ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { FIC } Circle. 「 BaekDo ft. KaiHun 」

    ลำดับตอนที่ #4 : ` c h a p t e r 3 ♡ { p a s s i o n a t e }

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 57






    C I R C L E

    ` c h a p t e r 3 ♡ ; { p a s s i o n a t e }

     











     

     

    ร้านเช่าหนังสือการ์ตูน SK
    สาขามยองดง

    19.00 .

     

    เหนื่อยจากงานเครียดๆ มาทั้งวัน ก็จะมีก็แต่เรื่องที่ใครหลายคนมองว่าไร้สาระอย่างการ์ตูนเนี่ยแหละครับ ที่พอจะทำให้ความเหนื่อยของผมคลายลงไปได้บ้าง

     

    “อ้าว สวัสดีครับคุณซูโฮ”

     

    เด็กหนุ่มที่ผมคุ้นๆ ว่าน่าจะชื่อชานยอล เอ่ยปากทักทันทีที่เห็นร่างของผมปรากฏตรงหน้า วันนี้บริษัทของเรามีการจัดงานเลี้ยงพิเศษฉลองยอดขายเพิ่มขึ้น 15% ที่ร้านหนังสือการ์ตูนแห่งนี้นี่แหละครับ กิจกรรมในวันนี้ก็จะเน้นไปทางตัวการ์ตูนล้วนๆ และธีมในวันนี้ก็คือการแต่งคอสเพย์เป็นตัวการ์ตูนต่างๆ แน่นอนว่าระดับลูกเจ้าของบริษัทอย่างผมคงไม่ทำอะไรน่าอายแบบนั้นหรอกครับ ดูคนอื่นแต่งท่าทางจะสนุกกว่า

     

    “ว่าไงชานยอล งานที่ร้านโอเคดีนะ” ผมถามเด็กหนุ่มนี่อย่างเป็นมิตร คำถามก็ไม่หนีไกลไปจากเรื่องงาน

     

    “โอเคดีครับ” ชานยอลยิ้มแล้วโค้งให้ผมด้วยความนอบน้อม เด็กคนนี้สุภาพใช้ได้เลย

     

    “อ้อ จริงด้วย…!” ชานยอลเบิกตาโต ทำท่าเหมือนนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เรื่องคยองซูน่ะครับ”

     

    “คยองซูเหรอ คยองซูทำไมล่ะ” ถ้าเป็นเรื่องของเด็กผู้ชายคนนี้แล้ว หูของผมมักจะผึ่งกว่าปกติ และหัวใจของผมมักจะเต้นแรงกว่าเดิมทุกครั้งเลยล่ะ

     

    “วันนี้คยองซูที่พี่ถามถึงก็มานะครับ ผมโทรไปเชิญแล้วล่ะ”

     

    คยองซูจะมาเหรอ

    คยองซูจะมาที่นี่จริงๆ เหรอ

     

    ผมหล่อรึยังล่ะเนี่ย

     

    “อ้อ ขอบใจมากนะที่ยังไม่ลืม” ว่าแต่ชานยอลกับคยองซูสนิทกันหรอกเหรอ

    “ชานยอล นายสนิทกับคยองซูเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ไม่ใช่การถามเพราะจับผิดแต่อย่างใด

    “อ้อ ไม่หรอกครับ เราแค่เคยเจอกันสองสามครั้ง แล้วก็ โทรหากันบ้างก็แค่นั้น”

     

    โทรหากันบ้างก็แค่นั้น

     

    ประโยคที่มันจะดูไม่มีอะไรเลย หากว่าหมอนี่ไม่ได้กำลังยิ้มแล้วทำหน้าขวยเขินแบบนี้อยู่

     

    “ถ้างั้นนายก็เป็นเพื่อนกับคยองซูน่ะสิ” ผมใจดีสู้เสื้อ ถึงแม้จะเริ่มตะขิดตะขวงใจขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

     

    “เพื่อนเหรอครับ” ชานยอลทำหน้าเซ็งไปพักหนึ่ง

     

    “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคยองซูคิดว่าผมเป็นเพื่อนรึเปล่า”

     

    “หืม?” ผมเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้สงสัยหรือซักถามอะไรมากไปกว่านั้น เสียงเจื้อยแจ้วที่ผมอยากได้ยินมากที่สุดในรอบสามสี่วันก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ” คยองซูเดินตรงมาหาผมและชานยอลที่กำลังคุยกันไม่จบดี คยองซูจะรู้ไหมเนี่ยว่าผมกับเจ้านี่ก็คุยกันเรื่องน้องนั่นแหละ

     

    “ไม่นึกเลยนะว่าสองคนนี้จะรู้จักกันด้วย” รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคยองซู น้องยิ้มให้ผม มองหน้าผมสลับกับชานยอล ดูจากการมองแล้ว น้องน่าจะคุยกับผมบ่อยกว่าชานยอล

     

    คำถามก็คือ ไอ้ชานยอลนี่มันเป็นอะไรกับคยองซู ?

