คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ` c h a p t e r 1 ♡ { c o m p l i c a t e d }
C I R C L E
` c h a p t e r 1 ♡ { c o m p l i c a t e d }
หากจะถามถึงสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผมแล้ว… การใช้ชีวิตอยู่กับตัวเลขและหุ้นในบริษัทใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้นี่แหละคือคำตอบ
บริษัท SK กรุ๊ป จำกัด มหาชน เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยคุณพ่อของผม (คิม ซูฮยอน) คุณชเว (ชเว กีดง) คุณนายอี (อี ยูจี) และคุณนายคิม (คิม แจฮี) แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อของผมเป็นหุ้นส่วนแค่ 10% เท่านั้นแหละ เกือบจะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสุดท้ายของบริษัท โชคดีที่ยังมีคนถือหุ้นน้อยกว่าพ่อของผม นั่นก็คือคุณนายคิม แจฮี นั่นเอง ได้ข่าวแว่วๆ ว่าคุณนายแกก็มีลูกชายอยู่เหมือนกันนะ แต่ยังเรียนไม่จบเลยน่ะสิ
ส่วนผม ไม่ใช่ลูกชายคนเดียวหรอกครับ และเพราะว่าผมเป็นลูกชายคนโตของบ้านนี่แหละ เลยถูกคาดหวังจากครอบครัวมากเป็นพิเศษ ไม่งั้นผมคงไม่ต้องมานั่งทำงานงกๆ อยู่อย่างนี้หรอก พูดแล้วผมก็รู้สึกอิจฉาเจ้าเซฮุนมันเหลือเกิน หมอนั่นน่ะเป็นน้องชายแท้ๆ ของผม เราสองคนห่างกัน 3 ปี ตอนนี้หมอนั่นยังเรียนไม่จบเลยล่ะ แต่ก็ใกล้แล้ว
ยังไงก็ตาม ผมก็อยากให้น้องชายคนเดียวของผมได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักนะ ไม่ต้องมาทำงานใหญ่งานโตแบบผมหรอก ผมสงสารน่ะ
อา… พูดถึงเด็กวัยมหาลัยแล้ว ผมก็คิดถึงน้องคยองซู คนที่เพิ่งจะเจอไปเมื่อวานตอนบ่ายๆ ที่สวนสาธารณะแฮะ จะว่าไปแล้ว ผมก็รู้ชื่อเฟสบุ๊คน้องเขาแล้วนี่นา ผมควรจะกดเสิร์จแล้วแอดน้องเขาตอนนี้เลยไหมนะ น้องเขาจะตกใจหรือเปล่า
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่มือของผมมันก็กดแอดน้องเขาไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
“ทำไมรับไวนักล่ะเนี่ย ออนอยู่เหรอ…” แอดไปไม่ถึง 2 นาที มือถือผมก็ขึ้นแจ้งเตือนว่าน้องเขารับแอดผมเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้ว หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นผิดไปจากปกติ ทั้งดีใจที่ได้รู้จักคยองซูมากขึ้นอีกก้าว ทั้งลุ้นว่าน้องเขาจะจำผมได้หรือไม่
‘นี่มันพี่จุนมยอนนี่~’
“เยส!” ผมอุทานออกมาลั่นห้องทำงาน(ที่มีผมอยู่แค่คนเดียว)เมื่อคยองซูทักแชทผมมาแบบนั้น ผมรีบพิมพ์ตอบคยองซูไปด้วยความไวแสงราวกับคนไม่มีงานมีการทำ ตอนนี้เรื่องงานเอาไว้ก่อนแล้วกัน
‘ใช่ครับ พี่จุนมยอนเอง’
‘ไปเจอเฟสผมจากไหนครับเนี่ย’
‘พี่เก่งใช่มั้ยล่ะ คึ’
‘ไม่เก่ง ไม่เห็นจะเก่งเลย บอกมาเดี๋ยวนี้’
‘ไม่บอกหรอก เอ้อ นี่เที่ยงแล้วกินข้าวรึยังครับ’
‘ยังไม่ได้กินเลย พี่จุนมยอนล่ะ’
พอได้พูดเรื่องกินข้าวแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้พ่อผมนัดผมกับเจ้าเซฮุนไปทานข้าวกับครอบครัวคุณนายคิมนี่นา ผมรีบเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงหน้าทันทีที่นึกขึ้นได้
“ชิบหาย!”
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งเวลานัดของพ่อผมคือเราทั้งหมดจะเจอกันตอนบ่ายโมง ผมรีบคว้าเสื้อสูทที่ถอดแขวนเอาไว้บนเก้าอี้แล้ววิ่งลงไปที่ห้องอาหารสุดหรูของบริษัททันที โดยที่ลืมนึกไปว่าอาจมีคนบางคนรอคำตอบของผมในแชทอยู่
.
.
.
