ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { FIC } Circle. 「 BaekDo ft. KaiHun 」

    ลำดับตอนที่ #12 : ` c h a p t e r 1 1 ♡ { l a s t i n g }

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 57








    เปิดจอง ! ฟิค circle :: คลิกที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียด ขอบคุณค่ะ ^^











    C I R C L E

    ` c h a p t e r 1 1 ♡ { l a s t i n g }







     








     

     

       

     








    ผมไม่เคยมีความสุขเท่าตอนนี้มาก่อนเลย

     

    ถึงแม้ว่าคนอย่าง คิม จงอิน จะผ่านผู้หญิงมามากหน้าหลายตา และรู้สึกว่าความรักมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระจนกระทั่งได้มาพบกับคยองซู แต่ความรักที่ผมมีต่อคยองซูมันเป็นแค่รักข้างเดียวเท่านั้น ทำไมผมถึงได้ดื้อดึงอยู่ได้ตั้งนานกันนะ

     

    ถ้าเซฮุนไม่เดินเข้ามาในชีวิต ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะจมอยู่กับความโง่เขลานั่นไปอีกนานเท่าไหร่

     

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะตีสองแล้ว หลังจากที่ผมไปส่งเซฮุนกลับบ้าน ผมก็ขับรถเล่นรอบเมืองเพราะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ เมื่อมาถึงบ้าน สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ความสุขที่ผมเพิ่งได้รับจากเซฮุนพังทลายลงจนหมดสิ้น

     

    แม่ของผมกำลังนัวเนียอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

     

    และผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่พ่อของเซฮุนด้วย

     

     

    “แม่!!

     

    ผมไม่ใจแข็งและอารมณ์เย็นพอที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ หรอก ผมตะโกนออกไปแบบนั้นจนทั้งแม่และชายนิรนามต้องรีบผละตัวออกจากกัน ผมไม่สนหรอกว่าคนมากตัณหาตรงหน้าผมทั้งสองคนจะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่หรือไม่ ที่คิดออกเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือผมเกลียดแม่

     

    ผมเกลียดที่แม่เป็นคนแบบนี้ เกลียดที่สุด

     

    “จจงอิน ทำไมเข้าบ้านดึกเอาป่านนี้…” แม่มองหน้าผมด้วยความอึ้ง น้ำเสียงสั่นเทาราวกับหวาดกลัวผมสุดชีวิต ชายแปลกหน้ารีบติดกระดุมตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้าผม

     

    “ทำไมเหรอครับ ผมจะกลับเวลาไหนมันก็เรื่องของผม แล้วแม่กล้าดียังไงถึงได้มาเล่นชู้ในบ้านแบบนี้!!” ผมตะคอกใส่หน้าแม่จนชายแปลกหน้าคนนั้นสะดุ้งไปเล็กน้อย ดูจากหน้าแล้วน่าจะเด็กกว่าแม่ผมอยู่หลายปี และเผลอๆ ก็คงจะเป็นพนักงานในบริษัทของแม่ด้วยซ้ำ

     

    “จงอิน แกอย่ามาตะคอกแม่นะ”

    “ผมเป็นลูกชายแม่นะครับ .. มีลูกชายที่ไหนรับได้บ้างที่แม่ตัวเองมีชู้”

    “แม่ก็แค่…”

    “แม่ก็แค่บ้าตัณหา หมกมุ่นในกามอารมณ์ แล้วพ่อของพี่จุนมยอนล่ะครับ เลิกกันไปแล้วหรือไง หรือว่าเด็กมันเคี้ยวง่ายกว่า!!

     

    เพี๊ยะ !

     

    ผมโดนตบเข้าที่หน้าอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนแม่ที่คลอดผมมากับมือตบหน้า ความเจ็บปวดที่เพิ่งแล่นเข้ามาที่แก้มข้างซ้าย มันเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กำลังก่อตัวอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของผม

     

    น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลรินลงอาบแก้ม ไม่ใช่เพราะเจ็บกาย แต่ผมเจ็บหัวใจมากต่างหาก

     

    “แม่ใช่มั้ยครับ ที่สั่งคนไปเก็บพี่จุนมยอน”

    “คิมจงอิน!!

