ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { FIC } Circle. 「 BaekDo ft. KaiHun 」

    ลำดับตอนที่ #6 : ` c h a p t e r 5 ♡ { t h e . . t r u t h }

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 57







    C I R C L E

    ` c h a p t e r 5 ♡ ; { t h e . . t r u t h }

     











     

     

       

     

    “พี่กำลังขู่ผมอยู่เหรอครับ”

     

    หลังจากได้ยินคำที่ผมคิดว่าน่ากลัวที่สุดในชีวิต ผมก็เอ่ยปากถามพี่ซูโฮออกไปแบบนั้น รวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด และพยายามทำเสียงที่สั่นเครือเพราะโมโหบวกกับกลัวให้เป็นปกติที่สุด

     

    แต่ผมกลับทำไม่ได้ เสียงของผมกำลังสั่น คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรเลยของผม ต้องมาตกม้าตายเพราะเสียงของผมกำลังสั่น

     

    ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าผมมันเป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง

     

     

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ”

     

    พี่ซูโฮแย้มรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา เป็นรอยยิ้มที่พบได้บ่อยตามละครทีวี รอยยิ้มที่ตัวโกงชอบยิ้มเพื่อข่มคู่แข่ง ในวันนี้ผมได้เห็นของจริงเป็นครั้งแรก และมันน่าแขยงกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย

     

    “ทำแบบนี้ทำไมครับ” ใช่ ผมมันแค่เด็กมหาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่งที่พ่อเพิ่งจะตกงาน ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไม่ใช่เหรอ

     

    “นายนี่อ่อนหัดกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีกนะแบคฮยอน” พี่ซูโฮหัวเราะกับท่าทีเกรงกลัวของผม เดินมาตบบ่าผมเบาๆ ผมรีบสะบัดออกด้วยความโมโห

     

    “พี่คิดว่าอำนาจเงินของพี่มันจะซื้อความสุขได้เหรอครับ”

    “ตอนแรกก็คิดว่าไม่ได้หรอก…” คนอายุมากกว่าเดินกอดอกวนรอบตัวผมช้าๆ “แต่เรื่องของพ่อนายมันเหมาะเจาะพอดีน่ะสิแบคฮยอน”

    “เลว…” เป็นครั้งแรกที่ผมด่าใครสักคนออกไปโดยไม่ต้องคิดเลย

    “ใช่ ฉันมันเลวแต่แค่กับนายคนเดียวเท่านั้นแหละ”

    “ผมคนเดียวงั้นเหรอ” ผมพูด หัวเราะเย้ยหยัน

    “คิดว่ามีแค่ผมคนเดียวงั้นเหรอ”

     

    หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มร้ายของพี่ซูโฮก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้า คนที่ดูเหมือนมาเหนือผม เยาะเย้ายผม แปรเปลี่ยนเป็นคนที่กำลังใช้ความคิด ตอนนี้พี่เขาคงกำลังคิดตามในสิ่งที่ผมพูด แน่นอน พี่เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าตอนนี้มีใครมาตอแยคยองซูบ้าง

     

    “ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่ยังมีจงอินที่ด้อยกว่าพี่แค่อายุและหน้าที่การงานเท่านั้น ไหนจะไอ้หนุ่มร้านเช่าหนังสือการ์ตูนนั่นอีก ได้ข่าวว่าโทรคุยกับคยองซูทุกวันเลยด้วยนะครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ

    “แบคฮยอน” คู่สนทนาจ้องเขม็งมาที่ผม

    “ทำไมครับ แค่นี้ก็โกรธซะแล้วเหรอ พี่เองก็ควบคุมอารมณ์ได้แย่กว่าที่ผมคิดนะครับ”

    “ฉันแค่จะบอกนายว่า ฉันไม่กลัวคนพวกนั้นหรอก”

    ……………”

    “เพราะถ้ากำจัดนายได้ คนอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

    …………”

     

    พี่ซูโฮแย้มรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาเป็นหนที่เท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมโคตรจะเกลียดไอ้รอยยิ้มเวรๆ นี่ ผมอยากจะซัดคนอายุมากกว่าที่ตัวพอๆ กันกับผมให้คว่ำลงไปนอนสักหมัดสองหมัด แต่ก็ทำได้แค่คิด

     

    พี่ซูโฮมองผมที่กำลังกำหมัดและกัดฟันกรอดด้วยความโมโหจนสุดจะทน ก่อนหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แล้วค่อยๆ เดินมากระซิบประโยคสุดท้ายก่อนเดินจากไปที่ข้างหูผมเบาๆ

     

    “และนาย แบคฮยอน นายคือคู่แข่งที่อ่อนที่สุด และกำจัดได้ง่ายที่สุดเลยล่ะ”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

                                                                                                             

     

    ใช้อำนาจเงินในทางที่ผิดงั้นเหรอ

     

    ใช่ ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นแบบนั้น แน่นอนว่าผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่

     

    ถึงผมจะเป็นคนที่คยองซูคุยด้วยทุกวัน และไปไหนมาไหนด้วยกันหลายต่อหลายหน แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคยองซูจะชอบผมเสียหน่อยนี่ แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าผมจะค่อยๆ กำจัดศัตรูหัวใจออกไปทีละคน ละคน ด้วยวิธีที่ผมคิดว่าผมสามารถทำได้ ผมอาจจะถูกมองว่าเป็นคนเลว แต่ถ้าเป็นคนเลวแล้วได้คยองซูมา มันก็คุ้มค่าที่จะลองเป็นดูไม่ใช่เหรอ

     

    และอีกอย่าง ผมมีความรู้สึกมั่นใจแปลกๆ ว่าไอ้คิมจงอินนั่นต้องใช้วิธีที่เลวกว่าผม

     

    สำหรับจงอิน คนที่ผมเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าอะไรดี ผมก็มีวิธีที่จะเอาชนะอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้พนักงานร้านการ์ตูนนั่น ผมเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะทำยังไง เรื่องไอ้นี่มันไม่ยากเท่าคนอื่นๆ หรอก ถึงฐานะของปาร์คชานยอลเท่าที่ผมสืบทราบมาจะค่อนข้างดีเลยก็เถอะ

     

    แต่สำหรับแบคฮยอน นี่คงจะเป็นวิธีที่ดีและเด็ดขาดที่สุดไม่ใช่เหรอ

     

    “ว่าไงคยองซู” ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ คยองซูก็โทรเข้ามาหาผม ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะต้องรับโทรศัพท์จากคยองซูในครั้งนี้เหลือเกิน ความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ในอกผม เหมือนกับว่าผมไปพรากลูกนกออกมาจากอกแม่นกยังไงอย่างงั้น

     

    ขอโทษนะคยองซู ขอโทษจริงๆ

     

    (พี่จุนมยอนทำอะไรอยู่หรอครับ) คยองซูพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ผมจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ปกติเช่นกันแม้ตอนนี้อารมณ์ผมจะไม่ค่อยปกติดี

     

    “พี่เหรอ เอ่อ อ๋อ กำลังจะไปหาคยองซูนี่แหละ”

    (มาหาเหรอครับ อืม ดีเลย)

    “คยองซูเป็นอะไรรึเปล่า”

    (ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แต่รู้สึกเหงาแปลกๆ)

    “เหงา?”

