คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ` c h a p t e r 2 ♡ { a m b i t i o n }
C I R C L E
` c h a p t e r 2 ♡ ; { a m b i t i o n }
ติ๊ก .. ต่อก
ตึก .. ตัก
ติ๊ก .. ต่อก
ตึก .. ตัก
ติ๊ก .. ต่อก
ตึก .. ตัก
เสียงหัวใจของผมเต้นสลับกับเสียงของเข็มนาฬิกาบอกวินาทีในห้องที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน วินาทีแล้ว วินาทีเล่า นาทีแล้ว นาทีเล่า ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า .. จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังคิดวิธีที่จะเข้าหาเด็กผู้ชายที่ชื่อว่า ‘โด คยองซู’ ไม่ได้เลยแม้แต่วิธีเดียว
จริงอยู่ ที่ผมเป็นพนักงานร้านเช่าหนังสือการ์ตูน แต่มันไม่ได้แปลว่าผมจะเป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูนเสียเมื่อไหร่
แต่ถึงจะเป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูน ผมก็ไม่รู้และนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจู่ๆ คนแปลกหน้าอย่าง ปาร์ค ชานยอล ที่คยองซูไม่รู้จักมักจี่ด้วยเลยคนนี้จะเข้าหาคยองซูด้วยเหตุผลอะไร
อยู่ดีๆ ก็โทรไปคุยเรื่องโคนันงั้นเหรอ ? ตลกไปหน่อยมั้ง…
‘ แอบชอบคนๆ นึงที่เขาชอบโคนันมาก ผมควรจะเข้าหาเขายังไงดีครับ? ’
ผมจัดการเปิดหน้าจอโน้ตบุคที่ปิดตายมาสามวันขึ้นแล้วตั้งกระทู้ในเว็บพันทิพ ปกติแล้วผมเป็นคนชอบอ่านความเห็นจากเว็บนี้มากเลยนะ เพราะแต่ละคนแนะนำอะไรได้ตลกดี และบางทีผมก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าพวกที่มาตั้งกระทู้เนี่ย แต่งเรื่องขึ้นมาเองบ้างรึเปล่า เพราะมันดูไม่สมจริงอย่างบอกไม่ถูก
ใครจะไปคิดล่ะครับ ว่าผมจะมีวันนี้ วันที่ผมกลายเป็น ‘จขกท.’ เสียเอง
ทันทีที่ตัดสินใจตั้งกระทู้ที่ดูเหมือนจะไร้สาระนั่นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ปิดหน้านั้นไปแล้วเปิดกูเกิลเพื่อเสิร์จบทความเกี่ยวกับเรื่องโคนัน อ่านไปอ่านมาจนรู้สึกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีอะไรให้ติดตามเยอะแยะดี ไม่แปลกใจเลยที่คยองซูจะดูติดมากขนาดนั้น จำได้ว่าผมเคยดูครั้งล่าสุดก็ตอนอยู่ม.ปลาย หลายปีมาแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
ว่าแล้วผมก็เปิดดูสักตอนสองตอนดีกว่า…
ตื๊อดึง~~
ตื๊อดึง~~
ตื๊อดึง~~~~
เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นถี่รัวข้างหูทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างไม่มีข้อแม้ ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นทีละนิดด้วยความงัวเงีย เมื่อดูเวลาจากหน้าจอมือถือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสามแล้ว อะไรกัน ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่าผมดูโคนันอยู่นี่นา
ผมกดเปิดดูการแจ้งเตือนที่ส่งมาจากเว็บพันทิป จริงด้วยสิ เกือบลืมไปเลยว่าผมไปตั้งกระทู้เอาไว้ ตอนนี้ผ่านมาเกือบๆ สามชั่วโมงแล้ว คงมีคนเข้ามาตอบไม่น้อยเลยสินะ
ผมค่อยๆ เลื่อนอ่านทีละความคิดเห็นด้วยใจที่จดจ่อ
‘ ความคิดเห็นที่ 1
จขกท. ลองเข้าหาโดยการแต่งคอสเพย์เป็นโคนันดูสิคะ น่าสนใจนะ’
ไม่เอาอ่ะ ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ถึงผมจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงก็ตาม
‘ ความคิดเห็นที่ 2
เข้าหาโดยการฆาตรกรรมคนๆ หนึ่งแล้วบอกคนที่จขกท.ชอบว่า
แน่จริงก็ให้โคนันมาสืบเรื่องฉันสิ วะฮ่าๆๆๆ’
ไร้สาระที่สุดเลยครับคอมเม้นนี้…
‘ ความคิดเห็นที่ 3
ทำไมจขกท.ไม่ลองเก็บเงินแล้วซื้อตั๋วไปญี่ปุ่นดูล่ะครับ
ที่นั่นชอบจัดนิทรรศกาลโคนันบ่อยๆ นะ ไม่ซื้อของก็ได้ แค่ถ่ายรูปบรรยากาศมาให้เขา ทำเป็นวีดีโอก็ดี’
เออ… คอมเม้นท์นี้น่าสนใจแฮะ
ผมปิดหน้าจอโน้ตบุคแล้วย้ายตัวเองมานอนที่เตียง หยิบมือถือคู่ใจขึ้นมาเสิจดูเกี่ยวกับเรื่องการไปประเทศญี่ปุ่น อันที่จริงผมก็แอบสนใจประเทศนี้อยู่บ้างเหมือนกันนะ มันคงจะดีไม่น้อยถ้าได้ไปที่นั่นกับคยองซู
‘จองตั๋วไป-กลับประเทศญี่ปุ่น’
ผมจิ้มที่ตัวเลือกนี้โดยไม่มีการลังเลใดๆ เมื่อรู้ราคาคร่าวๆ ที่ต้องเตรียมไปประเทศญี่ปุ่น ผมก็รีบเด้งตัวออกจากเตียงแล้วตรงมายังโต๊ะทำงานของผมทันทีเพื่อเปิดดูกระปุกที่ผมใช้เก็บเงินมาเป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว ป่านนี้จะได้เท่าไหร่แล้วนะ ไหนจะเงินในบัญชีของผมที่ได้จากการทำงานพาร์ทไทม์อีก
มันอาจจะดูเว่อร์ไปเสียหน่อย กับการลงทุนมหาศาลขนาดนี้เพื่อคนๆ เดียว
แต่ก็อย่างที่บอกไว้นั่นแหละครับ …
ว่าปาร์คชานยอลคนนี้ไม่เคยตกหลุมรักใครตั้งแต่แรกพบมาก่อน
เพราะฉะนั้นมันคงจะไม่ผิดอะไรใช่ไหมครับ
หากผมจะขอทำตามหัวใจตัวเองดูบ้างสักครั้ง…
.
.
.
“ด๊อกเตอร์คิมคะ มีคนมาขอพบค่ะ”
“หืม ? ใครเหรอครับ ?”
“ดิฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ แต่เขายืนรออยู่ด้าน…”
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงานของพ่อที่มียศเป็นด็อกเตอร์และเป็นหมอที่ขึ้นชื่อว่าเก่งที่สุดในโรงพยาบาลโซลแห่งนี้ เกือบจะสามเดือนแล้วที่ผมไม่ได้เจอหน้าพ่อเลย เพราะเวลาของเราไม่เคยตรงกัน และส่วนใหญ่พ่อก็มักจะอยู่เวรที่โรงพยาบาลมากกว่าที่บ้าน
“สงสัยว่าผมต้องมาเยี่ยมพ่อทุกวันแล้วล่ะมั้งครับ นางพยาบาลจะได้จำผมได้บ้าง”
“จงอิน” เมื่อได้เห็นผมปรากฏตัวแบบไม่ได้นัดหมายมาก่อน พ่อก็มีสีหน้าที่แปลกใจอยู่ไม่น้อยเลย
“ขอบคุณที่ยังจำชื่อลูกชายตัวเองได้นะครับ”
“แกมาทำอะไรที่นี่ กลับไป”
“ทำไมคนเป็นพ่อ ถึงได้ไล่ลูกชายตัวเองแบบนี้ล่ะครับ หรือว่ากลัวผมจะมามีเรื่องที่โรงพยาบาลอีก”
ผมพูดเย้ยหยันคนเป็นพ่อพลางหัวเราะร้าย เมื่อสองปีก่อนผมเคยมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงพยาบาลแห่งนี้นี่แหละครับ พ่อเองก็คงจะขายหน้าที่ลูกชายตัวเองมามีเรื่องในโรงพยาบาลของตัวเอง เป็นถึงคนดังเสียด้วย
ความอันธพาลและกวนตีนคนเขาไปทั่วของผมนี่แหละ… ที่ทำให้พ่อเกลียดผมมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ผมไม่แคร์หรอก ผมไม่สนใจเลย
เพราะผมเองก็เกลียดพ่อ… ไม่ต่างกัน
“แกไม่เหมาะกับที่ขาวสะอาดแบบนี้หรอกจงอิน กลับไปอยู่กับพวกกุ๊ยของแกซะ”
“กุ๊ยเหรอครับ…” ผมทุบโต๊ะทำงานพ่อ
“ถ้างั้น… ผมก็ลูกกุ๊ยสินะ”
ผลัวะ !
หมัดของพ่อพุ่งตรงมาที่กระพุ้งแก้มของผมอย่างแรง ผมได้แต่กุมแก้มตัวเองแล้วจ้องหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ อย่างเดือดดาล พ่อมักจะใช้กำลังแบบนี้กับผมเสมอ ผมเจ็บจนชินชาไปเสียแล้ว
พ่ออยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ
ในเมื่อลูกชายคนเดียวคนนี้ของพ่อมันไม่เอาไหนเสียเลยนี่
“ออกไป”
พ่อกัดฟันกรอด พูดด้วยเสียงเบาลอดผ่านฟันออกมาเพราะไม่อยากให้คนนอกได้ยินเข้า ผมจ้องหน้าพ่อตัวเองด้วยความเคียดแค้นปนโกรธอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระชากประตูให้เปิดออกแล้วกระแทกปิดอย่างแรงจนนางพยาบาลในบริเวณนั้นสะดุ้งไปตามๆ กัน
“คยองซู…”
ชื่อแรกที่ผมมักจะนึกถึงเวลาที่ทะเลาะกับพ่อหรือแม่ ผมกดโทรฯ หาคยองซูทันทีแม้เท้าจะยังก้าวไม่พ้นเขตโรงพยาบาล ถ้าจะถามว่าผมทำไมแบดบอยเย็นชาอย่างผมถึงได้ตกหลุมรักคนที่แสนดีอย่างคยองซู แทนที่จะเป็นสาวๆ สวยๆ เอ็กซ์ๆ น่ะเหรอ …
ผมว่าผมตอบได้ไม่ยากเลยล่ะ
(ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอ… จริงๆ เลยนายเนี่ย) เสียงปลายสายพูดตำหนิผมอีกครั้งเมื่อผมเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังคร่าวๆ
“ไปหาได้ไหม”
(ตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้านหรอก มาทำธุระแถวบ้านยายพอดีเลย นายอยู่ไหนล่ะ)
“กำลังจะนั่งรถกลับบ้านน่ะ”
(งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟแถวบ้านยายนะ อีกสิบห้านาที)
ว่าจบ คยองซูก็กดวางสายไปด้วยความรีบร้อน หัวใจที่เหี่ยวเฉาและหดหู่ของผมเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นทีละนิดเมื่อคิดว่าจะได้เจอคยองซูในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมเดินออกมารอรถประจำทางที่หน้าโรงพยาบาลแล้วโบกเพื่อเดินทางไปยังละแวกบ้านของผม
ทำไมถึงรักคยองซูน่ะเหรอ… ?