     

    ก่อนหน้าวันที่พี่จุนมยอนฆ่าตัวตายประมาณสองวัน ผมได้ยินแม่คุยกับชายชุดดำคนหนึ่งที่หน้าบ้าน โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าผมกำลังแอบฟังอยู่ แม่พูดเกี่ยวกับเรื่องสั่งเก็บคน ซึ่งไอ้เรื่องสั่งเก็บคนจากปากแม่ผม มันเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว

     

    แม่ผมสนิทกับมาเฟียใหญ่ของโซลล์ จึงไม่แปลกที่จะมีเรื่องแบบนี้ แต่แม่ได้วางมือจากวงการมาเฟียมานานแล้ว ผมจึงรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ แม่ก็คิดจะเก็บคนแบบนี้อีก

     

    ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นพี่จุนมยอน

     

    “แม่คิดว่าชีวิตคนเรามันมีค่ามากแค่ไหนเหรอครับ ถึงได้ไปทำลายชีวิตคนที่มีอนาคตแบบนั้น”

    “แกพูดอะไรของแก”

    “แม่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็ได้ เพราะเดี๋ยวไอ้บ้านี่ก็ต้องโดนแม่เก็บเหมือนกันเพราะมันรู้ความลับของแม่แล้ว”

    “คิมจงอิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”

     

    แม่ตะคอกผมสลับกับหันไปมองชายแปลกหน้าวัยละอ่อนที่กำลังยืนหน้าซีดและขมวดคิ้วราวกับงงที่ผมพูดทั้งหมด ผมเชื่อว่านี่เป็นข้อมูลใหม่ที่ชู้คนนี้ของแม่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และตอนนี้สีหน้าของชายคนนี้ก็ดูไม่จืดเลย

     

    “กลับไปก่อนไป”

     

    แม่หันไปพูดกับชายวัยอ่อนกว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ทำให้ชายคนนี้ต้องรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหางจุกตูดออกไปจากบ้านผมทันที ไม่รู้เพราะว่าไม่อยากมายืนฟังพวกผมทะเลาะกัน หรือว่ากลัวเสียจนไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้แล้วกันแน่

     

    “แกรู้ได้ยังไงว่าแม่สั่งเก็บจุนมยอน”

    “มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมรู้ได้ยังไง มันสำคัญตรงที่ว่าพี่เขาตายไปแล้ว และแม่ก็คือต้นเหตุ”

    “ก็เพราะมัน เพราะมันกำลังจะแฉแม่ในอีกไม่ช้าไง แกอยากเห็นแม่ตัวเองล่มจมรึไงจงอิน!

    “แล้วแม่ อยากเห็นผมตายตามพี่เขาไปมั้ยล่ะครับ”

     

    ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินเพราะมัวแต่กลั้นเสียงสะอื้น หัวใจของผมมันแบกรับอะไรแทบจะไม่ไหวแล้ว นี่ไม่ใช่หนแรกที่ผมรู้เรื่องสกปรกแบบนี้ของแม่ แต่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้ต่างจากครั้งแรกที่รู้เลยแม้แต่น้อย

     

    เจ็บเจียนตายเหมือนกันไม่มีผิด

     

    “จจงอินลูก…”

    “ผมน่าจะตายไปซะ จะได้ไม่ต้องมารู้เรื่องสกปรกของแม่อีก”

     

    สิ้นประโยคนี้ ผมก็รีบหันตัวกลับแล้วเดินออกจากบ้านไปยังโรงรถทันที แม่พยายามเรียกชื่อผมเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถรั้งผมเอาไว้ได้ ผมรีบขับรถออกจากบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายที่กำลังจะไปคือที่ไหน รู้แต่ว่าผมไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว

     

    พ่อ คือคนแรกที่ผมนึกถึงในเวลาแบบนี้

     

