ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Fic } Knock! Knock! 「 KaiHun♥ 」

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 5 :: Not that pain

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 57


     

    CHAPTER 5

     

     

    และแล้วเวลาที่เซฮุนรอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันแรกของการถ่ายทำหนังสั้นโปรเจ็คของกลุ่มชานยอล และแน่นอนว่าพระเอกและนายเอกอย่างเซฮุนต้องมาเริ่มถ่ายทำฉากแรกกันที่หน้าตึกเรียนตามที่ชานยอลซอนมีได้นัดหมายทั้งคู่ไว้



    เซฮุนที่กระตือรือร้นกับการถ่ายนี้แทบตายแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมาสาย ร่างบางไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยากเล่นหนังสั้นเรื่องนี้ใจจะขาด เพราะตอนแรกเขาเอาแต่ปฏิเสธเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ตั้งนานสองนานกว่าจะยอม จะให้มาก่อนเวลาจะไม่ดูตั้งใจไปหน่อยหรือ

     

     

    “มาสายต้องโดนทำโทษนะครับนะ” จงอินที่นั่งอ่านบทอยู่กับชานยอลพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เซฮุนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อเห็นว่าร่างบางเพิ่งเดินเข้ามาแจมวงสนทนาด้วย เซฮุนเอาแต่หัวเราะและยังไม่ทันได้ตอบอะไร ชานยอลก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

     

     

    “มึงเอาบทไปอ่าน วันนี้จะถ่ายสามฉากนะ เป็นไปได้ก็อยากจะถ่ายสักสี่ฉาก รอดูว่าพวกมึงจะไหวกันมั้ย”

     

     

    “กูน่ะไหวอยู่แล้ว มึงไปบอกพระเอกโน่นเถอะ” เซฮุนยักคิ้วแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางจงอินที่เอาแต่มองนายเอกอย่างเขาอยู่ ลึกๆ แล้วเขินแทบแย่ แต่ต้องแสดงออกมาว่าไม่ได้สนใจอะไร

     

     

    “อ้าว พูดงี้ก็สวยดิ” จงอินม้วนกระดาษเอสี่ซึ่งเป็นบทพูดที่ถืออยู่ในมือแล้วตีไปที่หัวของเซฮุนเบาๆ เชิงหยอกล้อ ร่างสูงกว่าขำชอบใจที่อีกฝ่ายเอามือปัดผมที่โดนตีจนยุ่งไม่เป็นทรง

     

     

    “เห้ย ผมนี่เซ็ทอยู่นานเลยนะกว่าจะได้ทรงนี้เนี่ย” ร่างบางนั่งบ่นอุบเป็นตาแก่ พลางคว้ากระจกที่ใครก็ไม่รู้เป็นเจ้าของที่อยู่ใกล้มือเขาขึ้นมาส่องผมที่ยุ่งเหยิงด้วยฝีมือจงอินเมื่อครู่

     

     

    เซฮุนไม่ชอบให้ใครมาเล่นผมหรือยุ่งกับหัวของเขา แต่แน่นอนว่าจงอินเป็นข้อยกเว้นเสมอ

     

     

    จงอินเป็นข้อยกเว้นของเซฮุนในทุกๆ เรื่อง

     

     

    “โหย แค่นิดหน่อยเองว่ะ อย่าเว่อร์ดิ” จงอินเห็นอีกคนดูจะว้าวุ่นกับผมที่ไม่เป็นทรงของตัวเองก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเดิมแล้วเดินไปหาอีกคนช้าๆ เซฮุนได้แต่นึกสงสัยในใจว่าคราวนี้จงอินจะแกล้งอะไรเขาอีก แต่หาเป็นการแกล้งไม่ ครั้งนี้ร่างสูงใช้มือหนาสางผมนิ่มของเซฮุนที่น้อยคนนักจะได้จับเบาๆ

     

     

    อีกครั้งแล้ว ที่โลกทั้งใบของ โอ เซฮุน คนนี้หยุดหมุน

     

     

    “เดี๋ยวทำให้เอง ไม่ต้องขยับ”

     

     

    เมื่อเห็นว่าร่างเล็กกว่าทำทีขยับขัดขืนเล็กน้อย จงอินจึงเอ่ยปากปรามแบบนั้น อันที่จริงด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้นทำให้เซฮุนแสดงออกแบบนั้น ตรงข้ามกันกับหัวใจอย่างสิ้นเชิง หัวใจดวงน้อยๆ ที่กำลังเต้นแรงจนใกล้จะหลุดออกมาของเซฮุนชอบที่จงอินกำลังทำอยู่ในตอนนี้มาก

     

     

    ชอบมากชอบมากที่สุด

     

     

    “เฮ้ย”

