คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 5 :: Not that pain
CHAPTER 5
และแล้วเวลาที่เซฮุนรอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันแรกของการถ่ายทำหนังสั้นโปรเจ็คของกลุ่มชานยอล และแน่นอนว่าพระเอกและนายเอกอย่างเซฮุนต้องมาเริ่มถ่ายทำฉากแรกกันที่หน้าตึกเรียนตามที่ชานยอลซอนมีได้นัดหมายทั้งคู่ไว้
เซฮุนที่กระตือรือร้นกับการถ่ายนี้แทบตายแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมาสาย ร่างบางไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยากเล่นหนังสั้นเรื่องนี้ใจจะขาด เพราะตอนแรกเขาเอาแต่ปฏิเสธเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ตั้งนานสองนานกว่าจะยอม จะให้มาก่อนเวลาจะไม่ดูตั้งใจไปหน่อยหรือ
“มาสายต้องโดนทำโทษนะครับนะ” จงอินที่นั่งอ่านบทอยู่กับชานยอลพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เซฮุนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อเห็นว่าร่างบางเพิ่งเดินเข้ามาแจมวงสนทนาด้วย เซฮุนเอาแต่หัวเราะและยังไม่ทันได้ตอบอะไร ชานยอลก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“มึงเอาบทไปอ่าน วันนี้จะถ่ายสามฉากนะ เป็นไปได้ก็อยากจะถ่ายสักสี่ฉาก รอดูว่าพวกมึงจะไหวกันมั้ย”
“กูน่ะไหวอยู่แล้ว มึงไปบอกพระเอกโน่นเถอะ” เซฮุนยักคิ้วแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางจงอินที่เอาแต่มองนายเอกอย่างเขาอยู่ ลึกๆ แล้วเขินแทบแย่ แต่ต้องแสดงออกมาว่าไม่ได้สนใจอะไร
“อ้าว พูดงี้ก็สวยดิ” จงอินม้วนกระดาษเอสี่ซึ่งเป็นบทพูดที่ถืออยู่ในมือแล้วตีไปที่หัวของเซฮุนเบาๆ เชิงหยอกล้อ ร่างสูงกว่าขำชอบใจที่อีกฝ่ายเอามือปัดผมที่โดนตีจนยุ่งไม่เป็นทรง
“เห้ย ผมนี่เซ็ทอยู่นานเลยนะกว่าจะได้ทรงนี้เนี่ย” ร่างบางนั่งบ่นอุบเป็นตาแก่ พลางคว้ากระจกที่ใครก็ไม่รู้เป็นเจ้าของที่อยู่ใกล้มือเขาขึ้นมาส่องผมที่ยุ่งเหยิงด้วยฝีมือจงอินเมื่อครู่
เซฮุนไม่ชอบให้ใครมาเล่นผมหรือยุ่งกับหัวของเขา… แต่แน่นอนว่าจงอินเป็นข้อยกเว้นเสมอ
… จงอินเป็นข้อยกเว้นของเซฮุนในทุกๆ เรื่อง …
“โหย แค่นิดหน่อยเองว่ะ อย่าเว่อร์ดิ” จงอินเห็นอีกคนดูจะว้าวุ่นกับผมที่ไม่เป็นทรงของตัวเองก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเดิมแล้วเดินไปหาอีกคนช้าๆ เซฮุนได้แต่นึกสงสัยในใจว่าคราวนี้จงอินจะแกล้งอะไรเขาอีก แต่หาเป็นการแกล้งไม่ ครั้งนี้ร่างสูงใช้มือหนาสางผมนิ่มของเซฮุนที่น้อยคนนักจะได้จับเบาๆ
อีกครั้งแล้ว… ที่โลกทั้งใบของ โอ เซฮุน คนนี้หยุดหมุน
“เดี๋ยวทำให้เอง ไม่ต้องขยับ”
เมื่อเห็นว่าร่างเล็กกว่าทำทีขยับขัดขืนเล็กน้อย จงอินจึงเอ่ยปากปรามแบบนั้น อันที่จริงด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้นทำให้เซฮุนแสดงออกแบบนั้น ตรงข้ามกันกับหัวใจอย่างสิ้นเชิง หัวใจดวงน้อยๆ ที่กำลังเต้นแรงจนใกล้จะหลุดออกมาของเซฮุนชอบที่จงอินกำลังทำอยู่ในตอนนี้มาก
ชอบมาก… ชอบมากที่สุด
“เฮ้ย”