    (ครับ ตั้งแต่แบคฮยอนกลับไป ผมก็รู้สึกแบบนั้นเลย แย่จังเลยนะครับ ผมเป็นคนขี้เหงาตั้งแต่เมื่อไหร่)

    “รออีกประมาณสิบนาทีนะ พี่กำลังขับรถไป”

     

    หลังจากที่วางสายจากคยองซูไปแล้ว อารมณ์แรกที่รู้สึกเลยก็คือหงุดหงิด ผมหงุดหงิดมากอย่างบอกไม่ถูก หงุดหงิดที่สุดก็ตอนที่คยองซูเอ่ยปากชื่อของไอ้เด็กนั่นออกมา

     

    เรียกง่ายๆ ก็คืออิจฉานั่นแหละ

     

    แบคฮยอน

    แบคฮยอนอีกแล้ว

    กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องฟังชื่อนี้จากปากคยองซูแล้วต้องแสร้งยิ้มเหมือนไม่มีอะไร

     

    ที่ผมเคยบอกกับแบคฮยอนไปว่า ถ้ากำจัดเขาได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ เพราะไอ้หมอนั่นไม่ได้มีอะไรที่ดีไปกว่าผมเลย สู้ผมไม่ได้สักอย่างด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาทุกคน เพราะคยองซูดูจะแคร์เจ้านั่นมากเป็นพิเศษ

     

    หรือบางที ผมอาจจะคิดมากไปเอง

     

    คยองซูดูไม่ใช่คนขี้เหงา ดูไม่ใช่คนที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงผมจะไม่ได้รู้จักนิสัยคยองซูดีเท่าคนใกล้ตัวอย่างแบคฮยอน แต่ผมก็พอจะดูออกว่าคยองซูเป็นคนยังไง คยองซูชอบไปไหนมาไหนคนเดียว แต่พอมีผมเข้ามาในชีวิต ก็กลายเป็นว่าผมชอบชวนเจ้าตัวเล็กนั่นไปไหนมาไหนด้วยกัน

     

    คนที่ขี้เหงาน่ะ ผมเองต่างหาก

     

     

     

    ไม่นานนัก ผมก็ขับรถมาถึงที่หมาย โรงพยาบาลมยองดงที่คุณยายของคยองซูนอนป่วยอยู่ ผมจัดการถามห้องกับคยองซูแล้วรีบเดินขึ้นไปหาทันที ไม่รู้เพราะคิดถึงหรือว่าหงุดหงิดจนอยากเจอหน้าให้รู้แล้วรู้รอดกันแน่

     

    “มาแล้วเหรอครับ” คยองซูพูดเสียงเบา คงจะเป็นเพราะว่าคุณยายกำลังหลับอยู่

     

    “อยู่คนเดียวมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ดีว่าหลังจากที่แบคฮยอนแยกกับคยองซู เจ้าตัวบางนี่ก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด คยองซูมองหน้าผมอย่างใช้ความคิด แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ ผมจัดการวางกระเช้าแอปเปิ้ลที่ตั้งใจซื้อมาเยี่ยมคุณยายแล้วย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ คยองซู

     

    “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ”

     

    “แต่แปลกจังเลยน้า คยองซูของพี่เหงากับเขาเป็นด้วยเหรอหื้ม” ผมทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก เป็นโทนเสียงที่ผมใช้กับคยองซูคนเดียวเท่านั้น ใครจะไปรู้ล่ะว่า ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่างผมที่ตอนอยู่ที่ทำงานมีบุคคลิกนิ่งขรึม จะกลายเป็นอีกคนเวลาอยู่กับคยองซูแบบนี้

     

    คยองซูทำให้ผมเปลี่ยนไปมากจริงๆ

     

    เปลี่ยนไปในทั้งทางดี แล้วก็ไม่ดี เก่งจังเลยนะคยองซู

     

    “อย่าถือสาคำพูดไร้สาระนั่นเลยครับ” คยองซูยิ้มแห้งๆ สีหน้าเหน็ดเหนื่อย บ่งบอกว่าวันนี้ทั้งวันเป็นวันที่เหนื่อยล้าสำหรับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก นาทีนี้ผมอยากจะกอดคยองซูเอาไว้แน่นๆ พร้อมกับลูบหัวเบาๆ กระซิบข้างหูให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขายังมีผม

     

    แต่ทั้งหมดนั่น ผมทำมันได้เพียงแค่ในจินตนาการ

     

    “พี่จุนมยอนไปทำธุระที่ไหนมาเหรอครับ” คำถามของคยองซูทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผมกลายเป็นใบหน้าเจื่อนลงทันที ใบหน้าของแบคฮยอนลอยขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง หงุดหงิดทุกครั้งที่ได้นึกถึง

     

    “ธุระของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว” ผมพูดกลั้วหัวเราะ มือยกขึ้นบีบจมูกเล็กเบาๆ นั่นทำให้คยองซูยิ้มกว้างออกมาเช่นกัน

     

    “เมื่อไหร่จะเลิกมองว่าผมเป็นเด็กซะที”

    “หืม?” ผมเลิกคิ้ว สงสัยกับคำพูดของอีกคน

    “ผมไม่อยากเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาพี่เลย”

    “อืม…”

    “………………”

    “พี่เองก็ไม่ได้อยากให้เราเป็นแค่น้องชายเหมือนกัน”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    “คุณยายชักงั้นเหรอ” ผมรีบตะโกนออกมาอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมโทรศัพท์หาคยองซูหลังจากที่แยกกับไอ้คนประสาทอย่างโอเซฮุนมาได้สักพัก ตอนนี้ยังไม่ดึกมากเท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้นผมจะแวะไปเยี่ยมยายคยองซูหน่อยก็แล้วกัน

     

    ถึงผมจะดูเป็นคนแข็งๆ แต่จริงๆ แล้วผมก็เป็นห่วงสุขภาพคุณยายคยองซูเหมือนกันนะ

     

    เพียงแต่ไม่มีโอกาสแสดงออกไปเหมือนที่แบคฮยอนทำก็แค่นั้น

     

    ผมรีบขับรถไปหาคยองซูที่ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลมยองดงแถวบ้านผม ตอนคุยโทรศัพท์กันคยองซูทำน้ำเสียงไม่สะดวกใจแปลกๆ เหมือนกับว่าไม่อยากให้ผมไปหายังไงอย่างนั้น หรือจะเป็นเพราะแบคฮยอนอยู่ด้วยนะ

     

    ช่างเถอะ ถ้าไอ้บ้านั่นอยู่กับคยองซู พอผมไปถึงแล้ว ไม่มันก็ผมต้องเป็นฝ่ายกลับบ้านไป

    ไม่มีอะไรยากหรอก เพราะผมกับมันทำใส่กันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

     

     

     

    “คยองซู”

     

    ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป ผมก็พบกับบุคคลที่ผมไม่อยากเจอหน้า และไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหน้ากันอีกเป็นหนที่สาม คิม จุนมยอน หรือซูโฮ ลูกชายประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผมเกลียดขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ และคิดว่าอีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างไปจากผม

     

    “ทำไม” ทำไมหมอนี่ถึงมาอยู่ที่นี่ มานั่งยิ้มร่ากับคยองซูแบบนี้ได้

     

    “นาย” ซูโฮเรียกสรรพนามแทนชื่อผม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ตกใจ เสียงหัวเราะที่เคยดังเมื่อครู่ก่อนที่ผมจะผลักประตูเข้ามา ถูกความเงียบเข้าครอบงำแทนที่

     

    “พี่จุนกับจงอินรู้จักกันด้วยเหรอครับ” คยองซูเลิกคิ้ว ถามอย่างไม่คิดอะไร

     