    ทันทีที่นึกออก ไม่ถึงสิบห้านาที ผมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลโซลล์ พ่อไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ซึ่งผมรู้มาจากเซฮุนว่าพักนี้พ่อมักจะเหนื่อยง่าย เลยจำเป็นต้องนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะๆ อาการของพ่อทรุดลงช้าๆ แต่ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะพ่อได้รับการดูแลอย่างดีจากทางโรงพยาบาล ผมเองก็เป็นกังวลเหมือนกันว่าพ่อจะเป็นอะไรไปสักวัน

     

    แล้วถ้าถึงวันนั้น ผมจะอยู่อย่างไร

     

    “พ่อ…”

     

    ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ สิ่งที่ผมพบคือพ่อกำลังวุ่นอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า นี่มันเกือบจะตีสี่แล้ว แต่พ่อก็ยังทำงานไม่หยุด ผมไม่แปลกใจเลยที่พ่อจะทรุดลงทุกวันๆ

     

    “แกมาที่นี่ตอนนี้ทำไม หรือว่าที่บ้านมีเรื่องอะไร”

     

    พ่อทำหน้าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมปรากฏตัวในเวลาที่ไม่เหมาะไม่ควรแบบนี้ แต่พ่อไม่ได้ใช้เสียงดุแบบเมื่อก่อน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อเหนื่อยเกินกว่าจะมาต่อกรกับผมก็ได้

     

    “ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”

    “เงินหมดหรือไง”

    “พ่อครับ…”

    “ไม่ต้องมาใช้น้ำเสียงแบบนั้น มีอะไรก็ว่ามา”

     

    พ่อเริ่มถอดแว่นออกแล้วจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในครั้งนี้ผมกลับไม่รู้สึกโกรธหรือโมโหอะไรเลยแม้แต่นิด กลับกัน ผมรู้สึกได้ว่าแววตาของพ่อนั้น คือแววตาที่แสนจะอ่อนโยน อ่อนโยนยิ่งกว่าดวงตาคู่ไหนๆ

     

    ผมเดินเข้าไปใกล้จนประชิดตัวพ่อแล้วค่อยๆ ใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดรอบตัวพ่อจากด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ เอาคางเกยลงที่ไหล่อุ่นของพ่อ น้ำตาของผมไหลลงมาช้าๆ อีกครั้งทั้งที่ผมพยายามกลั้นมันเอาไว้อยู่นาน

     

    ไออุ่นจากร่างกายของพ่อ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า .. พ่อคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตหนึ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่

     

    “ผมคิดถึงพ่อ”

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติแม้จะเป็นวันเสาร์ ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า ซึ่งเป็นเวลาที่ผมไม่เคยตื่นมาก่อน แต่เพราะว่าวันนี้ผมกับแบคฮยอนตั้งใจว่าจะไปช่วยจัดงานศพของพี่จุนมยอน ผมกับแบคฮยอนเลยนัดกันไว้ว่าจะตื่นกันแต่เช้าแล้วรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด

     

    เมื่อผมแต่งตัวเสร็จและกำลังจะออกจากบ้าน ก็พบว่าแบคฮยอนมายืนรอผมที่หน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว เป็นเรื่องแปลกมากที่แบคฮยอนตื่นเช้าได้ขนาดนี้ ถึงแม้ว่าผมจะบังคับก็เถอะ ปกติแบคฮยอนจะต้องอิดออดและเสร็จช้ากว่าผมนี่นา

     

    ผมรู้นะว่าลึกๆ ในใจของแบคฮยอนก็รู้สึกอยากช่วยพี่จุนมยอนไม่น้อยไปกว่าผมเลย

     

    เราสองคนพาตัวเองมาถึงที่งานศพของพี่จุนมยอนในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณพ่อและคุณแม่ของพี่จุนมยอนกำลังง่วนอยู่ พวกเราจึงเดินเข้าไปทักทายเซฮุนก่อนแทน สีหน้าเซฮุนดูสดชื่นกว่าเมื่อวันก่อนมากจนผมแอบสงสัยว่าเซฮุนจะทำใจได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ

     

    “มากันแต่เช้าเชียวนะ ขอบใจมากเลยที่อุตส่าห์มาช่วย” เซฮุนพูดกับผมและแบคฮยอน พลางเหลือบตามองต่ำที่มือของพวกเราสองคน และแอบยิ้มน้อยๆ เพราะเห็นเราสองคนจับมือกันไม่ห่าง