สบถห้ามออกมาเบาๆ อย่างคนโง่ที่พูดและทำอะไรไม่ถูก เซฮุนเอาแต่มองกระจกที่ตอนนี้เขากลับใช้มือยื่นมันออกไปไกลตัวกว่าเดิมเพียงเพราะอยากจะจ้องมองคนที่จัดผมให้เขาอยู่ในตอนนี้ ภาพในกระจกสะท้อนการกระทำของร่างสูงที่กำลังใช้มือหนาของตนจัดผมเซฮุนให้เข้าที่เข้าทางอย่างเคยชิน ใบหน้าของจงอินที่ริมฝีปากหนาแอบอมยิ้มน้อยๆ นั่นยิ่งทำให้เซฮุนรู้สึกดีเสียจนคิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่เขารู้สึกดีที่สุดในชีวิต
“ขอบใจ”
ทุกสัมผัสที่ส่งผ่านปลายนิ้วมือของจงอินนั้นทำให้เซฮุนรู้สึกดีมากจนไม่อยากให้เวลาเดินต่อไปเลย ถึงมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขาอยากจะกดปุ่มสโลว์คูณสามเท่าเอาไว้ แต่เซฮุนกลับจดจำทุกการกระทำ ทุกสัมผัส รวมถึงรอยยิ้มเล็กๆ มุมปากนั่นได้เป็นอย่างดี … ทำไมนะ ทำไมต้องทำให้เขาตกหลุมรักในทุกๆ วันขนาดนี้ด้วย มีเวทมนตร์มาจากไหนหรือไง
“กูบอกให้ท่องบท ถ้าจะจีบกันค่อยไปจีบตอนเล่นโน่น” ชานยอลที่เพิ่งจะผลีผลามเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แว้บๆ เอ่ยปากแซวทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไร เขารู้ดีว่าจงอินเป็นผู้ชายอบอุ่น น่ารัก มีเสน่ห์ และรู้จักเซฮุนดียิ่งกว่า ดังนั้น เหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ทำให้เขาคิดเอะใจอะไร ถึงแม้ว่าเซฮุนจะดูไม่เป็นตัวเองจนผิดสังเกตเลยก็ตาม
“จีบเจิบเหี้ยไร” เซฮุนรีบตอบ ตกใจเล็กน้อยที่เพื่อนตัวดีของตัวเองบุ่มบ่ามเข้ามา แต่ก็ได้แต่คิดว่าคนอย่างชานยอลก็คงพูดหมาๆ ไปเรื่อย ไม่เคยคิดอะไรกับคำพูดตัวเองนักหรอก
“แหม กูแซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้รึไง ให้มันเข้ากับบรรยากาศหนังเกย์หน่อยสิวะ” ชานยอลหัวเราะชอบใจ
“กูอ่านบทแล้วนะ” จงอินที่เป็นฝ่ายเงียบมาระยะหนึ่งเอ่ยปากขึ้นบ้าง “บทน่าสนใจดี แต่กูมีอะไรจะเสนอนิดหน่อย”
คำพูดที่ดูมีอะไรของจงอินทำให้เซฮุนแอบหวั่นลึกๆ ในใจ ที่จงอินกำลังจะเสนอคืออะไร จงอินคิดว่ามันหวือหวาเกินไปหรือยังไง เซฮุนได้อ่านบทผ่านๆ แล้วและร่างบางแอบเห็นว่ามีฉากจับมือและกอดกันด้วย บางทีแล้วจงอินอาจจะไม่สบายใจที่ต้องมาเล่นอะไรแบบนี้
“ว่ามาเลยเพื่อน” ชานยอลเตรียมฟัง
“กูคิดว่า ทุกฉากมันโอเคแล้ว แต่ถ้าจะให้ดี มันอาจจะต้องกุ๊กกิ๊กมากกว่านี้อีกหน่อย”
“กุ๊กกิ๊กเหรอ?” คำตอบของจงอินทำให้ทั้งเซฮุนและชานยอลร้องเหวออกมาพร้อมกัน เซฮุนแปลกใจนิดหน่อยที่จงอินเสนอให้บทที่มันค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัวอยู่แล้วนั้นหวาบหวามมากกว่าเดิม แต่เขาทั้งสองก็ได้แต่รอฟังว่าจงอินจะพูดอะไรต่อ
“อืม กุ๊กกิ๊กกว่านี้นิด” จงอินหยิบบทขึ้นมาแล้วยื่นให้ชานยอลดู พร้อมชี้ในส่วนที่เขาต้องการจะพูดถึง “อย่างเช่นตรงนี้ที่พระเอกงอนนายเอก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะง้อแค่นี้อ่ะ กูว่า…” จงอินทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้คนฟังตกใจออกมา
“น่าจะให้นายเอกหอมแก้มด้วย”