     

     

    สบถห้ามออกมาเบาๆ อย่างคนโง่ที่พูดและทำอะไรไม่ถูก เซฮุนเอาแต่มองกระจกที่ตอนนี้เขากลับใช้มือยื่นมันออกไปไกลตัวกว่าเดิมเพียงเพราะอยากจะจ้องมองคนที่จัดผมให้เขาอยู่ในตอนนี้ ภาพในกระจกสะท้อนการกระทำของร่างสูงที่กำลังใช้มือหนาของตนจัดผมเซฮุนให้เข้าที่เข้าทางอย่างเคยชิน ใบหน้าของจงอินที่ริมฝีปากหนาแอบอมยิ้มน้อยๆ นั่นยิ่งทำให้เซฮุนรู้สึกดีเสียจนคิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่เขารู้สึกดีที่สุดในชีวิต

     

     

    “ขอบใจ”

     

     

    ทุกสัมผัสที่ส่งผ่านปลายนิ้วมือของจงอินนั้นทำให้เซฮุนรู้สึกดีมากจนไม่อยากให้เวลาเดินต่อไปเลย ถึงมันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขาอยากจะกดปุ่มสโลว์คูณสามเท่าเอาไว้ แต่เซฮุนกลับจดจำทุกการกระทำ ทุกสัมผัส รวมถึงรอยยิ้มเล็กๆ มุมปากนั่นได้เป็นอย่างดี ทำไมนะ ทำไมต้องทำให้เขาตกหลุมรักในทุกๆ วันขนาดนี้ด้วย มีเวทมนตร์มาจากไหนหรือไง

     

     

    “กูบอกให้ท่องบท ถ้าจะจีบกันค่อยไปจีบตอนเล่นโน่น” ชานยอลที่เพิ่งจะผลีผลามเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แว้บๆ เอ่ยปากแซวทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไร เขารู้ดีว่าจงอินเป็นผู้ชายอบอุ่น น่ารัก มีเสน่ห์ และรู้จักเซฮุนดียิ่งกว่า ดังนั้น เหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ทำให้เขาคิดเอะใจอะไร ถึงแม้ว่าเซฮุนจะดูไม่เป็นตัวเองจนผิดสังเกตเลยก็ตาม

     

     

    “จีบเจิบเหี้ยไร” เซฮุนรีบตอบ ตกใจเล็กน้อยที่เพื่อนตัวดีของตัวเองบุ่มบ่ามเข้ามา แต่ก็ได้แต่คิดว่าคนอย่างชานยอลก็คงพูดหมาๆ ไปเรื่อย ไม่เคยคิดอะไรกับคำพูดตัวเองนักหรอก

     

     

    “แหม กูแซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้รึไง ให้มันเข้ากับบรรยากาศหนังเกย์หน่อยสิวะ” ชานยอลหัวเราะชอบใจ

     

     

    “กูอ่านบทแล้วนะ” จงอินที่เป็นฝ่ายเงียบมาระยะหนึ่งเอ่ยปากขึ้นบ้าง “บทน่าสนใจดี แต่กูมีอะไรจะเสนอนิดหน่อย”

     

     

    คำพูดที่ดูมีอะไรของจงอินทำให้เซฮุนแอบหวั่นลึกๆ ในใจ ที่จงอินกำลังจะเสนอคืออะไร จงอินคิดว่ามันหวือหวาเกินไปหรือยังไง เซฮุนได้อ่านบทผ่านๆ แล้วและร่างบางแอบเห็นว่ามีฉากจับมือและกอดกันด้วย บางทีแล้วจงอินอาจจะไม่สบายใจที่ต้องมาเล่นอะไรแบบนี้

     

     

    “ว่ามาเลยเพื่อน” ชานยอลเตรียมฟัง

     

     

    “กูคิดว่า ทุกฉากมันโอเคแล้ว แต่ถ้าจะให้ดี มันอาจจะต้องกุ๊กกิ๊กมากกว่านี้อีกหน่อย”

     

     

    “กุ๊กกิ๊กเหรอ?” คำตอบของจงอินทำให้ทั้งเซฮุนและชานยอลร้องเหวออกมาพร้อมกัน เซฮุนแปลกใจนิดหน่อยที่จงอินเสนอให้บทที่มันค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัวอยู่แล้วนั้นหวาบหวามมากกว่าเดิม แต่เขาทั้งสองก็ได้แต่รอฟังว่าจงอินจะพูดอะไรต่อ

     

     

    “อืม กุ๊กกิ๊กกว่านี้นิด” จงอินหยิบบทขึ้นมาแล้วยื่นให้ชานยอลดู พร้อมชี้ในส่วนที่เขาต้องการจะพูดถึง “อย่างเช่นตรงนี้ที่พระเอกงอนนายเอก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะง้อแค่นี้อ่ะ กูว่า” จงอินทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้คนฟังตกใจออกมา