     

    “นี่พี่ชายเราเอง” น้องคยองเดินมาโอบรอบไหล่ผมอย่างสนิทสนม ที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้เจอกันบ่อยอะไรขนาดนั้นถ้าพูดถึงเรื่องของการเห็นหน้าค่าตา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องคุยกันผ่านทางโปรแกรมแชทต่างๆ แล้วล่ะก็ เราก็ถือว่าคุยกันทุกวันเลยแหละครับ

     

    และนี่ ก็เป็นครั้งแรกเลยด้วยที่คยองซูถูกเนื้อต้องตัวผม

     

    รู้สึกดีแฮะ

     

    และคงจะรู้สึกดีกว่านี้

    ถ้าคยองซูไม่ได้พูดคำว่าพี่ชายออกมา

     

     

    “เอ้อนี่คยองซู เรามีอะไรจะอวดด้วยล่ะ มาทางนี้สิ” หลังจากที่ชานยอลยืนฟังคยองซูแนะนำผมให้รู้จักอยู่ครู่หนึ่ง หมอนั่นก็รีบดึงแขนคยองที่กำลังโอบไหล่ผมหลวมๆ ให้เดินตามไปอีกทางหนึ่ง ผมจิ๊ปากออกมาเบาๆ เพราะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ครั้นจะให้เดินตามมันก็ไม่ใช่เรื่อง

     

    แอบดูอยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน

     

    “อะไรเหรอ”

    “แถ่นแท๊น~~”

    “เฮ้ย!

    “เป็นไงล่ะ เราเจ๋งใช่มั้ย”

     

    หลังจากที่ยืนมองอยู่นานสองนาน สิ่งที่ผมพอจะเดาออกก็คือชานยอลกับคยองซูคงมีเรื่องที่เคยคุยกันไว้ และกระดาษในมือของชานยอลนั่นก็ทำให้คยองซูถึงกับยิ้มและอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่น้อยเลย

     

    มีอะไรกันนะ

     

    ผมเริ่มนั่งมองไม่สุข ขาไขว่ห้างสลับกันไปมาด้วยใจที่ร้อนรน ไม่รู้ว่าคยองซูกับชานยอลมีเรื่องอะไรให้คุยกันได้นักหนา เอาตรงๆ ผมยังไม่เคยเห็นคยองซูยิ้มแย้มเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วไอ้หมอนี่เป็นใคร กำลังพูดอะไรกับคยองซู ผมอยากรู้ อยากเข้าไปแทรกกลางจริงๆ ถึงรู้ว่าจะทำไม่ได้ก็เถอะ

     

    “แม่งเอ๊ย!

     

    ผมอุทานออกมาเบาๆ เป็นเสียงอุทานอย่างหงุดหงิดที่มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ เสียงเพลงที่เปิดในงานดังมากยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเพราะผมไม่สามารถแอบฟังเรื่องที่คยองซูคุยกับชานยอลนั่นได้เลย ผมได้แต่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าชานยอลกระซิบกระซาบ ทำตัวใกล้ชิดคยองซูเหมือนคนเป็นแฟน

     

    มัวแต่หงุดหงิดกับภาพตรงหน้าที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย จนไม่ได้สนใจคนที่กำลังนั่งกระดกไวน์อยู่ข้างๆ

     

    “นี่นาย!” คนที่นั่งข้างๆ ผมมาโดยตลอดไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กหยาบโลนที่ผมไม่อยากเห็นหน้าที่สุดนั่นเอง คิม จงอิน

     

    “ผมไม่ได้พิศวาสอะไรพี่หรอกนะครับ” เจ้าของใบหน้าคมคายพูดกับผมด้วยน้ำเสียงกึ่งงัวเงียนิดๆ ไอ้นี่มันเมาแล้วรึเปล่า

     

    “อะไรของนาย”

     

    “ผมหมายถึงว่า.. ที่ผมมานั่งตรงนี้ ก็เพราะผมไม่อยากนั่งกับพวกคนแก่นั่น” จงอินพยักเพยิดหน้าไปทางคณะผู้บริหารที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายไม่ไกล สองในนั้นมีพ่อผมรวมถึงแม่จงอินด้วย แต่ผมแปลกใจนะที่จงอินมางานในวันนี้ คนอย่างไอ้นี่มันไม่เหมาะกับงานคิกขุแบบนี้เลยแม้แต่นิด

     

    “ไหนว่าไม่ชอบการ์ตูน ไหนว่ามันเด็ก” ผมถาม น้ำเสียงเย้ยหยันพอสมควร

     

    “ใช่ ผมเกลียดการ์ตูน” พูดพลางกระดกไวน์เข้าปาก

     

    “แต่ผมชอบ คนที่อยู่ในงานนี้”

