คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ` c h a p t e r 1 1 ♡ { l a s t i n g }
เปิดจอง ! ฟิค circle :: คลิกที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียด ขอบคุณค่ะ ^^
C I R C L E
` c h a p t e r 1 1 ♡ { l a s t i n g }
ผมไม่เคยมีความสุขเท่าตอนนี้มาก่อนเลย
ถึงแม้ว่าคนอย่าง คิม จงอิน จะผ่านผู้หญิงมามากหน้าหลายตา และรู้สึกว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระจนกระทั่งได้มาพบกับคยองซู แต่ความรักที่ผมมีต่อคยองซูมันเป็นแค่รักข้างเดียวเท่านั้น ทำไมผมถึงได้ดื้อดึงอยู่ได้ตั้งนานกันนะ
ถ้าเซฮุนไม่เดินเข้ามาในชีวิต ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะจมอยู่กับความโง่เขลานั่นไปอีกนานเท่าไหร่
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะตีสองแล้ว หลังจากที่ผมไปส่งเซฮุนกลับบ้าน ผมก็ขับรถเล่นรอบเมืองเพราะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ เมื่อมาถึงบ้าน สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ความสุขที่ผมเพิ่งได้รับจากเซฮุนพังทลายลงจนหมดสิ้น
… แม่ของผมกำลังนัวเนียอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง …
และผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่พ่อของเซฮุนด้วย
“แม่!!”
ผมไม่ใจแข็งและอารมณ์เย็นพอที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ หรอก ผมตะโกนออกไปแบบนั้นจนทั้งแม่และชายนิรนามต้องรีบผละตัวออกจากกัน ผมไม่สนหรอกว่าคนมากตัณหาตรงหน้าผมทั้งสองคนจะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่หรือไม่ ที่คิดออกเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือผมเกลียดแม่
ผมเกลียดที่แม่เป็นคนแบบนี้ เกลียดที่สุด
“จ… จงอิน ทำไมเข้าบ้านดึกเอาป่านนี้…” แม่มองหน้าผมด้วยความอึ้ง น้ำเสียงสั่นเทาราวกับหวาดกลัวผมสุดชีวิต ชายแปลกหน้ารีบติดกระดุมตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้าผม
“ทำไมเหรอครับ ผมจะกลับเวลาไหนมันก็เรื่องของผม แล้วแม่กล้าดียังไงถึงได้มาเล่นชู้ในบ้านแบบนี้!!” ผมตะคอกใส่หน้าแม่จนชายแปลกหน้าคนนั้นสะดุ้งไปเล็กน้อย ดูจากหน้าแล้วน่าจะเด็กกว่าแม่ผมอยู่หลายปี และเผลอๆ ก็คงจะเป็นพนักงานในบริษัทของแม่ด้วยซ้ำ
“จงอิน แกอย่ามาตะคอกแม่นะ”
“ผมเป็นลูกชายแม่นะครับ .. มีลูกชายที่ไหนรับได้บ้างที่แม่ตัวเองมีชู้”
“แม่ก็แค่…”
“แม่ก็แค่บ้าตัณหา หมกมุ่นในกามอารมณ์ แล้วพ่อของพี่จุนมยอนล่ะครับ เลิกกันไปแล้วหรือไง หรือว่าเด็กมันเคี้ยวง่ายกว่า!!”
เพี๊ยะ !
ผมโดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนแม่ที่คลอดผมมากับมือตบหน้า ความเจ็บปวดที่เพิ่งแล่นเข้ามาที่แก้มข้างซ้าย มันเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กำลังก่อตัวอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของผม
น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลรินลงอาบแก้ม ไม่ใช่เพราะเจ็บกาย แต่ผมเจ็บหัวใจมากต่างหาก
“แม่ใช่มั้ยครับ… ที่สั่งคนไปเก็บพี่จุนมยอน”
“คิมจงอิน!!”
ก่อนหน้าวันที่พี่จุนมยอนฆ่าตัวตายประมาณสองวัน ผมได้ยินแม่คุยกับชายชุดดำคนหนึ่งที่หน้าบ้าน โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าผมกำลังแอบฟังอยู่ แม่พูดเกี่ยวกับเรื่องสั่งเก็บคน ซึ่งไอ้เรื่องสั่งเก็บคนจากปากแม่ผม มันเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว
แม่ผมสนิทกับมาเฟียใหญ่ของโซลล์ จึงไม่แปลกที่จะมีเรื่องแบบนี้ แต่แม่ได้วางมือจากวงการมาเฟียมานานแล้ว ผมจึงรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ แม่ก็คิดจะเก็บคนแบบนี้อีก
ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นพี่จุนมยอน
“แม่คิดว่าชีวิตคนเรามันมีค่ามากแค่ไหนเหรอครับ ถึงได้ไปทำลายชีวิตคนที่มีอนาคตแบบนั้น”
“แกพูดอะไรของแก”
“แม่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ได้ เพราะเดี๋ยวไอ้บ้านี่ก็ต้องโดนแม่เก็บเหมือนกัน… เพราะมันรู้ความลับของแม่แล้ว”
“คิมจงอิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
แม่ตะคอกผมสลับกับหันไปมองชายแปลกหน้าวัยละอ่อนที่กำลังยืนหน้าซีดและขมวดคิ้วราวกับงงที่ผมพูดทั้งหมด ผมเชื่อว่านี่เป็นข้อมูลใหม่ที่ชู้คนนี้ของแม่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และตอนนี้สีหน้าของชายคนนี้ก็ดูไม่จืดเลย
“กลับไปก่อนไป”
แม่หันไปพูดกับชายวัยอ่อนกว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ทำให้ชายคนนี้ต้องรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหางจุกตูดออกไปจากบ้านผมทันที ไม่รู้เพราะว่าไม่อยากมายืนฟังพวกผมทะเลาะกัน หรือว่ากลัวเสียจนไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้แล้วกันแน่
“แกรู้ได้ยังไงว่าแม่สั่งเก็บจุนมยอน”
“มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมรู้ได้ยังไง มันสำคัญตรงที่ว่าพี่เขาตายไปแล้ว และแม่ก็คือต้นเหตุ”
“ก็เพราะมัน… เพราะมันกำลังจะแฉแม่ในอีกไม่ช้าไง แกอยากเห็นแม่ตัวเองล่มจมรึไงจงอิน!”