     

     

    “น่าจะให้นายเอกหอมแก้มด้วย”

     

     

    “เหี้ย!” คราวนี้เซฮุนเป็นคนสบถเพียงคนเดียว ที่เขาต้องโพล่งออกมาแบบนี้นั้นเพราะเขาทั้งตกใจและชอบใจในเวลาเดียวกัน แต่ตกใจมากกว่าชอบใจนิดหน่อย ทำไมจงอินถึงได้กล้าเสนอบทแบบนี้กันนะ

     

     

    “หรือว่านายเอกรังเกียจล่ะ” ผู้กำกับชานยอลถามขึ้นหลังจากที่ทบทวนกับข้อเสนอของจงอินอยู่ครู่หนึ่ง สายตากวนประสาทของชานยอลทำให้เซฮุนต้องตอบออกมาอย่างหมั่นไส้

     

     

    “รังเกียจมึงมากกว่าเยอะ”

     

     

    “งั้นก็แปลว่ามึงไม่รังเกียจไอ้จงอิน โอเค เอาตามนั้นแหละ หอมแก้มด้วย” ชานยอลพูดออกมาพลางจดโน๊ตเพิ่มฉากหอมแก้มลงไปในกระดาษ

     

     

    “เห้ย แต่ว่ากูต้องหอมแก้มจงอินจริงๆ เหรอวะ มันจะ ไม่มากไปหน่อยเหรอ” เซฮุนรีบแย้งขึ้นมา เขาไม่ได้ตอบอะไรไม่ได้แปลว่าเขาจะตกลงเสียหน่อย บทแบบนี้มันอันตรายเกินไปสำหรับคนอ่อนหัดในความรักอย่างเซฮุนนะ

     

     

    “ไม่มากไม่น้อย กำลังดี” จงอินพูดขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างสบายอกสบายใจ ท่าทีของจงอินดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ตรงข้ามกับเซฮุนที่ตอนนี้ทั้งหัวใจและสมองทำงานสะเปะสะปะไปหมด เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องแสดงออกไปอย่างไร จะว่าอยากเล่นก็อยากเล่น จะว่าไม่อยากเล่นก็ไม่อยากเล่น แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะรังเกียจจงอินแต่อย่างใด แน่นอนว่าไม่ใช่

     

     

    “หอมแก้มเลยนะเว้ย” เซฮุนถามย้ำอีกครั้ง ย้ำว่าตัวเองต้องทำอย่างนั้นจริงๆ และย้ำว่าเขาไม่ได้หูฝาดไป

     

     

    “นี่เซฮุน แฟนเราเคยบอกว่าคนที่ได้หอมแก้มเราคือคนโชคดีที่สุดในโลกนะเว้ย เพราะแก้มเราอ่ะโคตรนิ่ม”

     

     

    เกือบจะลืมไปแล้วว่าแฟนสาวของจงอินมีตัวตนอยู่ ถึงแม้ว่าจะออกมาถ่ายหนังแบบนี้ จงอินก็ยังไม่วายพูดถึงซูจองอีกแล้วสินะ เซฮุนที่ตอนแรกมัวแต่กังวลเรื่องหัวใจของตัวเองตอนนี้กลับกลายเป็นกังวลเรื่องแฟนของจงอินแทน

     

     

    “เออ แล้วแฟนจงอินจะไม่ว่ารึไง” ได้ทีร่างเล็กก็ถามย้อน เขารู้ดีว่าซูจองขี้หึงแค่ไหน แล้วทำไมจงอินถึงได้กล้าเสนออะไรแบบนี้นะ

     

     

    “ว่าสิ” จงอินพูดแล้วหัวเราะ “ถ้ารู้น่ะนะ

     

     

    “หมายความว่าจะไม่บอกให้รู้” เซฮุนพูดน้ำเสียงนิ่ง

     

     

    “อย่าว่าแต่ฉากหอมแก้มเลย ซูจองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามาเล่นหนังเกย์ให้พวกแก”

     

     

    คำตอบของจงอินทำให้เซฮุนทั้งโล่งใจและหนักใจไปพร้อมๆ กัน เขารู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นจากการที่รู้ว่าจงอินไม่ได้บอกซูจองเรื่องนี้ แต่อีกใจก็คิดว่าเขาและหนังเรื่องนี้ไม่สำคัญพอให้จงอินต้องรายงานแฟนตัวเองเลยเหรอ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการคิดน้อยใจในเวลาแบบนี้ สิ่งที่เซฮุนควรทำคือตัดสินใจซะทีว่าจะเอายังไงกับฉากหอมแก้มนี่

     

     

    “สรุปว่ามึงจะยอมเล่นมั้ยไอ้ฮุน อีกห้านาทีพวกกูจะเริ่มถ่ายกันแล้วนะ” ชานยอลเร่งเร้า เมื่อเซฮุนเห็นซอนมีเดินมาแต่ไกลก็ยิ่งเร่งให้เขาต้องตัดสินใจ

     

     

    “เออ เออๆ เล่นก็เล่น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่”

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    “ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น!!

