คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ` c h a p t e r 4 ♡ { c h e a t i n g }
C I R C L E
` c h a p t e r 4 ♡ ; { c h e a t i n g }
‘ แดนอาทิตย์อุทัย ’
หลังจากที่ฟังคำกล่าวขานมานักต่อนัก ตอนนี้ผมได้มายืนอยู่ที่นี่แล้วครับ
“ฮ๊าา!” ผมร้องออกมาอย่างไม่อายผู้คนรอบข้างเมื่อก้าวเท้าออกมาจากสนามบิน ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเช้าเกือบเที่ยง แต่อากาศที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงเหน็บหนาวเหมือนตอนกลางคืนของประเทศเกาหลี ผมสูดลมหายใจเอาอากาศของประเทศญี่ปุ่นเข้าปอดลึกๆ แล้วยิ้มกว้างออกมาเหมือนกับคนบ้า
ไม่เพียงแต่มีความสุขเพราะเป็นประเทศที่อยากมามาโดยตลอด
แต่มีความสุขเพราะมันเป็นประเทศที่นึกทีไร ใบหน้าคยองซูก็ลอยมาทุกครั้ง
นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าคยองซูมาด้วยกันกับผมมันจะดีแค่ไหน
ผมจัดการลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ดูไม่เหมือนกับคนจะมาอยู่แค่อาทิตย์เดียวไปตามทางเหมือนคนเงอะแงะ แปลกสถานที่ แปลกผู้คน แถมยังแปลกภาษา แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเลยแม้แต่นิด การเดินทางแบบฉายเดี่ยวในต่างประเทศของผมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ระหว่างทางเดินไปที่พักของผม ผมก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างในร้านหนังสือข้างทาง นั่นมันไม่ใช่โคนันเล่มที่ 85 หรอกเหรอ…
ผมเดินเข้าร้านไปอย่างไม่ลังเล และไม่สนใจว่าของตัวเองจะพะรุงพะรังมากแค่ไหน คงไม่ต้องบอกซ้ำใช่ไหมครับว่าตัวผมน่ะไม่ได้ชอบโคนันเลยแม้แต่นิด แต่สิ่งที่ผมชอบ คือคนที่บ้าคลั่งโคนันมากๆ ต่างหาก
“เล่มนี้เท่าไหร่หรอครับ” โชคดีที่ผมพอจะศึกษาภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง ผมจัดการควักเงินจ่ายให้เจ้าของร้านอย่างไม่คิด ทั้งหมดไม่ใช่ราคาน้อยๆ เลย เพราะแน่นอนว่าผมไม่ได้ซื้อมาแค่เล่มเดียว
ผมจัดการยัดโคนันห้าเล่มใส่กระเป๋าที่หนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และออกเดินทางต่อ
ลืมคิดไปเสียถนัด … ว่ามันเป็นโคนันเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ไม่ใช่เกาหลี
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ผมก็พาตัวเองและกระเป๋าเดินทางใบโตมาหยุดอยู่ที่หน้าเกสท์เฮ้าส์ที่จองไว้ทางเน็ตจนได้ ผู้ชายหน้าตาดีอายุราวๆ สามสิบต้นๆ เดินออกมาทักทายผมด้วยใบหน้าที่เป็นมิตร แถมยังช่วยถือกระเป๋าที่หนักมากของผมอีกต่างหาก
“มาแล้วสินะ คุณปาร์คชานยอลใช่มั้ยครับ”
“ครับ ผมชานยอลเอง” ผมพูด ยิ้มและโค้งให้กับคนอาวุโสกว่า
“พี่ชื่ออี้ฟานนะ แต่เรียกว่าคริสก็ได้”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เราสองคนเช็คแฮนด์กัน ยิ้มให้กันและกัน ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด
“เดี๋ยวพี่จะพาไปดูห้องก่อนก็แล้วกัน จะได้พักผ่อน”
“ขอบคุณครับ”
ผมก้าวเท้าตามพี่ชายเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ท่าทางเป็นมิตรแถมยังพูดภาษาเกาหลีได้อย่างตื่นเต้น ทำไมผมถึงตื่นเต้นน่ะเหรอ? ปกติแล้วผมก็ตื่นเต้นกับสิ่งรอบข้างไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ แต่ครั้งนี้คือการเดินทางที่แสนพิเศษของผม มันไม่เหมือนกับทุกๆ ครั้ง ผมเลยตื่นเต้นมากกว่าปกติร้อยเท่าเลย
“ห้องนี้นะ” เดินมาไม่ไกลนัก พี่คริสก็จัดแจงเปิดประตูและยกกระเป๋าเดินทางของผมเข้ามาเก็บในห้องอย่างเรียบร้อย ผมเดินดูห้องโดยมีพี่คริสเป็นคนคอยอธิบายเกี่ยวกับการใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ภายในห้อง แถมยังบอกด้วยว่ามีอะไรก็เรียกหาได้ตลอดเวลา และผมยังสามารถไปกินข้าวฟรีทุกๆ ตอนเย็นที่ห้องรับรองได้อีกด้วย
ชีวิตดีจังเลยครับ
เมื่อเดินดูรอบห้องเรียบร้อยแล้ว พี่คริสก็ปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพังสมใจอยาก ผมรีบนอนแผ่ลงกับเตียงและควักมือถือออกมาจากกระเป๋าก่อนจะทำสิ่งอื่นใด ก็ผมคิดถึงคยองซูมากนี่นา และมือถือก็เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมได้คุยกับคยองซูด้วย
แน่นอนว่าคยองซูยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมถึงญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ทักไปอวดเสียหน่อยดีกว่า
ผมกดเข้าแอพฯ เฟสบุคเป็นแอพฯ แรก เพราะนี่เป็นแอพฯ ที่ผมมักจะใช้คุยกับคยองซูเป็นประจำ แต่แล้วสิ่งที่ผมเห็นอัพเดทในหน้านิวฟีดก็ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
‘ สอบชิงทุนไปประเทศญี่ปุ่น … ความหวัง = 0.0001% ’