    “พี่ลืมไปว่าพี่มีธุระ ต้องกลับไปเคลียร์ก่อนแล้วล่ะ คยองซูมีเพื่อนอยู่ด้วยแล้ว งั้นพี่ขอตัวนะ”

     

    “ขี้ขลาด…” ผมไม่ได้อยากให้ไอ้บ้านี่มันอยู่หรอกนะ แต่ผมแค่อยากจะแกล้งอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้น พูดปุ๊ป ซูโฮก็หยุดเก็บกระเป๋าทันที

     

    “นายพูดอะไร”

     

    “ผมไม่ได้พูดอะไรนี่ครับ พี่หูฝาดไปเองรึเปล่า” ผมยักไหล่กวนประสาท วางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเข้าไปนั่งแทรกกลางระหว่างซูโฮกับคยองซูหน้าด้านๆ ทำไมผมถึงได้รู้สึกสนุกขนาดนี้ล่ะเนี่ย

     

    “นี่แก ไอ้เด็กไร้มารยาท” ซูโฮขมวดคิ้วแน่น ผมเดาว่าหมอนี่คงหงุดหงิดไม่น้อย

     

    “จะไปทำธุระที่ไหนก็ไปสิครับ ผมกับคยองซูอยู่ด้วยกันได้”

     

    “ธุระของฉัน อาจจะเกี่ยวกับแกก็ได้นะ” ซูโฮพูดเบาๆ ยิ้มร้ายราวกับมีอะไรอยู่ในใจ ผมมองซูโฮพลางเหลือบมองคยองซูไปด้วย เจ้าตัวเล็กนี่ดูจะงงมากว่าเราสองคนพูดเรื่องอะไรกัน และโกรธกันมาแต่ชาติปางไหนหรือเปล่า

     

    “ไม่หรอกครับ ผมกับพี่เราไม่น่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันได้เลย” ผมพูดแล้วยิ้มหวานกวนคนอาวุโสกว่าที่ผมไม่นับถือตั้งแต่แรก พลางเหยียดแขนเอนลงกับโซฟา ตั้งใจจะแกล้งเบียดตัวซูโฮให้รู้ตัวว่าควรไป

     

    “ตอนแรกฉันก็คิดว่างั้นแหละ” ซูโฮพูด หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

     

    “ออกมากับฉันหน่อยสิ ฉันมีเรื่องอะไรจะเซอร์ไพร์สนายหน่อยน่ะ”

     

     

    ถึงผมไม่รู้ว่าไอ้บ้านี่จะพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่ผมก็ค่อยๆ เดินตามมันออกมาอย่างว่าง่าย ทำไมวันนี้ทุกคนดูจะมีเรื่องให้ผมตื่นเต้นกันหมดเลยนะ ผมมีลางแปลกๆ ว่าเรื่องของไอ้ซูโฮนี่จะเป็นเรื่องที่หนักที่สุดเสียด้วยสิ

     

    “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ผมไม่อยากให้คยองซูอยู่คนเดียว”

     

    “แน่ใจนะว่าจะฟังเลย ไม่ยืนทำใจก่อนหน่อยเหรอ” ซูโฮยืนกอดอกมองผมอย่างกวนประสาท

     

    “อย่าลีลานักได้ไหม” ผมชักหงุดหงิดเลยเริ่มขึ้นเสียงตะคอก

     

    “พ่อฉัน กับแม่แก สนิทกันขนาดไหนเหรอ” ผมเลิกคิ้ว ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

    “แล้วจะรู้ไหมวะ” ผมเริ่มพูดแบบไม่สุภาพ ความเกรงใจไม่เหลืออยู่ “อยากรู้ไปทำไม”

    “สนิทกัน ถึงขนาดต้องจูบกันอย่างดูดดื่มเลยรึเปล่า”

     

    ผมขมวดคิ้วแน่นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ และยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อซูโฮยื่นมือถือตัวเองมาให้ผมดู หน้าจอตอนนี้กำลังเปิดภาพของพ่อซูโฮและแม่ผมกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มในงานปาร์ตี้ที่ร้านหนังสือการ์ตูนวันนั้น

     

    ผมตกใจ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกปอด

     

    นี่มันเรื่องอะไรกัน

     

    “อ อะไร”

    “เห็นอยู่คาตา แกเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนี่” ซูโฮหัวเราะเย้ยหยัน

    “นี่มันอะไร”

    “พ่อฉันกับแม่แก เป็นชู้กันไงล่ะ คิมจงอิน”

    “ไม่จริง…” ผมยืนตัวชา หน้าซีด มือเย็นไปหมด

    “ก็แล้วแต่แกเลยแล้วกันนะ หลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว จะหลอกตัวเองก็ตามใจ”

    “พูดบ้าอะไรวะ”

    “หลอกตัวเอง เหมือนกับที่ชอบทำกับคยองซู คิดไปเองว่าเขารักตัว…”

    คิมจุนมยอน” ผมเริ่มโกรธเกรี้ยว มือกำหมัดแน่นพร้อมจะชกคนตรงหน้าได้ทุกเมื่อ

    “ตามสบายเลย งานถนัดแกนี่จงอิน”

     

    ซูโฮพูดพร้อมตบบ่าผมอย่างกวนประสาทแล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเลวๆ นั่น ผมยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก ในหัวของผมมันว่างเปล่าไปหมด ขาวสะอาดเหมือนพื้นโรงพยาบาลที่ผมกำลังยืนอยู่ในตอนนี้

     

    แม่ผมมีชู้

     

    จริงอยู่ที่พ่อผมไม่มีเวลาให้ผมและแม่เลย แต่พ่อผมก็กลับบ้านทุกๆ สองวัน และผมเชื่อว่าพ่อผมทำหน้าที่สามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แล้วทำไม ทำไมแม่ผมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้

     

    ทำไมล่ะครับแม่ ทำไม

     

    ผมผลักประตูเข้าไปหาคยองซูอย่างคนไร้วิญญาณ ขาทั้งสองข้างของผมแทบจะก้าวไม่ออก มือทั้งสองข้างของผมขยับเชื่องช้าเหมือนคนไม่มีแรง สภาพจิตใจของผมในตอนนี้ไม่พร้อมจะเจอหน้าใครทั้งนั้น แม้แต่คยองซูเองก็ตาม

     

    “จงอิน เป็นอะไรรึเปล่า” คยองซูเดินเข้ามาหาผม เขย่าแขนผมเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนคนใกล้ตายเต็มที

     

    “คยองซู…”

     

    ผมเรียกชื่อคนตัวเล็ก มองตาคยองซูนิ่งๆ แววตาของผมมันเลื่อนลอยเหลือเกิน ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย มันเป็นเรื่องที่ผมบอกใครไม่ได้ แม้กระทั่งคยองซู

     

    ผมสวมกอดคนตัวเล็ก ซุกหน้าลงไหล่เล็ก ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้

     

    “จงอิน ตอบสิว่าเป็นอะไร”

    …………………………”

    “หรือว่าพี่จุนทำอะไรนาย”

    …………………………”

     

    ไม่ หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรผมเลย

     

     

    แม่ของผมต่างหาก ที่ไปทำลายครอบครัวของไอ้บ้านั่น

     

     

    “ไม่อยากเล่าเหรอ” คยองซูลูบหลังผมช้าๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่ก็ยังคงไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากผม

    ………………”