     

     

    เสียงของชานยอลซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้กำกับดังขึ้น บ่งบอกว่าการถ่ายทำหนังสั้นที่ตอนนี้มีคนเข้าฉากเพียงแค่เซฮุนกับจงอินได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เซฮุนประหม่ามากถึงมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะผ่านการเล่นหนังสั้นเทือกๆ นี้มาหลายต่อหลายเรื่องแล้วก็ตาม แต่เรื่องนั้นมันกลับไม่เป็นประโยชน์เลย เมื่อคนที่รับบทพระเอกคู่กับเขาคือ คิม จงอิน

     

     

    “ไงวะมึง วันนี้ดูหน้าตาไม่ค่อยรับแขกเลยนะ”

     

     

    จงอินเริ่มเล่นตามบทของเขา ฉากแรกเป็นฉากที่จงอินกับเซฮุนบังเอิญเดินสวนกันที่สนามบาสฯ ของมหาลัย และจงอินซึ่งรับบทเป็นเพื่อนสนิทของเซฮุนต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน แน่นอนว่าคำสรรพนามที่ใช้ในหนังนั้นทำให้เซฮุนรู้สึกไม่ชินหูเอาเสียเลย

     

     

    “ก็ นิดหน่อยว่ะ วันนี้กูเครียดๆ มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ” เซฮุนเองก็เล่นตามบทที่ได้ซ้อมไว้เช่นกัน หากแต่ท่าทางของเซฮุนนั้นเกร็งกว่าจงอินหลายเท่า ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาจงอินเสียด้วยซ้ำ

     

     

    “ป่ะ ไปเล่นบาสกับพวกกูดีกว่า วันนี้คนครบด้วยนะเว้ย” จงอินยังคงเล่นตามบทต่อ เขาไม่พบความผิดปกติใดๆ ในตัวเซฮุนเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แขนหนาโอบไหล่บางของอีกคนเข้าสู่วงแขนกว้างของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ จงอินยิ้มแย้มและใช้คำพูดได้เหมือนนักแสดงมืออาชีพทีเดียว

     

     

    “อะ เออๆ” แต่คนที่เป็นมืออาชีพมาโดยตลอดอย่างเซฮุนนี่สิ กลับเดินเกร็งจนเห็นได้ชัดในอ้อมกอดของจงอิน ทั้งที่ตามบทเซฮุนจะต้องยิ้มแย้มเพราะจะได้ไปเล่นบาสกับเพื่อน แต่ภาพที่ออกมาคือเซฮุนไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม คิ้วของเขาขมวด และเสียงของเขาสั่นเครือ

     

     

    “คัททท!!

     

     

    “เซฮุน ทำไมมึงเล่นแข็งจังวะ ปกติมึงเล่นได้กว่านี้นี่หว่า” ชานยอลสั่งคัททันทีเมื่อทนดูกับอาการผิดปกติของเซฮุน ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าปกติเพื่อนรักของเขาสวมบทนักแสดงได้ดีแค่ไหน

     

     

    “ไอ้เหี้ย ให้เวลากูหน่อย กูไม่เคยเล่นหนังกับผู้ชายแบบนี้” เซฮุนได้แต่ตอบปัดรำคาญ ทั้งๆ ที่ในใจเขายอมรับผิดทุกอย่าง

     

     

    “ไม่เคยได้ไง ตอนนั้นมึงยังเล่นหนังกับกู กับไอ้ลู่หานอยู่เลย” คำแย้งของชานยอลทำให้เซฮุนรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเคยเล่นหนังกับผู้ชายมาเยอะแยะ และที่เขาเล่นได้เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งก็เพราะว่าทั้งหมดที่ว่ามานั่นเป็นเพื่อนของเขา

     

     

    แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เซฮุนประหม่าสุดขีดในตอนนี้ มีแค่เซฮุนเท่านั้นที่รู้

     

     

    “ก็พวกมึงมันเพื่อนกู”

     

     