“แล้วแม่… อยากเห็นผมตายตามพี่เขาไปมั้ยล่ะครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่กลั้นเสียงสะอื้น หัวใจของผมมันแบกรับอะไรแทบจะไม่ไหวแล้ว นี่ไม่ใช่หนแรกที่ผมรู้เรื่องสกปรกแบบนี้ของแม่ แต่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้ต่างจากครั้งแรกที่รู้เลยแม้แต่น้อย
เจ็บเจียนตายเหมือนกันไม่มีผิด
“จ… จงอิน… ลูก…”
“ผมน่าจะตายไปซะ จะได้ไม่ต้องมารู้เรื่องสกปรกของแม่อีก”
สิ้นประโยคนี้ ผมก็รีบหันตัวกลับแล้วเดินออกจากบ้านไปยังโรงรถทันที แม่พยายามเรียกชื่อผมเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถรั้งผมเอาไว้ได้ ผมรีบขับรถออกจากบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายที่กำลังจะไปคือที่ไหน รู้แต่ว่าผมไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว
พ่อ… คือคนแรกที่ผมนึกถึงในเวลาแบบนี้
ทันทีที่นึกออก ไม่ถึงสิบห้านาที ผมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลโซลล์ พ่อไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ซึ่งผมรู้มาจากเซฮุนว่าพักนี้พ่อมักจะเหนื่อยง่าย เลยจำเป็นต้องนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆ อาการของพ่อทรุดลงช้าๆ แต่ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะพ่อได้รับการดูแลอย่างดีจากทางโรงพยาบาล ผมเองก็เป็นกังวลเหมือนกันว่าพ่อจะเป็นอะไรไปสักวัน
แล้วถ้าถึงวันนั้น ผมจะอยู่อย่างไร
“พ่อ…”
ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ สิ่งที่ผมพบคือพ่อกำลังวุ่นอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า นี่มันเกือบจะตีสี่แล้ว แต่พ่อก็ยังทำงานไม่หยุด ผมไม่แปลกใจเลยที่พ่อจะทรุดลงทุกวันๆ
“แกมาที่นี่ตอนนี้ทำไม… หรือว่าที่บ้านมีเรื่องอะไร”
พ่อทำหน้าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมปรากฏตัวในเวลาที่ไม่เหมาะไม่ควรแบบนี้ แต่พ่อไม่ได้ใช้เสียงดุแบบเมื่อก่อน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อเหนื่อยเกินกว่าจะมาต่อกรกับผมก็ได้
“ที่บ้าน… ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”
“เงินหมดหรือไง”
“พ่อครับ…”
“ไม่ต้องมาใช้น้ำเสียงแบบนั้น มีอะไรก็ว่ามา”
พ่อเริ่มถอดแว่นออกแล้วจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้ผมกลับไม่รู้สึกโกรธหรือโมโหอะไรเลยแม้แต่นิด กลับกัน ผมรู้สึกได้ว่าแววตาของพ่อนั้น คือแววตาที่แสนจะอ่อนโยน … อ่อนโยนยิ่งกว่าดวงตาคู่ไหนๆ
ผมเดินเข้าไปใกล้จนประชิดตัวพ่อแล้วค่อยๆ ใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดรอบตัวพ่อจากด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ เอาคางเกยลงที่ไหล่อุ่นของพ่อ น้ำตาของผมไหลลงมาช้าๆ อีกครั้งทั้งที่ผมพยายามกลั้นมันเอาไว้อยู่นาน
ไออุ่นจากร่างกายของพ่อ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า .. พ่อคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตหนึ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่
“ผมคิดถึงพ่อ”
.
.
.
วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติแม้จะเป็นวันเสาร์ ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า ซึ่งเป็นเวลาที่ผมไม่เคยตื่นมาก่อน แต่เพราะว่าวันนี้ผมกับแบคฮยอนตั้งใจว่าจะไปช่วยจัดงานศพของพี่จุนมยอน ผมกับแบคฮยอนเลยนัดกันไว้ว่าจะตื่นกันแต่เช้าแล้วรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด
เมื่อผมแต่งตัวเสร็จและกำลังจะออกจากบ้าน ก็พบว่าแบคฮยอนมายืนรอผมที่หน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว เป็นเรื่องแปลกมากที่แบคฮยอนตื่นเช้าได้ขนาดนี้ ถึงแม้ว่าผมจะบังคับก็เถอะ ปกติแบคฮยอนจะต้องอิดออดและเสร็จช้ากว่าผมนี่นา
ผมรู้นะว่าลึกๆ ในใจของแบคฮยอนก็รู้สึกอยากช่วยพี่จุนมยอนไม่น้อยไปกว่าผมเลย
เราสองคนพาตัวเองมาถึงที่งานศพของพี่จุนมยอนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณพ่อและคุณแม่ของพี่จุนมยอนกำลังง่วนอยู่ พวกเราจึงเดินเข้าไปทักทายเซฮุนก่อนแทน สีหน้าเซฮุนดูสดชื่นกว่าเมื่อวันก่อนมากจนผมแอบสงสัยว่าเซฮุนจะทำใจได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ
“มากันแต่เช้าเชียวนะ ขอบใจมากเลยที่อุตส่าห์มาช่วย” เซฮุนพูดกับผมและแบคฮยอน พลางเหลือบตามองต่ำที่มือของพวกเราสองคน และแอบยิ้มน้อยๆ เพราะเห็นเราสองคนจับมือกันไม่ห่าง
“อ้าว นั่นใช่คยองซูรึเปล่าจ๊ะ”
เสียงของคุณแม่พี่จุนมยอนดังขึ้นจากทางขวาในขณะที่ผมกำลังทักทายกับเซฮุนอยู่ ผมรีบหันไปทำความเคารพคุณแม่ที่มาโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว คุณแม่ยิ้มอ่อนโยนให้ผมแล้วคว้าข้อมือผมเดินไปที่ไหนสักที่
“มีอะไรเหรอครับคุณแม่”
“แม่ลืมให้เราดูเอกสารสำคัญที่พี่จุนมยอนเขาตั้งใจจะให้เราน่ะ”
“เอกสาร?” ผมเลิกคิ้ว ในใจก็แอบคิดว่ามันอาจจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องเรียนที่ญี่ปุ่น แต่ผมกลับคิดผิด
“น… นี่มันอะไรกันครับคุณแม่”
ผมอ้าปากค้างเมื่อก้มลงอ่านเอกสารที่คุณแม่เพิ่งยื่นให้ มันคือเอกสารการยืนยันการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีลายเซ็นของพี่จุนมยอนกำกับอยู่ และมันมีชื่อผมซึ่งเป็นผู้รับอยู่ด้วย