    “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” มือเล็กลูบผมของผมแผ่วเบา เป็นความรู้สึกดีที่แทรกตัวเข้ามาในความรู้สึกแย่แบบสุดๆ ของผมตอนนี้

     

     

    ถ้าผมมีคยองซูอยู่ด้วยตลอดเวลาก็คงดี

     

     

    “คคยองซู”

     

    เป็นเวลาชั่วโมงกว่าที่ผมกับคยองซูจมอยู่กับความเงียบ ตอนนเป็นเวลาประมาณสามทุ่มแล้ว คุณยายของคยองซูเริ่มรู้สึกตัวเล็กน้อยและเอ่ยปากเรียกชื่อคยองซูเบาๆ คนเป็นหลานรีบพุ่งตัวเข้าไปหา ถามไถ่ว่าคุณยายต้องการอะไร และก็รับรู้ว่าคุณยายต้องการเข้าห้องน้ำ

     

    คยองซูพยุงคุณยายไปเข้าห้องน้ำ ซักถามเกี่ยวกับอาการตอนนี้ ปวดหัวตรงไหม เจ็บตรงไหนรึเปล่า รู้สึกไม่ดีอยากจะอาเจียนหรือไม่ ผมได้แต่นั่งดูยายกับหลานเขาคุยกันโดยไม่พูดแทรกหรือขัดอะไร อาจเป็นเพราะผมยังทำใจกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้หมาดๆ ไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะผมอิจฉาที่คยองซูมีครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะแยกทางกันก็ตาม

     

    มันก็ดีกว่ายังไม่แยกทางกัน แต่ทำตัวได้ไม่น่ารักแบบแม่ผมล่ะนะ

     

    ว่าแต่ เห็นคยองซูดูแลคุณยายตัวเอง ปรนนิบัติคนแก่แบบนี้แล้ว ทำไมผมต้องนึกถึงไอ้คนน่ารำคาญที่ชื่อว่าเซฮุนนั่นด้วยล่ะ

     

    ป่านนี้หมอนั่นจะอยู่กับพ่อผมยังไง ? จะดูแลพ่อผมดีหรือเปล่า ? จะเข้ากับคนเอาแต่ใจอย่างพ่อผมได้เหรอ ?

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    สามทุ่มกว่าแล้ว

     

    เวลาเลิกงานของผู้ช่วยหมออย่างผมคือสี่ทุ่ม จริงๆ ผมเองก็ชอบทำงานกลางคืนแบบนี้นะ ผมเป็นมนุษย์กลางคืน หลับตอนกลางวัน และใช้ชีวิตในตอนกลางคืนบ่อยเสียจนชิน ปกติแล้วผมนอนเกือบตีสามโน่นแน่ะ

     

    “เซฮุน วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ เธอกลับบ้านได้แล้ว”

     

    ด๊อกเตอร์คิมพูดกับผมแล้วยิ้มใจดีให้ เริ่มงานวันแรกถือว่าผ่านไปด้วยดี ผมได้รู้จักกับคนทั้งแผนกของคุณหมอคิม ได้เดินเล่นรอบโรงพยาบาลถึงแม้จะดูไม่ใช่สถานที่ที่น่าภิรมย์นัก และได้ทำงาน ได้รับใช้ด๊อกเตอร์คิมเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีของผมแล้ว

     

    “ขอบคุณมากครับ”

    “พรุ่งนี้เจอกันเวลาเดิมนะ กลับบ้านดีๆ ล่ะ”

    “ครับคุณหมอ ผมกลับนะครับ”

     

    ผมยกมือทำความเคารพแล้วคว้ากระเป๋าเป้ไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำเป็นชุดไปรเวทที่ใส่มา อันที่จริงผมก็เซลฟ์ก้ากับชุดผู้ช่วยหมอสีขาวสะอาดไปหลายรูปเลยล่ะวันนี้ ผมรู้สึกว่ามันเท่ห์ชอบกล

     

    ก็หน้าอย่างผม ดูเหมือนคนที่ควรทำงานประเภทนี้เสียเมื่อไหร่

     

    ผมหยิบมือถือออกมา ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงจงอินขึ้นมาได้ คุณหมอคิมเป็นคนใจดี ถึงแม้ภายนอกจะดูขรึมและน่าเกรงขาม แต่จริงๆ แล้วจิตใจของคุณหมอนั้นดีทีเดียว ทำให้ผมพาลนึกไปถึงลูกชายคนเดียวของท่านเสียอย่างช่วยไม่ได้

     

    จงอินจะเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีแบบนี้รึเปล่า

     

    ทันใดนั้นเอง ผมก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้

     

     

    จงอิน มาที่โรงพยาบาลหน่อย

     

     

    ผมส่งข้อความไปแบบนั้น ไม่บอกสาเหตุว่าทำไมจงอินควรมา และไม่ถึงนาทีจงอินก็ตอบกลับมาว่า ทำไม ? มีอะไร ? พ่อฉันเป็นอะไร ?ผมกดอ่านแล้วได้แต่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว หมอนั่นเป็นห่วงพ่อมากเหมือนกันนะเนี่ย ผมไม่ตอบอะไร เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ตรงป้ายรถเมล์ รอว่าอีกฝ่ายจะยอมมารึเปล่าถ้าผมไม่ตอบอะไรกลับไปแบบนี้

     

    อย่างที่คิด จงอินมาหยุดยืนตรงหน้าผมภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที

     

    “พ่อฉันเป็นอะไร”

     

    จงอินรีบเอ่ยปากถามทันทีที่มาถึง เหนื่อยหอบราวกับวิ่งมาจากที่ไหนสักที่ คาดว่าหมอนี่จอดรถเสร็จก็คงรีบวิ่งมาเลยสินะ ผมหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อแกล้งอีกคนสำเร็จ

     

    “อะไร หัวเราะทำไม”

    “พ่อนาย…”

    “อะไร พูดมาเร็วๆ”

    “พ่อนายก็ยังสบายดีนี่ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

    “นี่หลอกฉันเหรอ”

     

    จงอินแยกเขี้ยว หน้าตอนนี้เหมือนจะกินหัวผมเข้าไปอยู่แล้ว ผมยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะแกล้งคนแข็งๆ แบบนี้ได้สำเร็จเนี่ย โอ้ย นี่มันตลกชะมัด

     

    “เชื่อเองทำไมล่ะ”

    “โธ่เว้ย แกนี่มัน…”

    “อารมณ์เสียแล้วดูดีนะ”

    “อะไรนะ”

    “เปล่า”

    “พูดอะไร”

    “ก็แค่บอกว่าตอนโกรธ นายหล่อดี”

     

    ผมพูดออกไปตรงๆ แบบนั้นโดยนิสัย ใครหล่อผมก็บอกว่าหล่อ ใครสวยผมก็บอกว่าสวย ผมไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกอยู่แล้ว และกับคนๆ นี้ คนที่ผมชอบตั้งแต่แรกเห็น ผู้ชายคนแรกที่ผมชอบ ผมก็ต้องพูดกับเขาตรงๆ อยู่แล้ว

     

    “ทำไมฉันต้องมารู้จักคนไร้สาระแล้วก็น่ารำคาญแบบแกด้วยวะเนี่ย”

    “ไปกินโกโก้เย็นด้วยกันมั้ย”

    “จะบ้าเหรอ”

    “งั้นชานมไข่มุก”

    “ไม่กินโว้ย!!