    “เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกันพวกมึง เอาใหม่เถอะเดี๋ยวจะเสียเวลา กูต้องกลับก่อนสองทุ่มนะเว้ย” จงอินพูดขึ้นมาหลังจากเห็นเพื่อนสองคนทะเลาะกัน คำพูดที่บอกว่าจงอินรีบร้อนขนาดนั้นเป็นตัวช่วยได้ดี เพราะนั่นทำให้เซฮุนหงุดหงิดจนอยากจะรีบเล่นให้เสร็จๆ ไป

     

     

    เซฮุนรู้ดีว่าจงอินมีเหตุผลอะไรที่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น เซฮุนรู้ดีแก่ใจ ร่างบางเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง ป่าวประกาศบอกทุกคนออกมา

     

     

    “เออ มาๆ คราวนี้กูจริงจังแล้ว”

     

     

    ฉากจงอินชวนเซฮุนไปเล่นบาสผ่านไปอย่างสวยงาม ถึงแม้ว่านี่จะเป็นรอบที่สอง แต่หัวใจของเซฮุนก็ไม่ได้เต้นแรงน้อยลงไปกว่ารอบแรกเลย การได้อยู่ในอ้อมแขนของจงอินอาจเป็นอะไรที่ดูธรรมดาเบสิคมากถ้าเทียบกับฉากหวาบหวามต่อๆ ไปในอนาคต นึกได้แบบนี้เซฮุนก็ยิ่งกลัว เพราะนี่ขนาดแค่ต้องอยู่ในอ้อมกอด เขายังสูญเสียความเป็นตัวเองได้ขนาดนี้ แล้วฉากต่อๆ ไปจะเหลืออะไรล่ะ

     

     

    “โอเค คัท เยี่ยมมากเซฮุน จงอินเก่งมาก”

     

     

    สิ้นเสียงคัทของชานยอล ทีมงานหนังสั้นชุดเล็กนี้ก็ย้ายสถานที่ถ่ายทำจากตึกเรียนไปยังสนามบาสทันทีราวกับเวลาทุกนาทีนั้นมีค่า ที่ทำแบบนี้ไม่รู้เป็นเพราะเสียดายเวลาของตัวเอง หรือเพราะจงอินเอ่ยปากขึ้นมาว่ารีบร้อนกันแน่ เซฮุนได้แต่นึกหมั่นไส้คนที่เขาแอบชอบในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

     

     

    “ฉากต่อไปพวกมึงต้องเล่นบาสกันนะ อ่ะนี่ ไปเล่นกับไอ้พวกนั้นเลย กูบอกพวกมันไว้แล้ว” ชานยอลชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนของเขาที่กำลังเล่นบาสอยู่ ทุกคนเป็นคนที่เซฮุนรู้จักดี ทั้งจุนมยอน จงแด แบคฮยอน คยองซู รวมไปถึงลู่หาน เพื่อนคนคุ้นเคยของเขาด้วย

     

     

    “ทางนี้” ลู่หานซึ่งนับว่าสนิทกับเซฮุนที่สุดเห็นว่าเซฮุนเดินมาก็รีบกวักมือเรียก ชานยอลได้นัดแนะกับทุกคนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายทำอะไรอย่างไร ดังนั้นทุกคนจึงให้ความร่วมมือดี จงอินซึ่งไม่รู้จักใครเลยเพราะตนอยู่ต่างคณะก็แอบทำอะไรไม่ถูก เอาแต่ยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และการถ่ายทำฉากนี้ก็เริ่มต้นขึ้น

     

     

    ฉากนี้เป็นฉากเล่นบาสฯ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีบทพูดอะไร เพียงแต่กล้องต้องคอยจับภาพความสัมพันธ์ของตัวเอกในเรื่องอย่างเซฮุนและจงอิน เป็นฉากที่เหมือนจะง่ายที่สุดและน่าจะใช้เวลาน้อยที่สุด

     

     

    แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น

     

     

    “โอ้ย!

     

     

    เซฮุนตะโกนเหวออกมาเมื่อร่างสูงและกำยำของจงอินกระแทกเข้ามาหาเขาเต็มๆ ทำให้ร่างเล็กกว่าล้มลงเสียหลักไปอย่างช่วยไม่ได้ และการล้มลงนี้ส่งผลให้หัวเข่าของเซฮุนขูดเข้ากับพื้นคอนกรีตอย่างรุนแรง โลหิตสีแดงข้นค่อยๆ รื้นขึ้นเต็มหัวเข่าข้างขวาของเซฮุน

     

     

    “เห้ยเซฮุน!” คนก่อเรื่องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดออกเต็มหัวเข่าเซฮุน จงอินรีบคว้าแขนของเซฮุนพาดเข้ากับไหล่กว้างของเขาทันที

     

     

    “เป็นอะไรมากมั้ยวะไอ้ฮุน” ชานยอลรีบวิ่งเข้ามาหาเซฮุน ถามไถ่อย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเซฮุนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