     

    “อ้าว นั่นใช่คยองซูรึเปล่าจ๊ะ”

     

    เสียงของคุณแม่พี่จุนมยอนดังขึ้นจากทางขวาในขณะที่ผมกำลังทักทายกับเซฮุนอยู่ ผมรีบหันไปทำความเคารพคุณแม่ที่มาโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว คุณแม่ยิ้มอ่อนโยนให้ผมแล้วคว้าข้อมือผมเดินไปที่ไหนสักที่

     

    “มีอะไรเหรอครับคุณแม่”

    “แม่ลืมให้เราดูเอกสารสำคัญที่พี่จุนมยอนเขาตั้งใจจะให้เราน่ะ”

    “เอกสาร?” ผมเลิกคิ้ว ในใจก็แอบคิดว่ามันอาจจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องเรียนที่ญี่ปุ่น แต่ผมกลับคิดผิด

    “นนี่มันอะไรกันครับคุณแม่”

     

    ผมอ้าปากค้างเมื่อก้มลงอ่านเอกสารที่คุณแม่เพิ่งยื่นให้ มันคือเอกสารการยืนยันการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีลายเซ็นของพี่จุนมยอนกำกับอยู่ และมันมีชื่อผมซึ่งเป็นผู้รับอยู่ด้วย

     

    พี่จุนมยอนรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นโรคไต

     

    “จุนมยอนทำทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอคยองซูเซ็นยืนยันเท่านั้น ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้วจ้ะ”

     

    เสียงของคุณแม่กลายเป็นลมเป็นอากาศไปโดยปริยายในเวลานี้ เหมือนกับโลกหยุดหมุน ผมเอาแต่จมอยู่ในห้วงความคิดจนลืมสนใจเสียงรอบข้าง มันสับสนและปนเปไปหมด ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงก่อนดี

     

    และจู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

     

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณเค”

     

    แบคฮยอนเขย่าตัวผม ก่อนจะขยับตัวมาอ่านเอกสารที่อยู่ในมือผม ผมเชื่อว่าถ้าแบคฮยอนอ่านจบ เขาคงอึ้งไปไม่น้อยเพราะนี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยบอกใครเลยแม้แต่คนเดียว คนที่รู้มีเพียงครอบครัวของผมเท่านั้น

     

    “ไตเหรอ ทำไมพี่เขาต้องบริจาคไตให้คุณเคด้วยล่ะ” แบคฮยอนค่อยๆ พูดออกมา ดวงตาจ้องตรงมาที่ผมอย่างคาดคั้นคำตอบ แต่สิ่งที่ผมให้กลับไปมีเพียงความเงียบเท่านั้น

     

    ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรตอนนี้

     

    “คุณเค” แบคฮยอนเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมเขย่าตัวผมไปด้วย “คยองซู…”

    “คุณบี เดี๋ยวช่วยงานศพเสร็จแล้วเค้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเองนะ”

    “แต่ว่านี่มั………”

    นะครับ”

     

     

    คำพูดของผมทำให้แบคฮยอนเลิกคาดคั้นแม้ว่าสีหน้าจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ผมจัดการเซ็นชื่อของผมลงในเอกสารแล้วเก็บเอกสารนี้ไว้ในกระเป๋าอย่างดี คุณแม่พี่จุนมยอนดูจะงงไปเล็กน้อยที่แบคฮยอนไม่รู้เรื่องนี้ แต่คุณแม่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร คงจะเป็นเพราะมีเรื่องอื่นให้คิดให้ทำมากกว่านี้อีกเยอะ

     

    ผม แบคฮยอน และเซฮุนช่วยกันจัดงานศพจนทุกอย่างเสร็จสิ้นไปด้วยดี ผมปลีกตัวออกมายืนมองรูปของพี่จุนมยอนอยู่นาน ดวงตาของผมจ้องไปที่ดวงตาของพี่จุนมยอนไม่กระพริบ

     

    ดวงตาที่อบอุ่น และอ่อนโยนทุกครั้งที่ได้มอง

    ดวงตาที่มีแต่ความรักบริสุทธิ์ ความรักที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด

     

    “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ”

     

    ผมเอ่ยปากพูดกับรูปภาพตรงหน้าราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต ผมคิดว่าผมจะทำใจเรื่องพี่จุนมยอนได้แล้ว และคิดว่าจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องพี่เขาอีก แต่ผมกลับคิดผิด ตอนนี้น้ำตาของผมไหลพรั่งพรูเสียจนผมนึกรำคาญตัวเองที่เอาแต่ฟูมฟายแบบนี้

     

    ทำไมพี่จุนมยอนถึงได้ดีกับผมขนาดนี้ แล้วทำไมพี่เขาถึงไม่อยู่ให้ผมได้ตอบแทนอะไรเลย

     

    “คุณเคครับ กลับกันเถอะ”

     

    ผมตื่นจากภวังค์และรีบปาดน้ำตาลวกๆ ทันทีที่แบคฮยอนเดินมากอดเข้าจากด้านหลัง ผมรีบสะบัดความเศร้าโศกออกไปจากหัวให้หมดเพราะไม่อยากให้คนที่ผมรักเป็นกังวล ผมควรจะเลิกร้องไห้ได้แล้ว

     

    “อื้อ เค้าหิวข้าวแล้ว”

    “วันนี้กินอะไรกันดีน้า”

    “ไม่รู้เหมือนกัน คุณบีอยากกินอะไรล่ะ”

    “เอาตามความจริงเลยมั้ย มันมีอยู่อย่างนึงที่เค้าอยากกินมานานแล้ว”

    “หืม อะไรอ่ะ”

    “เค้าอยากกินคุณเค”

     

    พอได้ยินคำพูดลามกแบบนั้น ผมก็รีบกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าท้องของแบคฮยอนทันที ถึงมันจะเป็นคำพูดที่คนพูดพูดได้อย่างหน้าตาเฉย แต่แบคฮยอนจะรู้ไหมว่าผมเขินมากขนาดไหน แม้ว่านี่มันจะเป็นนิสัยปกติของแบคฮยอนไปแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกเขินทุกที

     

     

     

    .

    .

     

     

     

    การพูดคุยกับแบคฮยอนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและเกือบลืมความทุกข์ไปเสียหมด ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารข้างทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารประจำของพวกเรา เราไม่จำเป็นต้องกินอาหารในร้านหรูๆ เราไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงๆ

     

    เราแค่อยู่ด้วยกัน เราแค่มีกันและกัน แค่นั้นมันก็อิ่มทั้งท้องและใจแล้ว

     

    “เดี๋ยวเค้าไปตักน้ำให้นะ”

     

    ว่าจบแบคฮยอนก็เดินไปตักน้ำเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ และจังหวะที่แบคฮยอนลุกไปนี้เอง สายโทรเข้าจากแบคฮยอนก็ดังขึ้น ผมมองมันสักพักก่อนจะถือวิสาสะรับสายแทน ตั้งใจไว้ว่าจะบอกให้คนปลายสายรอสักครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร คนปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

     

    (แบคฮยอน ฉันคิดถึงนาย)

    ………………”

    (นายเป็นเด็กที่ทำงานดีมากจนฉันเสียดาย วันนี้ฉันเลยมาดูกล้องวงจรปิดของเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นายทำน้ำหกใส่คุณผู้หญิง ภาพมันชัดเจนมากเลยนะว่าชานยอลจงใจเดินชนนาย นายไม่ได้ผิดเลยแม้แต่นิด)

    ………………”

    (แบคฮยอน นายจะไม่พูดอะไรกับฉันหน่อยเหรอ)

     

    ผมรีบกดวางสายทันทีที่จบประโยคนี้เพราะแบคฮยอนกำลังจะหันกลับมา ผมทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจกำลังคุกรุ่นจะแย่ แบคฮยอนถือน้ำสองแก้วมาแล้วค่อยๆ วางลงบนโต๊ะ ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะถามออกไปดีไหม แต่ด้วยความอยากรู้ ผมเลยตัดสินใจถามแบคฮยอนออกไป

     

    “คุณบี

    “หืม?”