สเตตัสนี้ของคยองซูทำให้ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอนนุ่มๆ ทันที ผมจัดการหยิบโน้ตบุคที่หนักอึ้งออกมาจากกระเป๋าเดินทางแล้วรีบเปิดเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบชิงทุนไปประเทศญี่ปุ่น อันที่จริงผมเคยเซฟเก็บไว้เป็นหน้า favorite เรียบร้อยแล้วล่ะ เพียงแต่ยังไม่มีเวลามาเปิดอ่านรายละเอียดก็เท่านั้น
คิดดูสิครับว่าผมใส่ใจและห่วงใยคยองซูมากแค่ไหน
ผมนั่งค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบชิงทุนไปประเทศญี่ปุ่นจนเวลาล่วงเลยมากว่าสี่ชั่วโมง รู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ลาลับไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วครับ และท้องผมก็ร้องโครกครากแล้วด้วย ผมควรจะลงไปหาอะไรกินข้างล่างก่อนใช่มั้ยล่ะ ถ้างั้นก็ลองปริ๊นท์ไอ้ข้อมูลพวกนี้ลงไปอ่านตอนกินข้าวด้วยเลยแล้วกัน
“อ้าวชานยอล มากินข้าวก่อนสิ วันนี้มีไข่ห่อกับเทมปุระด้วยนะ ชอบรึเปล่า” พี่คริสเอ่ยปากทันทีที่เห็นผมเดินลงมาจากชั้นสอง ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารัวๆ เพราะทั้งสองอย่างนั่นเป็นอาหารโปรดของผม ผมรีบย้ายตัวเองมานั่งที่โต๊ะอาหารเพื่อรอพี่คริสที่กำลังเอาไข่ห่อกับเทมปุระใส่จาน ผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อ ทั้งดูอบอุ่น แถมยังทำอาหารเป็นด้วยเหรอเนี่ย
ผมชักจะอิจฉาแฟนสาวของพี่เขาซะแล้วล่ะ
“อยากสอบชิงทุนเหรอ” พี่คริสถามผมเมื่อเห็นผมเอาแต่ง่วนอยู่กับการอ่านกระดาษที่เพิ่งปริ๊นท์ออกมา พลางวางอาหารต่างๆ ลงบนโต๊ะ
“จริงๆ แล้ว … ไม่ใช่…” ผมไม่ควรตอบว่าไม่ใช่ผมสินะ “ครับ ผมอยากสอบชิง ผมควรทำยังไงบ้างเหรอครับ”
“มาถูกทางแล้วล่ะ” พี่คริสตบบ่าผมเบาๆ แล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้ผมดู
“นี่อะไรเหรอครับ”
“ก็พี่เคยสอบชิงทุนที่นี่เมื่อห้าหกปีที่แล้วน่ะสิ ติดใจเลยมาทำเกสท์เฮ้าส์ซะเลย”
“จริงเหรอครับ!” ผมตาโต
“ดูจากท่าทางแล้ว งบน้อยล่ะสิ”
“ครับ…” ผมตอบเสียงอ่อย
“เหมือนพี่นั่นแหละ สมัยนั้นไม่มีเงินเลย ก็เลยหาทุกวิธีที่จะทำให้ได้มา”
“แล้วพี่ทำยังไงเหรอครับ”
“เราพร้อมที่จะลำบากรึเปล่าล่ะ”
.
.
.
ผมนอนซมอยู่ที่บ้านมาสองวันแล้ว…
โชคดีที่เมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ ก็เลยใช้สิทธ์ลาป่วยไปแค่วันเดียวคือวันนี้ ผมบอกคนที่บ้านไปว่าผมไม่สบาย และยังไม่อยากไปทำงานตอนนี้ จริงๆ แล้วร่างกายผมปกติดี และผมไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น ถึงป่วยผมก็มักจะไปทำงานได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
แต่สิ่งที่ผมเจอมา… มันทำให้ผมไม่อยากไปเหยียบที่บริษัท ไม่อยากเจอหน้าพ่อ และคุณนายคิมอีกเลย
เมื่อวานนี้ทั้งวัน ผมกับคยองซูไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว เด็กคนนั้นทักผมมาอยู่ประโยคหนึ่งแต่ผมกลับไม่อยากเปิดอ่าน ผมไม่แม้แต่จะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเหมือนเดิม ผมเอาแต่มองไปรอบๆ ห้อง มองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงจะไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้ว แต่จิตใจผมมันกลับไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเลย
จุนมยอนคนนี้อ่อนแอเหลือเกิน
ตื๊อดึง ~
เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้น ผมเหลือบไปมองจากที่ไกลๆ ก็พบว่ามันเป็นอัพเดทของคยองซู คนๆ เดียวในเฟสบุคที่ผมตั้งเป็น close friend เพราะผมอยากรู้ว่าวันๆ หนึ่งคยองซูทำอะไรบ้าง ตอนนี้สภาพจิตใจของผมโอเคขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว ผมหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดดูการอัพเดทนั้น
‘ สอบชิงทุนไปประเทศญี่ปุ่น … ความหวัง = 0.0001% ’
และนี่คือสเตตัสที่คยองซูอัพเดท ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่ออ่านจากคอมเม้นที่เพื่อนๆ ของคยองซูมาคอมเม้นให้กำลังใจ ก็ได้รู้ว่าคยองซูมีความใฝ่ฝันอยากไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นมาก แต่ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น
อันที่จริง เงินในบัญชีของผมตอนนี้ก็มีมากพอที่จะบินไปกลับญี่ปุ่นได้เป็นสิบๆ ครั้งเลยล่ะ แต่จะให้ผมเอาเงินไปฟาดหัวคยองซูมันก็คงไม่เหมาะ
แต่ยังไงเสีย… ผมก็จะหาทางช่วยให้คยองซูได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นให้จงได้
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น ผมเบื่อห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ผมอยู่มาเกือบจะสองวันเต็มเลยตัดสินใจออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะที่เดิม ที่ๆ ผมเจอกับคยองซูเป็นครั้งแรก และที่ๆ กลายเป็นที่แห่งความทรงจำของผม เพราะทุกครั้งที่ขับรถผ่าน หรือทุกครั้งที่มาที่แห่งนี้ ผมจะต้องนึกถึงคยองซู และยิ้มออกมาเสียอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าจะถามถึงสิ่งที่ช่วยให้ผมเลิกคิดมากเรื่องพ่อได้ ก็คงมีแต่เรื่องคยองซูนี่แหละ