     

    “อะไรของนาย” ผมเลิกคิ้วหนัก ทั้งรำคาญน้ำเสียงเมาๆ ของหมอนี่ แล้วก็สงสัยว่ากำลังพูดอะไรอยู่ด้วย

     

    “คนนั้น”

     

    จงอินพูดพลางเพยิดหน้าไปทางที่คยองซูกับชานยอลยืนอยู่ ทันทีที่มั่นใจว่าตัวเองมองตามถูกคนแล้ว หัวใจผมก็กลับมาเต้นรัวอีกครั้ง ทางที่จงอินชี้ไปมีเพียงคยองซูและชานยอล แถมบริเวณนั้นก็ไม่มีผู้หญิงวัยรุ่นเลยแม้แต่คนเดียว

     

    และแน่นอน

    ปาร์ค ชานยอล ต้องไม่ใช่คนที่จงอินหมายถึงแน่ๆ

     

    อย่าบอกนะ

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    “ไวน์มาส่งแล้วคร้าบ”

     

    ดึกดื่นป่านนี้ผมก็ยังต้องมาทำงานเหมือนเช่นทุกวัน แต่เป็นคนละงานกับที่ทำในตอนกลางวันนะครับ ก็ฐานะทางบ้านผมใช่ว่าจะดี แบคฮยอนคนนี้เลยจำเป็นต้องทำมากกว่าหนึ่งงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวถึงแม้จะยังเป็นวัยรุ่นอยู่

     

    อะไรที่ผมพอจะช่วยพ่อได้ ผมก็ต้องทำครับ

     

    แต่เดี๋ยวนะ นั่นมันคยองซูนี่

     

    “แบคฮยอน!

     

    ผมกำลังจะตะโกนเรียกเจ้านั่นแต่คยองซูกลับตะโกนมาหาผมเสียก่อน ร่างเล็กทำตาโตแล้วยิ้มดีใจที่ได้เห็นผม อันที่จริงผมไม่อยากให้คยองซูเห็นผมในสภาพนี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าคยองซูจะรู้ว่าผมทำงานพิเศษมากกว่าหนึ่งงานก็ตามที

     

    “มาทำอะไรที่นี่ล่ะ” เอ่ยปากถามเจ้าตัวเล็กเพราะงานนี้ดูจะเป็นงานสำหรับผู้บริหารและลูกหลานนี่นา

    “ก็ชานยอลน่ะ คนนั้นไง” คยองซูพูดพร้อมชี้นิ้วไปทางผู้ชายร่างสูงตาโตที่กำลังมองมาอยู่ “ชานยอลชวนเรามา ชานยอลเป็นพนักงานร้านนี้”

    “อ้อ…”

    “แล้วแบคฮยอนล่ะ มาส่งไวน์เหรอ”

    “อื้ม เดี๋ยวเราก็ต้องกลับแล้วล่ะ”

    “ทำไมรีบนักล่ะ ยังต้องไปส่งที่อื่นอีกเหรอ”

    “ที่จริงก็ไม่มีหรอก ที่นี่ที่สุดท้ายแล้วล่ะ”

    “ถ้างั้น อยู่เป็นเพื่อนเราก่อนได้ไหม เรารู้สึกไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียวเลยอ่ะ”

     

    รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    ขอบคุณที่เลือกไว้ใจผม ขอบคุณนะคยองซู

     

    “ว่าไง ไอ้เด็กส่งไวน์”

     

    รู้สึกดีได้ไม่ถึงนาที ก็มีตัวทำลายบรรยากาศเข้ามาทำให้ผมหงุดหงิดอีกครั้ง ทำไมพักนี้ผมถึงได้เจอหน้าไอ้เลวนี่บ่อยนักเหลือเกินนะ มีคยองซูที่ไหน ก็ต้องมีจงอินที่นั่นเลยรึเปล่า เวรกรรมของผมแท้ๆ

     

    “มึงจะมาหาเรื่องอะไรกูอีก”

    “ไม่เอาน่า” คยองซูดึงแขนผมที่เกือบจะพุ่งตัวเข้าหาคนตรงหน้า

    “ก็เปล่านี” จงอินพูด ยกยิ้มชั่วร้ายแล้วแย่งขวดไวน์ไว้จากมือผม “ก็แค่มาทักทายเพื่อน ทำไมคิดอกุศลนักล่ะ”

    “จงอิน ไม่เอา” คยองซูย้ายมือเล็กที่เพิ่งจะจับแขนผมไว้เปลี่ยนไปดันตัวจงอินแทน ผมมองตามไม่คลาดสายตา

    “คยองซู ตามฉันมานี่หน่อยสิ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะ”

    “เรื่องอะไร” คยองซูเลิกคิ้ว จงอินเอาแต่จ้องหน้าผมทั้งที่คุยกับคยองซู

    “ตามมาเถอะน่า”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    หงุดหงิด

    จะมีอะไรน่าหงุดหงิดไปกว่าการเห็นผู้ชายสามคนมารุมคยองซูอีกไหมครับ

     