“ผมขอโทษที่มาสายครับ”
ทันทีที่ผลักประตูห้องอาหารสุดหรูนี่เข้ามา ผมก็รีบโค้งให้ทุกคนที่ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกันเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอผมอยู่ คุณพ่อมองมาที่ผมด้วยสายตาตำหนิติเตียนอย่างเห็นได้ชัด เซฮุนมองมาที่ผมที่กำลังเลิกลักแล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อยตามประสาเด็ก ส่วนคุณนายคิมนั้นเอาแต่ยิ้มให้ผมราวกับไม่ได้รู้สึกตำหนิอะไร คุณนายคิมเป็นคนที่สวยและดูไม่เหมือนคนเป็นแม่ ดูสาวและเปรี้ยวตลอดเวลา อ้อ และข้างๆ นั่นก็คงเป็นลูกชายของเธอสินะ
“จุนมยอน เซฮุน นี่จงอิน ลูกชายน้าเองจ้ะ” คุณนายคิมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเมื่อผมนั่งลงข้างๆ เซฮุนได้สักพัก ผมโค้งหัวให้ผู้ชายเจ้าของชื่อ ‘จงอิน’ น้อยๆ พร้อมกันกับเซฮุน แต่ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ปกติเซฮุนน้องชายผมมันจะไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ ทำไมวันนี้ถึงเอาแต่ยิ้มหวานแบบนี้ล่ะ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจงอิน” ผมยื่นมือไปหาคนที่นั่งตรงข้ามกับผมเตรียมจะเชคแฮนด์ด้วย แต่หมอนั่นกลับไม่ยอมยื่นมือกลับมาหาผม ได้แต่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
“หวัดดีครับ… พี่ซูโฮ” หมอนี่เรียกชื่อที่ผมใช้ในบริษัทเสียด้วย แล้วรอยยิ้มกวนประสาทแบบนั้นคืออะไร ผมว่าผมเริ่มไม่ถูกชะตากับไอ้นี่ซะแล้วล่ะ
“เรียกจุนมยอนก็ได้ครับ” ผมชักมือกลับอย่างเสียหน้า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่กวนประสาทพอกัน
“ผมกับพี่… ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“จงอิน” คุณนายคิมกระแอมปรามลูกชายตัวเองเบาๆ ผมคาดว่าคุณนายแกคงรู้แล้วล่ะว่าลูกชายตัวเองเป็นคนยังไง เพราะขนาดผมเพิ่งจะเจอไม่ถึงห้านาที ผมยังรู้เลยว่าไอ้หมอนี่มันนิสัยไม่ดี
จะอะไรก็ช่างเถอะ … ยังไงผมกับจงอินคงเจอกันไม่บ่อย หรืออาจจะเจอกันวันนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็เป็นได้
.
.
.
ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ นี่เป็นการทานอาหารที่ผมรู้สึกเคอะเขินและประหม่ามากที่สุด…
“เซฮุน กินนี่เยอะๆ นะ” พี่จุนมยอนตักปลาราดพริกของโปรดใส่จานให้ผม พี่ชายคนเดียวของผมคนนี้เป็นผู้ชายที่ทั้งเก่ง และแสนดีอย่าบอกใคร แต่ตอนนี้ต่อให้เป็นคนแสนดีแค่ไหนผมก็ไม่สนใจหรอกครับ ผมสนใจแค่ผู้ชายน่าค้นหาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมมากกว่า
คิม จงอิน …
ผู้ชายผิวสีแทนแต่กลับดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด หมอนี่อายุเท่ากันกับผม ตั้งแต่ผมมาถึงที่นี่ ผมก็ยังไม่ได้เริ่มปริปากคุยกับจงอินเลยสักคำ แว้บแรกที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นนี้ ผมเกือบหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง กว่าจะตั้งสติได้ก็โน่นแหละครับ ตอนที่คุณพ่อและคุณนายคิมแนะนำให้เราสองคนรู้จักกัน หลังจากนั้นพี่จุนมยอนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาขัดจังหวะเรา
จงอินเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่เงยหน้ามองพวกเราเลยสักนิด ผมขอเดาว่านายนี่ไม่ได้อยากมาที่นี่เลยแม้แต่นิด เพราะตอนแรกผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ผมดื้ออยู่นานกว่าจะยอมมาที่นี่ ก็ผมชอบเข้าสังคมที่ไหนกันล่ะ โดยเฉพาะสังคมบริษัทใหญ่ๆ แบบนี้น่ะ ผมเกลียดที่สุดเลย
แต่ตอนนี้… ผมขอถอนคำพูดเหล่านั้นนะครับ
“เซฮุนเรียนอยู่ปีเดียวกับจงอินเลยสินะจ๊ะ สองคนนี้ไม่เคยเจอกันที่มหาลัยบ้างเหรอ” คุณนายคิมเริ่มชวนคุยด้วยรอยยิ้ม คำถามของคุณนายทำให้จงอินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย ถึงจะเป็นการมองที่ดูกวนประสาทมาก แต่ผมกลับรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก
“เราไม่เคยเจอกันหรอกครับ” ผมแย้มรอยยิ้มกว้าง กำลังจะตอบต่อแต่จงอินกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน
“แม่นี่ก็ถามอะไรแปลกๆ ผมกับเซฮุนไม่ได้อยู่คณะเดียวกันนะ มหาลัยก็ออกจะกว้างขนาดนั้น” ทั้งคำพูดคำจาและน้ำเสียงของเซฮุนทำให้พี่จุนมยอนที่นั่งข้างๆ ผมหยุดกินไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าเพ่งสายตาไปที่นายนั่นอย่างเอาเรื่อง จริงๆ แล้วพี่ผมก็เป็นคนขี้หงุดหงิดแบบนี้แหละ เวลาเจอคนกวนตีนเข้าหน่อยก็เดือดเอาได้ง่ายๆ
“จงอิน พูดจาให้มันดีๆ หน่อยสิ” คุณนายคิมปรามลูกชายตัวเองอีกครา ส่วนตัวผมเองกลับไม่ได้คิดอะไร เพราะในสังคมมหาลัยของผม คนกวนตีนแบบหมอนี่มีเยอะแยะเกลื่อนกลาด แถมยังกวนตีนมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราคนกันเอง พูดตามที่สบายใจเถอะคุณนาย” คุณพ่อของผมที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง ด้วยความที่เป็นผู้ชาย พวกเราเลยไม่ได้ถือสากับคำพูดกวนๆ ท่าทางกวนๆ เหล่านั้นของจงอินมากนัก จะมีก็แต่พี่จุนมยอนนี่แหละที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบราวกับคนที่กำลังเซ็งกะตายอยู่
มื้ออาหารนี้อาจเป็นมื้อแย่ๆ ของพี่จุนมยอน แต่มันกลับกลายเป็นมื้อที่ดีสำหรับผมแฮะ
“อ้อ จริงด้วย แล้วจุนมยอนล่ะจ๊ะ เห็นพ่อเราบอกว่าวันนี้ตอนเย็นๆ เราต้องไปลงพื้นที่ไม่ใช่เหรอ” คุณนายคิมเอ่ยปากถามพี่ชายผมบ้าง คราวนี้จงอินคงไม่ขัดอะไรแล้วล่ะนะ
“อ้อ ใช่ครับ ผมต้องไปตรวจพื้นที่แล้วก็สร้างมิตรกับพนักงานที่ร้านการ์ตูน SK แถวมยองดงน่ะครับ” พี่จุนมยอนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีสัมมาคาราวะ และฉะฉานในแบบที่ผมเองยังแอบชื่นชมอยู่เป็นประจำ ถ้าจะให้พูดถึงบริษัทของพ่อผมแล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งเลยล่ะครับ เพราะ SK กรุ๊ปเนี่ย ทำทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งงานสถาปนิก รวมไปถึงเป็นเจ้าของร้านการ์ตูนชื่อดังที่มีหลายสาขาอีกด้วย
“พวกพนักงานยังเด็ก ถ้าเขาทำอะไรให้เราไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจเรา ยังไงก็มองข้ามๆ ไปบ้างนะจ๊ะ” คุณนายคิมพูดไปหัวเราะไป พี่จุนมยอนเองก็พยักหน้าแล้วหัวเราะตามด้วย ผมกับจงอินตัวหดเหลือนิดเดียวเมื่อพูดเรื่องงานกันแบบนี้
“ไม่ได้หรอกคุณ เราต้องเป็นเครือที่มีคุณภาพสิ จะร้านอาหารหรือร้านการ์ตูน ก็ต้องมีคุณภาพ มีมาตรฐานเดียวกัน” คุณพ่อผมพูดแย้งขึ้นมา
“นี่จุน ถ้าเจอพนักงานที่บริการลูกค้าไม่ดี แกก็จับมันมาอบรมซะนะ แต่ถ้ามันแย่มากจริงๆ ก็เอามันออกเลย พ่ออนุญาต” คุณพ่อพูดติดตลกแล้วตักข้าวเข้าปากตาม พี่จุนมยอนหัวเราะแล้วพยักหน้ารับรู้ ผมเชื่อว่าพี่ชายที่แสนดีของผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก พี่จุนมยอนของผมเป็นคนใจดี โดยเฉพาะกับคนที่เด็กกว่า
“แล้วจงอินล่ะ ชอบอ่านการ์ตูนอะไรพวกนี้บ้างรึเปล่า นี่รู้มั้ยว่าทำไมอาถึงทำธุรกิจร้านเช่าการ์ตูนด้วย ก็เพราะไอ้จุนมันชอบอ่านมากๆ ไม่ยอมหลับยอมนอนเนี่ยแหละ” คุณพ่อพูดไปหัวเราะไป พยายามจะชวนจงอินที่ดูเบื่อหน่ายกับอาหารมื้อนี้เต็มทน
.
.
.
การ์ตูน… เหรอ ?
“ไม่ชอบครับ ผมว่ามันเด็ก”
ทันทีที่ได้ยินเรื่องการ์ตูนออกมาจากคุณอาคิม ภาพแรกที่แว้บขึ้นมาในหัวของผมก็คือภาพของคยองซูที่มักจะพกการ์ตูนญี่ปุ่นไปอ่านที่มหาลัยเป็นประจำ ผมเองยังแอบสงสัยเลยว่าเจ้านั่นสอบได้ A เยอะแยะได้ยังไง ในเมื่อเวลาเรียนก็ไม่เห็นจะเรียนสักเท่าไหร่ เอาแต่อ่านการ์ตูนนี่แหละ
โคนัน… เจ้าตัวเล็กนั่นชอบอ่านโคนันที่สุด ผมจำได้แม่นเลยล่ะ
“เด็กตรงไหนล่ะครับ ทุกวันนี้คุณพ่อผมยังอ่านบ้างเป็นบางครั้งเลยนะ” ผู้ชายที่แก่กว่าผม 3 ปีพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าคาดแค้นนิดๆ ผมยิ้มมุมปากราวกับเห็นเด็กที่เจอของเล่นไม่ถูกใจแล้วพาล
“คำว่าเด็ก มันไม่ได้แปลว่าไม่ดีนี่ครับ” ผมเอียงคอมองจุนมยอนด้วยสายตากวนประสาทเช่นเคย “แต่ถ้าพี่คิดว่าตัวเองนิสัยง๊องแง๊งเป็นเด็ก ผมก็คงห้ามไม่ได้นะครับ”
“จงอิน!” แม่ผมกระทุ้งไหล่ผมอย่างแรงเมื่อได้ยินผมพูดกวนตีนอีกฝ่ายไปแบบนั้น ผมหันไปมองหน้าแม่สลับกับคุณอาคิม ก่อนจะหันมามองที่จุนมยอนอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณนาย วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ … คะนองปาก”