พี่จุนมยอนรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นโรคไต
“จุนมยอนทำทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอคยองซูเซ็นยืนยันเท่านั้น ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้วจ้ะ”
เสียงของคุณแม่กลายเป็นลมเป็นอากาศไปโดยปริยายในเวลานี้ เหมือนกับโลกหยุดหมุน ผมเอาแต่จมอยู่ในห้วงความคิดจนลืมสนใจเสียงรอบข้าง มันสับสนและปนเปไปหมด ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงก่อนดี
และจู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณเค”
แบคฮยอนเขย่าตัวผม ก่อนจะขยับตัวมาอ่านเอกสารที่อยู่ในมือผม ผมเชื่อว่าถ้าแบคฮยอนอ่านจบ เขาคงอึ้งไปไม่น้อยเพราะนี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยบอกใครเลยแม้แต่คนเดียว คนที่รู้มีเพียงครอบครัวของผมเท่านั้น
“ไตเหรอ… ทำไมพี่เขาต้องบริจาคไตให้คุณเคด้วยล่ะ” แบคฮยอนค่อยๆ พูดออกมา ดวงตาจ้องตรงมาที่ผมอย่างคาดคั้นคำตอบ แต่สิ่งที่ผมให้กลับไปมีเพียงความเงียบเท่านั้น
ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรตอนนี้
“คุณเค…” แบคฮยอนเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมเขย่าตัวผมไปด้วย “คยองซู…”
“คุณบี เดี๋ยวช่วยงานศพเสร็จแล้วเค้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเองนะ”
“แต่ว่านี่มั………”
“นะครับ”
คำพูดของผมทำให้แบคฮยอนเลิกคาดคั้นแม้ว่าสีหน้าจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ผมจัดการเซ็นชื่อของผมลงในเอกสารแล้วเก็บเอกสารนี้ไว้ในกระเป๋าอย่างดี คุณแม่พี่จุนมยอนดูจะงงไปเล็กน้อยที่แบคฮยอนไม่รู้เรื่องนี้ แต่คุณแม่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร คงจะเป็นเพราะมีเรื่องอื่นให้คิดให้ทำมากกว่านี้อีกเยอะ
ผม แบคฮยอน และเซฮุนช่วยกันจัดงานศพจนทุกอย่างเสร็จสิ้นไปด้วยดี ผมปลีกตัวออกมายืนมองรูปของพี่จุนมยอนอยู่นาน ดวงตาของผมจ้องไปที่ดวงตาของพี่จุนมยอนไม่กระพริบ
ดวงตาที่อบอุ่น และอ่อนโยนทุกครั้งที่ได้มอง
ดวงตาที่มีแต่ความรักบริสุทธิ์… ความรักที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
ผมเอ่ยปากพูดกับรูปภาพตรงหน้าราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต ผมคิดว่าผมจะทำใจเรื่องพี่จุนมยอนได้แล้ว และคิดว่าจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องพี่เขาอีก แต่ผมกลับคิดผิด ตอนนี้น้ำตาของผมไหลพรั่งพรูเสียจนผมนึกรำคาญตัวเองที่เอาแต่ฟูมฟายแบบนี้
ทำไมพี่จุนมยอนถึงได้ดีกับผมขนาดนี้ … แล้วทำไมพี่เขาถึงไม่อยู่ให้ผมได้ตอบแทนอะไรเลย
“คุณเคครับ กลับกันเถอะ”
ผมตื่นจากภวังค์และรีบปาดน้ำตาลวกๆ ทันทีที่แบคฮยอนเดินมากอดเข้าจากด้านหลัง ผมรีบสะบัดความเศร้าโศกออกไปจากหัวให้หมดเพราะไม่อยากให้คนที่ผมรักเป็นกังวล ผมควรจะเลิกร้องไห้ได้แล้ว
“อื้อ เค้าหิวข้าวแล้ว”
“วันนี้กินอะไรกันดีน้า”
“ไม่รู้เหมือนกัน คุณบีอยากกินอะไรล่ะ”
“เอาตามความจริงเลยมั้ย มันมีอยู่อย่างนึงที่เค้าอยากกินมานานแล้ว”
“หืม อะไรอ่ะ”
“เค้าอยากกินคุณเค”
พอได้ยินคำพูดลามกแบบนั้น ผมก็รีบกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าท้องของแบคฮยอนทันที ถึงมันจะเป็นคำพูดที่คนพูดพูดได้อย่างหน้าตาเฉย แต่แบคฮยอนจะรู้ไหมว่าผมเขินมากขนาดไหน แม้ว่านี่มันจะเป็นนิสัยปกติของแบคฮยอนไปแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเขินทุกที
.
.
การพูดคุยกับแบคฮยอนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและเกือบลืมความทุกข์ไปเสียหมด ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารข้างทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารประจำของพวกเรา เราไม่จำเป็นต้องกินอาหารในร้านหรูๆ เราไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงๆ
เราแค่อยู่ด้วยกัน เราแค่มีกันและกัน แค่นั้นมันก็อิ่มทั้งท้องและใจแล้ว
“เดี๋ยวเค้าไปตักน้ำให้นะ”
ว่าจบแบคฮยอนก็เดินไปตักน้ำเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ และจังหวะที่แบคฮยอนลุกไปนี้เอง สายโทรเข้าจากแบคฮยอนก็ดังขึ้น ผมมองมันสักพักก่อนจะถือวิสาสะรับสายแทน ตั้งใจไว้ว่าจะบอกให้คนปลายสายรอสักครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร คนปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
(แบคฮยอน ฉันคิดถึงนาย)
“………………”
(นายเป็นเด็กที่ทำงานดีมากจนฉันเสียดาย วันนี้ฉันเลยมาดูกล้องวงจรปิดของเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นายทำน้ำหกใส่คุณผู้หญิง ภาพมันชัดเจนมากเลยนะว่าชานยอลจงใจเดินชนนาย นายไม่ได้ผิดเลยแม้แต่นิด)
“………………”
(แบคฮยอน นายจะไม่พูดอะไรกับฉันหน่อยเหรอ)
ผมรีบกดวางสายทันทีที่จบประโยคนี้เพราะแบคฮยอนกำลังจะหันกลับมา ผมทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจกำลังคุกรุ่นจะแย่ แบคฮยอนถือน้ำสองแก้วมาแล้วค่อยๆ วางลงบนโต๊ะ ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะถามออกไปดีไหม แต่ด้วยความอยากรู้ ผมเลยตัดสินใจถามแบคฮยอนออกไป
“คุณบี…”
“หืม?”