    ทั้งไอ้ปาร์คตัวโตอะไรนั่นที่ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นน้องชายที่ดีในอนาคตได้ ทั้งไอ้จงอินปากสุนัขที่ผมโคตรจะไม่ชอบขี้หน้าและเพิ่งจะมารู้วันนี้ว่ามันรู้จักกับคยองซู แล้วไหนจะไอ้ตี๋ส่งไวน์นั่นที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าแปลกๆ อีก ผมพูดอย่างคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักโชกโชนเลยนะครับว่า ไอ้ผู้ชายสามคนนี้ชอบคยองซูแน่นอน

     

    ร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    ทนดูไม่ไหวจนต้องลุกหนี ความหงุดหงิดของผมมันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหึงหวง ทั้งที่คยองซูยัดเยียดให้ผมเป็นได้แค่พี่ชาย และผมก็ควรจะดีใจกับสถานะแบบนี้ แต่ผมกลับไม่ชอบใจเอาซะเลย

     

    เท้าทั้งสองข้างก้าวเอื่อยๆ เดินคิดอะไรไร้สาระรอบงานที่เต็มไปด้วยบุคคลที่ผมเดินสวนที่บริษัทเป็นประจำ ทุกคนดูมีความสุข และดูสนุกสนานกับงานคอสเพลย์ในวันนี้ แต่ทำไม ทำไมผมถึงไม่มีความสุขเอาเสียเลย

     

    และแล้ว ผมก็ต้องกลายเป็นคนที่มีความทุกข์ที่สุดในวันนี้เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า

     

    กึก

     

    แทบจะก้าวขาไม่ออกเลย

    ทั้งริมฝีปาก ทั้งเรียวขาสองข้าง รวมไปถึงมือไม้ของผม

     

     

    สั่นไปหมด

     

     

    ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้ ทำให้ผมอยากจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองแรงๆ สักทีสองที ผมอยากจะให้มันเป็นแค่ความฝัน ฝันร้ายที่ตื่นมาก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาพของคุณพ่อที่ผมรักที่สุดในชีวิตกำลังยืนจูบกับคุณนายคิมที่ผมเคารพมาโดยตลอดอย่างดูดดื่ม

     

     

    คุณพ่อของผม กับคุณแม่ของจงอิน

     

     

    เป็นชู้กัน

     

     

    เรี่ยวแรงของผมหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่ได้เห็นภาพที่ไม่ควรจะได้เห็น ขาของผมก็เหมือนจะอ่อนยวบยาบลงไปในทันทีทันใด ผมคือลูกชายคนโตของตระกูล ผมมีน้องชาย มีแม่ที่ต้องปกป้อง ผมเป็นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอด แต่ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเป็นแค่คนโง่ที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นเองล่ะ

     

    ผมทำอะไรไม่ได้

    นอกจากพาตัวเองออกมาจากสถานที่พลอดรักลับๆ นั่น

     

    และปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม

     

     

    จนกว่าน้ำตาจะหยุด

    หวังเพียงว่าความเจ็บปวดที่เพิ่งก่อตัวขึ้น จะมลายหายไปด้วย

     

     

    ผมหวังให้เป็นอย่างนั้น

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    ผู้ชายสองคนนั้นมันใครกันนะ ?

     

    จู่ๆ คนที่ไม่ค่อยจะโมโหกับอะไรง่ายๆ อย่างปาร์ค ชานยอลคนนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ ทีแรกผมก็ว่าพี่ซูโฮดูแปลกๆ กับคยองซูแล้วนะ พี่คนนั้นจ้องผมเขม็งเลยเวลาที่ผมยิ้มให้หรือคุยกับคยองซู ผมไม่แน่ใจว่าพี่เขาหวงคยองซู หรือคิดอะไรอยู่กันแน่

     

    แต่ผู้ชายที่เพิ่งจะมาใหม่สองคนนั้นกลับแปลกยิ่งกว่า

     

    คนหนึ่งดูสนิทสนมกับคยองซูมาก หน้าตาเป็นมิตร คนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของคยองซูเสียมากกว่า เพราะคยองซูดูหน้าตายิ้มแย้มดี๊ด๊าตอนที่เห็น แต่อีกคนนี่สิ รูปร่างหน้าตาดีราวกับนายแบบ แต่ดูท่าไม่ค่อยจะเป็นมิตรเอาเสียเลย ที่แปลกไปกว่านั้น ผู้ชายสองคนนั้นดูเหมือนกำลังจะทะเลาะกันด้วยนะ แต่โชคดีที่คยองซูห้ามเอาไว้ก่อน

     