“นี่กำลังว่าผมอยู่รึเปล่าครับ” ผมตอบกลับทันทีที่ได้ยิน ผมรู้ว่านิสัยอย่างผมมันอันธพาล ผมถึงไม่อยากมากินข้าวแบบผู้ดีอะไรนี่เลยไง ติดตรงที่ว่าแม่เกรงใจคุณอาคิมหรอกนะ ผมถึงได้ยอมมา
“เอาล่ะๆ เด็กๆ เรากินข้าวดีๆ กันดีกว่าเนอะ” คุณอาคิมพูดขึ้นแล้วยิ้มใจดีสู้ ผมกับจุนมยอนมองหน้ากันอย่างเดือดดาล ไม่มีใครยอมหลบสายตาก่อน
“ผมอิ่มแล้วครับคุณพ่อ ผมขอตัวไปเตรียมรายงานตรวจพื้นที่วันนี้ก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะไม่ทัน” จุนมยอนรวบช้อนส้อมดังแกร๊งจนผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังกวนตีนผมอยู่ หมอนั่นโค้งให้พ่อตัวเองและแม่ผมก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไป ตอนนี้เหลือเพียงผม แม่ผม คุณอาคิม และลูกชายคนเล็กของคุณอา
หมอนี่ … น่ารำคาญชะมัด
“ขอโทษแทนจงอินด้วยนะคะคุณ ดิฉันจะอบรมลูกให้ดีกว่านี้ค่ะ” แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ผมหันไปมองค้อนแม่เล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละ ลูกชายผมก็เหมือนกัน จริงมั้ยเซฮุน”
“อ… อ้อ ครับพ่อ” เจ้าของใบหน้าเรียวพยักหน้าหงึกหงัก ดูเหมือนคนที่เอาแต่คิดเรื่องอื่นอยู่ตลอดเวลา จริงๆ แล้วไอ้เซฮุนอะไรนี่ก็เป็นคนที่หน้าตาดีมากๆ คนนึงเลยนะในความคิดผม แต่ผมว่าหมอนี่แปลกๆ … จ้องมองผมบ่อยจนผมรู้สึกได้
หน้าตาผิวพรรณก็ขาวเนียนเหมือนผู้หญิง … หวังว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้มีรสนิยมแบบชอบเพศเดียวกันเหมือนผมหรอกนะ
อันที่จริง… ผมก็ไม่ได้เป็นเกย์นะ
ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย… แต่ผมชอบคยองซู และคยองซูดันเป็นผู้ชาย ก็แค่นั้นเอง
… พูดแล้วก็คิดถึงคยองซูจัง …
.
.
.
ผมรีบสลัดความหงุดหงิดให้ออกไปโดยเร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องรีบเตรียมงานต่อ เด็กอะไรจะไร้มารยาทได้ขนาดนี้ อันที่จริงผมก็เคยเจอคนที่กวนตีนแบบหมอนั่นนะ แต่กวนตีนกันซึ่งๆ หน้า แถมยังต่อหน้าผู้ใหญ่สองคนแบบนี้ ผมยังไม่เคยเจอเลย
คนอย่างจุนมยอน ถึงจะไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดนั้น แต่กับคนมารยาททรามแบบจงอิน ยังไงผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้โมโหไม่ได้
‘กำลังทำอะไรอยู่เหรอ’
เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้นขัดอารมณ์ที่คุกรุ่นของผมให้มอดลง ตอนนี้ผมก็เปรียบเสมือนไฟที่กำลังลุกโชน และคยองซูที่เพิ่งจะทักมาก็เปรียบเสมือนน้ำเย็นๆ ที่ราดลงมาดับไฟให้มอดสิ้นไป จริงด้วยสิ ผมลืมตอบน้องไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย
‘เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงาน ไปลงพื้นที่หน่อยน่ะครับ คยองซูรอก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วพี่จะทักไป’
‘ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวน’
‘แต่พี่อยากคุยกับคยองซูนี่ครับ’
‘อะไรกัน อย่างพี่น่าจะมีสาวๆ ให้คุยตั้งเยอะ’
‘ไม่มีครับ ไม่มีเลยสักคน’
‘ทำงานได้แล้วครับ’
ผมเอาแต่ยิ้มให้หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในมือ เป็นวัตถุทรงสี่เหลี่ยมที่ทำให้ผมยิ้มออกมาราวกับคนบ้า นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ยิ้มกว้างขนาดนี้ … คงตั้งแต่ที่เริ่มทำงานในบริษัทนี้สินะ
มันคงจะดีไม่น้อย หากผมได้คุยกับน้องคยองซูทุกวันแบบนี้…
ผมผิวปากอย่างอารมณ์ดี พลางเปิดโน้ตบุคแล้วปริ๊นท์ใบตรวจพื้นที่ที่เพิ่งจะพิมพ์เสร็จไปเมื่อช่วงเช้าเพื่อเตรียมออกตรวจร้านเช่าการ์ตูน SK สาขามยองดง ที่จริงแล้วงานตรวจร้าน ลงพื้นที่แบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่ผมขอพ่อเอาไว้ ผมอยากทำงานที่ได้พบปะผู้คนบ้าง มันคงจะดีกว่าเอาแต่นั่งอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี่แหละนะ