“ทำไมคุณบีถึงได้ลาออกนะ”
“อ้อ… ก็เค้าทำน้ำหกไล่ลูกค้าวีไอพีจนโดนสั่งให้ออกน่ะสิ” แบคฮยอนพูดไปหัวเราะไป ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ผมถามไปสักเท่าไหร่
“ทำหกเองเลยเหรอ…”
“อื้อ ก็ทำหกเองนี่แหละ เค้าสะเพร่าเองอ่ะ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้มีใครมาชน”
“หืม…” แบคฮยอนที่ตอนแรกง่วนอยู่กับการดูดน้ำเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วเล็กๆ
“ก็… ปกติคุณบีไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนี่”
“แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะไม่ซุ่มซ่ามตลอดชีวิตนี่นา”
แบคฮยอนพูดไปหัวเราะไปอย่างติดตลก ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะซักแบคฮยอนไว้เพียงเท่านี้เพราะกลัวว่าแบคฮยอนจะระแคะระคายอะไรเข้า และผมก็ไม่อยากให้อาหารมื้อนี้กร่อยด้วย
ส่วนเรื่องชานยอล… ผมจะเป็นคนจัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน
.
.
.
หลังจากที่เราทานมื้อเย็นด้วยกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็แยกกับแบคฮยอนเพราะวันนี้เราทั้งคู่เหนื่อยกันมามาก ถึงอย่างนั้น กว่าเราสองคนจะแยกกันได้ก็นานอยู่พอสมควร ก็อีกฝ่ายเล่นงอแงจะกอดจะหอมผมอยู่นั่น ผมเลยต้องเอาใจคนที่ชอบทำตัวเหมือนเด็กเสียหน่อย
ผมเดินเข้าห้องตัวเอง สิ่งแรกที่คิดออกคือเรื่องของชานยอล ผมรีบควักมือถือขึ้นมาโทรหาชานยอลด้วยใจที่ร้อนรุ่ม ทั้งที่ผมมั่นใจว่าชานยอลคือคนกลั่นแกล้งแบคฮยอนจนโดนไล่ออก แต่ยังไงผมก็อยากรู้ความจริงจากปากเจ้าตัวอยู่ดี
“ฮัลโหล ชานยอล”
(มีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงได้โทรมาได้)
“มีแน่”
(หืม?)
“นายใช่มั้ยที่เป็นคนชนแบคฮยอนจนแบคฮยอนทำน้ำหกใส่ลูกค้าน่ะ”
(ฮ่ะๆๆๆ พูดเรื่องอะไรเนี่ย)
“ยอมรับกับเรามาเถอะ แล้วเราจะไม่ถือโทษโกรธอะไรเลย เราแค่อยากคุยด้วยดีๆ)
(อยากคุยด้วยดีๆ เหรอ…) ชานยอลเงียบไปพักหนึ่ง
(ถ้าอยากคุยด้วยดีๆ งั้นก็มาคุยกันที่บ้านเราสิคยองซู เราเองก็อยากให้ดูอะไรดีๆ เหมือนกัน)
.
.
.
ไม่นานหลังจากที่ผมวางสายจากคยองซูไป คยองซูก็รีบปรี่มาที่คอนโดของผม เชื่อแล้วล่ะว่าคยองซูรักแบคฮยอนมาก มากเสียจนต้องระเห็จมาที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว แต่นั่นก็คงเป็นเพราะคอนโดผมไม่ไกลจากบ้านคยองซูด้วยแหละมั้ง
“มาไวกว่าที่คิดเอาไว้นะ” ผมเปิดประตูต้อนรับแขกคนสำคัญที่ผมคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้มาเยือนบ้านผมแบบนี้ คยองซูไม่แม้แต่จะยิ้มให้ผม ถึงแม้ว่าผมจะส่งยิ้มไปมากน้อยขนาดไหน ก็ได้เพียงสีหน้าเรียบเฉยที่ส่งกลับมา
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” คยองซูนั่งลงที่ห้องรับแขกของผม ผมเดินไปรินน้ำเย็นมาให้คยองซูแต่คนตัวเล็กกลับไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของคยองซูเอาแต่จ้องมองมาที่ผมอย่างคาดคั้น
“โอเคๆ เข้าเรื่องเลยก็ได้”
“นายทำแบบนั้นทำไม ถ้าต้องการจะให้แบคฮยอนล่มจม แทนที่จะเป็นแบคฮยอน ทำไมถึงไม่เป็นเรา”
“ก็เพราะเรารักคยองซูไง เรารักคยองซู และไม่เคยอยากให้คยองซูเจ็บปวด คนที่สมควรเจ็บคือมัน”
“คิดผิดแล้วล่ะ…” คยองซูยิ้มเยาะ
“ถ้าแบคฮยอนเจ็บ เราเองก็จะเจ็บเหมือนกัน… เจ็บมากกว่าด้วยซ้ำ”
คำพูดของคยองซูทำให้ผมเริ่มโกรธ ไม่มีอีกแล้วชานยอลคนที่เคยใจเย็นและอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา คยองซูทำให้ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ผมก็มาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นคนเดิมแล้วเสียด้วยสิ
“รักมันมากสินะ”
“ใช่ รักมาก แล้วก็จะรักไปอีกนาน”
“คยองซู”
“ทำไมล่ะ รับไม่ได้เหรอ”
ผมจ้องตาอีกฝ่าย ดวงตาที่ผมเคยจ้องมองแล้วรู้สึกดี อบอุ่นหัวใจทุกครั้ง ในตอนนี้กลับกลายเป็นอีกอย่างไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความชัง ความขยะแขยงในตัวผม
“แล้วไหนล่ะที่ว่าจะให้ดูอะไรน่ะ”
คำพูดของคยองซูทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ อันที่จริงผมไม่มีอะไรจะให้คยองซูดูแม้แต่อย่างเดียว ใช่ ผมโกหก โกหกเพื่อที่จะล่อลวงให้คยองซูมาหาผมที่นี่ โดยที่คยองซูคงคิดไม่ถึงว่าผมกำลังจะทำอะไร
“เดินตามมาสิ”
ผมเดินนำคยองซูเข้ามาที่ห้องนอนของผม คยองซูเองก็ใช่ว่าจะไว้ใจผมเสียทีเดียว ดูจากท่าทีที่คนตัวเล็กค่อยๆ เดินตามผมมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ ผมทำเป็นรื้อหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักเพื่อตบตาคนที่กำลังจ้องมองผมอยู่
“ว้า แย่จัง ของที่อยากให้ดูมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้สิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท มองหน้าคยองซูด้วยสายตาที่ผมคิดว่ามันคงจะร้ายกาจที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มองคยองซูมา
“อะไรของนายน่ะชานยอล” คยองซูเริ่มขมวดคิ้ว ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาคยองซูจนเกือบจะประชิดตัว ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้ คยองซูก็ยิ่งชักเท้าถอยห่างออกไป จนร่างเล็กยืนชิดติดมุมกำแพงห้องในที่สุด