     

    จงอินลุกพรวด หมดความอดทนกับผมเต็มที หมอนั่นรีบเดินจากผมไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่รบกวนเวลาของอีกฝ่าย แต่อีกใจก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

     

    แค่อยากเจอหน้า สองสามนาทีแบบนี้ก็พอแล้ว

     

    พอจงอินลุกพรวดพราดออกไปแบบนั้น ผมก็เดินไปซื้อชานมไข่มุกแถวๆ ป้ายรถเมล์ แต่ระหว่างที่ซื้ออยู่นั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาผม เธอมาพร้อมกับไอโฟนในมือ เปิดกล้องหน้ารอแล้ววิ่งเข้าชาร์จใส่ผมทันที

     

    “นี่เซฮุนใช่มั้ย! ลูกชายคนเล็กของ SK กรุ๊ปนี่นา! ฉันขอถ่ายรูปกับพี่หน่อยนะคะ”

    “เอ่อ ครับ”

     

    เมื่อน้องชูกล้องเหนือฟ้าเตรียมจะแอคท่าถ่ายกับผมขนาดนี้แล้ว ผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากมองกล้องแล้วยิ้มแห้งๆ ให้กล้อง แต่มันยังไม่จบแค่นั้น น้องผู้หญิงคนนี้ยังกดชัตเตอร์รัวอย่างต่อเนื่องจนผมคิดว่านี่มันเกินสิบรูปแล้ว

     

    “พอก่อนดีมั้ยครับ” ผมไม่ใช่คนดังอะไรขนาดนั้นซะหน่อย ทำไมจะต้องมาคลั่งไคล้อะไรขนาดนี้ด้วยล่ะเนี่ย

     

    “ขอไลน์หน่อยได้มั้ยคะ” น้องเขายื่นไอโฟนที่เปิดเตรียมหน้าแอดไอดีไลน์มาให้ผม ส่งยิ้มหวานๆ ที่ผมคิดว่ามันดูน่ากลัวมากกว่าน่ารักมาให้ ผมได้แต่ส่ายหน้าแล้วยิ้มแหยๆ ทำทีจะเดินหนี แต่กลับไม่รอดอยู่ดี

     

    “จะหนีฉันเหรอ!!” เด็กสาวคนนี้ยืนกางแขนกั้นไม่ให้ผมไปไห ผมยืนมองอึ้งๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยรู้สึกกลัวผู้หญิงมากขนาดนี้

     

    “ให้พี่ไปเถอะครับ” ผมทำใจดีสู้เสือ พูดไปยิ้มแห้งๆ ไป

     

    “ไม่!!! พี่ต้องให้ไลน์ฉั………………”

     

    “คนเขาไม่ให้ แล้วจะตามตื้อหาพระแสงอะไรล่ะครับน้อง”

     

    เสียงที่ผมรู้สึกคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ผมเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นจงอินที่ยืนทำเท่ห์สอดมือใส่กระเป๋ากางเกงอยู่ จงอินมองหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตานิ่งๆ ชิลล์ๆ แต่เต็มไปด้วยความโหดร้าย น้องคนนั้นจ้องหน้าจงอินกลับราวกับยังไม่ยอมแพ้

     

    “พี่จะมายุ่งอะไรด้วย!!

     

    ได้ยินแบบนั้นจงอินก็กระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก เดินเข้าไปหาเด็กสาวช้าๆ แล้วกระซิบอะไรที่ข้างหูเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอกระซิบเสร็จ เด็กนี่ก็ยิ้มเขินๆ ออกมาแล้วพยักหน้าหงึกหงักกับจงอินและรีบเดินจากไป ผมได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงงๆ

     

    “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม ไปไหนก็ไปสิ” พอเด็กคนนั้นเดินลับตาไปแล้ว จงอินก็หันมาพูดใส่ผมด้วยท่าทางกวนประสาท

     

    “เดี๋ยว เมื่อกี้นายพูดอะไรกับน้องเขา เขาถึงได้ยอมไปง่ายแบบนั้น”

    “รู้ไปก็ไม่ช่วยให้แกน่ารำคาญน้อยลงหรอก” จงอินพูดไปเดินหนีผมไป แต่ผมยังคงเดินตาม

    “บอกมา”

    “ไม่บอกโว้ย”

    “จงอิน ตอบ”

    “อย่ามาเรียกชื่อฉันนะ จะไปไหนก็ไป รำคาญ”

     

    จงอินรีบสาวเท้าเดินหนีผมจนผมรู้สึกว่าไม่ควรตื๊ออีกต่อไป ผมได้แต่เกาหัวและส่ายหน้างงๆ เดินกลับมานั่งที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม และผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าน้องผู้หญิงคนเดิมนั่งอยู่เหมือนกัน

     

    “ไม่ต้องตกใจค่ะ! ฉันไม่ทำอะไรพี่แล้ว” เด็กนี่รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเขยิบหนีและทำท่าจะเดินไปที่อื่น รอยยิ้มของน้องเขาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

     

    “พี่สองคนน่ะ รักกันนานๆ นะคะ”

    “ห๊ะ?”

    “พี่กับพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ เป็นแฟนกัน ทำไมถึงไม่กลับด้วยกันล่ะคะ” เด็กสาวยิ้มแป้น พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด

    “อ้อ พี่เขาบอกด้วยนะคะว่าเป็นคนขึ้หึงม๊ากมาก เขาบอกว่าถ้าหนูไม่รีบไป เขาอาจจะโมโหกว่านี้ได้ โอ้ย หนูอยากมีแฟนแบบนี้จังเลยค่ะ”

    “ฮะ!!!!!!?” ผมตะโกนดังลั่นจนคนทั้งป้ายรถเมล์หันมามองผมเป็นตาเดียว

     

    แฟนเหรอ

     

    “รถเมล์มาแล้ว หนูไปก่อนนะคะ พี่สองคนห้ามเลิกกันนะ!

     

    เด็กนั่นพูดแล้วรีบวิ่งขึ้นรถเมล์ไป ทิ้งให้ผมมีแต่เครื่องหมายคำถามลอยวนอยู่เต็มหัว ผมเรียบเรียงทั้งความคิดและสติอยู่นานก่อนจะคิดออกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้พูดทั้งหมดหมายถึงอะไร

     

    นี่ไอ้บ้านั่นมันบอกน้องเขาว่าเป็นแฟนผมงั้นเหรอ!

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    วันนี้ผมต้องอยู่เฝ้ายายคนเดียวจริงๆ สินะ

     

    แปลกจัง ทำไมผมต้องรู้สึกเหงาและเดียวดายมากขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ จริงๆ ผมคิดว่าจงอินจะอยู่กับผมทั้งคืน แต่หมอนั่นได้รับข้อความอะไรไม่รู้แล้วก็รีบออกไปแบบปุปปับเสียจนผมไม่ทันได้ถาม พี่จุนมยอนก็มีธุระที่ผมสงสัยเหลือเกินว่าธุระนั่นคืออะไร

     

    วันนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด ตั้งแต่ที่คุณยายผมชัก แบคฮยอนหนีผมไปเพราะพูดถึงพี่จุน จงอินกับพี่จุนรู้จักกันและดูเหมือนจะไม่ถูกกันมากๆ แถมพี่จุนน่าจะพูดอะไรกับจงอินถึงขั้นทำให้เจ้านั่นซึมเป็นหมาหงอยได้

     

    แล้วไหนจะเรื่องที่พี่จุนบอกว่าไม่อยากให้ผมเป็นแค่น้องชายอีก

     

    พี่เองก็ไม่ได้อยากให้เราเป็นแค่น้องชายเหมือนกัน

    หมายความว่ายังไงครับ

    ก็………’

    อะไรครับ ก็อะไร

    พี่อยากให้เราเป็น…’

    เป็น?