หลังจากที่ปริ๊นท์ใบตรวจเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินลงไปที่ลานจอดรถเพื่อจะเตรียมตัวออกเดินทางไปยังร้านการ์ตูนที่เป็นจุดหมายในวันนี้ ได้ข่าวมาว่าร้านนี้รับพนักงานใหม่เมื่อสองเดือนก่อน ผมเองก็ไม่ได้ไปตรวจพื้นที่มาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน งานนี้ต้องลุยกันหน่อย
อ้อ … ว่าแล้วก็เช่าการ์ตูนโคนันมาอ่านสักเล่มดีกว่า
“สวัสดีคร้าบ สอบถามได้นะคร้าบ” เสียงที่ดูมีชีวิตชีวาดังขึ้นหลังจากผมผลักประตูใสๆ ของร้านเข้ามา พลันเหลือบไปเห็นพนักงานที่ดูเหมือนเด็กเพิ่งเรียนจบหมาดๆ ยิ้มกว้างให้ ผมได้แต่ยิ้มตอบแล้วทำทีเป็นเดินเข้าไปเลือกดูหนังสือการ์ตูน รอดูท่าทีของพนักงานคนนี้เล็กน้อยแล้วค่อยเปิดเผยตัวจะดีกว่า
“โคนันเล่มที่ 84 ยังไม่มาเหรอครับ” ผมเดินไปถามพนักงานเพื่อหยั่งเชิง หมอนี่เบิกตากว้างทั้งที่ตาตัวเองก็โตอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนัก
“เล่มที่ 84… ยังไม่มาครับ” พนักงานขายาวตอบด้วยน้ำเสียงกุกกัก
“แล้วจะมาเมื่อไหร่ครับ” ผมถามอีก
“รบกวนคุณลูกค้าแจ้งเบอร์ไว้นะครับ แล้วผมจะติดต่อกลับไปทันทีที่หนังสือมาถึงที่ร้านเลยครับ” ว่าจบ พนักงานยังหนุ่มแน่นก็รีบหยิบโพสท์อิทสีเหลืองมาให้ผมพร้อมปากกา ผมคว้าปากกามาและทำท่าว่ากำลังจะจดชื่อพร้อมเบอร์โทรฯ ของตัวเองลงไป แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้เห็นชื่อข้างบนเข้า
“คยองซูเหรอ…” ผมพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าของคยองซูแว้บขึ้นมาในหัวทันที ใช่แล้ว เมื่อวานผมเจอคยองซูแถวนี้นี่นา หรือว่าจะเป็นคนเดียวกันล่ะ
“คุณลูกค้ารู้จักคุณคยองซูเหรอครับ” พนักงานเอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่รู้จักหรอกครับ แค่ชื่อเหมือนกับน้องที่รู้จักน่ะ อยู่แถวนี้เหมือนกันเลยด้วย” ผมพูดช้าๆ “ไม่ทราบว่าใช่คยองซูที่ตาโตๆ ตัวเล็กๆ แล้วก็ดูเด็กกว่าผมสามปีมั้ยครับ?”
“อ้อ … ถ้างั้นก็คงเป็นคยองซูเดียวกันแล้วล่ะครับ”
“งั้นเหรอครับ” ผมพูดออกมาอย่างตกใจเล็กน้อย รีบหยิบมือถือขึ้นมาเมมเบอร์ของคยองซูทันทีที่ได้โอกาส โชคดีที่เจ้าพนักงานนี่ไม่ได้สังเกตหรือทักท้วงอะไร
“ปกติเขามาที่นี่บ่อยมั้ยครับ”
“ผมเพิ่งเคยเจอเมื่อวานครั้งแรกเองครับ” เจ้าของร่างใหญ่ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และค่อยๆ พูดประโยคหลังด้วยน้ำเสียงเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน “ผมเองก็อยากให้เขามาบ่อยๆ เหมือนกัน”
“ว่าไงนะครับ?” อะไรนะ อยากให้มาบ่อยๆ เหมือนกัน งั้นเหรอ
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ตกลงคุณลูกค้าจะให้ติดต่อกลับไปมั้ยครับ”
“ถ้าคยองซูมาที่นี่อีก รบกวนติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ” ผมตอบอย่างไม่คิด ลืมไปเสียสนิทว่าสิ่งที่ตัวเองตามหาอยู่คือโคนันเล่มที่ 84 ไม่ใช่คยองซู
“เอ๋… แล้วโคนันล่ะครับ” พนักงานเลิกคิ้ว
“โคนันก็ด้วยครับ เอาเป็นว่า เรื่องคยองซูสำคัญกว่า คือผมคิดถึงน้องเขาน่ะครับ ไม่ได้เจอกันนาน ถ้าเขามาแล้วรบกวนโทรหาผมเลยนะครับ” ผมกำชับ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะงงเป็นอย่างมาก สังเกตได้จากการขมวดคิ้วนั่นแล้ว
“น้องชื่ออะไรเหรอครับ” ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ผมต้องมาตรวจพื้นที่ เรื่องของคยองซูทำให้ผมลืมทุกอย่างไปเสียหมด
“ปาร์ค ชานยอลครับ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“นี่ครับ” ผมยื่นใบตรวจพื้นที่ให้เจ้าของชื่อชานยอลดู “พี่ชื่อซูโฮ วันนี้จะมาตรวจพื้นที่ซะหน่อยน่ะ”
“โอ๊ะ! สวัสดีครับ” ชานยอลทำหน้าตื่นตกใจเมื่อรู้ว่าผมเป็นใคร รีบยกมือขึ้นไหว้ผมอย่างร้อนรน
“ไม่ต้องเคารพกันขนาดนั้นหรอก เราดูตั้งใจทำงานดีนะ ทำแบบนี้ให้ได้ตลอดล่ะ” ผมพูดแล้วตบบ่าชานยอลเบาๆ เด็กคนนี้ดูเป็นคนที่ตั้งใจทำงานแถมยังสุภาพ ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแฮะ ถ้าหมดธุระแล้ว ทุกอย่างโอเคแล้ว งั้นผมกลับก่อนดีกว่า… แต่ก่อนจะกลับผมก็ไม่ลืมที่จะกำชับชานยอลอีกรอบ
“แล้วก็… อย่าลืมเรื่องคยองซูล่ะ”
.