ช่วยไม่ได้นะ มายั่วโมโหผมก่อนเองทำไมล่ะ
“หลอกเราทำไม”
ผมกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น มือหนาเชยคางมนของคนตัวเล็กขึ้นแล้วค่อยๆ แตะริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากอิ่มของอีกคน ผมพยายามดูดเม้มริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่จูบตอบผม แต่ก็ไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ จนผมรู้สึกแปลกใจ
ผมค่อยๆ ผละริมฝีปากออกแล้วจ้องตาอีกคน ดวงตาที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ อะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้เลย
เพิกเฉยกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ผมใช้จมูกซุกไซร้ซอกคอขาวของคนที่กำลังยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เริ่มใช้ลิ้นหนาโลมเลียไปที่ใบหูของคนตัวเล็กหวังปลุกอารมณ์อีกฝ่าย และกระชากคยองซูให้ลงมานอนบนเตียงก่อนขึ้นคร่อมโดยเร็ว
… ไม่มีเสียงร้องออกมาจากปากคยองซูเลยแม้แต่แอะเดียว …
และถึงแม้คนที่กำลังนอนนิ่งอยู่ใต้ร่างผมจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังเล้าโลมรูปปั้นอยู่ ผมกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่นิด ลิ้นของผมยังคงละเลงไปทั่วซอกคอขาวเนียน หนำซ้ำยังขบเม้มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ มือผมเริ่มล้วงไล้ใต้เสื้อตัวจิ๋ว ปัดป่ายทั่วหน้าท้องเนียนที่กำลังหดเกร็ง
ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นไปหวังจะจูบเข้าที่ริมฝีปากอิ่มนั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ผมพบ กลับทำให้หัวใจผมกระตุกจนเกือบจะหยุดเต้น
… คยองซูกำลังร้องไห้ …
“ค… คยองซู” ผมชะงัก การกระทำทุกอย่างหยุดอยู่แต่เพียงเท่านั้น ค่อยๆ ชักมือที่ตอนแรกสอดซุกอยู่ใต้เสื้ออีกคนออกมาแล้วจ้องตาคยองซูด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นคยองซูร้องไห้
“ทำไมล่ะชานยอล หยุดทำไม… ทำต่อสิ ทำให้เสร็จเลยสิ”
“คยองซู…”
“ถ้าทำแบบนี้แล้วจะทำให้นายเลิกราวีแบคฮยอนของเรา ก็เอาเลย ทำจนกว่าจะพอใจเลยสิ”
คำพูดของคยองซูเปรียบเสมือนเข็มจำนวนร้อยเล่มที่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงหัวใจของผม เสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้อยู่นาน และน้ำตาของคยองซู ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวมากขึ้นไปอีก
เลว… เสียจนไม่น่าให้อภัย
“เราขอโทษ” ผมพูดแล้วค่อยๆ ลงมาจากร่างของคยองซู คยองซูเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเช็ดน้ำตาตัวเองเช่นกัน ผมนั่งหันหลังให้คยองซูเพราะไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไปดี ผมอยากให้คยองซูตบผม ตีผม หรือจะด่าอะไรผมก็ได้ ขอแค่อย่าเงียบแบบนี้
“คิดอะไรอยู่… ถึงได้ทำกับเราแบบนี้”
หลังจากที่เราทั้งสองหันหลังให้กัน และจมอยู่ในความเงียบอยู่นาน คยองซูก็พูดออกมาแบบนั้น น้ำเสียงของคยองซูสั่นเทาจนผมนึกอยากจะกอดปลอบ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวคยองซูแล้ว… ไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว
ผมขาดสติถึงขนาดนี้ได้ยังไง
“เราขอโทษ คยองซูคือเราขอโทษจริงๆ เราไม่ได้ตั้……”
“นายตั้งใจ”
“……………”
“นายตั้งใจจะหลอกให้เรามาหา แล้วก็ตั้งใจจะทำแบบนี้แต่แรก เถียงสิว่าไม่ใช่”
“………………”
“ยังไงล่ะ ถ้าได้ร่างกายของเราไปแล้ว… คิดเหรอว่าจะได้หัวใจของเราไปด้วย”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ชานยอล เราผิดหวังในตัวนายมากจริงๆ เสียแรงที่เคยรู้สึกดีและคิดว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง เรามันโง่เอง”
“คยองซู!”
คยองซูรีบคว้ากระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังผมพูดอะไรอีก ผมปล่อยให้คนตัวเล็กจากผมไปโดยที่ผมไม่แม้แต่จะรั้งเอาไว้ ผมควรจะปล่อยให้คยองซูเป็นอิสระเสียที
ใช่… ผมควรจะปล่อยคยองซูไปได้สักที
ถึงคยองซูจะไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย แต่น้ำตา และใบหน้าที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่มิดแบบนั้นของคยองซูสามารถบอกแทนคำพูดได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวเจ็บปวดกับการกระทำของผมมากแค่ไหน
และในวันนี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตลงไปแล้ว
การทำให้คยองซูเจ็บปวด การทำให้คยองซูมีน้ำตา … คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด
ผมทำมันลงไปแล้ว … ทำมันทั้งหมดด้วยตัวของผมเอง
มันคงจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดเรื่องบ้าๆ พวกนี้เสียที
ผมจะหยุดเรื่องทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้ ผมไม่ต้องการให้คยองซูเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
แบคฮยอน … ฉันขอยอมแพ้
ฉันยอมแพ้นายแล้ว ยอมหมดแล้วจริงๆ
.
.
.