    ถึงยังไง ผมก็คงเข้าไปยุ่งอะไรได้ไม่มาก คงทำได้แค่สงสัยเงียบๆ คนเดียวแบบนี้ และผมควรจะเลิกคิดเรื่องไร้สาระนี่ได้แล้ว เพราะตอนนี้ผมมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องทำน่ะสิ

                                                                                                                       

    จขกท. ลองเข้าหาโดยการแต่งคอสเพย์เป็นโคนันดูสิคะ น่าสนใจนะ

     

    ผมยังจำความคิดเห็นนี้ได้ขึ้นใจ และวันนี้ โอกาสมาหาผมถึงที่แล้ว ถึงผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขัน แต่มันอาจจะดีกว่าการอยู่เฉยๆ ไม่ทำคะแนนอะไรเลยไม่ใช่เหรอ

     

    ผมอาจจะเป็นแค่ผู้ชายบ้านๆ หน้าโง่ๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

    แต่ผมก็ยังคิดหาวิธีที่น่าสนใจเพื่อจะเข้าหาคยองซูอยู่เรื่อยๆ นะ

     

    ผมเดินเข้าหลังร้านที่มีแค่ผมและพนักงานในร้านเท่านั้นที่รู้ทาง จัดการหยิบชุดโคนันที่ตัวเองเตรียมไว้ดิบดี (เพิ่งไปหาซื้อมาเมื่อสองวันก่อน) แล้วสวมใส่อย่างเคอะเขิน รวมไปถึงเซ็ทผมให้ดูเหมือนโคนันอีกด้วย

     

    นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ?

    ถึงเรียกสติกลับมาตอนนี้ ก็คงสายไปเสียแล้ว

     

    ก็แต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่

     

    ผมล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรฯ หาคยองซูที่ถึงตอนนี้จะว่างหรือไม่ว่างผมก็ไม่แคร์แล้ว รอไม่นานนักคยองซูก็รับสายผม พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก

     

    (ว่าไงชานยอล) ผมรู้สึกดีที่คยองซูเรียกชื่อผม เพราะนั่นก็แปลว่าเขาเมมเบอร์ผมแล้ว

    “มาหาหน่อยสิ”

    (นายอยู่ไหนล่ะ หายไปไหนแล้ว)

    “เดินตรงมาด้านในสุดแถวๆ เวที แล้วจะเจอห้องที่เขียนว่า Staff Only เปิดประตูเข้ามาเลย”

    (จะล่อลวงไปทำอะไรเนี่ย) คยองซูพูดกลั้วหัวเราะ

    “ไม่ทำอะไรหรอกน่า จะรอนะ”

     

    ผมพูดด้วยรอยยิ้มแล้วกดวางสายไปทันที มองตัวเองในกระจกที่เพิ่งจะแปลงร่างเป็นหนุ่มแว่นในตำนาน ผมนึกไม่ออกว่าคยองซูจะทำหน้ายังไงตอนเห็นผมในสภาพติ๊งต๊องแบบนี้ แต่ผมพอจะนึกออกว่ามันคงไม่แย่มากเท่าไหร่

     

    อย่างน้อยๆ ก็ต้องเรียกรอยยิ้มจากคยองซูได้บ้างแหละน่า

     

     

     

    กริ๊ก ~

     

    “แถ่นแท๊น~!!

     

    ทันทีที่คยองซูปรากฏตัวตรงหน้า ผมก็กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆ คยองซูที่ดูจะอึ้งไปพักหนึ่งหัวเราะออกมาลั่นเพราะคงไม่คิดฝันว่าผมจะทำอะไรแบบนี้ ผมอ้าแขนสองข้างออกกว้าง หมุนตัวไปมาสองรอบ นั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะให้คยองซูได้เข้าไปอีก

     

    “อะไรเนี่ย” คยองซูถามทั้งๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด

    “โคนันปาร์ค โคนัน”

    “นายนี่มัน…”

    “มันอะไร”

    “น่ารักดี”

     

    หัวใจของผมพองโตเมื่อได้ยินคำชมแบบนั้นเป็นครั้งแรกจากปากคยองซู มือเล็กยกขึ้นจับแขนทั้งสองข้างของผม ทำทีเป็นสำรวจว่าผมไปเอาชุดพวกนี้มาได้ยังไง คยองซูเอาแต่ยิ้มไม่หุบจนผมต้องยิ้มตามออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     

    “ชอบมั้ย”

    “หือ?”