.
.
1 อาทิตย์ผ่านไป
ผมเข้าใจแล้ว สำหรับคำพูดที่ว่า ‘เวลาของคนที่รอ กับคนที่ปล่อยให้รอ มันนานไม่เท่ากัน’ … กว่าหนึ่งอาทิตย์ของผมจะเวียนมาบรรจบได้อีกครา มันคงนานกว่าหนึ่งอาทิตย์ของคยองซูที่เอาแต่สนใจเรื่องการ์ตูนและภาษาญี่ปุ่นหลายเท่านัก ถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันเสาร์ และแน่นอนว่าผมกับคยองซูจะต้องได้เจอกันเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้คยองซูกับผมตกลงกันว่าจะไปกินกาแฟกับขนมกันก่อนที่คยองซูจะเข้ามาหาคุณยายเหมือนที่ทำเป็นประจำ
ผมแต่งตัวหล่อเหลาราวกับจะออกไปเดท ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็คือการเดทสำหรับผมนั่นแหละ แต่เป็นการเดทฝ่ายเดียว ทุกครั้งที่ผมได้ออกไปไหนมาไหนกับคยองซู ผมก็เรียกมันว่าการเดททั้งนั้น เพียงแต่ฝ่ายโน้นเขาไม่เคยรู้อะไรด้วยเลย
แต่ผมก็ยินดีนะ … ถ้าการไม่รับไม่รู้ของคยองซูจะทำให้ผมได้อยู่ใกล้ๆ เขาเรื่อยๆ แบบนี้
อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการเผยความรู้สึกออกไป แล้วก็ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝันไม่ใช่เหรอ … ถ้าผมสารภาพรักกับคยองซูไปแล้ว ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าหมอนั่นต้องรังเกียจผม และทำตัวห่างเหินออกไปจากผม แค่คิดผมก็กลัวขึ้นมาจับใจ ผมไม่เอาด้วยหรอก
เพราะขนาดคนที่ขี้ขลาดน้อยกว่าผม และดูจะไม่ค่อยเกรงกลัวอะไรอย่างคิม จงอิน ยังไม่กล้าสารภาพออกไปเลย
เอาล่ะ ผมจะไม่มัวมาเสียเวลาคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกแล้ว สิ่งที่ผมควรจะทำให้ตอนนี้ก็คือรีบแต่งตัวให้หล่อที่สุดแล้วรีบออกไปตักตวงความสุขกับคยองซูเท่านั้น
ความสุข… ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ผมก็เฝ้าภาวนาให้มันไม่น้อยลงไปกว่าที่เป็นอยู่ …
.
.
.
“รอนานมั้ย”
เอ่ยปากถามทันทีที่เห็นเพื่อนซี้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมวางกระเป๋าเป้เบาๆ แบบลวกๆ แล้วมองหน้าอีกฝ่าย ได้แต่คิดในใจว่าเจ้าแบคฮยอนมันหล่อขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า หรือเป็นเพราะทรงผมที่เซ็ตให้ดูดีกว่าปกติ
“ไม่นานหรอก จะกินอะไร สั่งกันเถอะ” แบคฮยอนยิ้มแล้วยื่นเมนูมาให้ผม ผมรู้สึกผิดตลอดเวลาที่ทำให้แบคฮยอนต้องเป็นฝ่ายรอ แต่ผมก็รีบที่สุดแล้วนี่นะ
“เอาแบบที่นายชอบกินอ่ะแหละ” ผมพูด จริงๆ แล้วคือขี้เกียจคิดเมนูมากกว่า ขนมพวกนี้ผมไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก แต่กินทีไรก็กินแต่ของเดิมๆ
ตื๊อดึง ~
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นทำให้ผมต้องหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจที่เมนูต่อ เป็นพี่จุนมยอนนั่นเองที่ทักผมมา จะว่าไปแล้วพี่ชายคนนี้ก็ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ คอยทักผมมาตลอด คอยห่วงใยว่าผมจะทำอะไรอยู่ บางทีก็เสนอตัวพาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ด้วย ถ้าผมได้มีพี่ชายแบบนี้บ้างสักคนก็คงดีสิ
ในชีวิตจริง คนที่คอยไปไหนมาไหนกับผมเป็นประจำ ก็มีแค่เจ้าคนที่นั่งตรงหน้าผม กับจงอินอีกคนเท่านั้นแหละ แต่ว่าคนหลังนี่จะไม่บ่อยเท่าแบคฮยอน พูดแล้วผมก็คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่เราชอบไปไหนด้วยกันสามคนจัง แบคฮยอนกับจงอินไม่น่ามีเรื่องกันแบบนี้เลย
เรื่องอะไรก็ไม่รู้ … บอกผมแค่ว่าเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ยอมเล่าเรื่องไร้สาระที่ว่านั่นให้ผมฟังเสียที มันน่าหงุดหงิดจริงๆ