“เหี้ย!” คราวนี้เซฮุนเป็นคนสบถเพียงคนเดียว ที่เขาต้องโพล่งออกมาแบบนี้นั้นเพราะเขาทั้งตกใจและชอบใจในเวลาเดียวกัน แต่ตกใจมากกว่าชอบใจนิดหน่อย ทำไมจงอินถึงได้กล้าเสนอบทแบบนี้กันนะ
“หรือว่านายเอกรังเกียจล่ะ” ผู้กำกับชานยอลถามขึ้นหลังจากที่ทบทวนกับข้อเสนอของจงอินอยู่ครู่หนึ่ง สายตากวนประสาทของชานยอลทำให้เซฮุนต้องตอบออกมาอย่างหมั่นไส้
“รังเกียจมึงมากกว่าเยอะ”
“งั้นก็แปลว่ามึงไม่รังเกียจไอ้จงอิน โอเค เอาตามนั้นแหละ หอมแก้มด้วย” ชานยอลพูดออกมาพลางจดโน๊ตเพิ่มฉากหอมแก้มลงไปในกระดาษ
“เห้ย แต่ว่ากูต้องหอมแก้มจงอินจริงๆ เหรอวะ มันจะ… ไม่มากไปหน่อยเหรอ” เซฮุนรีบแย้งขึ้นมา เขาไม่ได้ตอบอะไรไม่ได้แปลว่าเขาจะตกลงเสียหน่อย บทแบบนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับคนอ่อนหัดในความรักอย่างเซฮุนนะ
“ไม่มากไม่น้อย กำลังดี” จงอินพูดขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างสบายอกสบายใจ ท่าทีของจงอินดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ตรงข้ามกับเซฮุนที่ตอนนี้ทั้งหัวใจและสมองทำงานสะเปะสะปะไปหมด เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องแสดงออกไปอย่างไร จะว่าอยากเล่นก็อยากเล่น จะว่าไม่อยากเล่นก็ไม่อยากเล่น แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะรังเกียจจงอินแต่อย่างใด แน่นอนว่าไม่ใช่
“หอมแก้มเลยนะเว้ย” เซฮุนถามย้ำอีกครั้ง ย้ำว่าตัวเองต้องทำอย่างนั้นจริงๆ และย้ำว่าเขาไม่ได้หูฝาดไป
“นี่เซฮุน แฟนเราเคยบอกว่าคนที่ได้หอมแก้มเราคือคนโชคดีที่สุดในโลกนะเว้ย เพราะแก้มเราอ่ะโคตรนิ่ม”
เกือบจะลืมไปแล้วว่าแฟนสาวของจงอินมีตัวตนอยู่ ถึงแม้ว่าจะออกมาถ่ายหนังแบบนี้ จงอินก็ยังไม่วายพูดถึงซูจองอีกแล้วสินะ เซฮุนที่ตอนแรกมัวแต่กังวลเรื่องหัวใจของตัวเองตอนนี้กลับกลายเป็นกังวลเรื่องแฟนของจงอินแทน
“เออ แล้วแฟนจงอินจะไม่ว่ารึไง” ได้ทีร่างเล็กก็ถามย้อน เขารู้ดีว่าซูจองขี้หึงแค่ไหน แล้วทำไมจงอินถึงได้กล้าเสนออะไรแบบนี้นะ
“ว่าสิ” จงอินพูดแล้วหัวเราะ “ถ้ารู้น่ะนะ…”
“หมายความว่าจะไม่บอกให้รู้” เซฮุนพูดน้ำเสียงนิ่ง
“อย่าว่าแต่ฉากหอมแก้มเลย ซูจองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามาเล่นหนังเกย์ให้พวกแก”
คำตอบของจงอินทำให้เซฮุนทั้งโล่งใจและหนักใจไปพร้อมๆ กัน เขารู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นจากการที่รู้ว่าจงอินไม่ได้บอกซูจองเรื่องนี้ แต่อีกใจก็คิดว่าเขาและหนังเรื่องนี้ไม่สำคัญพอให้จงอินต้องรายงานแฟนตัวเองเลยเหรอ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการคิดน้อยใจในเวลาแบบนี้ สิ่งที่เซฮุนควรทำคือตัดสินใจซะทีว่าจะเอายังไงกับฉากหอมแก้มนี่
“สรุปว่ามึงจะยอมเล่นมั้ยไอ้ฮุน อีกห้านาทีพวกกูจะเริ่มถ่ายกันแล้วนะ” ชานยอลเร่งเร้า เมื่อเซฮุนเห็นซอนมีเดินมาแต่ไกลก็ยิ่งเร่งให้เขาต้องตัดสินใจ
“เออ… เออๆ เล่นก็เล่น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่”
.