     

     

    “ไม่เป็นไรเว้ย ขอพักแป๊บเดียวแล้วเดี๋ยวกูจะถ่ายต่อเลย” เซฮุนกัดฟันพูดทั้งที่เจ็บสุดขีด เขาไม่อยากให้เขากลายเป็นตัวปัญหาสำหรับหนังเรื่องนี้

     

     

    “แต่เลือดมึงไหลไม่หยุดเลยนะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเหอะ” ชานยอลพูดด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็มองเซฮุนเป็นตาเดียว ลู่หานที่ซี้กับเซฮุนที่สุดคอยเดินเคียงข้างไม่ห่าง

     

     

    “ซอนมี ไปห้องพยาบาลแล้วเอาของมาทำแผลหน่อย” ลู่หานที่ยืนดูอยู่นานเอ่ยปาก ถึงจะร้อนใจขนาดไหน เขาก็ยังไม่เคยลืมเรื่องที่เซฮุนบอกเอาไว้ว่าชอบซอนมีได้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อนตัวดีคนนี้เลยเลือกซอนมีให้เป็นคนปฐมพยาบาลให้กับเซฮุน และแน่นอนว่าเซฮุนไม่ได้คิดอะไรเลย เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยพูดอะไรออกไป

     

     

    ไม่กี่นาทีให้หลัง ซอนมีก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเครื่องมือปฐมพยาบาล โชคดีที่ซอนมีเป็นผู้หญิงเก่ง เธอจึงรอบรู้ทุกเรื่องว่าเธอควรจะทำแผลแบบนี้ยังไง และการทำแผลนี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซฮุนนึกขอบใจที่เป็นซอนมี เพราะเขาไม่แน่ใจว่า หากคนอื่นเป็นคนทำแผลให้จะเสร็จเร็วแบบนี้รึเปล่า

     

     

    “ขอบใจมากนะซอนมี” ร่างบางเอ่ยปากขอบคุณ ซอนมียิ้มแล้วพยักหน้ารับตามปกติ จงอินที่อยู่ใกล้เซฮุนที่สุดยืนนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะพูดอะไรออกมา

     

     

    “ขอโทษนะเซฮุน” ร่างสูงพูดเสียงทุ้มต่ำกว่าเสียงปกติ บ่งบอกว่าเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเซฮุนไม่ได้นึกโกรธหรือเอาผิดอะไรจงอินเลยแม้แต่นิด เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ที่ต่อให้คนที่ทำเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่จงอิน เขาก็จะไม่นึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    “เห้ย คิดมาก” เซฮุนตบไหล่จงอินแล้วยิ้ม นั่นยิ่งทำให้ฝ่ายจงอินรู้สึกผิด

     

     

    “คิดดิวะ แผลใหญ่ขนาดนี้ เดินไหวรึเปล่าก็ไม่รู้” จะให้คนที่เป็นฝ่ายผิดอย่างเขาทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเนี่ยเหรอ จงอินทำไม่ได้หรอก

     

     

    “ไหวดิวะ ไกลหัวใจตั้งเยอะ ไม่ได้ใจเสาะขนาดนั้นนะเว้ย” เซฮุนหัวเราะ เขานึกดีใจที่จงอินทำท่าทีเป็นห่วงเขาขนาดนี้ สรุปแล้วมันเป็นเรื่องดีสินะที่จงอินเป็นคนทำให้เขาล้มเลือดไหลจนเป็นแผลแบบนี้

     

     

    “ถ่ายต่อเหอะ เสียเวลาแล้ว” เซฮุนฝืนยืนขึ้นทั้งๆ ที่หัวเข่าของเขายังไม่โอเคเลยแม้แต่นิด ร่างบางกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แล่นแปร๊บเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อเขายืนขึ้น แต่สีหน้าของคนเจ็บปวดนั้น ไม่สามารถโกหกผู้คนรอบข้างได้เลย

     

     

    “ไอ้เหี้ย มึงนั่งเดี๋ยวนี้เลยนะ” ชานยอลรีบกดตัวให้เซฮุนนั่งลง คิ้วขมวดเพราะโมโหที่เพื่อนตัวเองดื้อขนาดนี้ “ฉากเล่นบาสไม่ต้องถ่ายแล้ว เมื่อกี้โอเคหมดแล้ว แล้วอีกอย่างมึงก็ไม่มีแรงจะเล่นฉากแบบนั้นแล้วด้วย”

     

     

    “กูขอโทษนะเว้ยชานยอล” จงอินพูดคำเดิมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด ชานยอลได้แต่บอกว่าจงอินไม่ใช่ฝ่ายผิด และเรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้น