ระหว่างที่เดินไปได้ประมาณสิบห้านาที ผมก็สะดุดเข้ากับเจ้าหมาตัวเล็กตัวหนึ่งที่นอนขดอยู่ใต้ต้นไม้ ดูเหมือนว่ามันกำลังจะมีปัญหา ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามันมีรอยแผลแดงๆ เต็มตัวไปหมด
ผมสงสารมันจนต้องอุ้มขึ้นมาดูอาการ ผมไม่เคยรังเกียจสัตว์พวกนี้เลยแม้จะเป็นสัตว์ข้างทางที่ไปติดโรคอะไรมารึเปล่าก็ไม่รู้ เจ้าหมาที่อยู่ในอ้อมกอดมองผมตาแป๋ว ตาของมันโตและน่ารักจนผมต้องลูบหัวเบาๆ นี่มันทำให้ผมคิดถึงคยองซูอีกแล้วสิ
“มีเจ้าของซะด้วยแฮะ” เจ้าหมาน้อยนี่มีปลอกคอห้อยอยู่ด้วย ผมเลยพูดออกมาเบาๆ แต่ไม่ว่าจะมีเจ้าของหรือไม่ก็ตาม ผมตัดสินใจอุ้มมันกลับมาด้วย โชคดีที่ผมสนิทกับเพื่อนที่เปิดคลีนิคสุนัขหน้าปากซอยบ้านผม
“เอาล่ะ เจ้าหมาน้อย ต่อจากนี้แกจะไม่ป่วยอีกแล้วนะ ดีใจใช่มั้ย” ผมคุยกับหมาในอ้อมกอดแล้วยิ้มบางๆ ให้ อย่างน้อยถ้าผมมีเจ้านี่อยู่ด้วย ผมก็คงจะรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องพ่อไม่น้อย ผมจะเลี้ยงและดูแลมันอย่างดี ก่อนที่จะส่งคืนเจ้าของของมัน
“กลับมาแล้วเหรอพี่” หลังจากจัดการส่งหมาน้อยให้อยู่ในความดูแลของเพื่อนสนิทเรียบร้อย ผมก็พาตัวเองกลับมาบ้าน เจอเจ้าเซฮุนกำลังผูกเชือกรองเท้าตัวเองอยู่ และแนบเอกสารไว้กับอกเหมือนกับว่าจะไปทำธุระที่ไหน
“จะไปไหนน่ะ”
“วันนี้ผมมีนัดสัมภาษณ์งานน่ะพี่ ถ้าผ่านผมก็เริ่มงานได้เลย”
“ไปสมัครที่ไหนไว้ล่ะ” เจ้านี่มันหางานพิเศษทำตอนเย็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมก็รู้สึกดีใจนะ
“โรงพยาบาล”
“หืม จะไปเป็นหมอรึไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่ ไปเป็นผู้ช่วยหมอต่างหาก” เซฮุนพูดหลังจากผูกเชือกรองเท้าทั้งสองข้างเสร็จ
“ผมไปแล้วนะพี่ ถ้าผมกลับสี่ห้าทุ่มก็แปลว่าผมได้งานแล้ว โอเคนะ”
“เห้ยเดี๋ยว เซฮุน………”
ผมยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ เซฮุนก็รีบวิ่งแจ้นออกไปโดยไม่สนใจผมเลยแม้แต่นิด ผมไม่ยักรู้มาก่อนว่าเซฮุนจะสนใจงานในโรงพยาบาลด้วย เห็นเป็นเด็กกะโปโลและชอบกวนตีนคนไปวันๆ แบบนั้น ก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย
จะยังไงก็ตาม ผมก็ขออวยพรให้น้องชายได้งานล่ะนะ
.
.
.
“คุณโอ เซฮุน เชิญที่ห้องคุณหมอคิมด้วยค่ะ”
ตื่นเต้นมากเลยครับ
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจมาสมัครงานที่โรงพยาบาล ที่ๆ ผมรู้สึกเกลียดมากที่สุดในชีวิต เพราะเวลามาทีไร ก็ต้องเจอแต่คนป่วยทุกที เป็นสถานที่ที่หดหู่มากที่สุดในความคิดของผม รองจากงานศพ แต่เหตุผลที่ผมตัดสินใจมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยหมอที่นี่ ก็เพราะว่ามันได้เงินเดือนดีไงล่ะครับ
ผมไม่อยากเป็นเด็กที่เป็นภาระของทางบ้านอีกต่อไป ถึงแม้ว่าฐานะที่บ้านผมมันจะดีก็เถอะ
“สวัสดีครับคุณหมอ” ผมก้าวเท้าเข้ามาพบคุณหมอคิมด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ทำตัวสุภาพนอบน้อมแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
“หน่วยก้านดีนี่เรา” คุณหมอคิมมองหน้าผมเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารสมัครงานที่ผมนำมาด้วยไปอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วเริ่มสัมภาษณ์ผมอย่างเป็นกันเอง
“มีเวลาว่างมากน้อยแค่ไหนล่ะ”
“ผมว่างทุกวันตอนเย็นครับ”
“ไม่ทำการบ้านเหรอ”
“ผมแบ่งเวลาได้ครับคุณหมอ ทุกวันนี้ผม… ก็เอาการบ้านไปทำที่โรงเรียนทุกวัน”
“แสบใช่เล่นนี่” คำพูดของผมทำให้คุณหมอหัวเราะออกมา
“ฉันจะไม่ถามอะไรมากนะ เพราะเราได้สัมภาษณ์กันทางแชทไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงเดี๋ยวเธอออกไปรอข้างนอกสักสิบนาที เดี๋ยวฉันเรียกเข้ามาใหม่”
“ครับผม”
ผมออกมานั่งรอข้างนอกตามที่คุณหมอคิมสั่ง ที่จริงแล้วคุณหมอไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่เคยได้ยินมา แถมยังมีใบหน้าที่หล่อเหลามากอีกต่างหาก และที่มากไปกว่านั้น ใบหน้าของคุณหมอคิมนั้น คล้ายคลึงกับใครบางคนที่ผมรู้สึกชอบตั้งแต่แรกพบอีกด้วย
คิม จงอิน
“คุณโอ เซฮุนคะ คุณหมอคิมเรียกพบค่ะ” ผมหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องของคุณหมอคิมทันที
“โอ เซฮุน” คุณหมอคิมเรียกชื่อผมช้าๆ หลังจากที่ผมนั่งลงตรงหน้า สายตาคุณหมอกวาดดูทั่วเอกสารประวัติผม
“ครับคุณหมอ”
“อย่างที่เคยบอกไปนะ ว่าถ้าคุณผ่านการพิจารณา คุณจะต้องเริ่มงานเลยทันที”
“ผมทราบดีครับ”
“ผมหวังว่าคุณจะทนความเอาแต่ใจของผมได้นะ”
“ครับ?”