.
.
“ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น!!”
เสียงของชานยอลซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้กำกับดังขึ้น บ่งบอกว่าการถ่ายทำหนังสั้นที่ตอนนี้มีคนเข้าฉากเพียงแค่เซฮุนกับจงอินได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เซฮุนประหม่ามากถึงมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะผ่านการเล่นหนังสั้นเทือกๆ นี้มาหลายต่อหลายเรื่องแล้วก็ตาม แต่เรื่องนั้นมันกลับไม่เป็นประโยชน์เลย เมื่อคนที่รับบทพระเอกคู่กับเขาคือ คิม จงอิน
“ไงวะมึง วันนี้ดูหน้าตาไม่ค่อยรับแขกเลยนะ”
จงอินเริ่มเล่นตามบทของเขา ฉากแรกเป็นฉากที่จงอินกับเซฮุนบังเอิญเดินสวนกันที่สนามบาสฯ ของมหาลัย และจงอินซึ่งรับบทเป็นเพื่อนสนิทของเซฮุนต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน แน่นอนว่าคำสรรพนามที่ใช้ในหนังนั้นทำให้เซฮุนรู้สึกไม่ชินหูเอาเสียเลย
“ก็… นิดหน่อยว่ะ วันนี้กูเครียดๆ มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ” เซฮุนเองก็เล่นตามบทที่ได้ซ้อมไว้เช่นกัน หากแต่ท่าทางของเซฮุนนั้นเกร็งกว่าจงอินหลายเท่า ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาจงอินเสียด้วยซ้ำ
“ป่ะ ไปเล่นบาสกับพวกกูดีกว่า วันนี้คนครบด้วยนะเว้ย” จงอินยังคงเล่นตามบทต่อ เขาไม่พบความผิดปกติใดๆ ในตัวเซฮุนเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แขนหนาโอบไหล่บางของอีกคนเข้าสู่วงแขนกว้างของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ จงอินยิ้มแย้มและใช้คำพูดได้เหมือนนักแสดงมืออาชีพทีเดียว
“อะ… เออๆ” แต่คนที่เป็นมืออาชีพมาโดยตลอดอย่างเซฮุนนี่สิ กลับเดินเกร็งจนเห็นได้ชัดในอ้อมกอดของจงอิน ทั้งที่ตามบทเซฮุนจะต้องยิ้มแย้มเพราะจะได้ไปเล่นบาสกับเพื่อน แต่ภาพที่ออกมาคือเซฮุนไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม คิ้วของเขาขมวด และเสียงของเขาสั่นเครือ
“คัททท!!”
“เซฮุน ทำไมมึงเล่นแข็งจังวะ ปกติมึงเล่นได้กว่านี้นี่หว่า” ชานยอลสั่งคัททันทีเมื่อทนดูกับอาการผิดปกติของเซฮุน ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าปกติเพื่อนรักของเขาสวมบทนักแสดงได้ดีแค่ไหน
“ไอ้เหี้ย ให้เวลากูหน่อย กูไม่เคยเล่นหนังกับผู้ชายแบบนี้” เซฮุนได้แต่ตอบปัดรำคาญ ทั้งๆ ที่ในใจเขายอมรับผิดทุกอย่าง
“ไม่เคยได้ไง ตอนนั้นมึงยังเล่นหนังกับกู กับไอ้ลู่หานอยู่เลย” คำแย้งของชานยอลทำให้เซฮุนรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเคยเล่นหนังกับผู้ชายมาเยอะแยะ และที่เขาเล่นได้เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งก็เพราะว่าทั้งหมดที่ว่ามานั่นเป็นเพื่อนของเขา
แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เซฮุนประหม่าสุดขีดในตอนนี้… มีแค่เซฮุนเท่านั้นที่รู้
“ก็พวกมึงมันเพื่อนกู”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกันพวกมึง เอาใหม่เถอะเดี๋ยวจะเสียเวลา กูต้องกลับก่อนสองทุ่มนะเว้ย” จงอินพูดขึ้นมาหลังจากเห็นเพื่อนสองคนทะเลาะกัน คำพูดที่บอกว่าจงอินรีบร้อนขนาดนั้นเป็นตัวช่วยได้ดี เพราะนั่นทำให้เซฮุนหงุดหงิดจนอยากจะรีบเล่นให้เสร็จๆ ไป
เซฮุนรู้ดีว่าจงอินมีเหตุผลอะไรที่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น… เซฮุนรู้ดีแก่ใจ ร่างบางเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง ป่าวประกาศบอกทุกคนออกมา
“เออ มาๆ คราวนี้กูจริงจังแล้ว”
ฉากจงอินชวนเซฮุนไปเล่นบาสผ่านไปอย่างสวยงาม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นรอบที่สอง แต่หัวใจของเซฮุนก็ไม่ได้เต้นแรงน้อยลงไปกว่ารอบแรกเลย การได้อยู่ในอ้อมแขนของจงอินอาจเป็นอะไรที่ดูธรรมดาเบสิคมากถ้าเทียบกับฉากหวาบหวามต่อๆ ไปในอนาคต นึกได้แบบนี้เซฮุนก็ยิ่งกลัว เพราะนี่ขนาดแค่ต้องอยู่ในอ้อมกอด เขายังสูญเสียความเป็นตัวเองได้ขนาดนี้ แล้วฉากต่อๆ ไปจะเหลืออะไรล่ะ
“โอเค คัท เยี่ยมมากเซฮุน จงอินเก่งมาก”
สิ้นเสียงคัทของชานยอล ทีมงานหนังสั้นชุดเล็กนี้ก็ย้ายสถานที่ถ่ายทำจากตึกเรียนไปยังสนามบาสทันทีราวกับเวลาทุกนาทีนั้นมีค่า ที่ทำแบบนี้ไม่รู้เป็นเพราะเสียดายเวลาของตัวเอง หรือเพราะจงอินเอ่ยปากขึ้นมาว่ารีบร้อนกันแน่ เซฮุนได้แต่นึกหมั่นไส้คนที่เขาแอบชอบในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ฉากต่อไปพวกมึงต้องเล่นบาสกันนะ อ่ะนี่ ไปเล่นกับไอ้พวกนั้นเลย กูบอกพวกมันไว้แล้ว” ชานยอลชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนของเขาที่กำลังเล่นบาสอยู่ ทุกคนเป็นคนที่เซฮุนรู้จักดี ทั้งจุนมยอน จงแด แบคฮยอน คยองซู รวมไปถึงลู่หาน เพื่อนคนคุ้นเคยของเขาด้วย
“ทางนี้” ลู่หานซึ่งนับว่าสนิทกับเซฮุนที่สุดเห็นว่าเซฮุนเดินมาก็รีบกวักมือเรียก ชานยอลได้นัดแนะกับทุกคนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายทำอะไรอย่างไร ดังนั้นทุกคนจึงให้ความร่วมมือดี จงอินซึ่งไม่รู้จักใครเลยเพราะตนอยู่ต่างคณะก็แอบทำอะไรไม่ถูก เอาแต่ยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และการถ่ายทำฉากนี้ก็เริ่มต้นขึ้น
ฉากนี้เป็นฉากเล่นบาสฯ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีบทพูดอะไร เพียงแต่กล้องต้องคอยจับภาพความสัมพันธ์ของตัวเอกในเรื่องอย่างเซฮุนและจงอิน เป็นฉากที่เหมือนจะง่ายที่สุดและน่าจะใช้เวลาน้อยที่สุด
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น…
“โอ้ย!”