“ครับๆ เดี๋ยวเค้าไปหานะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะทุ่มนึงแล้ว ผมรับสายของคยองซูแล้วรีบเด้งตัวไปหาแฟนตัวเองเพราะจู่ๆ คยองซูก็โทรมาหาผมทั้งที่เราสองคนเพิ่งแยกกันไปเมื่อสามชั่วโมงก่อน และที่สำคัญ เสียคยองซูดูเพลีย ดูล้าแปลกๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่คยองซูกลับบอกว่าแค่คิดถึงผม อยากนอนกอดผม
ผมมาหยุดยืนที่หน้าบ้านคยองซู คนตัวเล็กรีบเดินออกมารับผมแล้วพากันเดินเข้าห้องด้วยความเคยชิน ถ้าสังเกตไม่ผิด ผมว่าผมเห็นตาคยองซูแดงแปลกๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หรือว่าคยองซูจะคิดถึงพี่จุนมยอนจนร้องไห้ออกมาอีก
เอาเป็นว่าผมจะไม่ถามอะไรก็แล้วกันนะ
“ทำไมอยู่ๆ นึกอยากนอนกอดเค้าล่ะ เหงาเหรอ” ผมพูดในขณะที่คยองซูเดินจูงมือผมมานั่งที่เตียง คยองซูหันมายิ้มให้ผมแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“เค้าแค่อยากอยู่ด้วย…” คนตัวเล็กเว้นวรรค “อยากอยู่กับคุณบีตลอดเวลาเลย”
“งั้นเค้าควรย้ายบ้านมาอยู่กับคยองซูเลยดีมั้ย” ผมพูดติดตลก
“เค้าแค่รู้สึกว่า เวลาอยู่กับคุณบีแล้วเค้าปลอดภัย”
“ใครบอกว่าปลอดภัย นี่เค้าคิดจะปล้ำตัวเองทุกวันเลยนะ”
ผมเอาแต่พูดติดตลกพร้อมพ่นเสียงหัวเราะเพราะหวังจะให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้น แต่แล้วจู่ๆ คยองซูก็โผเข้ากอดผม ใบหน้าของคนตัวเล็กซุกเข้าที่แผ่นอกของผม และยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนกำลังโหยหาไออุ่น
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่กลับใช้มือหนาของผมกอดเอวอีกคนเอาไว้ และใช้มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นลูบผมนิ่มของคยองซูด้วยความรัก
คยองซูค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของผมแล้วใช้ขาพาดคร่อมตัวของผมเอาไว้ การกระทำนี้ของคยองซูทั้งทำให้ผมตกใจและใจสั่นไปพร้อมๆ กัน ร่างเล็กที่กำลังนั่งคร่อมตักผมอยู่ค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบรอบคอของผมเบาๆ ก่อนเชยคางของผมขึ้นแล้วจรดริมฝีปากลงมาประทับที่ริมฝีปากของผม
ถึงจะประหลาดใจอยู่มากเพราะเดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ถูก แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกดีกับรสจูบที่หวานละมุนนี้ของคยองซู ลิ้นเล็กสอดเข้ามาในโพรงปากของผมก่อนอย่างไม่เคอะเขินเหมือนเช่นทุกที แถมยังเล็มเลียจนทั่วริมฝีปากของผม น้อยครั้งนักที่คยองซูจะทำแบบนี้
ตักตวงความหวานจากโพรงปากของกันและกันอยู่นานจนลมหายใจขาดห้วง คนตัวเล็กก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากอวบอิ่มออกไปอย่างอ้อยอิ่ง มือน้อยๆ ทั้งสองข้างยังคงจับแก้มของผมเอาไว้มั่น คยองซูจรดปลายจมูกเรียวลงมาที่จมูกของผม พ่นลมหายใจอุ่นออกมาช้าๆ เบาๆ
และแล้วคยองซูก็สร้างความประหลาดใจให้ผมต่ออีกระลอก คนตัวบางมองตาผมอยู่นานแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นผิวที่ทั้งขาว และเนียนละเอียด ชวนสัมผัส ยากที่จะละสายตาไปมองทางอื่นได้
“คยองซู…”
ผมเรียกชื่อคนรักด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถึงจะยอมรับว่าชอบในการกระทำสุดเซอร์ไพร์สแบบนี้ของคยองซู แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะคยองซูไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน นอกจากอ้อนเป็นแมวในครั้งนั้น
คยองซูไม่ตอบ แต่เลือกที่จะส่งยิ้มยั่วยวนให้ผมแทน พร้อมกับค่อยๆ ถอดเสื้อของผมออกตามแล้วดันตัวผมให้นอนราบลงกับเตียง มือเล็กลูบไล้แผงอกของผมแผ่วเบา ก่อนจะประเคนจูบดูดดื่มให้ผมอีกครั้ง
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ผมรู้สึกดีเหลือเกิน
คยองซูค่อยๆ เลื่อนตัวลงแล้วลากจมูกขึ้นลงตั้งแต่ซอกคอของผม ไล่ไปจนถึงแผ่นอก และหน้าท้องแกร่ง เรือนร่างเนียนลื่นมือของคยองซูที่กำลังเสียดสีไปทั่วร่างของผมทำให้ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงสงสัยในการกระทำนี้อยู่ดี
“เดี๋ยวสิ… คุณเค… ทำไม…”
“อยากกินมานานแล้วไม่ใช่เหรอ… งั้นก็กินซะวันนี้เลยสิ”
คยองซูกระซิบข้างหูของผมแผ่วเบา เป็นเสียงกระซิบที่สร้างความเสียวซ่านได้ไม่น้อย ทั้งขนแขนและขนขาของผมลุกซู่โดยพร้อมเพรียง คยองซูเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ คนตัวเล็กค่อยๆ ก้มลงแตะลิ้นลงมาที่ยอดอกของผมก่อนจะเลียวนรอบๆ สลับดูดเม้มจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบ
ภาพคยองซูที่อยู่บนร่างผมตอนนี้ ไม่ใช่แม่เสือสาว ไม่ใช่นางแมวยั่วสวาท แต่กลับเหมือนเด็กน้อยที่กำลังกินขนมหวานอยู่อย่างเอร็ดอร่อย … ผมลอบยิ้มโดยที่คนตัวเล็กไม่ทันได้สังเกตเห็น ถึงการกระทำของคยองซูจะเปรียบได้กับเด็กน้อย แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีมากอย่างประหลาด หรือไม่ก็เพราะว่าเหมือนเด็กน้อยนี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีได้ขนาดนี้
ผมเอื้อมตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะมองอีกคนได้ถนัด ลิ้นเล็กของคยองซูกำลังสนุกสนานอยู่กับการหยอกล้อจุกสีเข้มของผม ภาพของเจ้าของวงหน้าน่ารักที่กำลังปรือตาลงเล็กน้อย บวกกับลิ้นเล็กที่แลบออกมาเลียริมฝีปากตัวเองจนชุ่มทำให้สติของผมขาดผึง
หมดสิ้นแล้วซึ่งความอดทน .. ผมเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีเลือดมีเนื้อ และแน่นอน มีความต้องการไม่ต่างจากใครๆ .. กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาเพราะพยายามจะอดกลั้นไม่ให้ตัวเองล่วงเกินคยองซูกำลังจะพังทลายลง ในเมื่อผมรับรู้แล้วว่าคยองซูเองก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือรังเกียจเรื่องแบบนี้ แล้วผมจะทนเฉยอีกได้อย่างไร
ผมพลิกตัวคยองซูให้นอนใต้ร่างทันทีที่สบโอกาส คยองซูยกยิ้มเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอผม ใบหน้าของเราห่างกันเพียงน้อยนิด ดวงตาทั้งสองคู่สอดประสานกันเนิ่นนาน
ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคยองซู เป็นทั้งการมองด้วยความรักที่เปี่ยมล้น และเป็นการมองในเชิงขออนุญาตไปพร้อมๆ กัน
จมูกของผมเริ่มลากไปตามพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ ที่ทั้งนุ่มนิ่มและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนสัมผัส น่าหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด .. ผมจูบซับและเล็มเลียปลายคางมน ก่อนเปลี่ยนทิศทางไปซุกไซร้แถวกกหู พลางพ่นเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูคนใต้ร่าง
“จะกินให้อร่อยเลยครับ”
.