ก็เจ้านั่นดันเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกไว้ใจอยากระบายเรื่องส่วนตัวให้ฟังน่ะสิ
ผมคิดไม่ออกเลยว่า …
ถ้าไม่มีคยองซูสักคน ผมจะไปหาที่พึ่งทางใจได้ที่ไหน
ผมคิดไม่ออกเลย ว่าถ้าผมเสียคยองซูไป …
คนเลวๆ อย่างผม จะหาคนที่เป็นเหมือนสายน้ำมาหล่อเลี้ยงหัวใจแบบนี้จากไหนได้อีก
.. และเพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้ไม่กล้าสารภาพรักออกไปเสียที ..
.
.
“นี่พ่อนายหมัดหนักขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
พอเจ้าตัวเล็กมาถึงร้านกาแฟที่ผมเป็นฝ่ายมาถึงก่อน ก็เอาแต่ทำหน้าตกใจแล้วอุทานออกมาแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือเวทนาผมกันแน่ เพราะนี่เป็นภาพที่คยองซูมักจะเห็นอยู่บ่อยๆ
ภาพที่ผมมีแผลอยู่เต็มใบหน้าเพราะชอบไปกวนประสาทชาวบ้านเขา
“พอรู้ว่านายโดนต่อย เราก็ซื้อไอ้นี่มา” คยองซูหยิบถุงปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วชูให้ผมดูด้วยรอยยิ้ม จากใบหน้าเรียบเฉย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมกำลังยิ้มให้กับความน่ารักของเจ้าตัวเล็กนี่อยู่
ทำไมถึงเป็นคนที่เป็นห่วงคนอื่นเขาไปทั่วได้ขนาดนี้นะ คยองซู ..
“ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนั่งนิ่งๆ นะ เดี๋ยวจะเจ็บกว่าเดิม”
ว่าจบ คยองซูก็จัดการทำแผลบนแก้มและริมฝีปากของผมอย่างชำนาญ ทำให้ผมนึกไปถึงช่วงที่เรายังเป็นเพื่อนสนิทกันสมัยม.ปลาย ตอนนั้นผมกับแบคฮยอนมีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่วเพราะความปากหมาของผม จริงๆ แล้วผมคือต้นเหตุคนเดียว แต่แบคฮยอนมักจะคอยมาอยู่ข้างๆ ผมเสมอ เพราะกลัวว่าผมจะเป็นอะไรไป หมอนั่นกับผมเลยได้แผลกลับบ้านด้วยกันเป็นประจำ
พอ… ผมไม่พูดถึงมันแล้วดีกว่า
“เรียบร้อย” คยองซูพูดขึ้น เป็นจังหวะดียวกับที่ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสร็จพอดี ผมมองหน้าคนที่อยู่ใกล้ไม่กี่คืบด้วยความหลงใหล
“คยองซู…”
“หืม?”
“เคยทำแผลแบบนี้ให้ใครนอกจากฉันหรือเปล่า”
“แบคฮยอนไง”
ผมชะงักไปเล็กน้อย ลืมนึกไปว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสามคน ก็จะมีคยองซูนี่แหละคอยเป็นเหมือนแม่และพยาบาลส่วนตัวให้ เพราะคยองซูเป็นเด็กดีที่ไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเขาเหมือนผมกับแบคฮยอน อันที่จริงคือพวกผมสองคนมักจะห้ามคยองซูให้อยู่ห่างๆ ไว้มากกว่า
“ไม่ใช่สิ นอกจากฉันกับแบคฮยอน”
“อืม… ก็ยังไม่มีนะ” ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบน่าพอใจ
“คยองซู…”
“ว่าไง”
“เจ็บตรงนี้…”
ผมจิ้มที่แก้มอีกฝั่ง จริงๆ แล้วผมไม่ได้เจ็บอะไรเลย พ่อผมต่อยผมแค่หนเดียว และจุดที่โดนพ่อต่อยคยองซูก็ได้ทำแผลให้ผมเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมน่ะเหรอ ? ก็เพราะว่าผมอยากอ้อนเจ้าตัวเล็กนี่น่ะสิ
กับคยองซูแล้ว… ด้านน่ารักๆ ที่ผมไม่เคยเปิดเผยกับใคร… ก็มีแค่เจ้านี่นี่แหละที่จะได้เห็นมัน
“ไหน ขอดูหน่อย” คยองซูจับใบหน้าของผมให้หันไปอีกทางเล็กน้อยเพื่อสำรวจแผลที่ผมมโนขึ้นมาเอง
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ ไม่ช้ำไม่แดงด้วยนะ”
“หืม มันเจ็บนะ มันเจ็บจริงๆ ลองดูดีๆ สิ” วงหน้าน่ารักที่เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นทีละนิดทำให้หัวใจของผมสั่นเทิ้มไปหมด คยองซูจะรู้บ้างไหมว่าผมมีความสุขแค่ไหนเวลาที่ได้อยู่ใกล้กันแบบนี้
ไม่หรอก คยองซูไม่เคยรู้เลย…
.