“ยินดีด้วยโอเซฮุน คุณคือผู้ชวยคนใหม่ของผม”
“จริงเหรอครับคุณหมอ! ขอบคุณมากนะครับ”
ผมตาลุกวาว รีบจับมือกับคุณหมอด้วยท่าทางลนลานปนดีใจไปพร้อมๆ กัน ท่าทางของผมที่ดูจะโอเวอร์ไปหน่อยทำให้คุณหมอคิมหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าเด็กมัธยมธรรมดาๆ อย่างผมไม่เคยสมัครงานที่ไหนมาก่อน แถมการสมัครงานที่รพ.โซลแห่งนี้ยังเป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างผม และการทำงานกับคนดังระดับคุณหมอคิมนั้น ก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก
“อย่างแรก เดี๋ยวฉันจะออกไปธุระข้างนอกนิดหน่อย เดี๋ยวนายช่วยปริ๊นเอกสารพวกนี้ให้หน่อยนะ เอาอย่างละสองแผ่น”
หลังจากที่พูดคุยกันไปได้สักพัก คุณหมอก็เริ่มมอบหมายงานให้ผม ตอนนี้ผมได้มานั่งอยู่ประจำโต๊ะของผู้ช่วยคุณหมอคนเก่าที่ลาคลอดไป ผมมองดูไฟล์ในโน้ตบุคที่คุณหมอมอบหมายงานให้แล้วพยักหน้ารับทราบ จริงๆ แล้วงานของผมมันเกี่ยวกับพวกเอกสารอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายงานของคุณหมอเลย
แต่สิ่งที่เด็กอย่างผมทำได้ มันก็มีแค่นี้แหละครับ
ผมจัดการเปิดไฟล์เอกสารประมาณสิบกว่าไฟล์แล้วปริ๊นท์ออกมาตามคำสั่งของคุณหมอทันทีที่คุณหมอเดินออกจากห้องไป คุณหมอบอกผมว่าจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงเพราะไปทำธุระแค่นิดหน่อย ระหว่างนี้ผมจะทำอะไรก็ทำ
และตอนนี้งานที่ผมได้รับมอบหมายมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงเสร็จตั้งแต่สิบห้านาทีแรกแล้วล่ะ ผมตัดสินใจลุกเดินดูรอบๆ ห้องเพื่อทำความรู้จักกับมุมต่างๆ ในห้องที่กว้างขวางแห่งนี้ คุณหมอคิมเป็นคนที่จัดห้องได้เป็นระเบียบมาก ถ้าเทียบกับห้องของผมแล้วล่ะก็ ฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ผมเดินดูจนทั่ว และสายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับกรอบรูปที่แอบอยู่ในมุมหลืบของห้อง ตาของผมเบิกกว้างทันทีที่พบว่าในกรอบรูปนั้นเป็นรูปของใคร
คุณหมอคิมคนนี้ คือพ่อแท้ๆ ของจงอินเองเหรอเนี่ย
ผมหยิบกรอบรูปนั้นมาดูใกล้ๆ อย่างถือวิสาสะ ทันทีที่หยิบออกมา ก็มีกระดาษที่พับไว้หล่นตามลงมาด้วยเช่นกัน ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดอ่านตามประสาเด็กชอบสอดรู้สอดเห็น และเนื้อความในจดหมายก็ทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าเดิม
‘ คิม จงอิน ไอ้ลูกที่ไม่เคยรักดี …
แกไม่เคยรู้เลยรึไง ว่าการทำตัวแบบนี้มันทำให้พ่อของแกปวดหัวแค่ไหน
ทุกวันนี้ฉันกินยานอนหลับวันละสามสี่เม็ด ลูกอย่างแกเคยรู้บ้างไหม
แต่ถึงแกจะดีจะเลวยังไง แกก็เป็นลูกพ่อนี่นะ
พ่อรักแกมาก แล้วก็รักแม่แกด้วย ขอโทษที่ไม่เคยมีเวลาให้แกและแม่เลย ’
ผมรีบพับจดหมายเก็บหลังกรอบรูปตามเดิมทันทีที่อ่านจบ สิ่งที่ผมเพิ่งอ่านไปคงเป็นความลับที่หมอคิมไม่อยากให้ใครรู้ ผมต้องซวยมากแน่ๆ ถ้าหมอคิมหรือใครสักคนเข้ามาเห็นผมอ่านจดหมายนี่อย่างถือวิสาสะตอนนี้
ผมรีบเดินออกมาจากห้องคุณหมอ หวังจะสูดอากาศภายนอกหลังจากไปเจอเรื่องที่ดูเหมือนจะเครียดเกินไปเมื่อครู่นี้ คิ้วของผมขมวดเป็นปมตลอดทางเดิน และเมื่อเดินออกมาจากห้องคุณหมอไม่ไกล ผมก็พบเข้ากับบุคคลหนึ่ง
บุคคลที่ทำให้ผมต้องตกใจมากกว่าเดิม
.