.
.
เสียงหอบหายใจถี่รัวของผมกับคยองซูดังสลับกันระงมหลังจากบทรักของเราทั้งสองเพิ่งจะจบลงไป หากจะเปรียบกับเพลง เพลงๆ นี้ก็คงจะเป็นเพลงรักที่ไพเราะ นุ่มละมุน เนิบนาบค่อยเป็นค่อยไป แต่ฟังแล้วลื่นหู อยากกลับมาฟังอีกไม่รู้จบรู้สิ้น
เฉกเช่นเดียวกันกับเรือนร่างของคยองซู เรือนร่างที่เนียนละเอียดไปเสียทุกส่วนจนแทบจะหาที่ตำหนิไม่ได้ เรือนร่างที่ยิ่งได้ค้น ได้หา ได้เห็นมากขึ้นเท่าไหร่ ความหลงใหลก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ไม่ใช่แค่รัก แต่ผมทั้งรักทั้งหลงคยองซูมากเหลือเกิน
ช็อคโกแล็ตเหรอ ? ขนมเค้กเหรอ ? วาฟเฟิลเหรอ ? ... ของพวกนี้เคยเป็นของโปรดของผมมาตลอดยี่สิบกว่าปี แต่วันนี้ผมคงต้องบอกลาของพวกนั้นไปได้เลย … เพราะผมมีของโปรดใหม่แล้ว เป็นของโปรดที่ทั้งหวาน ทั้งหอม ทั้งนุ่มนิ่มเกินกว่าของหวานใดๆ บนโลกนี้
โด คยองซู … คือสิ่งที่ผมโปรดปรานมากที่สุด
จากตอนแรกที่ทิ้งตัวลงพ่นลมหายใจหอบเหนื่อยอยู่บนร่างของคนตัวเล็ก ตอนนี้ผมเลยค่อยๆ ย้ายตัวเองลงมานอนข้างๆ คยองซูแทน มือหนาดึงอีกคนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง พร้อมกับดึงผ้าห่มมาห่มให้ด้วย
ผมทั้งลูบ ทั้งจูบลงบนผมนิ่มของคยองซู ร่างกายทุกส่วนที่ตอนแรกก็ว่าน่าทะนุถนอมอยู่แล้ว ตอนนี้มันกลับน่าทะนุถนอมและมีค่ามากกว่าเดิม แม้กระทั่งเส้นผมของคยองซู ผมยังมีความรู้สึกอยากจะแตะต้องมันอย่างเบามือเลยด้วยซ้ำ
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการมาโดยตลอด แต่ก็เป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรก ผมกลับมีความต้องการอยากจะทำครั้งที่สอง ครั้งที่สามทันทีที่ครั้งแรกเพิ่งจบลงไป จะว่าผมบ้ากามก็ยอม แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสเรือนร่างชวนฝันของคยองซูแล้ว ก็คงจะต้องเป็นแบบผมไปเสียทุกรายแน่นอน
หวงแหน … ยิ่งได้ครอบครองร่างกายนี้ ผมก็ยิ่งหวงแหนมากขึ้นไปอีก
คยองซูเป็นของผมแล้ว
คิดขึ้นมาได้แบบนั้น ผมก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ยิ้มอะไร” คยองซูที่อยู่ในอ้อมกอดของผมถามขึ้นหลังจากเงยหน้ามองผมที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมรู้ว่าคยองซูรู้ดีว่าผมกำลังคิดเรื่องอะไร เพียงแต่คนตัวเล็กคงแค่อยากจะแซวเท่านั้น
“นี่ ถามทำไมไม่ตอบ” ผมเอาแต่จ้องหน้าคยองซู ไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นจนคนตัวเล็กต้องยกหมัดขึ้นต่อยแก้มผมเข้าให้ ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหอมแก้มของคยองซูไปฟอดใหญ่แทนคำตอบ
RRRRRRRrrrrr~
ระหว่างที่ผมกำลังนอนกกคยองซูใต้ผ้าห่มอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู และชื่อของสายเรียกเข้าที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ทำให้ผมต้องเบิกตากว้าง
‘คิมจงอิน’
คิม จงอิน ที่ไม่โทรหาผมมาหลายปีแล้ว เว้นเสียแต่คราวนั้นที่นัดผมออกไปหาเรื่อง
“อะไร” ผมกรอกเสียงเบื่อหน่ายใส่ปลายสาย
(เราเซฮุนเอง)
“หืม เซฮุน?” คำพูดของผมทำให้คยองซูหันขวับ
(แบคฮยอน ตอนนี้นายว่างงานอยู่ใช่มั้ย)
“อ… เอ่อ เอ้อ ใช่”
(ถ้ายังหางานใหม่ไม่ได้ นายอยากมาทำงานแทนเรามั้ยล่ะ)
“หืม งานอะไรเหรอ”
(เราทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อของจงอินอยู่ แต่เรากำลังจะลาออกแล้ว และตอนนี้ก็ยังหาคนมาทำแทนไม่ได้เลย)
“ผู้ช่วยคุณหมอคิมเหรอ…”
(งานไม่หนักหรอก สบายๆ แถมยังเงินเดือนดีด้วยนะ … โอ๊ยย จั๊กจี๋นะจงอิน เอามือออกไปก่อนได้มั้ยเนี่ย…)
“………………”
(เราแนะนำจริงๆ นะแบคฮยอน … (เซฮุนนา ขอคุยกับแบคมันหน่อยสิ) แป๊บนึงนะแบคฮยอน จงอินขอคุยด้วย)
“…………”
(นี่แบคฮยอน ถ้าแฟนกูโทรไปหามึงอีกโดยที่ไม่ใช่เรื่องงาน มึงต้องรีบบอกกูนะ)
“ห๊ะ ? แฟน ?”