เซฮุนตะโกนเหวออกมาเมื่อร่างสูงและกำยำของจงอินกระแทกเข้ามาหาเขาเต็มๆ ทำให้ร่างเล็กกว่าล้มลงเสียหลักไปอย่างช่วยไม่ได้ และการล้มลงนี้ส่งผลให้หัวเข่าของเซฮุนขูดเข้ากับพื้นคอนกรีตอย่างรุนแรง โลหิตสีแดงข้นค่อยๆ รื้นขึ้นเต็มหัวเข่าข้างขวาของเซฮุน
“เห้ยเซฮุน!” คนก่อเรื่องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดออกเต็มหัวเข่าเซฮุน จงอินรีบคว้าแขนของเซฮุนพาดเข้ากับไหล่กว้างของเขาทันที
“เป็นอะไรมากมั้ยวะไอ้ฮุน” ชานยอลรีบวิ่งเข้ามาหาเซฮุน ถามไถ่อย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเซฮุนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรเว้ย ขอพักแป๊บเดียวแล้วเดี๋ยวกูจะถ่ายต่อเลย” เซฮุนกัดฟันพูดทั้งที่เจ็บสุดขีด เขาไม่อยากให้เขากลายเป็นตัวปัญหาสำหรับหนังเรื่องนี้
“แต่เลือดมึงไหลไม่หยุดเลยนะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเหอะ” ชานยอลพูดด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็มองเซฮุนเป็นตาเดียว ลู่หานที่ซี้กับเซฮุนที่สุดคอยเดินเคียงข้างไม่ห่าง
“ซอนมี ไปห้องพยาบาลแล้วเอาของมาทำแผลหน่อย” ลู่หานที่ยืนดูอยู่นานเอ่ยปาก ถึงจะร้อนใจขนาดไหน เขาก็ยังไม่เคยลืมเรื่องที่เซฮุนบอกเอาไว้ว่าชอบซอนมีได้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อนตัวดีคนนี้เลยเลือกซอนมีให้เป็นคนปฐมพยาบาลให้กับเซฮุน และแน่นอนว่าเซฮุนไม่ได้คิดอะไรเลย เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยพูดอะไรออกไป
ไม่กี่นาทีให้หลัง ซอนมีก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเครื่องมือปฐมพยาบาล โชคดีที่ซอนมีเป็นผู้หญิงเก่ง เธอจึงรอบรู้ทุกเรื่องว่าเธอควรจะทำแผลแบบนี้ยังไง และการทำแผลนี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซฮุนนึกขอบใจที่เป็นซอนมี เพราะเขาไม่แน่ใจว่า หากคนอื่นเป็นคนทำแผลให้จะเสร็จเร็วแบบนี้รึเปล่า
“ขอบใจมากนะซอนมี” ร่างบางเอ่ยปากขอบคุณ ซอนมียิ้มแล้วพยักหน้ารับตามปกติ จงอินที่อยู่ใกล้เซฮุนที่สุดยืนนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะพูดอะไรออกมา
“ขอโทษนะเซฮุน” ร่างสูงพูดเสียงทุ้มต่ำกว่าเสียงปกติ บ่งบอกว่าเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเซฮุนไม่ได้นึกโกรธหรือเอาผิดอะไรจงอินเลยแม้แต่นิด เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ที่ต่อให้คนที่ทำเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่จงอิน เขาก็จะไม่นึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว
“เห้ย คิดมาก” เซฮุนตบไหล่จงอินแล้วยิ้ม นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายจงอินรู้สึกผิด
“คิดดิวะ แผลใหญ่ขนาดนี้ เดินไหวรึเปล่าก็ไม่รู้” จะให้คนที่เป็นฝ่ายผิดอย่างเขาทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเนี่ยเหรอ จงอินทำไม่ได้หรอก
“ไหวดิวะ ไกลหัวใจตั้งเยอะ ไม่ได้ใจเสาะขนาดนั้นนะเว้ย” เซฮุนหัวเราะ เขานึกดีใจที่จงอินทำท่าทีเป็นห่วงเขาขนาดนี้ สรุปแล้วมันเป็นเรื่องดีสินะที่จงอินเป็นคนทำให้เขาล้มเลือดไหลจนเป็นแผลแบบนี้
“ถ่ายต่อเหอะ เสียเวลาแล้ว” เซฮุนฝืนยืนขึ้นทั้งๆ ที่หัวเข่าของเขายังไม่โอเคเลยแม้แต่นิด ร่างบางกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แล่นแปร๊บเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อเขายืนขึ้น แต่สีหน้าของคนเจ็บปวดนั้น ไม่สามารถโกหกผู้คนรอบข้างได้เลย
“ไอ้เหี้ย มึงนั่งเดี๋ยวนี้เลยนะ” ชานยอลรีบกดตัวให้เซฮุนนั่งลง คิ้วขมวดเพราะโมโหที่เพื่อนตัวเองดื้อขนาดนี้ “ฉากเล่นบาสไม่ต้องถ่ายแล้ว เมื่อกี้โอเคหมดแล้ว แล้วอีกอย่างมึงก็ไม่มีแรงจะเล่นฉากแบบนั้นแล้วด้วย”
“กูขอโทษนะเว้ยชานยอล” จงอินพูดคำเดิมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด ชานยอลได้แต่บอกว่าจงอินไม่ใช่ฝ่ายผิด และเรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้น