“นี่อุตส่าห์เซ็ตผม แต่งตัวมาอย่างหล่อ ใจคอจะมองแต่โทรศัพท์เหรอครับคุณคยอง” แบคฮยอนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่หัวเราะคิกคักกับหน้าจอมือถือ ผมมัวแต่ขำกับภาพตลกๆ ที่พี่จุนมยอนเพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่จนลืมสนใจเพื่อนคนนี้ไปเลย แล้วเพื่อนคนนี้ของผมก็ดันขี้งอนเสียด้วยสิ
“โอ๋ ขอโทษนะครับคุณบยอน” ผมวางมือถือลงกับโต๊ะ ใช้มือทั้งสองข้างดึงแก้มของแบคฮยอนให้ยืดออกแล้วขำออกมาอย่างพอใจ
“ไม่ต้องมาขอโทษเลย มีแฟนแล้วใช่มั้ยเราน่ะ” แบคฮยอนยู่ปากงอนๆ แล้วส่งสายตาคาดคั้นคำตอบมาให้ผม แฟนเฟินที่ไหนกัน ผมเคยคิดเรื่องผู้หญิงเสียเมื่อไหร่
“ตั้งแต่คบเรามาหลายปีเนี่ย เคยเห็นเรามีแฟนรึไง” ผมถามด้วยสีหน้าติดตลก
“แล้วอยากมีรึเปล่า” แบคฮยอนยิงคำถามที่ทำให้ผมค้างไปชั่วขณะ ไม่ได้ค้างเพราะเขินหรือว่าอายอะไร แต่ที่ชะงักไปก็เพราะว่าสายตาของแบคฮยอนที่กำลังจ้องมองมามันแปลกเหลือเกิน
แปลก … อย่างบอกไม่ถูก
“ไม่เห็นอยาก” ว่าจบก็หยิบมือถือขึ้นมาตอบแชทพี่จุนมยอนต่อเพื่อหลบตาสายคาดคั้นนั่น แต่แบคฮยอนก็เอาแต่ถามเรื่องที่ผมไม่อยากตอบอยู่นั่นแหละ
“ถามจริงๆ เถอะ สเป็คคยองซูเป็นยังไงเหรอ”
“แบบแบคฮยอนไง” ผมตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะทั้งตาและประสาทมัวแต่จดจ่ออยู่กับแชท
“ห๊ะ!?”
“อ่อ เราจะหมายถึงว่า ผู้หญิงที่นิสัยแบบแบคฮยอนไง เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อื้อ ก็เคย แต่เราอยากรู้ลึกกว่านั้นนี่”
“ผู้หญิงที่เข้ากับคนแก่ได้ดี แล้วก็มีน้ำใจ เรียกหาเมื่อไหร่ก็มาหาได้ตลอด แถมยังเป็นเพื่อนเวลาทุกข์ได้ ผู้หญิงแบบนี้แหละที่เราอยากได้มาเป็นแฟน แต่มันคงยาก ชาตินี้เราคงจะไม่มีแฟนแล้วมั้ง” ผมพูดไปขำไป จริงๆ ผมก็เคยบอกเจ้านี่ไปสองสามหนแล้วนะว่าผมชอบคนแบบนี้ แบบที่แบคฮยอนเป็นอยู่ ความจริงถ้าแบคฮยอนเป็นผู้หญิง ผมคงขอเป็นแฟนไปนานแล้วล่ะ … โอ๊ะ ผมล้อเล่นนะ
“เค้กมาแล้ว กินกันเหอะ” ยังคุยกันไม่ถึงไหน พนักงานก็เดินมาเสิร์ฟเค้กให้พวกเรา ผมละความสนใจจากมือถือทันทีที่ของกินมาอยู่ตรงหน้า ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนมองว่าผมนิสัยเหมือนเด็กปอสี่
“คยองซู ป้อนผมหน่อยดิครับ”
“อะไร” ผมมองอีกคนอย่างเอาเรื่อง ถึงนี่จะเป็นนิสัยปกติที่แบคฮยอนชอบทำ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยชินอยู่ดี แบบนี้สินะ สาวๆ ถึงได้เข้าหาอย่างไม่ขาดสาย
“ก็ดูสิ พี่เขาให้ส้อมมาแค่อันเดียว แบบนี้คยองก็ต้องป้อนเราสิ” แบคฮยอนพูดจบก็รีบอ้าปากรอ ผมหมั่นไส้จนต้องเอาส้อมทิ่มแก้มเจ้านี่เบาๆ
“ก็ผลัดกันกินซี่ รีบนักรึไง” ผมพูดไปขำไป
“เออๆ กินเองก็ได้วะ ไม่ง้อก็ได้” แบคยอนเบ้ปากน่ารัก ผมอดขำออกมาอีกรอบไม่ได้ แต่ถึงจะยังไงผมก็ยังยืนยันคำเดิมนั่นแหละ ที่ว่าอยู่กับแบคฮยอนแล้วรู้สึกโอเคที่สุด เพราะหมอนี่เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากที่กินเค้กกันจนไม่เหลือแม้แต่ซาก ผมกับแบคฮยอนก็นั่งคุยกันนิดหน่อย ระหว่างที่คุยกับแบคฮยอน ผมก็ตอบแชทพี่จุนมยอนไปด้วย ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ผมคุยกับคนอื่นมากกว่า เพื่อนคนนี้ไม่เคยหยิบมือถือมาเล่นเลยเวลาอยู่กับผม บางทีผมก็แปลกใจเหมือนกันนะว่าเจ้านี่ไม่คุยกับแฟนบ้างหรือไง เพราะปกติเวลาผมทักอะไรไปก็ดูรีบร้อนตอบราวกับเล่นมือถืออยู่ตลอดเวลา ผมล่ะสงสัยจริงๆ
RRRRRRRRrrrrrrr ~~
“สวัสดีครับ” ผมรับสายเมื่อจู่ๆ ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย
(สวัสดีครับคยองซู นี่ผมชานยอลจากร้านเช่าการ์ตูน SK นะครับ)
“อ้อ จำได้แล้วครับ ว่ายังไงครับ โคนันมาแล้วเหรอ”
.