    “ทำไมคุณบีถึงได้ลาออกนะ”

    “อ้อ ก็เค้าทำน้ำหกไล่ลูกค้าวีไอพีจนโดนสั่งให้ออกน่ะสิ” แบคฮยอนพูดไปหัวเราะไป ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ผมถามไปสักเท่าไหร่

    “ทำหกเองเลยเหรอ…”

    “อื้อ ก็ทำหกเองนี่แหละ เค้าสะเพร่าเองอ่ะ”

    “แน่ใจนะว่าไม่ได้มีใครมาชน”

    “หืม…” แบคฮยอนที่ตอนแรกง่วนอยู่กับการดูดน้ำเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วเล็กๆ

    “ก็ ปกติคุณบีไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนี่”

    “แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะไม่ซุ่มซ่ามตลอดชีวิตนี่นา”

     

    แบคฮยอนพูดไปหัวเราะไปอย่างติดตลก ผมเลยล้มเลิกความคิดที่จะซักแบคฮยอนไว้เพียงเท่านี้เพราะกลัวว่าแบคฮยอนจะระแคะระคายอะไรเข้า และผมก็ไม่อยากให้อาหารมื้อนี้กร่อยด้วย

     

    ส่วนเรื่องชานยอล ผมจะเป็นคนจัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน

     

     

    .

    .

    .

     

     

    หลังจากที่เราทานมื้อเย็นด้วยกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็แยกกับแบคฮยอนเพราะวันนี้เราทั้งคู่เหนื่อยกันมามาก ถึงอย่างนั้น กว่าเราสองคนจะแยกกันได้ก็นานอยู่พอสมควร ก็อีกฝ่ายเล่นงอแงจะกอดจะหอมผมอยู่นั่น ผมเลยต้องเอาใจคนที่ชอบทำตัวเหมือนเด็กเสียหน่อย

     

    ผมเดินเข้าห้องตัวเอง สิ่งแรกที่คิดออกคือเรื่องของชานยอล ผมรีบควักมือถือขึ้นมาโทรหาชานยอลด้วยใจที่ร้อนรุ่ม ทั้งที่ผมมั่นใจว่าชานยอลคือคนกลั่นแกล้งแบคฮยอนจนโดนไล่ออก แต่ยังไงผมก็อยากรู้ความจริงจากปากเจ้าตัวอยู่ดี

     

    “ฮัลโหล ชานยอล”

    (มีเรื่องอะไรรึเปล่าถึงได้โทรมาได้)

    “มีแน่”

    (หืม?)

    “นายใช่มั้ยที่เป็นคนชนแบคฮยอนจนแบคฮยอนทำน้ำหกใส่ลูกค้าน่ะ”

    (ฮ่ะๆๆๆ พูดเรื่องอะไรเนี่ย)

    “ยอมรับกับเรามาเถอะ แล้วเราจะไม่ถือโทษโกรธอะไรเลย เราแค่อยากคุยด้วยดีๆ)

    (อยากคุยด้วยดีๆ เหรอ) ชานยอลเงียบไปพักหนึ่ง

    (ถ้าอยากคุยด้วยดีๆ งั้นก็มาคุยกันที่บ้านเราสิคยองซู เราเองก็อยากให้ดูอะไรดีๆ เหมือนกัน)

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

    ไม่นานหลังจากที่ผมวางสายจากคยองซูไป คยองซูก็รีบปรี่มาที่คอนโดของผม เชื่อแล้วล่ะว่าคยองซูรักแบคฮยอนมาก มากเสียจนต้องระเห็จมาที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว แต่นั่นก็คงเป็นเพราะคอนโดผมไม่ไกลจากบ้านคยองซูด้วยแหละมั้ง

     

    “มาไวกว่าที่คิดเอาไว้นะ” ผมเปิดประตูต้อนรับแขกคนสำคัญที่ผมคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้มาเยือนบ้านผมแบบนี้ คยองซูไม่แม้แต่จะยิ้มให้ผม ถึงแม้ว่าผมจะส่งยิ้มไปมากน้อยขนาดไหน ก็ได้เพียงสีหน้าเรียบเฉยที่ส่งกลับมา