    “ชอบแบบนี้มั้ย”

    “โคนันน่ะเหรอ ชอบสิ แต่ไม่กล้าแต่งแบบนี้หรอกนะ”

    “เปล่า…”

    “………”

    “เราแค่จะถามว่า ชอบเรามั้ย”

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    เหมือนโดนเก้าอี้ฟาดหัวอย่างแรง

     

    หัวสมองของผมว่างเปล่า เมื่อคนตรงหน้าที่อุตส่าห์ลงทุนแต่งคอสเพย์เป็นโคนันยิงคำถามที่ทำให้ผมหน้าชาในเวลาไม่ถึงวิแบบนั้น ริมฝีปากที่กำลังยิ้มอยู่ดีๆ ก็ค่อยๆ หุบลงทีละนิด

     

    มันเริ่มจะไม่สนุกแล้ว

     

    “อะไร…” ผมพูดเบาๆ ไม่กล้าสบตาคู่สนทนาอีกต่อไป

    “นี่คยองซู” ถึงจะเรียกชื่อผม แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปอยู่ดี

    “คยองซู…” ชานยอลเขย่าตัวผมเบาๆ ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย

    “ทำไม…”

    อะไรเนี่ย หน้าแดงไปหมดเลย” ชานยอลระเบิดหัวเราะออกมา “เราแค่ล้อเล่นเฉยๆ น่า!”

    “โธ่เว้ย ตกใจหมด”

     

    ผมทุบเข้าที่ไหล่อีกคนอย่างแรง สีหน้าแบบนั้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ใช่แค่การล้อเล่น หมอนี่นี่ร้ายจริงๆ เล่นละครซะเนียน ทำเอาผมอึกอักพูดอะไรไม่ถูก และทำให้ผมได้รู้ว่าอาการหน้าชามือชา หัวสมองว่างเปล่ามันเป็นยังไง

     

    แกล้งแรงแบบนี้ เลิกคบซะเลยดีมั้ย

     

    “เรื่องไปญี่ปุ่นน่ะ” ชานยอลเกริ่นขึ้นมาเบาๆ “คยองซูไม่อยากไปด้วยกันเหรอ”

     

    “เราคงไปกับชานยอลไม่ได้หรอก เราไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นซะหน่อย” ผมพูดไปตามความจริง ไม่เคยอายในฐานะของตัวเองอยู่แล้ว ถึงจะน้อยใจเวลาที่เห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันบินไปประเทศโน้นประเทศนี้ก็ตาม

     

    “เราไม่อยากไปคนเดียวนี่” ชานยอลเบ้ปาก ถอดแว่นโคนันออกวางหน้ากระจก

     

    “นายก็แค่หาหญิงไปด้วยสักคน สาวๆ สมัยนี้รวยจะตาย” ผมพูดพลางหยิบแว่นที่ชานยอลเพิ่งวางลง แล้วค่อยๆ ใส่กลับเข้าไปที่หน้าชานยอลใหม่

     

    แบบนี้ดูน่ารักกว่าตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ

     

    “อ อือ” ชานยอลตอบช้าๆ ดูเหมือนจะอึ้งกับการที่ผมใส่แว่นให้นิดหน่อย หรือว่าหมอนี่จะไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวนะ ว่าแล้วผมก็เดินถอยห่างออกมานิดหน่อย

     

    “รู้อะไรมั้ย” ผมเกริ่น “เรามีความฝันอยากจะสอบชิงทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่นมาตลอดเลยนะ”

     

    …………………”

    “แต่เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนมันก็ไม่ดีสักที”

    …………………”

    “ไม่เก่งไม่ว่า แต่ไม่มีเงินด้วยนี่สิ” ผมหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ

    …………………”

    “ตอนนี้เราเลิกหวังแล้วล่ะ เราขยำกระดาษความฝันนั่นทิ้งขยะไปแล้ว”

    “ไม่ได้นะ!” ชานยอลรีบท้วง “จะทิ้งความฝันตัวเองแบบนั้นไปได้ยังไง”

    “แต่ทำยังไงมันก็มืดแปดด้าน เราคงไม่มีบุญจริงๆ”

    “ยังไงคยองซูก็ต้องได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เชื่อเราสิ เชื่อเรา”

     

    ชานยอลจับมือผมแล้วตบให้กำลังใจเบาๆ สีหน้าและน้ำเสียงดูจริงจังชนิดที่ผมเองยังไม่จริงจังเท่า ชานยอลส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและกำลังใจตรงมายังดวงตาของผม มันอาจจะดูเหมือนเป็นการให้กำลังใจธรรมดา แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาล่ะ

     

    ดวงตาคู่นั้นของชานยอล มันไม่ใช่แค่กำลังใจที่หนักแน่น

    แต่มันดูมีอะไรๆ มากกว่านั้น

     

    ถึงจะดูเป็นคนแปลกๆ แต่ผมกลับรู้สึกดีกับเพื่อนคนนี้ขึ้นมามากเลยล่ะ

     