.
.
“แบคฮยอน… ช่วยเราด้วย”
(คยองซู… อะไร ทำไม เป็นอะไร!)
“ยาย… ยายของเราชัก แบคฮยอนช่วยเราด้วย”
(รอแป๊บนึง จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ)
ผมวางสายจากแบคฮยอนแล้วรีบวิ่งไปจับตัวคุณยายเอาไว้อย่างเลิกลัก ผมคือคนที่เคยสอบสุขศึกษาได้คะแนนเต็ม แต่ตอนนี้ ในสถานการณ์จริงแบบนี้ ผมกลับทำอะไรไม่ถูกเลย สิ่งแรกที่ผมนึกถึงคือแบคฮยอน เพื่อนที่อยู่ถัดไปไม่กี่หลัง
“คยองซู!”
ไม่นานนักแบคฮยอนก็เปิดประตูเข้ามา หมอนั่นมีสีหน้าตกใจไม่น้อยไปกว่าผมเลย แบคฮยอนกับผมจัดการประคองยายขึ้นมาถึงแม้ว่าจะลำบากและทุกลักทุเลเพราะคุณยายของผมกำลังช็อคอยู่
“รีบพายายออกไปหน้าบ้าน เราเรียกรถพยาบาลให้แล้ว”
ผมพยักหน้ารับรู้ แบคฮยอนมักจะเป็นคนที่รอบคอบแบบนี้เสมอ ผมเลยดูเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโตอยู่ตลอดเวลาที่อยู่กับแบคฮยอน ถึงจะอายุเท่ากัน แต่หมอนี่ดูโตและเป็นที่พึ่งได้มากกว่าผมเยอะเลย
ไม่ถึงห้านาที รถพยาบาลก็มาจอดที่หน้าบ้านผม ผมกับแบคฮยอนช่วยกันพยุงยายขึ้นรถพยาบาลแล้วนั่งตามไปด้วย ใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ อันที่จริงยายผมก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่มันไม่ได้บ่อยขนาดที่ว่าผมจะทำใจให้ชินได้ ผมจะประสาทเสีย และทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่ยายชักแบบนี้
และแบคฮยอนก็คือคนที่ช่วยเหลือยายผมได้ตลอด
เรามาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในละแวกนั้นในเวลาไม่ถึงสิบนาที และคุณยายของผมก็ถึงมือหมอเรียบร้อย อาการของคุณยายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงไปมากกว่าการช็อคธรรมดาๆ แต่ควรนอนให้น้ำเกลือที่นี่สักวันสองวัน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณยายจะกลับไปแข็งแรงเป็นปกติดี
ระหว่างที่นั่งมองคุณยายหลับอยู่ ผมกับแบคฮยอนก็คุยกันเรื่องไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันมากนัก สายเรียกเข้าของผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ครับพี่จุนมยอน”
(คยองซูอยู่ไหนน่ะ ออกไปกินไอติมกันมั้ย)
“ผม… เอ่อ ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ครับ”
(ทำไมล่ะ เราอยู่ไหนหืม)
“ผม… อยู่โรงพยาบาลครับ”
(โรงพยาบาลเหรอ!? ใครเป็นอะไร คยองซูเป็นอะไร?)
“ไม่ใช่ผมครับ คุณยายผมต่างหาก ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ”
(ถ้างั้นตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหน เดี๋ยวพี่จะไปหา)
“โรงพยาบาลมยองดงครับ”
(อีกสิบนาทีเจอกัน)
ผมวางสายไปอย่างงงๆ เมื่อเห็นคนปลายสายดูทุกข์ร้อนขนาดนั้น อันที่จริงพี่จุนมยอนไม่จำเป็นต้องมาหาผมเลย เพราะผมไม่ได้เป็นอะไร และคุณยายของผมกับพี่จุนมยอนก็ไม่ได้รู้จักกันเลยด้วย แต่ถ้าพี่เขาสบายใจ และอยากมาขนาดนั้น ผมก็คงห้ามอะไรไม่ได้
พี่ชายคนนี้จิตใจอบอุ่นเสมอ
“ใครโทรมาน่ะ” แบคฮยอนเอ่ยปากถามทันทีที่ผมส่ายหน้าเบาๆ กับปลายสายที่เพิ่งวางไป
“พี่จุนมยอน นายไม่รู้จักหรอก” แน่นอนว่าแบคฮยอนไม่รู้จักกับพี่จุนมยอน แต่สองคนนี้เคยเจอกันแล้วที่งานปาร์ตี้คอสเพลย์เมื่อวันก่อน เชื่อเถอะว่าหมอนี่จำไม่ได้หรอก
“เค้ากำลังจะมาที่นี่เหรอ” แบคฮยอนพูดด้วยใบหน้าที่จับผิด หมอนี่ขี้ระแวงไปซะทุกเรื่อง
“ก็… ไม่รู้เหมือนกัน” ผมส่ายหน้า ตอบเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ และทันใดนั้นเอง สายเรียกเข้าจากพี่จุนมยอนก็ดังขึ้นอีก
“ครับพี่จุน”
(คยองซู พี่ติดธุระด่วน ตอนนี้คงไปไม่ได้แล้ว ยังไงเดี๋ยวตอนค่ำๆ พี่อาจจะแวะเข้าไป)
“พี่จุนครับ จริงๆ แล้วพี่ไม่ต้องมาก็ได้ ผมมีเพื่อนอยู่ด้วยแล้วครับ”
(พี่อยากไปเยี่ยมยายของเราน่ะ ถ้าว่างพี่จะแวะเข้าไป แค่นี้ก่อนนะครับ)