     

    “เข้าเรื่องเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” คยองซูนั่งลงที่ห้องรับแขกของผม ผมเดินไปรินน้ำเย็นมาให้คยองซูแต่คนตัวเล็กกลับไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของคยองซูเอาแต่จ้องมองมาที่ผมอย่างคาดคั้น

     

    “โอเคๆ เข้าเรื่องเลยก็ได้”

    “นายทำแบบนั้นทำไม ถ้าต้องการจะให้แบคฮยอนล่มจม แทนที่จะเป็นแบคฮยอน ทำไมถึงไม่เป็นเรา”

    “ก็เพราะเรารักคยองซูไง เรารักคยองซู และไม่เคยอยากให้คยองซูเจ็บปวด คนที่สมควรเจ็บคือมัน”

    “คิดผิดแล้วล่ะ” คยองซูยิ้มเยาะ

    “ถ้าแบคฮยอนเจ็บ เราเองก็จะเจ็บเหมือนกัน เจ็บมากกว่าด้วยซ้ำ”

     

    คำพูดของคยองซูทำให้ผมเริ่มโกรธ ไม่มีอีกแล้วชานยอลคนที่เคยใจเย็นและอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา คยองซูทำให้ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ผมก็มาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นคนเดิมแล้วเสียด้วยสิ

     

    “รักมันมากสินะ”

    “ใช่ รักมาก แล้วก็จะรักไปอีกนาน”

    “คยองซู”

    “ทำไมล่ะ รับไม่ได้เหรอ”

     

    ผมจ้องตาอีกฝ่าย ดวงตาที่ผมเคยจ้องมองแล้วรู้สึกดี อบอุ่นหัวใจทุกครั้ง ในตอนนี้กลับกลายเป็นอีกอย่างไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความชัง ความขยะแขยงในตัวผม

     

    “แล้วไหนล่ะที่ว่าจะให้ดูอะไรน่ะ”

     

    คำพูดของคยองซูทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ อันที่จริงผมไม่มีอะไรจะให้คยองซูดูแม้แต่อย่างเดียว ใช่ ผมโกหก โกหกเพื่อที่จะล่อลวงให้คยองซูมาหาผมที่นี่ โดยที่คยองซูคงคิดไม่ถึงว่าผมกำลังจะทำอะไร

     

    “เดินตามมาสิ”

     

    ผมเดินนำคยองซูเข้ามาที่ห้องนอนของผม คยองซูเองก็ใช่ว่าจะไว้ใจผมเสียทีเดียว ดูจากท่าทีที่คนตัวเล็กค่อยๆ เดินตามผมมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ ผมทำเป็นรื้อหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักเพื่อตบตาคนที่กำลังจ้องมองผมอยู่

     

    “ว้า แย่จัง ของที่อยากให้ดูมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้สิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท มองหน้าคยองซูด้วยสายตาที่ผมคิดว่ามันคงจะร้ายกาจที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มองคยองซูมา

     

    “อะไรของนายน่ะชานยอล” คยองซูเริ่มขมวดคิ้ว ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาคยองซูจนเกือบจะประชิดตัว ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้ คยองซูก็ยิ่งชักเท้าถอยห่างออกไป จนร่างเล็กยืนชิดติดมุมกำแพงห้องในที่สุด

     

    ช่วยไม่ได้นะ มายั่วโมโหผมก่อนเองทำไมล่ะ

     

    “หลอกเราทำไม”

     

    ผมกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น มือหนาเชยคางมนของคนตัวเล็กขึ้นแล้วค่อยๆ แตะริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากอิ่มของอีกคน ผมพยายามดูดเม้มริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่จูบตอบผม แต่ก็ไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ จนผมรู้สึกแปลกใจ

     

    ผมค่อยๆ ผละริมฝีปากออกแล้วจ้องตาอีกคน ดวงตาที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ อะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้เลย

     

    เพิกเฉยกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ผมใช้จมูกซุกไซร้ซอกคอขาวของคนที่กำลังยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เริ่มใช้ลิ้นหนาโลมเลียไปที่ใบหูของคนตัวเล็กหวังปลุกอารมณ์อีกฝ่าย และกระชากคยองซูให้ลงมานอนบนเตียงก่อนขึ้นคร่อมโดยเร็ว