“เดี๋ยววันนี้ทุกคนเอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูไปส่งไอ้เซฮุนกลับหอเลย” ชานยอลพูดขึ้น แต่จงอินรีบแย้ง
“กูไปส่งเซฮุนเอง”
“เห้ย ไม่เป็นไรจงอิน” เซฮุนยิ้มบางๆ ดีใจขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นคนที่ตัวเองแอบชอบออกความรับผิดชอบขนาดนี้
“ไม่ได้หรอก ห้ามดื้อ แล้วก็ห้ามขัดด้วย” คนก่อเรื่องพูดเสียงจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นมาก่อน ทำให้เซฮุนจำเป็นต้องยอม
“โอเคๆ ใครจะไปส่งก็ไปเหอะ เดี๋ยวจงอินกลับไม่ทันสองทุ่ม” เซฮุนพูดปัดรำคาญ และประโยคนี้เต็มไปด้วยความน้อยใจลึกๆ แต่จงอินกลับไม่รู้สึกถึงมันอีกเช่นเคย
จงอินไม่เคยรู้อะไรเลย จนบางที … เซฮุนก็อยากให้จงอินรู้เหมือนกันนะว่าเขารู้สึกยังไงกับจงอิน
“งั้นก็แยกย้าย”
.
.
.
สิ้นเสียงสั่งแยกย้ายของชานยอล จงอินก็คอยพยุงเซฮุนที่เดินขากระเผกมาที่รถยนต์คันหรูของเขา รถคันที่มีไว้สำหรับรับส่งแฟน และนั่งไปเรียนไปเที่ยวกับแฟนเท่านั้น … ในวันนี้ มีบุคคลแปลกหน้าเป็นแขกของรถคันนี้ไปเสียแล้ว
“ไหวมั้ย” ร่างหนาถามไถ่อย่างเป็นห่วง ในขณะที่มือคอยประคองให้เซฮุนเข้าไปนั่งในเบาะหน้าอย่างระมัดระวังราวกับเซฮุนเป็นผู้หญิง
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เซฮุนเริ่มรู้สึกว่าเขาจะแสดงความอ่อนแอให้จงอินเห็นมากจนเกินไปหน่อยจึงปรามออกมา มันทรมานแค่ไหนกับการที่ต้องแสดงออกมาว่าไม่ชอบ ทั้งๆ ที่รู้สึกดีกับทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเป็นห่วงของจงอินจะแย่
“ก็เป็นคนทำให้เจ็บ ก็ต้องดูแลหน่อยสิ” จงอินเถียง ก่อนจะปิดประตูให้เซฮุน ก่อนจะสอดตัวเองเข้ามาในเบาะคนขับเตรียมสตาร์ทรถบ้าง
“ถ้าเราเจ็บ…” ทันทีที่ในรถถูกปกคลุมด้วยเครื่องปรับอากาศและความเงียบ คนร่างบางก็เอ่ยปากออกมาเบาๆ
“ถ้าเราเจ็บ… แน่ใจเหรอว่าจะดูแลเราน่ะ”
“หืม?” เจ้าของคำพูดกลับฉงนเสียเอง จงอินไม่รู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังหมายถึงอะไร เขาได้แต่จ้องตาเซฮุนที่ไม่ได้มองมาที่เขาอย่างงุนงง
“ไม่มีอะไร”
ร่างเล็กกว่าหันมาสบตาจงอินครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น รอยยิ้มบางผุดขึ้นมาที่มุมปากของเซฮุนราวกับกำลังใช้ความคิดคิดอะไรบางอย่าง เป็นความคิดที่จงอินสงสัยว่ามันคืออะไร เซฮุนกำลังคิดอะไรอยู่ และต้องการจะสื่ออะไรกับเขา
“แน่นอนสิ” เมื่อเห็นว่าอีกคนเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม จงอินเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าเราเป็นคนทำให้ใครสักคนเจ็บ เราก็ต้องรับผิดชอบเขาไม่ใช่เหรอ”
“รับผิดชอบเหรอ” คนที่นั่งเงียบอยู่นานทวนคำพูดอีกฝ่ายช้าๆ
“อื้ม รับผิดชอบแมนๆ ไง” จงอินพูดพลางบังคับพวงมาลัยไปด้วย
“ก็แค่รับผิดชอบ…ใช่มั้ย”
“ใช่ แค่รับผิดชอบ คนอย่างเราแมนพออยู่แล้ว”
เซฮุนพยักหน้าแล้วยิ้มรับคำตอบของจงอิน เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจงอินไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร สิ่งที่จงอินพูดออกมามันไม่ใช่สิ่งที่เซฮุนคิดเลยแม้แต่นิด ความเข้าใจของเซฮุนและจงอินไม่ตรงกัน เซฮุนคิดไปอีกแบบ แต่จงอินกลับคิดไปอีกแบบ
บางทีแล้ว… เซฮุนก็แอบรู้สึกอยู่เหมือนกันนะว่าเขาไม่ควรจะสนิทกับจงอินมากขนาดนี้
“เอางี้ดีไหม นับจากวันนี้ไป ถ้าตารางเรียนเราเวลาใกล้กัน เราจะเป็นคนขับรถไปส่งเซฮุนเอง” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ ทำให้เซฮุนต้องรีบค้าน
“เห้ย บ้าแล้ว เราไปเองได้น่า ไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น”
“ไม่รู้แหละ บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ”
“…ก็ยังไม่ทันจะดื้อเลย”
“ต่อจากวันนี้ เราจะไปส่งเซฮุนไปเรียนเอง โอเคตามนี้แหละนะ”
.