ผมขมวดคิ้วเล็กๆ เพราะพี่จุนมยอนที่ด่วนตัดสายไปดื้อๆ โดยที่สายตาของแบคฮยอนจ้องผมไม่วางตามาตลอดระยะเวลาที่ผมเอาแต่ง่วนอยู่กับมือถือ แบคฮยอนคงไม่ชอบให้ผมจับมือถือบ่อยๆ แบบนี้เป็นแน่ แต่จะไม่ให้รับสายมันก็ไม่ใช่เรื่องนี่นา
“คนเดิมเหรอ” คนที่เอาแต่จ้องผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อื้อ”
“จีบเหรอ”
“ห๊ะ!?” ผมตกใจ
“เค้ามาจีบคยองซูเหรอ”
“ทำไมคิดแบบนั้น”
“ไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้”
“นี่พูดอะไรอยู่เนี่ย”
“คยองซู… ตอบ”
“ก็…”
“……………”
“พอรู้”
ผมก้มหน้างุด หลบสายตาคนที่เอาแต่จ้องเขม็งและคาดคั้นคำตอบจากผม ผมไม่ชอบหน้าแบคฮยอนตอนจับผิดผมแบบนี้เลย ทั้งๆ ที่ผมกับแบคฮยอนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ทำไมผมถึงได้ไม่ชินกับท่าทีหึงหวงเกินเหตุแบบนี้กันนะ
เพื่อนคนนี้หวงผมมากขนาดนี้เพราะอะไร
“รู้ แล้วก็ยอมให้เค้าจีบเนี่ยนะ”
“เราไม่ได้คิดอะไรกับพี่เค้า” ผมรีบแย้ง ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ นะ
“โถ่เว้ย”
แบคฮยอนสบถออกมาไม่ดังแต่ก็ไม่เบา คงจะเพราะเกรงใจทั้งสถานที่และคุณยายของผมที่กำลังนอนหลับอยู่ เพราะจริงๆ แล้วเวลาโกรธหรือหงุดหงิดแบบนี้ เจ้านี่ไม่เคยพูดเสียงเบาขนาดนี้หรอก บยอน แบคฮยอน คือคนที่มักจะใช้เสียงดังโวยวายออกมาเวลาหงุดหงิดเสมอ
แบคฮยอนทิ้งท้ายไว้แค่คำสบถนั่น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่บอกกล่าวอะไร
ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่าทำไมแบคฮยอนต้องหงุดหงิดขนาดนี้
‘แบคฮยอนชอบนาย’
คำพูดของจงอินเมื่อหนึ่งปีก่อนผุดขึ้นมาในหัวของผมอีกรอบ เป็นประโยคที่คอยวนเวียนและตามหลอกหลอนผมตลอดเวลาที่ผ่านมา และเป็นประโยคที่ผมเลือกที่จะไม่เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
‘แบคฮยอนชอบนาย… คยองซู…’
‘……………….’
‘ถ้าไม่เชื่อฉัน ก็ลองสังเกตเวลามันอยู่กับนายเอาเองแล้วกัน’
ทุกครั้งที่ผมอยู่กับแบคฮยอนสองคน แน่นอนว่าประโยคเหล่านี้ที่จงอินเคยบอกผมนั้นคอยวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
... ผมรู้ …
ใช่ .. ผมรู้มาโดยตลอดว่าแบคฮยอนชอบผม ไม่ใช่ชอบที่จะอยู่ด้วยแบบเพื่อน ไม่ใช่ชอบที่จะไปไหนมาไหนด้วย แต่เป็นการชอบที่มากกว่าเพื่อนควรจะชอบกัน
แต่ผมเลือกที่จะเมินเฉยกับความจริงเหล่านั้น
ผมเลือกที่จะไม่เชื่อ และแสร้งทำเหมือนว่าไม่เคยรู้อะไรเลย
… แต่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผม …
คือยิ่งผมเลือกที่จะไม่เชื่อมากเท่าไหร่ … การกระทำของแบคฮยอนมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
.
.
.
โรงพยาบาลโซล
19.00 น.
ผมพาตัวเองมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว
ผมตั้งใจจะมาขอโทษพ่อที่ครั้งก่อนทำตัวไม่ดีใส่ จริงๆ แล้วผมก็ทำตัวไม่ดีใส่พ่อทุกครั้งที่มาหานั่นแหละ เราไม่เคยคุยกันดีเลยสักหน มันอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อเอาแต่ไล่ให้ผมไปไกลๆ ด้วยล่ะมั้ง
ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ผมพร้อมเผชิญกับทุกสิ่ง … แต่กับพ่อ คือสิ่งที่ผมไม่เคยกล้า
“เห้ยนาย!” ทันทีที่กำลังจะชักเท้ากลับหลังจากยืนทำใจกล้าอยู่นาน เสียงเรียกที่ดังมาจากหน้าห้องของพ่อผมก็ดังขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นเรียกผมหรือเปล่า แต่ก็หันไปแต่โดยดี
นั่นมันน้องชายของไอ้ซูโฮอะไรนั่นนี่
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมเอ่ยปากถาม อันที่จริงก็ไม่ได้อยากคุยด้วยเท่าไหร่
“เราทำงานที่นี่ เป็นผู้ช่วยหมอ…” ไอ้น่ารำคาญนี่ตอบอึกอัก ผมมองอย่างเซ็งๆ แล้วกำลังจะหันหลังกลับไป
“เดี๋ยวก่อน!”