    น้องสาวพี่มากกว่า น้องชายน่ะพี่มีอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ

     

     

    ผมนั่งนึกถึงคำพูดประหลาดๆ ที่พี่จุนมยอนพูดกับผมเมื่อตอนหัวค่ำก่อนจะเกิดเรื่องกับจงอิน ผมตกใจและประหม่าไปหมด เพราะสายตาของพี่จุนมยอนมันแปลกมาก ผมไม่ได้คิดไปเองนะ มันแปลกจริงๆ

     

    แปลกเหมือนครั้งที่ชานยอลแกล้งผมตอนนั้นไม่มีผิดเลย

     

     

     

    คายองจูววว

     

    ผมมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเสียงมือถือดังขึ้น เป็นข้อความทักทายจากชานยอล จริงด้วยสิ ตอนนี้ชานยอลอยู่ญี่ปุ่นแล้วและเราเพิ่งจะได้คุยกันไปแค่รอบเดียวเอง หมอนั่นดูท่าทางจะมีความสุขน่าดู

     

    ผมรีบกดตอบไปด้วยความไวแสง ชานยอลต้องรู้ว่าผมว่างแน่ๆ เลย

     

     

    ‘K: ทำอะไรอยู่เนี่ย เที่ยวเพลินเลยล่ะสิ

    ‘C: ไม่ได้เที่ยวอยู่ซะหน่อย อย่ามั่วดิ

    ‘K: นอนล่ะสิ

    ‘C: เห็นเราเป็นคนขี้เกียจขนาดนั้นเลยเหรอ

    ‘K: ใช่!’

    ‘C: วันนี้มีนิทรรศการของสะสมโคนันด้วยแหละ คายองจูวต้องอยากมามากแน่ๆ เยย

    ‘K: จริงอ่ะ อยากเห็น

    ‘C: เค้าถ่ายรูปถ่ายคลิปให้คายองจูวด้วยน้า~~’

    ‘K: อยากไปด้วยเลยเนี่ย

    ‘C: อื้อ เค้าก็อยากให้คายองจูวมาเหมือนกันแหยะ

     

    ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะคำพูดแอ๊บแบ๊วแบบนั้นของชานยอล เจ้านี่ตัวโตแต่ทำอะไรมุ้งมิ้งเสียจนผมอดขำไม่ได้เวลาที่นึกถึง ชานยอลเป็นเพื่อนที่น่ารักคนหนึ่งของผม คอยเล่าเรื่อง คอยให้กำลังใจผมตลอดเวลา

     

    เป็นคนที่มีทั้งมุมเด็กๆ และมุมโตๆ อยู่ในตัว คนแบบนี้หายากมากเลยนะครับ

     

    ‘C: คายองจูวงับ คิดถึงเค้ามะงับ

    ‘K: ไม่

    ‘C: ไม่น้อยเลยอ่ะดิ๊

    ‘K: ไม่คิดถึง

    ‘C: ตะไมจัยย้ายจังงับ น้องยอลงอนแหล่ว

     

     

    “ไอ้บ้าเอ๊ย”

     

    ผมหลุดพูดออกมากับตัวเองเบาๆ ยิ้มกว้างให้หน้าจอมือถือที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้รู้ว่าภายใต้การตอบกลับแบบนิ่งๆ นั้น ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่อาจจะเรียกได้ว่า เขิน

     

    แล้วผมจะเขินเจ้าบ้านี่ทำไมวะเนี่ย

     

     

    ‘C: นี่ๆ คายองจูว

    ‘K: อะไร

    ‘C: ถ้าคิดถึงเค้าให้อัพรูปคู่เค้า รูปวันนั้นที่เค้าเป็นโคนัน

    ‘K: อะไรเนี่ย ทำไมต้องอัพ

    ‘C: ก็เค้ารู้ว่าคายองจูวคิดถึงเค้า แต่ไม่กล้าพูดไงงับ

    ‘K: บ้าละ

     

    ผมส่ายหน้าให้กับความติ๊งต๊องของอีกคน หัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ผมหยุดการสนทนากับชานยอลไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินออกไปมองดาวยามค่ำคืนที่นอกระเบียง ผมชอบดูดาวที่สุดเลยล่ะ และยังมีอีกคนที่ชอบดวงดาวมากพอๆ กับผม คนที่นามสกุลมีความหมายว่าดาว

     

    พยอน แบคฮยอน

     

    หลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับการมองดวงดาวระยิบระยับจนเวลาล่วงเลยไปนาน ผมก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง หยิบมือถือขึ้นแล้วนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นได้ ไหนๆ ผมก็ว่าง และผมก็ไม่ได้อัพเดทเฟสบุคมานานมากแล้ว

     

    อัพรูปคู่ชานยอลสักหน่อยจะเป็นไร

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    “เยส!!

     

    ผมตะโกนออกมาอย่างดังจนเถ้าแก่ที่ฟาร์มสะดุ้งตกใจ ผมโค้งขอโทษแล้วจัดการทำงานต่อด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้วตอนนี้ผมอยู่ญี่ปุ่น แต่ที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาเที่ยว ผมกลับไม่ได้เที่ยวอีกต่อไปแล้ว

     

    พี่คริสแนะนำผมว่าให้มาทำงานกับเถ้าแก่ที่นี่ เพราะเถ้าแก่เป็นคนไม่มีลูกไม่มีหลาน แต่ด้วยความที่เป็นเศรษฐี เลยต้องการให้เด็กๆ มาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน ถ้าเกิดว่าเราทำงานรับใช้เขา และเขาเห็นว่าเราเป็นคนขยันขันแข็ง เป็นเด็กดีดี เถ้าแก่ก็จะให้เงินเราตามที่เราต้องการ น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ และพี่คริสก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น

     

    อย่างที่พี่คริสเคยบอกผมเอาไว้ ว่างานที่ต้องทำไม่ใช่งานง่ายๆ เช็ดบ้านถูบ้านแบบคนทั่วไป แต่เป็นการที่หนักเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะทำได้ หน้าที่ของผมคือการแบกข้าวสารกระสอบใหญ่ๆ ขนขึ้นรถบรรทุกเพราะเถ้าแก่เป็นเจ้าของโรงสี แล้วตกเย็นยังต้องเข้าไปช่วยงานในฟาร์ม คอยรีดนมวัว คอยไล่ต้อนวัวเข้าคอก ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสองอาทิตย์

     

    เป็นงานที่ยากมากๆ สำหรับผมเลยแหละ

     

    “เอ้าชานยอล ไปเก็บขี้วัวตรงนั้นหน่อย”

     

    เถ้าแก่พูดกับผมทันทีที่ผมยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ผมแทบไม่มีเวลาหยิบมือถือขึ้นมาคุยกับคยองซูเลย เมื่อกี้เป็นช่วงที่ผมเพิ่งไล่ต้อนวัวให้เข้าคอกเสร็จเลยมีโอกาสได้หยิบมือถือขึ้นมา แต่หลังจากนี้ผมจะต้องทำงานแบบนอนสต๊อปจนถึงตีหนึ่งเลยล่ะ

     

    เหนื่อย เหนื่อยมาก

     