.
.
“เฮ้อ”
ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่ผมเพิ่งจะเลิกงานพาร์ทไทม์ได้ไม่ถึงสิบนาที ผมก็เดินตรงมาที่ร้านกาแฟซึ่งอยู่ไม่ไกลจากซอยบ้านและที่ที่ผมทำงานอยู่เท่าไหร่นัก นี่ไม่ได้โม้นะ แต่พนักงานสาวๆ ในร้านนี้เขารู้จักผมกันหมดแหละ เพราะอะไรน่ะเหรอ…
ก็เพราะว่าแบคฮยอนคนนี้หล่อมากไงครับ
ผมค่อยๆ ผลักประตูร้านโปรดเข้าไปอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักไปทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า
ภาพที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุด…
“จงอิน” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ทั้งตาและปากค้างนิ่งเพราะยังคงทำใจไม่ได้กับภาพที่ได้เห็น จงอินกำลังยิ้มแย้มออดอ้อนคยองซูให้ทำแผลที่หน้าให้ ดูเหมือนว่าไอ้บ้านั่นจะไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้ว ถึงได้มาเข้าทางคยองซูแบบนี้ แล้วคยองซูที่ผมรู้จักดีก็มักจะตามใจมันทุกที
ผมยังไม่ได้กินกาแฟเข้าไปสักอึก… แต่ทำไมหัวใจของผมมันถึงได้สั่นขนาดนี้นะ
แต่ช่างเถอะ
ตอนนี้ผมไม่อยากกินแล้ว… ไม่อยาก… แล้ว
ระหว่างที่ผมกำลังจะหมุนตัวกลับออกไปจากร้านทั้งที่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้ามา สายตาของจงอินก็พลันสบเข้าที่ดวงตาของผมพอดิบพอดี ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆ แล้วรีบเดินออกจากร้านไป พนันกันได้เลยว่า ทันทีที่ผมหันหลังให้ มันคงจะยิ้มเยาะผมเป็นแน่
วันนี้ผมแพ้แล้ว…
“เห้ย ว่าไง ไอ้ขี้แพ้”
ยังไม่ทันที่จะเดินหนีมาได้ถึงสิบก้าว เสียงของจงอินที่ตะโกนเรียกรั้งผมเอาไว้ก็ทำให้ผมต้องรีบหันไปหาทันทีโดยไม่คิด ไอ้เวรนี่มันยืนเอามือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเอียงคอทำหน้ากวนตีนเหมือนที่ชอบทำอีกแล้ว ผมอยากจะชกหน้ามันสักหมัด ถ้าไม่ติดไอ้ผ้าปิดแผลบนหน้านั่นน่ะนะ
“มึงว่าใครขี้แพ้วะ”
“ก็มึงไง แม่งโคตรขี้แพ้เลย เห็นแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยเหรอวะ”
“กูไม่ได้รับไม่ได้ กูแค่ไม่อยากเห็นหน้าเน่าๆ ของมึง”
“ยังไงดีล่ะ … หน้าเน่าๆ แบบนี้ คยองซูก็จับมาจนทั่วแล้วซะด้วย”
“ไอเหี้ยจงอิน…”
ผมรีบพุ่งตัวเข้าหาจงอินทันทีที่ได้ยินคำเย้ยหยันแบบนั้น กำคอเสื้อของมันด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน สายตาของเราสองคนประชันกันอย่างไม่ลดละ
“มึงจะทำอะไรกูก็เอาเลยสิ กูจะได้ไปให้คยองซูทำแผลให้อีกสักหน่อย”
“มึงมันก็แค่ไอ้ลูกหมา … ใช้จังหวะอ่อนแอเรียกร้องความสนใจจากคยองซู” ผมพูดลั่น
“แต่อย่างน้อยวิธีเรียกร้องความสนใจของกูมันก็ได้ผลนี่” จงอินยิ้มเยาะ
“มึงแน่ใจได้ยังไงว่าได้ผล”
“ก็รอดูแล้วกัน… ระหว่างนี้ก็ทำคะแนนเข้าล่ะ กูกลัวจะแซงมึงจนไม่เห็นฝุ่น”
จงอินพูดจบก็แกะมือผมออกแล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ผมได้แต่เตะเสาใกล้เท้าระบายความโกรธที่ไม่สามารถลงกับตัวต้นเหตุได้ จะว่าไป ผมก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ
ผมไม่ได้ผิดไปจากที่ไอ้เวรนั่นว่าเลยแม้แต่นิด…
.