“มีอะไร”
“รีบไปไหนรึเปล่า มาหาพ่อนายเหรอ”
“ไม่ต้องมายุ่ง มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
ผมเดินตามเจ้านั่นมายังสวนสาธารณะเล็กๆ หลังโรงพยาบาลที่มักเป็นสถานที่กายภาพบำบัดด้วยท่าทางเซ็งและหน่ายอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้หน้าจืดนี่มีอะไรจะคุยกับผม แต่ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องสำคัญอยู่พอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกมาคุยด้วยแบบนี้หรอกมั้ง
“สรุปว่ามีอะไร”
“พ่อนายอยู่ข้างใน ทำไมนายไม่เข้าไปหาล่ะ”
“ถ้าจะมาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ ฉันกลับล่ะ”
“จงอิน”
“อย่ามาเรียกชื่อฉัน”
“พ่อนายเป็นห่วงนายมากนะ”
“น่ารำคาญจริงโว้ย”
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก แต่เราจะบอกนายว่า…”
“…………”
“สุขภาพพ่อนายไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ทำไม พ่อฉันเป็นอะไร แล้วนายรู้ได้ยังไง”
ผมใจเต้นตุบตับ เป็นห่วงพ่อขึ้นมาเสียถนัด ดูเผินๆ ผมอาจจะเป็นคนไม่สนใจความเป็นอยู่ของครอบครัวเลย แต่จริงๆ แล้วผมคอยติดตามทุกคนในครอบครัวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ ถึงเราจะไม่สนิทกันสักคนเลยก็เถอะ
“เราก็ไม่ได้รู้อะไรลึกหรอก แต่แค่อยากให้นายดูแลพ่อให้มากกว่านี้”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย ไร้สาระ” ผมพูด ทำทีจะลุกหนี
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม”
“ว่าไงนะ”
“เผื่อว่าเวลาพ่อนายเป็นอะไรขึ้นมา เราจะได้เรียกนายได้ทันเวลา”
“……………” ผมเงียบ หยุดคิดไปสักพัก
“นะ”
ผมคว้ามือถือในมือไอ้หมอนี่มาเพราะทนเห็นแววตาอ้อนเท้านั่นไม่ไหว บวกกับตัดความรำคาญ แล้วจัดการเมมเบอร์ตัวเองลงในเครื่องหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน จริงอยู่ที่ว่าถ้าพ่อผมเป็นอะไรขึ้นมา ผมที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายคนเดียวก็สมควรที่จะเป็นคนแรกที่ได้รู้
อาการของพ่อผมไม่ค่อยดีมานานแล้ว เพราะแบบนี้ผมถึงได้ต้องมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ
“นายเป็นผู้ช่วยพ่อฉันเหรอ ทำไมเพิ่งจะเคยเห็น”
“อืม เพิ่งเริ่มงานวันนี้วันแรก”
“………”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่แม้แต่จะพยักหน้ารับรู้ รอยยิ้มเล็กๆ ของอีกคนที่ส่งมาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ มันใช่เรื่องที่ควรจะยิ้มด้วยหรือไงกัน ผมสะบัดหน้าอย่างเซ็งๆ แล้วหันหลังกลับ หมดธุระแล้วผมก็ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
“นี่ เดี๋ยวก่อน!”
“อะไร” ผมเริ่มจิ๊ปาก หมอนี่แม่งน่ารำคาญชะมัด
“………”
“ฉันถามว่าอะไร”
“ช่วยพูดว่า สู้นะ หรือไม่ก็ ตั้งใจทำงานนะ หน่อยสิ”
“ห๊ะ?”
ผมเลิกคิ้ว อุทานออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้บ้านี่มันประสาทหรือจิตไม่ปกติหรือเปล่า ทำไมถึงต้องมาร้องขอให้ผมทำอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ
บ้า… ไอ้หมอนี่มันต้องบ้าแน่ๆ
ผมมองหน้าอีกฝ่าย เป็นการมองที่เต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย อยากรู้ว่าต้องการอะไร แต่อีกใจก็ไม่ได้อยากเสวนาด้วยเลยแม้แต่นิด ในที่สุดผมก็ส่ายหน้าออกมาด้วยความหงุดหงิด แล้วรีบหันหลังเดินจากไปเพราะกลัวว่าไอ้บ้านี่จะตามมาวอแวอีก
น่ากลัวชะมัด
หน้าตาก็ดี ทำไมต้องทำตัวแปลกด้วยก็ไม่รู้
.
.
.
ผมเบื่อตัวเอง
ทำไมแบคฮยอนคนนี้ต้องคอยหงุดหงิดตลอดเวลาที่มีคนมาเจ๊าะแจ๊ะกับคยองซูด้วยก็ไม่รู้ แล้วนับวันผมก็ยิ่งเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ผมแสดงท่าทีว่าโกรธจนออกนอกหน้าเป็นประจำแบบนี้เพื่ออะไร เพื่อให้คยองซูรู้ว่าผมชอบงั้นเหรอ
ไม่มีวัน ผมจะไม่มีวันให้คยองซูรู้เด็ดขาด
ผมเดินออกจากโรงพยาบาลมาด้วยความหงุดหงิด พักนี้มีแต่คนมาวุ่นวายกับคยองซูเต็มไปหมด แค่มีจงอินคนเดียวผมก็ไม่ไหวจะต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว แล้วถ้ามีเพิ่มมาอีกแบบนี้ผมจะไม่ยิ่งเสียสุขภาพจิตไปกว่าเดิมหรือไง
ผมพาตัวเองมาที่บ้านเรียบร้อย ส่งข้อความไปหาคยองซูว่าเดี๋ยวจะไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยใหม่พรุ่งนี้ เพราะรู้ว่าคืนนี้คยองซูคงจะมีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยแล้ว ไอ้พี่จุนมยอนบ้าบออะไรนั่น ผมอยากจะเห็นหน้าเสียจริง
“อ้าวเฮ้ย ไอ้แบคฮยอน มาๆ รีบมานี่เลย” ทันทีที่ผมถอดรองเท้ากับถุงเท้าเสร็จ เงยหน้าไปก็พบว่าพ่อกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ผู้ชายที่อยู่ในชุดสูททั้งที่ใบหน้ายังละอ่อน ใครกันนะ