    แต่พอเห็นว่าคยองซูอัพรูปคู่ผม ซึ่งบ่งบอกว่าคยองซูคิดถึงผมแบบนั้นแล้ว ความเหนื่อยทั้งหมดทั้งมวลก็หายไปทันตา

     

    ถ้าจะให้เปรียบ สิ่งที่คยองซูทำก็คงจะเปรียบได้เหมือนผมทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วได้ดื่มน้ำเย็นๆ น่ะครับ

     

    ยิ่งได้คุย ได้สนิทกับคยองซูมากขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองชอบคยองซูมากขึ้นเท่านั้น คยองซูไม่ใช่คนขี้อ้อนหรือช่างพูด กลับกัน เป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ และแมนกว่าที่ผมคิดไว้ แมนจนดูเหมือนไม่มีทางจะชอบผู้ชายได้เลยด้วยซ้ำ

     

    ถึงแม้ความหวังของผมจะริบหรี่ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ

     

     

    ‘ Video Call from Kyungsoo ’

     

    ผมรีบกด Accept ทันทีที่เห็นว่าคยองซูคอลมาหา นี่คือการอู้งานอย่างเห็นได้ชัด ผมรีบแอบเข้ามุมหลืบเพราะกลัวว่าเถ้าแก่จะจับได้ ถึงแม้รู้ว่าจะต้องเจอคำถามจากคยองซูว่านายมาทำอะไรกับวัวตอนดึกๆ ดื่นๆ ก็เถอะ

     

    (อยู่ไหนเนี่ย) อย่างที่คิดเอาไว้เป๊ะ คยองซูถามทันทีที่เห็นแคมฝั่งผมรายล้อมไปด้วยวัว

    “เอ่อ ตอนนี้มาพักที่ฟาร์มของคนรู้จักน่ะ อยากเล่นกับวัวเลยมาเดินดูหน่อย น่าย๊ากชะมะล่า” ผมทำเสียงแอ๊บแบ๊ว อ้อนคยองซูตามเคย

    (โอ้โห แล้วทำไมหน้าดูเหนื่อยๆ งั้นล่ะ อย่างกับไปแบกข้าวสารมาสิบลัง)

    “รู้ได้ไงอ่ะ!” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ขำในสิ่งที่คยองซูพูดโดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือความจริง

    (อัพรูปแล้วนะ)

    “เห็นแล้วแหละ คิดถึงเก๊าชะม๊า” ผมยิ้มกว้าง นึกแล้วก็ดีใจจังแฮะ

    (ไม่ได้แปลว่าคิดถึง)

    “แปลว่าคิดถึง”

    (ขี้มั่วว่ะ)

    “มั่วแล้วรักป่ะ”

    (นี่เมากลิ่นวัวป่ะเนี่ย)

    “ม่ายมาวววววววว”

     

    ผมกับคยองซูคุยกัน หัวเราะใส่กันไปมาจนผมเริ่มรู้สึกว่าควรจะวางสายได้แล้ว ผมบอกลาคยองซูแล้วโกหกว่าง่วงนอน คยองซูเองก็ไม่ได้สงสัยอะไร วางสายไปอย่างง่ายดาย ซึ่งมันดีแล้วที่เป็นแบบนั้น

     

    เพราะผมไม่ต้องการให้คยองซูรู้ว่าผมต้องมาลำบากแบบนี้เพราะใคร

     

    และผมกลัว

     

     

    กลัวว่ายิ่งเดินเข้าใกล้คยองซูมากเท่าไหร่

    คยองซูจะเดินถอยห่างผมออกไปทีละก้าวมากเท่านั้น

     

     

    กลัวว่าคยองซูจะเดินหนีไป ถ้าหากได้รู้ว่าผมชอบคยองซูมากจนต้องทำถึงขนาดนี้

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    หลังจากที่แยกย้ายกับพี่ซูโฮ ผมก็เอาแต่นอนใช้ความคิดอยู่ในห้องของผมเงียบๆ ผมไม่ยอมกินข้าวแม้พ่อจะคะยั้นคะยอแค่ไหน ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้าพ่อเลย พ่อปิดบังเรื่องตกงานกับผมแบบนี้ได้ยังไง

     

    ผมอยากจะเกลียดพ่อเหลือเกิน

    อยากจะเกลียดที่พ่อต้องไปเป็นหนี้กับคนเจ้าอำนาจพวกนั้น

     

    แล้วตอนนี้ผมต้องทำยังไง ผมคิดไม่ออกเลยว่าผมควรจะตัดสินใจยังไงดี

     

    เรื่องคยองซู

     

     

     

    แบคฮยอน ถ้าไม่รบกวนช่วยไปเฝ้าบ้านให้หน่อยนะ รู้สึกว่าจะลืมล็อค

     

    ผมเด้งตัวขึ้นมาทันทีที่เห็นข้อความจากคยองซู จู่ๆ ผมก็นึกโกรธคยองซูขึ้นมาเสียจนไม่อยากจะตอบข้อความใดๆ กลับไป อันที่จริงผมหงุดหงิดเจ้านั่นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ายอมให้พี่ซูโฮมาเฝ้าคุณยายเป็นเพื่อนแล้วล่ะ

     

    ผมรีบเดินออกไปยังบ้านหลังข้างๆ ของคุณยายคยองซูราวกับเป็นเจ้าของอีกคน แต่จริงๆ คุณยายคยองซูก็เอ็นดูผมเหมือนเป็นหลานคนนึง แถมยังเคยพูดว่าบ้านหลังนี้ก็เหมือนเป็นบ้านของผมอีกด้วย เพราะฉะนั้น ผมขอใช้สิทธิ์นี้เฝ้าบ้านให้ก็แล้วกันนะ

     

    ผมนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน นั่งดูทีวีและเล่นเกมส์ไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกเบื่อและง่วงนอน ในห้องรับแขกไม่มีโซฟา มีเพียงเก้าอี้แข็งๆ สองตัว ผมจึงเดินเข้าห้องคยองซูที่ไม่เคยล็อคเป็นปกติอยู่แล้ว คืนนี้นอนที่ห้องคยองซูเลยแล้วกัน

     

    ผมยืนมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของคยองซู เป็นรูปที่คยองซูกอดคุณยาย รอยยิ้มกว้างของคยองซูทำให้ผมต้องยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ คยองซูคือรอยยิ้มของผม แต่ผมไม่เคยเป็นรอยยิ้มของคยองซูได้เลยแม้สักครั้ง

     

    ทำไมผมต้องคิดเกินเลยกับคยองซู ในเมื่อเป็นเพื่อนกันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

    ทำไมผมต้องคอยหึงหวง และพยายามแย่งชิงคยองซูจากใครต่อใคร ในเมื่อคยองซูไม่เคยรับรู้อะไรด้วยเลย

     

    ทำไมผมต้องรัก ต้องรักคยองซู ทั้งๆ ที่คยองซูไม่เคยรักผม แบบที่ผมรักเลย

     

     

    บางทีถ้าผมหยุด มันอาจจะดีกับทุกฝ่าย

     

    มันคงจะดีกว่า ถ้าผมถูกคัดออกจากเกมส์นี้

    เกมส์แย่งชิงคยองซู เกมส์ที่ผมแพ้ตั้งแต่คยองซูคิดว่าผมเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง

     

     

    ผม

     

     

    ควรหยุด

     

     

     

    ไม่ใช่เพราะกลัวอำนาจของคนใหญ่คนโต แต่เพื่อความสบายใจของคยองซู และความเป็นอยู่ของพ่อผม คนเดียวที่ผมเหลืออยู่ในครอบครัว คนที่เลี้ยงดูผมมาโดยตลอดหลังจากที่แม่ผมเสียไป คนที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิตผม

     

     

    ถึงแม้ว่าเกมส์นี้จะต้องมีคนหนึ่งที่เจ็บปวดเจียนตาย

    และถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นผม

     

     

    ถ้าอย่างนั้น ก็ปล่อยให้ผมรับหน้าที่นั้นเองเถอะ

     

     

    ผมกำลังจะหลับตาลงช้าๆ แต่มือที่ขยับหมอนให้พอดีกับหัวก็พลันไปโดนสมุดปกแข็งใต้หมอนโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมหยิบมันออกมาแล้วเปิดดูอย่างถือวิสาสะ นี่น่าจะเป็นสมุดบันทึกอะไรบางอย่างของคยองซูกระมัง

     

     

    ดวงดาว

     

     

    หน้าแรกของสมุดเล่มนี้เขียนไว้แบบนั้น เขียนไว้ตรงกลางหน้ากระดาษพร้อมกับรูปดาวเต็มไปหมด คยองซูชอบดาวมาก เช่นเดียวกันกับผม เรื่องดาวเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมชอบตรงกันกับคยองซูโดยไม่ต้องแสร้งทำเหมือนเรื่องอื่นๆ ผมยิ้มออกมาแล้วเปิดหน้าต่อไป อยากรู้จังว่าอีกมุมหนึ่งของคยองซูจะเป็นยังไง

     

     

    ดวงดาว ที่อยู่ใกล้ แต่เหมือนอยู่ไกลออกไป

     

     

    ผมขมวดคิ้ว ทำไมคยองซูถึงได้เขียนหน้าละประโยคแบบนี้ล่ะ ผมรีบเปิดหน้าต่อไปอย่างใจร้อน

     

     

    ‘ B ’

     

     

    ให้ตายสิ ทำไมเขียนตัวเดียวอีกแล้ว

     

     

     

    ‘ A ’

     

     

    ผมเลิกคิ้ว ทำไมหมอนี่ใช้กระดาษเปลืองแบบนี้ล่ะเนี่ย

     

     

    ‘ E ’

     

     

    ผมเริ่มเปิดเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ

     

     

    ‘ K ’

     

    ‘ H ’

     

    ‘ Y ’

     

    ‘ U ’

     

    ‘ N ’

     

     

    ………………………

     

    ………………

     

    ………

     

     

     

    ‘ BAEKHYUN ’

     

     

     

     

    มือของผมทั้งเย็นและชาไปพร้อมๆ กัน หัวใจเต้นแรงราวกับกลอง

     

     

    นั่นไม่ใช่ ชื่อผมหรอกเหรอ

     

     

    คยองซูเขียนชื่อผมทำไม

     

     

     

    เปล่งประกายตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ

    เหมือนดวงดาวที่ทุกๆ พากันมองหา แต่เราโชคดีจริงๆ ที่ดวงดาวดวงนี้ เลือกจะเดินมาหาเรา

     

    สายตาผมหยุดนิ่ง มองดูรูปภาพของตัวเองที่คยองซูเป็นคนแอบถ่ายพร้อมกับเขียนใต้ภาพไว้แบบนั้น เป็นรูปที่ผมกับคยองซูเจอกันวันแรกที่โรงเรียนมัธยม ผมกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสท่ามกลางเด็กนักเรียนหญิงที่เข้ามาเล่นด้วย ดูมีความสุขมาก จนไม่คิดว่าจะมีใครแอบถ่ายไว้แบบนี้

     

     

    ดวงดาวดวงนี้ แสนดีเหลือเกิน

    ดีกับเราทุกอย่าง ดีจนคิดว่าเราไม่สามารถเอื้อมได้ถึงเลย

    มันคงจะดีถ้าเรารู้สึกกับดวงดาวแบบเพื่อน มันคงจะดี หวังว่าสักวันเราจะทำได้

     

     

    ………………………

     

     

    ผมเปิดแต่ละหน้าช้าๆ ทั้งตื่นเต้น และรู้สึกกลัวอย่างประหลาดกับหน้าต่อๆ ไป

     

     

     

    ไม่สิ แต่ว่า

    ดวงดาว มองมาที่เราบ้างได้ไหม

     

     

     

    ………………………

     

     

     

    ดวงดาว คิดเหมือนกับเราหรือเปล่า

    ถ้าเราคิดเหมือนกันจริงๆ แบบที่เราเดาเอาไว้ เราควรจะทำยังไงดี

     

     

     

    ………………………

     

     

     

    ดวงดาวบางทีเราอาจจะควรเป็นแค่คนที่มองดูเหมือนเดิมไหมนะ

    แบบนี้มันชักจะถลำลึกเกินไปแล้ว

     

     

     

    ………………………

     

     

     

     

    ดวงดาว เรากลัว      

     

     

     

    ………………………

     

     

     

     

    ดวงดาว คิดกับเราแบบนั้นเหมือนกันเหรอ

     

     

     

    ………………………

     

     

     

    ดวงดาว เราขอโทษ

    แต่เราไม่กล้า จะเป็นมากกว่าคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง

     

     

     

    ………………………

     

     

     

    ดวงดาว เราชอบเวลาที่เราได้อยู่ข้างๆ กันแบบนี้

    ถ้ามันมากกว่านี้ มันก็คงไม่มีความสุขแบบนี้ใช่ไหม

     

     

     

    ………………………

     

     

     

    ดวงดาว ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่

    อย่าเดินจากเราไปไหนเลยนะ

     

     

     

    ………………………………………

     

    ……………………………

     

    ………………

     

     

     

     

    นี่ผมหลับแล้วฝันไปใช่มั้ย

     

    ที่ผมเพิ่งอ่านจบจนหน้าสุดท้ายเมื่อกี้ ผมแค่ฝันไปใช่มั้ย

     

     

    ผมเอาสมุดในมือฟาดหัวตัวเองแรงๆ หนึ่งที

     

    มันเจ็บ

     

     

    งั้นแปลว่าผมไม่ได้ฝันไป

     

     

     

    ผมลุกขึ้นนั่งแทนที่จะได้นอนหลับสบายๆ และปล่อยให้คืนนี้ผ่านไปเหมือนทุกคืน ผมเปิดอ่านทุกหน้าย้ำๆ ซ้ำๆ และพบว่าทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องโกหก ลายมือนี้เป็นของคยองซู สมุดเล่มนี้เป็นของคยองซู

     

     

     

    และ คยองซูแอบชอบผม

    ที่มากไปกว่านั้น คือผมได้เป็นถึงดวงดาวของคยองซู

     

     

     

    คยองซูชอบผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกชอบคยองซูเสียอีก

     

     

    มันเป็นเรื่องตลก ที่ผมรู้สึกขำไม่ออกเลย

     

     

    ทุกสิ่งที่คยองซูทำกับผม มันคือความรักที่ไม่ใช่ในแบบเพื่อนงั้นเหรอ ?

    ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน คยองซูไม่ได้คิดกับผมแค่เพื่อนหรอกเหรอ ?

    คยองซูไม่ได้มองว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง หรอกเหรอ ?

     

     

    ถ้าคำตอบของทุกคำถามเหล่านี้คือ ใช่

     

     

    เห็นทีคนอย่างผมจะไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ แบบที่คิดไว้เสียแล้วล่ะ








     

    - TO BE CONTINUED -








     

     


    themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×