.
.
“ไปไหนของเขานะ”
ผมพูดขึ้นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเตรียมจะกดโทรหาจงอินที่จู่ๆ ก็ทิ้งผมออกไป บอกว่าจะไปหาเพื่อนคนนึง แต่นี่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ น่าจะกลับมาได้ตั้งนานแล้วสิ
RRRRRRrrrrrrrrrrr ~~
‘ JUNMYEON ’
“ว่าไงครับพี่” ผมกดรับสายพี่จุนมยอนทันทีที่หน้าจอโชว์สายเรียกเข้า ว่าแต่วันนี้พี่จุนมยอนนึกยังไงถึงได้โทรหาผมกันล่ะเนี่ย ปกติเราสองคนคุยกันแค่ในแชทเท่านั้นนะ วันนี้เป็นครั้งแรกเลยที่พี่เขาโทรหาผม
(คยองซู หันมาทางซ้ายสิ) พอได้ยินปลายสายว่าแบบนั้น ผมก็หันไปทางซ้ายตามที่พี่จุนมยอนบอกอย่างว่าง่าย และแล้วผมก็ได้พบกับพี่เขาที่กำลังยืนโบกมือหยอยๆ แล้วก็ยิ้มกว้างเสียจนแก้มจะฉีก
“มาได้ยังไงครับเนี่ย” ผมเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล
“พี่แวะมาทำงานแถวนี้นิดหน่อย เรามากับใครล่ะ”
“ตอนแรกก็มากับเพื่อนแหละครับ แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” พี่จุนมยอนพูดแล้วยิ้มใจดี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่รออีกหน่อยดีกว่า”
“อืม… งั้นพี่รอเป็นเพื่อนแล้วกัน”
ผมกับพี่จุนมยอนตกลงว่าจะนั่งรอจงอินด้วยกัน แต่เมื่อวานล่วงไปกว่าสิบนาที ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันผิดปกติ อีกทั้งยังรู้สึกเกรงใจพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย มันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลยที่พี่เขาจะต้องมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของผม
“พี่จุนมยอนกลับไปก่อนก็ได้นะครับ”
“พี่ยังไม่อยากกลับบ้านน่ะ พี่รอไหวนะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น… เรากลับกันเลยก็ได้ครับ” ผมพูดช้าๆ มือหยิบกระเป๋าขึ้นมา กวาดตามองหาจงอินเล็กน้อย
“ให้พี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดินไปก็ถึงแล้ว”
“ทางผ่านน่า พี่ไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก.. นะครับ นะ”
ทนลูกตื๊อของพี่จุนมยอนไม่ไหว สุดท้ายผมก็ยินยอมให้พี่ชายที่แสนดีที่เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานไปส่งแต่โดยดี รถของพี่จุนมยอนหรูมาก ชนิดที่ว่าชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีวันเก็บเงินซื้อไหว ก็ฐานะทางบ้านผมน่ะสิ แค่จะกินแต่ละมื้อยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย
“ลงตรงนี้แหละครับ” นั่งมาไม่ถึงสามนาทีก็ถึงหน้าบ้านของผม ผมยิ้มให้พี่ชายที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งก่อนจะโค้งน้อยๆ น่าแปลกที่พี่จุนมยอนลงรถตามผมมาด้วย หรือพี่เขาจะมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมกัน
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากส่งให้ถึงที่น่ะ”
“แต่นี่มันก็หน้าบ้านผมแล้วนะ” ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา ยิ้มแปลกใจนิดหน่อย
“เด็กน้อย”
พี่จุนมยอนหัวเราะแล้วเรียกผมแบบนั้น มือหนายกขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ อย่างเอ็นดู ผมขอเดาเลยนะว่าพี่จุนมยอนต้องอยากมีน้องชายแน่ๆ เลยมาใจดีกับผมแบบนี้ล่ะสิ
“เข้าบ้านก่อนนะครับ” ผมพูดแล้วเดินเข้าบ้านไป แต่ก็ยังไม่ลืมหันมาโบกมือลาคนใจดี พี่จุนมยอนโบกมือกลับแล้วยิ้มก่อนจะกลับขึ้นรถไป
“แบคฮยอน!” ทันทีที่เหลือบไปเห็นว่าแบคฮยอนยืนอยู่ที่หน้าบ้านผม ผมก็ตะโกนเรียกชื่อเจ้านี่ มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตอนดึกดื่นแบบนี้นะ
“คยองซู…คือ… เราถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ว่าไง” ผมรีบเปิดประตูบ้านให้อีกคนเดินเข้ามาด้วยความเคยชิน
“ผู้ชายที่เพิ่งมาส่งคยองซูเมื่อกี้นี้น่ะ ใครเหรอ”
“อ๋อ เขาชื่อพี่จุนมยอนน่ะ” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม
“จุนมยอนเหรอ…”
.
.
.
ถ้างั้นก็คงไม่ใช่สินะ…
ดูจากใบหน้าของผู้ชายร่างเล็กคนนั้นที่เพิ่งจะลูบหัวคยองซูอย่างสนิทสนมแล้ว ผมก็นึกไปว่าเขาคือคนที่ชื่อ ‘ซูโฮ’ เสียอีก คนที่ชอบคุยในแชทกับคยองซูเป็นประจำ แถมยังดันมามีชื่อเหมือนกับลูกชายเจ้าหนี้ของพ่อผมอีก
ดีจังที่ไม่ใช่คนเดียวกัน
“คยองซู ตอนนี้ว่างอยู่รึเปล่า” พอโล่งใจกับสิ่งที่เพิ่งรู้ ผมเลยแย้มรอยยิ้มกว้างและหาวิธีจะอยู่กับคยองซูอีก
“ว่างสิ มีอะไรรึเปล่า” คยองซูพูดไปถอดถุงเท้าไป ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คุณยายของคยองซูน่าจะหลับไปแล้ว เวลานี้แหละที่ผมจะได้อยู่กับคยองซูสองต่อสองเสียที
“คือ… ช่วยสอนภาษาญี่ปุ่นเราหน่อยได้ไหม” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน พลางยื่นหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งจะซื้อมาเมื่อกี้สดๆ ร้อนๆ แต่ก็ต้องทำทีเป็นว่าซื้อมานานแล้วให้คยองซูดู
ครับ… ผมเกลียดภาษาญี่ปุ่นมาก…
แต่เพราะผมรักคยองซูมากนี่แหละ
ผมเลยต้องแสร้งทำเป็นว่ารักภาษาญี่ปุ่นแบบนี้
เพราะนี่มันคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด…
ที่คนโง่อย่างผมพอจะใช้เป็นสะพานเดินไปหาคยองซูได้