“นี่คุณซูโฮ แกมาสวัสดีเค้าซะสิ”
ซูโฮเหรอ
ซูโฮ…
“ส…สวัสดีครับ”
นั่นไม่ใช่คนที่เคยมาส่งคยองซู แล้วลูบหัวคยองซูหรอกเหรอ
ผมค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่เคยรู้สึกว่าการเดินเข้าบ้านจะเป็นเรื่องลุ้นระทึกเท่านี้มาก่อน พ่อผมเอาแต่กวักมือเรียกให้ผมไปนั่งในวงสนทนา สายตาของคนที่ชื่อว่าซูโฮจ้องมองผมด้วยความสงสัย แน่นอน เราเคยเจอกันมาก่อนแล้วในงานปาร์ตี้คืนนั้น พี่เขาเองก็คงจะสงสัยในตัวผมอยู่ไม่น้อย
“แบคฮยอนเหรอ” พี่ซูโฮถามผม เลิกคิ้วนิดๆ
“ครับ ผมแบคฮยอน”
“คุณซูโฮครับ นี่ไงลูกชายผม อายุห่างจากคุณไม่มากนะครับ ฮ่าๆๆ” พ่อผมตบบ่าผมเบาๆ ท่าทางจะอยากให้เราสองคนดองกันเหลือเกิน
“ใช่… เพื่อนของ… คยองซูรึเปล่า” พี่ซูโฮถามออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ผมพยักหน้าและยิ้มแห้งไม่ต่างกัน
“ครับ ผมเพื่อนคยองซู”
“อ้าว สองคนนี้เคยเจอกันมาก่อนเหรอ ตายจริง” พ่อผมอุทานอย่างตกใจ อย่าว่าแต่พ่อเลย ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“เราไม่รู้จักกันหรอกพ่อ แค่เคยเจอเฉยๆ” ผมพูด
“งั้นก็ทำความรู้จักกันไปก่อนนะ ท่าทางต๊อกโบกีจะได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพ่อเข้าไปเอามาให้”
พูดจบพ่อผมก็ฉีกยิ้มกว้าง ตบบ่าผม และส่งสายตาให้ผมเหมือนเป็นเรื่องที่รู้กัน … แน่นอน ผมท่องชื่อนี้มาโดยตลอด เพราะพ่อผมบังคับให้ผมจดจำชื่อนี้ คิม ซูฮยอน และ ซูโฮ ลูกชายของเขา คนที่มีพระคุณต่อบ้านของผม
“คุณคือ…”
“คยองซูเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีนี่ครับ” สีหน้าผมเริ่มเปลี่ยนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเห็นเรื่องคยองซูสำคัญขนาดนั้น
“ค่อยโล่งใจหน่อย แล้วคุณยายคยองซูล่ะ เป็นยังไงบ้าง ท่านอาการหนักมั้ย”
“ดีขึ้นแล้วล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงใช่มั้ย เดี๋ยวฉันว่าจะแวะเข้าไปหน่อย”
“ตามสบายครับ” ผมทำหน้าเหวี่ยงเล็กน้อย แล้วลุกพรวดอย่างไม่เกรงใจ “ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว” แต่อีกฝ่ายกลับรั้งเอาไว้
“ครับ?”
“เราควรมาคุยกันเรื่องคยองซู… ไม่ใช่เหรอ?”
ผมกับพี่ซูโฮเดินตามกันออกมาที่หน้าบ้าน เพราะการคุยเรื่องคยองซูในบ้านนั้น เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องไม่สมควรเท่าไหร่นัก พ่อผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมแอบชอบคยองซู ก็เหมือนที่คยองซูเข้าใจว่าผมมีแฟนเป็นผู้หญิงมาโดยตลอดนั่นแหละ
“คุณมีอะไรเหรอครับ” ผมยืนหันหลังให้ ไม่อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว”
“รีบพูดมาเถอะครับ ผมมีเวลาไม่มาก”
“ฉันเองก็เหมือนกัน เพราะต้องไปดูแลคยองซูต่อ…”
“…………!!” ผมหันไปทำหน้าไม่พอใจใส่ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น อยากชกหน้าอีกฝ่ายสักหมัดใจจะขาด แต่ก็ต้องพยายามเก็บอาการไว้ให้ได้มากที่สุด
“ทำไมล่ะ ไม่พอใจเหรอแบคฮยอน”
“มีอะไรก็ว่ามาซะทีสิครับ” ผมพยายามใจดีสู้เสือ
“ฉันมีอะไรอยากจะขอร้องนายหน่อย มันอาจจะยาก แต่ฉันว่านายคงทำให้ได้”
“……………”
“มันอาจจะมีผลต่อฐานะการเงินของพ่อนายด้วย…”
“อะไรของคุณ” ผมเริ่มหงุดหงิด
“ตอนนี้พ่อนายตกงานอยู่ นายไม่รู้เลยเหรอ”
“พ่อผม?”
ผมเลิกคิ้วกับข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะพ่อผมก็ออกไปทำงานเหมือนปกติทุกวัน ตื่นเช้าแต่งตัวเป็นชุดยูนิฟอร์มของที่ทำงานปกติ และกลับบ้านมาเวลาเดิมทุกๆ วัน ไม่มีอะไรที่น่าผิดสังเกตเลยสักนิด
หมอนี่มันกำลังพูดบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย
“พ่อนายตกงานมาเกือบเดือนแล้ว แต่พ่อฉันเป็นคนคอยให้เงินพ่อนายใช้มาโดยตลอด เพราะฉะนั้น นายก็ควรจะรู้สึกขอบคุณฉัน และทำอะไรเพื่อครอบครัวฉัน หรือไม่ก็ฉันบ้าง… ไม่ใช่เหรอ”
“คุณต้องการอะไร”
ผมถามออกไปเมื่อรู้สึกว่าไอ้คนที่ผมหลงเรียกว่าพี่มาเกือบชั่วโมงนี่มันไม่ได้ดีอย่างที่คาดคิดเอาไว้ ใช่ อาจจะดีกับคยองซู และคนอื่นๆ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับผม ผมรู้สึกได้ แม้อีกฝ่ายจะยิ้มออกมาแบบนั้น .. ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าขยะแขยง ผมรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายภายใต้รอยยิ้มนั่น
และอาจเป็นความชั่วร้ายที่มีเพียงผมคนเดียวที่ได้เห็นมัน
“แบคฮยอน ฉันจะพูดสั้นๆ นะ” สายตาของเราสองคนจ้องมองกันอย่างเชือดเฉือน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นต่อผมมากอยู่
“…………”
“เลิกยุ่งกับคยองซูซะ”
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น