     

     

    “เดี๋ยววันนี้ทุกคนเอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูไปส่งไอ้เซฮุนกลับหอเลย” ชานยอลพูดขึ้น แต่จงอินรีบแย้ง

     

     

    “กูไปส่งเซฮุนเอง”

     

     

    “เห้ย ไม่เป็นไรจงอิน” เซฮุนยิ้มบางๆ ดีใจขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นคนที่ตัวเองแอบชอบออกความรับผิดชอบขนาดนี้

     

     

    “ไม่ได้หรอก ห้ามดื้อ แล้วก็ห้ามขัดด้วย” คนก่อเรื่องพูดเสียงจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นมาก่อน ทำให้เซฮุนจำเป็นต้องยอม

     

     

    “โอเคๆ ใครจะไปส่งก็ไปเหอะ เดี๋ยวจงอินกลับไม่ทันสองทุ่ม” เซฮุนพูดปัดรำคาญ และประโยคนี้เต็มไปด้วยความน้อยใจลึกๆ แต่จงอินกลับไม่รู้สึกถึงมันอีกเช่นเคย

     

     

    จงอินไม่เคยรู้อะไรเลย จนบางที เซฮุนก็อยากให้จงอินรู้เหมือนกันนะว่าเขารู้สึกยังไงกับจงอิน

     

     

    “งั้นก็แยกย้าย”

     

     

    .

    .

    .

     

     

    สิ้นเสียงสั่งแยกย้ายของชานยอล จงอินก็คอยพยุงเซฮุนที่เดินขากระเผกมาที่รถยนต์คันหรูของเขา รถคันที่มีไว้สำหรับรับส่งแฟน และนั่งไปเรียนไปเที่ยวกับแฟนเท่านั้น ในวันนี้ มีบุคคลแปลกหน้าเป็นแขกของรถคันนี้ไปเสียแล้ว

     

     

    “ไหวมั้ย” ร่างหนาถามไถ่อย่างเป็นห่วง ในขณะที่มือคอยประคองให้เซฮุนเข้าไปนั่งในเบาะหน้าอย่างระมัดระวังราวกับเซฮุนเป็นผู้หญิง

     

     

    “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เซฮุนเริ่มรู้สึกว่าเขาจะแสดงความอ่อนแอให้จงอินเห็นมากจนเกินไปหน่อยจึงปรามออกมา มันทรมานแค่ไหนกับการที่ต้องแสดงออกมาว่าไม่ชอบ ทั้งๆ ที่รู้สึกดีกับทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเป็นห่วงของจงอินจะแย่

     

     

    “ก็เป็นคนทำให้เจ็บ ก็ต้องดูแลหน่อยสิ” จงอินเถียง ก่อนจะปิดประตูให้เซฮุน ก่อนจะสอดตัวเองเข้ามาในเบาะคนขับเตรียมสตาร์ทรถบ้าง

     

     

    “ถ้าเราเจ็บ…” ทันทีที่ในรถถูกปกคลุมด้วยเครื่องปรับอากาศและความเงียบ คนร่างบางก็เอ่ยปากออกมาเบาๆ

     

     

    “ถ้าเราเจ็บ แน่ใจเหรอว่าจะดูแลเราน่ะ”

     

     

    “หืม?” เจ้าของคำพูดกลับฉงนเสียเอง จงอินไม่รู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังหมายถึงอะไร เขาได้แต่จ้องตาเซฮุนที่ไม่ได้มองมาที่เขาอย่างงุนงง

     

     

    “ไม่มีอะไร”

     

     

    ร่างเล็กกว่าหันมาสบตาจงอินครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น รอยยิ้มบางผุดขึ้นมาที่มุมปากของเซฮุนราวกับกำลังใช้ความคิดคิดอะไรบางอย่าง เป็นความคิดที่จงอินสงสัยว่ามันคืออะไร เซฮุนกำลังคิดอะไรอยู่ และต้องการจะสื่ออะไรกับเขา

     

     

    “แน่นอนสิ” เมื่อเห็นว่าอีกคนเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม จงอินเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

     

     

    “ถ้าเราเป็นคนทำให้ใครสักคนเจ็บ เราก็ต้องรับผิดชอบเขาไม่ใช่เหรอ”

     

     

    “รับผิดชอบเหรอ” คนที่นั่งเงียบอยู่นานทวนคำพูดอีกฝ่ายช้าๆ

     

     

    “อื้ม รับผิดชอบแมนๆ ไง” จงอินพูดพลางบังคับพวงมาลัยไปด้วย

     

     

    “ก็แค่รับผิดชอบใช่มั้ย”

     

     

    “ใช่ แค่รับผิดชอบ คนอย่างเราแมนพออยู่แล้ว”