    ขอบใจนะชานยอล

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    หลังจากที่คุยกันเสร็จ และชานยอลขอตัวเปลี่ยนชุด ผมก็เดินออกมาจากห้องสต๊าฟนั่น ตอนนี้ไม่รู้ว่าแบคฮยอนกับจงอินไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว สิ่งเดียวที่ผมภาวนาคือขออย่าให้สองคนนั้นทะเลาะกันอีก และเหมือนโชคจะเข้าข้างผม ผมเห็นจงอินยืนอยู่คนเดียวโดยไม่มีแบคฮยอน สีหน้าของจงอินดูปกติดี ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอะไร บ่งบอกว่าเจ้านั่นกับแบคฮยอนไม่ได้ทะเลาะกันมาก่อน

     

    จะว่าไป พี่จุนมยอนก็หายไปไหนตั้งนานแล้วเนี่ย

     

    “คยองซู ลองนี่สิ” ระหว่างที่ผมมองหาพี่จุนมยอนที่หายตัวไปอย่างลึกลับ จงอินก็ยื่นแก้วไวน์ที่มีน้ำสีฟ้าอยู่ในนั้น ปกติแล้วผมไม่ดื่มแอลกอฮอลล์หรอกนะ ยกเว้นตามงานแบบนี้นี่แหละ แต่จะว่าไปผมก็มางานแบบนี้นับครั้งได้เลย

     

    ถ้าไม่ใช่ชานยอลชวนล่ะก็ ผมไม่มีทางมาเหยียบงานที่มีแต่ไฮโซแบบนี้หรอก

     

    “จะเมารึเปล่า” ผมพูดทั้งที่รับแก้วมาแล้ว จงอินขำเล็กน้อยก่อนจะตอบ

    “ไม่เมาหรอก เมื่อกี้ฉันผสมด้วยตัวเองเลยนะ เพราะฉะนั้น หมดแก้ว”

     

    ผมกับจงอินชนแก้วกันและพากันดื่มรวดเดียวหมด รสชาติน้ำพันช์นี่ขมจนผมต้องหลับตาปี๋ แน่นอนว่ามันมีแอลกอฮอลล์อยู่ แต่คงไม่มากเท่าไหร่หรอกมั้ง จงอินน่าจะรู้ดีว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอลล์

     

    “คยองซู ไปนั่งทางโน้นกันเถอะ” จงอินจับมือผมแล้วดึงให้เดินไปอีกทาง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าโลกหมุนจนเวียนหัวไปหมด ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากเดินเซไปตามแรงลากของอีกคน

     

    และจู่ๆ โลกของผมก็มืดลง

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    ผมทำอะไรลงไป

     

    จู่ๆ ความรู้สึกอยากเอาชนะ อยากครอบครองเพียงคนเดียวก็ครอบงำผมจนคิดทำอะไรชั่วๆ แบบนี้ ใช่แล้ว ผมเพิ่งจะมอมเหล้าคยองซูไป ในน้ำพันช์แก้วนั้นมียานอนหลับผสมอยู่ประมาณ 20% นั่นหมายความว่าคยองซูจะหลับใหลแบบนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้

     

    ผม ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ

     

    มือหนาของผมยกมือขึ้นลูบหัวคยองซูเบาๆ อย่างหลงใหลและรู้สึกผิด ความรู้สึกปนเปจนผมชั่งไม่ถูกว่าระหว่างความต้องการกับความสำนึกผิด อะไรมันมีมากกว่ากัน

     

    แต่ตอนนี้ ผมคิดออกแค่ว่าผมรู้สึกดีที่ได้อยู่กับคยองซูสองต่อสองแบบนี้

     

    ที่ตรงนี้เป็นลานจอดรถ เวลาแบบนี้คงยังไม่มีใครผ่านมาเห็นนอกจากคนที่เมาแล้วออกมาฉี่ เป็นโอกาสประจวบเหมาะที่ผมจะได้ใกล้ชิดคยองซูโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลย ผมเอาแต่ลูบผม จ้องมองวงหน้าที่งดงามทั้งยามตื่นและยามหลับแบบนี้อย่างไม่วางตา

     

    คยองซูมีค่าเหลือเกิน

     

    ผมค่อยๆ ก้มลง ปลายจมูกของผมแตะลงแผ่วเบาที่พวงแก้มนิ่มของคนตัวเล็กในอ้อมกอด กลิ่นหอมปนกลิ่นแอลกอฮอลล์อ่อนๆ ยิ่งทำให้ผมอยากจะเป็นเจ้าของเสียเพียงคนเดียว แต่ถึงยังไง ผมก็ทำได้แค่คิดอยู่ดี

     

     

    ปั่กกกก !

     

     

    “มึงจะทำอะไรคยองซู” แบคฮยอนที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้ชกเข้าที่หน้าผมอย่างแรงแล้วรีบคว้าตัวคยองซูไปจากตักของผม ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ในใจแอบตกใจที่มีคนมาเห็นผมมอมเหล้าคยองซู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนๆ นั้นคือแบคฮยอน

     

    “ก็คยองซูเมา”

     

     

    ผลัวะ!