(เออ เซฮุนนี่แหละแฟนกู เอาเป็นว่าถ้าสนใจจะทำงานแทนเซฮุนก็โทรกลับมาละกัน จะวางแล้วนะ หวง)
“เดี๋ยวจงอิน ! มึง…”
(อ้อ รักกับคยองซูนานๆ นะ ถ้าคยองซูเป็นอะไรไป มึงตายแน่ … แล้วไว้เจอกันมึง)
จบประโยค จงอินก็กดวางสายไปโดยไม่รอให้ผมได้เอ่ยปากพูดอะไร ผมได้แต่อ้าปากค้างด้วยความงุนงง จงอินกับเซฮุนคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมตอนนี้ยังอยู่ด้วยกันอีก ผมควรจะช็อคหรือดีใจก่อนดีล่ะ
“มีอะไรเหรอคุณบี” คยองซูที่นอนฟังอยู่นานเอ่ยปากถาม
“เซฮุนโทรมาขอให้เราไปทำงานต่อให้น่ะ แต่… จงอินอยู่ด้วย”
“สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทนะคุณเค สองคนนั้นเป็นแฟนกันแล้วด้วยล่ะ”
“หา!?”
คยองซูตะโกนลั่น เบิกตาโตราวกับคนเพิ่งรู้ความลับระดับชาติ แถมยังอุทานออกมาไม่เป็นภาษาจนผมต้องใช้สายตามองแบบค้อนๆ นี่คยองซูจะตกใจอะไรนักหนาน่ะ
“ทำไม คุณเคหวงมันเหรอ เสียดายมันเหรอไง” ผมแกล้งพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ใช่นะ แต่ว่ามันกระทันหันอ่ะ…”
“ใช่ซี้ เค้ามันไม่เซ็กซี่แบบจงอินใช่ม้า”
“อะไรเนี่ย”
คยองซูหัวเราะลั่น มือเล็กยกขึ้นบีบจมูกผมจนแทบแบนติดเป็นเนื้อเดียวกัน มันมีอะไรน่าตลกตรงไหนกันล่ะครับ นี่ผมคิดมากจริงๆ นะ บางทีคยองซูอาจจะผิดหวังในรูปร่างที่ไม่เซ็กซี่เท่าของจงอิน ฟังดูปัญญาอ่อนไหมล่ะครับ นี่ไม่ตลกนะครับ ผมซีเรียสอยู่นะ
โอเค ผมยอมรับว่าผมปัญญาอ่อนก็ได้
“ต่อให้จงอินมาแก้ผ้าตรงหน้า เค้าก็ไม่สนใจหรอก”
“ให้มันจริงเถอะ เอางี้ ถ้าจงอินแก้ผ้า แล้วเค้าใส่เสื้อผ้าครบอ่ะ คุณเคจะสนใจใครมากกว่ากัน”
“เค้าก็จะเดินไปหาจงอิน…”
“เนี่ย ดูดิ!”
“เดินเข้าไปบอกจงอินว่า ใส่เสื้อผ้าเถอะ อย่ามาโชว์เลย แฟนเราเซ็กซี่กว่าจงอินเยอะ”
พูดจบคยองซูก็หอมแก้มผมไวๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างจนปากเป็นรูปหัวใจ คนตัวบางในอ้อมกอดของผมตอนนี้น่ารักเสียจนผมนึกอยากจะจัดชุดใหญ่อีกสักชุดสองชุด อยากจะปลุกปล้ำ ขย้ำขยี้ให้คยองซูหอบตายคาอกผมไปเลย
ผมยิ้มอย่างมีความสุข เฉกเช่นเดียวกับคยองซู สีหน้าของคยองซูดูมีความสุขและสดชื่น ผิดกับตอนแรกที่เรียกให้ผมมาหา ดูเหมือนว่าคยองซูจะลืมเรื่องที่เคยทุกข์ไปแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมหวังเอาไว้
หวังว่าผมจะเป็นคนที่ทำให้คยองซูมีความสุข และยิ้มกว้างๆ แบบนี้
มือหนาของผมกระชับอ้อมกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น อ้อมกอดที่คยองซูชอบบอกว่ามันอบอุ่นกว่าอ้อมกอดของใครๆ และรู้สึกปลอดภัยเสียยิ่งกว่าอะไรดีเวลาที่ได้อยู่ได้อ้อมกอดของผมแบบนี้
ภาพของจงอินและเซฮุนลอยขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง ผมนึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เรื่องราวทั้งหมดจบลงแบบนี้ ทุกฝ่ายต่างมีความสุข และลงเอยกันด้วยดี ต่อจากนี้ก็แค่ทำทุกวันให้ดีที่สุดก็พอ ในอนาคตอาจมีบททดสอบอีกมากมายที่รอเราสองคนอยู่ แต่หากเรายังจับมือกันแน่นอยู่แบบนี้ ก็คงไม่มีอะไรมาทำลายความรักของเราได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ผมก็จะยังเป็นแบคฮยอนคนเดิมคนนี้
คนที่รัก คนที่พร้อมจะปกป้องคยองซูเสมอ และตลอดไป
- TO BE CONTINUED -
ปล.1 ต้องขออภัยที่ไม่ได้ลงฉาก NC ที่สมบูรณ์แบบนะคะ กลัวจะโดนเด็กดีสอยค่ะ T_T
NC ที่ขาดหายไปจะอยู่ในเล่มค่ะ ถ้าอยากอ่านกดสั่งจองกันได้เลย : P
ปล. 2 ฟิคเรื่องนี้จะจบที่ตอน 13 นะคะ อีกสองตอนก็จบแย้ว เย้เฮ่ททท!
ความคิดเห็น