นทำให้ผมอดหลับตาลงด้วยความเคลิ้มที่ไม่น้อยไปกว่ากันไม่ได้
มือหนาของผมยกขึ้นโอบรอบเอวบางตามที่เสียงหัวใจเรียกร้อง จูบของเราในครั้งนี้ไม่ได้หวาบหวามหรือดูดดื่มแต่อย่างใด เป็นการจูบที่ไม่ได้ลึกซึ้งหรือชวนให้เกิดอารมณ์ลุ่มหลง ทว่า กลับเป็นจูบที่รู้สึกดี และมีค่าจนผมอยากจะจดจำไปตลอดชั่วชีวิต
ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆ ผละออกจากกันช้าๆ ผมเอาแต่จ้องมองคนตัวเล็กกว่าที่เอาแต่หลบหน้าหลบตามองพื้นด้วยความเขินอาย ใบหน้าของคยองซูแดงระเรื่อจนผมอยากจะหอมแก้มนิ่มๆ นี่เสียให้รู้แล้วรู้รอด
“หมายความว่า…”
“ได้โปรด…เอ่อ…”
“………………………”
“ได้โปรดดูแลผม… ในแบบที่คนรักพึงกระทำ… ด้วยนะครับ…”
“………………”
“……นะครับคุณแบคฮยอน”
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น