.
.
“ขอบใจนะที่มาส่งถึงที่”
“พูดเหมือนกับว่าเราอยู่ไกลกัน เราอยู่หอเดียวกัน ห้องข้างกันนะเว้ย” จงอินพูดพลางหัวเราะ ทำทีจะพยุงเซฮุนให้เดินจากลานจอดรถไปที่ห้องแต่อีกฝ่ายกลับห้ามไว้เสียก่อน
“คือเราเดินเองได้ไง ไม่ได้ขาหัก” เซฮุนพูดติดตลก เขาชอบในความเอาใจใส่ของจงอิน จนอดคิดไปไม่ได้ว่าเวลาอยู่กับแฟนนั้น จงอินจะคอยประคบประหงมขนาดไหน
อีกครั้งแล้วที่คิดเรื่องแบบนี้แล้วทำให้ระบบสมองปั่นปวนไปหมด… คล้ายๆ กับคนกำลังโกรธ
“ขอบใจอีกรอบแล้วกัน” เมื่อมาถึงหน้าห้องด้วยเวลาที่มากกว่าเดิมเท่าตัวเพราะขาเจ็บ เซฮุนจึงเอ่ยปากขอบคุณคนตัวโตกว่าอีกครั้ง
“ขอโทษอีกรอบด้วยเหมือนกันแหละ” จงอินทำสีหน้ารู้สึกผิดเป็นหนที่สามหรือสี่ของวันตั้งแต่ทำผิดซึ่งเซฮุนไม่ได้นับ แต่สีหน้าแบบนั้นกลับเรียกรอยยิ้มให้เซฮุนได้ทุกครั้งไป จงอินเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เซฮุนอยากจะจับมาอยู่ในอ้อมกอดเลยเวลาทำหน้าแบบนี้
“ขอโทษจริงๆ…” จงอินยังคงไม่ยอมเข้าห้องของตน “เจ็บแย่เลยใช่มั้ย?”
“เลิกขอโทษได้แล้ว”
เจ็บแย่เลยใช่มั้ยเหรอ…
แน่นอน เจ็บมาก เจ็บปวดมากทุกครั้งที่รู้ว่าจงอินไม่ได้รู้สึกอะไรกับตนเลยแม้แต่นิดเดียว … เจ็บมากเลยจงอิน เราเจ็บปวดมากที่รู้สึกดีกับนายจนแทบจะเก็บไว้คนเดียวไม่ไหว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แบบนี้ … นายคิดว่าเราเจ็บมากรึเปล่าล่ะ
“เรา … ไม่เจ็บหรอก ไม่เจ็บ … เลยแม้แต่นิดเดียว”
แต่สำหรับนาย…
สำหรับนาย… คนดีๆ อย่างนายน่ะนะจงอิน… ถึงเราจะเจ็บ เจ็บมากจนแทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน… ขอแค่มีมือของนายยื่นมาแบบนี้ แขนของนายช่วยพยุงเราแบบนี้…
ขอแค่ยังเป็นนายคนเดิม เป็นจงอินคนนี้คนเดิม ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหน …
… เราก็พร้อมจะลืมความเจ็บปวดทุกอย่างไปให้หมดเลยนั่นแหละ …
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น