“ได้อยู่แล้ว เอาสิ เราก็อยากให้นายเรียนเหมือนกัน” ว่าจบ ทั้งผมและคยองซูก็ยิ้มออกมาให้กันและกัน
… รอยยิ้มของคยองซู เป็นรอยยิ้มที่ผมอยากจะเก็บไว้ชื่นชมแค่คนเดียวเท่านั้นจริงๆ …
เราสองคนพากันเดินเข้าห้องของคยองซู เป็นห้องที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีถึงเดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยได้เข้ามาแล้วก็ตาม และทุกครั้งที่ได้เข้ามาที่ห้องของคยองซู ผมก็มักจะคิดแบบเข้าข้างตัวเองเสมอว่าผมเป็นคนพิเศษของคยองซู จนบางทีก็ลืมนึกไปเลยว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่มักจะเข้ามาอยู่ในห้องนี้เหมือนกัน
“เริ่มเลยมั้ย” ทันทีที่คยองซูวางกระเป๋าบนโต๊ะเสร็จสรรพ คนตัวเล็กนี่ก็หันมาถามผมด้วยใบหน้ากระตือรือร้นสุดๆ ผมชอบจัง
“เอาสิ เอาเลย”
เวลาผ่านไปราวชั่วโมง ผมเริ่มจะง่วงและเพลียกับการฝึกอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่น แต่เพราะมีครูที่น่ารักขนาดนี้ หัวใจของผมเลยสั่งการไม่ให้ทำตัวง่วงให้คยองซูเห็น ถึงแม้ว่าผมจะหาวไปหลายต่อหลายหนแล้วก็ตามที
“นี่ แบคฮยอน! หลับเหรอ”
“หือ………”
เสียงน่ารักของคยองซูไม่ได้ช่วยให้ผมหายง่วงเลยแม้แต่นิด ผมสัปหงกลงกับหนังสืออย่างอดรนทนไม่ไหว ผมพยายามจะควบคุมความง่วงแล้วนะ แต่มันไม่สามารถจริงๆ
“แบคฮยอน… ตื่นไปนอนดีๆ ก่อนเร็ว”
“ม่าย…อาว…อือ…”
“แบคฮ……………”
ผลุบ!
ผมฟุบลงเข้าที่ตักของครูภาษาญี่ปุ่นจำเป็นทันที ถึงความง่วงจะมีมากแค่ไหน ความต้องการจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคยองซูก็มีมากกว่าอยู่ดี เพราะฉะนั้น ที่ผมฟุบลงบนตักของคยองซูตอนนี้ เกิดจากความตั้งใจของผมล้วนๆ ไม่ใช่เพราะง่วงจนไม่มีแรงแต่อย่างใด
ขอบคุณพระเจ้า…
ที่เอื้ออำนวยเวลาแบบนี้ให้กับผม
และขอร้อง…
ว่าอย่าเพิ่งรีบพรากเวลาดีๆ แบบนี้ไปจากผมเลย
RRRRRRRRRrrrrrrrrrr ~
แต่ทำไมพระเจ้าถึงไม่เคยฟังคำขอผมเลย…
เสียงโทรศัพท์ของคยองซูดังขึ้น ทำให้ผมที่นอนอยู่บนตักรู้สึกตัวขึ้นเต็มที่อย่างช่วยไม่ได้ แต่ผมต้องแกล้งหลับเอาไว้แบบนั้นเพราะยังไม่อยากจากคยองซูไปไหน และอีกอย่าง ผมก็อยากจะรู้ด้วยว่าคราวนี้จะเป็นใครอีกที่โทรมาหาคยองซู
คงจะไม่ใช่ไอ้เจ้าของร้านหนังสือการ์ตูนนั่นอีกนะ…
และก็คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อซูโฮด้วยใช่ไหม…
“ฮัลโหล ว่าไงจงอิน”
- TO BE CONTINUED -
.
.
{ P.S. } *
เลือกเชียร์ หรืออยู่ฝั่งใครได้ตามสะดวกเลยจ้า : D
( เลือกอยู่ทีมใครได้แล้วเม้นบอกหน่อยนะ เราอยากรู้ ๕๕๕๕๕ )
ความคิดเห็น