     

     

    เซฮุนพยักหน้าแล้วยิ้มรับคำตอบของจงอิน เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจงอินไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร สิ่งที่จงอินพูดออกมามันไม่ใช่สิ่งที่เซฮุนคิดเลยแม้แต่นิด ความเข้าใจของเซฮุนและจงอินไม่ตรงกัน เซฮุนคิดไปอีกแบบ แต่จงอินกลับคิดไปอีกแบบ

     

     

    บางทีแล้ว เซฮุนก็แอบรู้สึกอยู่เหมือนกันนะว่าเขาไม่ควรจะสนิทกับจงอินมากขนาดนี้

     

     

    “เอางี้ดีไหม นับจากวันนี้ไป ถ้าตารางเรียนเราเวลาใกล้กัน เราจะเป็นคนขับรถไปส่งเซฮุนเอง” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ ทำให้เซฮุนต้องรีบค้าน

     

     

    “เห้ย บ้าแล้ว เราไปเองได้น่า ไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น”

     

     

    “ไม่รู้แหละ บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ”

     

     

    ก็ยังไม่ทันจะดื้อเลย”

     

     

    “ต่อจากวันนี้ เราจะไปส่งเซฮุนไปเรียนเอง โอเคตามนี้แหละนะ”

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

    “ขอบใจนะที่มาส่งถึงที่”

     

     

    “พูดเหมือนกับว่าเราอยู่ไกลกัน เราอยู่หอเดียวกัน ห้องข้างกันนะเว้ย” จงอินพูดพลางหัวเราะ ทำทีจะพยุงเซฮุนให้เดินจากลานจอดรถไปที่ห้องแต่อีกฝ่ายกลับห้ามไว้เสียก่อน

     

     

    “คือเราเดินเองได้ไง ไม่ได้ขาหัก” เซฮุนพูดติดตลก เขาชอบในความเอาใจใส่ของจงอิน จนอดคิดไปไม่ได้ว่าเวลาอยู่กับแฟนนั้น จงอินจะคอยประคบประหงมขนาดไหน

     

     

    อีกครั้งแล้วที่คิดเรื่องแบบนี้แล้วทำให้ระบบสมองปั่นปวนไปหมด คล้ายๆ กับคนกำลังโกรธ

     

     

    “ขอบใจอีกรอบแล้วกัน” เมื่อมาถึงหน้าห้องด้วยเวลาที่มากกว่าเดิมเท่าตัวเพราะขาเจ็บ เซฮุนจึงเอ่ยปากขอบคุณคนตัวโตกว่าอีกครั้ง

     

     

    “ขอโทษอีกรอบด้วยเหมือนกันแหละ” จงอินทำสีหน้ารู้สึกผิดเป็นหนที่สามหรือสี่ของวันตั้งแต่ทำผิดซึ่งเซฮุนไม่ได้นับ แต่สีหน้าแบบนั้นกลับเรียกรอยยิ้มให้เซฮุนได้ทุกครั้งไป จงอินเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่เซฮุนอยากจะจับมาอยู่ในอ้อมกอดเลยเวลาทำหน้าแบบนี้

     

     

    “ขอโทษจริงๆ” จงอินยังคงไม่ยอมเข้าห้องของตน “เจ็บแย่เลยใช่มั้ย?”

     

     

    “เลิกขอโทษได้แล้ว”

     

     

    เจ็บแย่เลยใช่มั้ยเหรอ

     

     

    แน่นอน เจ็บมาก เจ็บปวดมากทุกครั้งที่รู้ว่าจงอินไม่ได้รู้สึกอะไรกับตนเลยแม้แต่นิดเดียว เจ็บมากเลยจงอิน เราเจ็บปวดมากที่รู้สึกดีกับนายจนแทบจะเก็บไว้คนเดียวไม่ไหว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แบบนี้ นายคิดว่าเราเจ็บมากรึเปล่าล่ะ

     

     

    “เรา ไม่เจ็บหรอก ไม่เจ็บ เลยแม้แต่นิดเดียว”

     

     

     

    แต่สำหรับนาย

     

     

    สำหรับนายคนดีๆ อย่างนายน่ะนะจงอิน ถึงเราจะเจ็บ เจ็บมากจนแทบไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ขอแค่มีมือของนายยื่นมาแบบนี้ แขนของนายช่วยพยุงเราแบบนี้

     

     

    ขอแค่ยังเป็นนายคนเดิม เป็นจงอินคนนี้คนเดิม ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหน

     

     

    เราก็พร้อมจะลืมความเจ็บปวดทุกอย่างไปให้หมดเลยนั่นแหละ






     

    - TO BE CONTINUED -


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×