     

     

    คนตัวเล็กกว่าผมจับคยองซูที่หลับใหลอยู่นั่งพิงม้านั่งแล้วพุ่งหมัดที่สองมาที่หน้าผม ผมคว้าคอเสื้อมันแล้วต่อยกลับด้วยความแรงที่ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เราสองคนผลัดกันชกจนหน้าเราทั้งคู่เริ่มมีแผลแดงๆ เต็มไปหมด ในที่สุดไอ้เวรนี่ก็หมดแรง เพราะผมผลักมันให้ลงไปกองกับพื้นอย่างเดือดดาล

     

    “มึงคิดจะทำอะไร จงอิน”

    “กูยังไม่ได้ทำอะไร แล้วก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรด้วย”

    “กูไม่คิดเลยว่ามึงจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้”

    “แล้วมึงล่ะ มึงมันขาวสะอาดนักเหรอ”

     

    ผมพูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่า แบคฮยอนเป็นคนดีกว่าผมเยอะ

    ผมรู้สึกผิด กับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไปอย่างมาก

     

    “มึง ไอ้จงอิน” แบคฮยอนค่อยๆ เหยียดตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ

     

    “มึง จะไม่มีวันได้แตะต้องตัวคยองซูอีก”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    ต่ำ

     

    ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนที่ผมเคยรักมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงชีวิตสั้นๆ จะคิดทำเรื่องชั่วร้ายได้ขนาดนี้

     

    ไอ้จงอินมันมอมเหล้าคยองซู โชคดีแค่ไหนที่ผมตัดสินใจรอคยองซูอยู่ที่หน้าร้าน ผมเอะใจไว้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงจะไม่ได้คิดไว้ว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้ก็เถอะ

     

    ผมหันไปมองหน้าคนที่กำลังหลับใหลไม่รู้เนื้อรู้ตัวที่เบาะข้างๆ ทั้งรักใคร่ และเป็นห่วงมากในเวลาเดียวกัน ตอนนี้คยองซูอยู่กับผมสองต่อสอง บนรถของบริษัทที่ผมทำงานพิเศษอยู่ ผมกำลังจะพาคยองซูกลับบ้านอย่างปลอดภัย

     

    เมื่อรถมาจอดถึงหน้าบ้านคุณยายของคยองซูที่คาดว่าน่าจะหลับไปแล้ว ผมก็พยุงตัวคยองซูเข้ามาในห้องนอนของเจ้านี่ ค่อยๆ วางคนตัวเล็กลงบนเตียงแล้วห่มผ้าให้เพราะอากาศตอนนี้หนาวเหลือเกิน

     

    คยองซูจะเป็นไข้รึเปล่านะ

    คยองซูจะแพ้แอลกอฮอลล์รึเปล่า

     

    เป็นห่วง ผมเป็นห่วงคนตรงหน้า มากกว่าชีวิตของตัวผมเองเสียอีก

     

    “คยองซู” ผมเขย่าตัวอีกคนเบาๆ แอบหวังเล็กๆ ว่าคยองซูจะตื่นขึ้นมา แต่กลับไม่มีผลใดๆ คยองซูเพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา นี่ไอ้ชั่วนั่นมันใส่ยาสลบชั้นดีเลยรึยังไง

     

    “อย่าแสนดี…” พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ ใช้โอกาสนี้จ้องมองใบหน้าคยองซูให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

     

    “อย่าแสนดีขนาดนี้สิ

     

    ……………”

     

    “อย่าหลงเชื่อคนง่าย แบบนี้ได้มั้ย”

     

     

     

    น้ำใสเริ่มรื้นขึ้นที่ดวงตาของผม ผมไม่รู้ว่าผมอ่อนแอและเป็นห่วงคยองซูขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นี่คือความรัก ความรักที่ผมมีให้คยองซูโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน

     

    มันคือความรัก ที่ผมแน่ใจว่ามันเป็นความรักจริงๆ

     

    ผมค่อยๆ ยกมือขึ้น ยื่นตรงไปที่แก้มของคนที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่ช้าๆ เพราะไม่อยากให้อีกคนรู้ตัว แต่มือของผมมันกลับหยุดกึก ทั้งที่ยังไม่ทันได้สัมผัสเข้าที่ส่วนใดๆ ของใบหน้างดงามนี่เลย

     

    อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม

     

    ลมหายใจพ่นรดกันขนาดนี้

     

     

    อยากกอด

    อยากจูบ

     

     

    แต่คยองซูมีค่า

    และน่าทะนุถนอม

     

     

    มากเสียจน

     

     

    ผมไม่กล้าแตะต้อง แม้แต่ปลายนิ้ว

     

     

    แล้วไอ้เวรนั่น

    ไอ้เวรนั่นมันกล้าดียังไง

     

     

    ผมจะไม่มีวันให้อภัยคิมจงอินเลย

     

     

    ไม่มีวัน

     

     





     

    - TO BE CONTINUED -






     

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×