.
.
เกลียด.. ผมล่ะเกลียดโคนันอะไรนี่เป็นที่สุด
ผมเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่มันแย่งความสนใจคยองซูไปจากผม ผมเกลียดโคนันเพราะคยองซูเอาแต่อ่านมันจนไม่สนใจที่ผมพูดสมัยที่เราเคยเรียนด้วยกัน ผมเกลียดภาษาญี่ปุ่นเพราะคยองซูเอาแต่หัดเรียนหัดเขียนมันจนไม่ยอมสอนการบ้านเลขผม แต่ผมต้องแสร้งทำเป็นว่าผมชอบภาษาญี่ปุ่น เหตุผลน่ะเหรอ... เฮอะ ช่างมันก่อนเถอะ
ผมมองคยองซูที่วันนี้ดูจะติดมือถือมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่มานั่งอยู่ตรงหน้าผมเนี่ย นับครั้งที่วางมือถือไว้กับโต๊ะได้เลย นี่เจ้านี่คุยกับใครนักหนากัน ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เสียหน่อย แล้วไหนจะที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตอนนี้อีก คุยไปยิ้มไปแบบนั้น ถึงจะเป็นเรื่องการ์ตูนบ้าบออะไรนี่ก็เถอะ ผมก็หวงของผม จะเข้าใจกันบ้างได้ไหมล่ะเนี่ย น่าหงุดหงิดจริงๆ
“อ้อครับ เพิ่งกินเสร็จเลยล่ะ”
แล้วดูสิครับ มีอย่างที่ไหนกัน เป็นเจ้าของร้านการ์ตูนไม่น่าจะมาถามสารทุกข์สุขดิบอะไรกันขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ หมอนั่นคงจะถามคยองซูว่า กินข้าวรึยัง สินะ คยองซูเลยตอบไปแบบนี้ ยิ่งได้ยินคยองซูคุยกับคนแปลกหน้าด้วยรอยยิ้มแบบนี้ผมก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมไม่รีบๆ วางสายไปสักทีนะ ก็คุยธุระกันเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอไง
แต่ยังไงก็ตาม วันนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่คยองซูแชทด้วยเป็นใคร…
หวังเพียงอย่างเดียว ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่ คิม จงอิน
“เดี๋ยวเราไปจ่ายเงินแป๊บนึงนะ” หลังจากที่วางสายจากไอ้คนแปลกหน้านั่นเสร็จ คยองซูก็รีบคว้ากระเป๋าเป้แล้วลุกไปที่เคาท์เตอร์ทันทีโดยที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ไปด้วย มื้อนี้คยองซูขอร้องว่าจะเป็นคนเลี้ยงผม หลังจากที่ผมเลี้ยงมาโดยตลอด จังหวะที่คยองซูลุกไปเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ ‘คนๆ นั้น’ ทักแชทมา ผมรีบหยิบมือถือของคยองซูมาดูด้วยความร้อนรนทันที
‘suho says : กินขนมอร่อยเลยสิ’
ซูโฮ…
ซูโฮเหรอ…
… เหมือนกับว่าผมจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อนนะ …
‘จำไว้นะแบคฮยอน... แกต้องจำชื่อนี้เอาไว้ คิมซูฮยอน’
คำพูดของพ่อผมแว้บขึ้นมาในหัวทันทีที่พยายามนึก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมว่าผมเคยได้ยินชื่อซูโฮจากปากพ่อเหมือนกัน และคิดว่าต้องเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ชื่อคิมซูฮยอนนี่แน่ๆ …
และในที่สุด ความทรงจำตอนผมอายุ 15 ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในหัวทีละนิด บทสนทนาของผมกับพ่อที่คุยกันเมื่อห้าหกปีก่อนดังก้องขึ้นในหัวผม ภาพที่เราสองพ่อลูกคุยกันเรียงต่อกันเป็นฉากๆ
‘ลูกชายของคุณซูฮยอน หล่อเหลาทีเดียวล่ะ คุณซูโฮ’
‘ทำไมพ่อต้องเปิดรูปคุณสองคนนี้ให้ผมดูด้วยล่ะครับ’
‘ก็เพราะว่าครอบครัวนี้ มีบุญคุณกับเรามากน่ะสิ…’
‘บุญคุณยังไงเหรอครับ’
‘ตอนที่พ่อกำลังลำบาก เขาเป็นคนยื่นมือมาช่วย … เงินแปดล้านมันไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยนะแบคฮยอน รีบโต รีบทำงาน แล้วรีบมาใช้หนี้เขาซะ’
ถ้างั้นก็แปลว่า… คนที่กำลังคุยกับคยองซูในตอนนี้ เป็นคนๆ เดียวกับลูกชายคนที่พ่อเป็นหนี้แปดล้านน่ะสิ
ไม่หรอก…
ไม่หรอกมั้ง…
… ผมได้แต่ภาวนาให้เป็นแค่คนที่ชื่อเหมือนกัน แม้ชื่อนี้จะแปลกแค่ไหนก็ตาม …
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น