     

    ไม่มีเสียงร้องออกมาจากปากคยองซูเลยแม้แต่แอะเดียว

     

    และถึงแม้คนที่กำลังนอนนิ่งอยู่ใต้ร่างผมจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังเล้าโลมรูปปั้นอยู่ ผมกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่นิด ลิ้นของผมยังคงละเลงไปทั่วซอกคอขาวเนียน หนำซ้ำยังขบเม้มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ มือผมเริ่มล้วงไล้ใต้เสื้อตัวจิ๋ว ปัดป่ายทั่วหน้าท้องเนียนที่กำลังหดเกร็ง

     

    ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าขึ้นไปหวังจะจูบเข้าที่ริมฝีปากอิ่มนั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ผมพบ กลับทำให้หัวใจผมกระตุกจนเกือบจะหยุดเต้น

     

    คยองซูกำลังร้องไห้

     

    “คคยองซู” ผมชะงัก การกระทำทุกอย่างหยุดอยู่แต่เพียงเท่านั้น ค่อยๆ ชักมือที่ตอนแรกสอดซุกอยู่ใต้เสื้ออีกคนออกมาแล้วจ้องตาคยองซูด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นคยองซูร้องไห้

     

    “ทำไมล่ะชานยอล หยุดทำไม ทำต่อสิ ทำให้เสร็จเลยสิ”

    “คยองซู…”

    “ถ้าทำแบบนี้แล้วจะทำให้นายเลิกราวีแบคฮยอนของเรา ก็เอาเลย ทำจนกว่าจะพอใจเลยสิ”

     

    คำพูดของคยองซูเปรียบเสมือนเข็มจำนวนร้อยเล่มที่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงหัวใจของผม เสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้อยู่นาน และน้ำตาของคยองซู ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวมากขึ้นไปอีก

     

    เลว เสียจนไม่น่าให้อภัย

     

    “เราขอโทษ” ผมพูดแล้วค่อยๆ ลงมาจากร่างของคยองซู คยองซูเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเช็ดน้ำตาตัวเองเช่นกัน ผมนั่งหันหลังให้คยองซูเพราะไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไปดี ผมอยากให้คยองซูตบผม ตีผม หรือจะด่าอะไรผมก็ได้ ขอแค่อย่าเงียบแบบนี้

     

    “คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำกับเราแบบนี้”

     

    หลังจากที่เราทั้งสองหันหลังให้กัน และจมอยู่ในความเงียบอยู่นาน คยองซูก็พูดออกมาแบบนั้น น้ำเสียงของคยองซูสั่นเทาจนผมนึกอยากจะกอดปลอบ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวคยองซูแล้วไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว

     

    ผมขาดสติถึงขนาดนี้ได้ยังไง

     

    “เราขอโทษ คยองซูคือเราขอโทษจริงๆ เราไม่ได้ตั้……”

    “นายตั้งใจ”

    ……………”

    “นายตั้งใจจะหลอกให้เรามาหา แล้วก็ตั้งใจจะทำแบบนี้แต่แรก เถียงสิว่าไม่ใช่”

    ………………”

    “ยังไงล่ะ ถ้าได้ร่างกายของเราไปแล้วคิดเหรอว่าจะได้หัวใจของเราไปด้วย”

    “ไม่ใช่อย่างนั้น”

    “ชานยอล เราผิดหวังในตัวนายมากจริงๆ เสียแรงที่เคยรู้สึกดีและคิดว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง เรามันโง่เอง”

    “คยองซู!

     

     

    คยองซูรีบคว้ากระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังผมพูดอะไรอีก ผมปล่อยให้คนตัวเล็กจากผมไปโดยที่ผมไม่แม้แต่จะรั้งเอาไว้ ผมควรจะปล่อยให้คยองซูเป็นอิสระเสียที

     

    ใช่ผมควรจะปล่อยคยองซูไปได้สักที

     

    ถึงคยองซูจะไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย แต่น้ำตา และใบหน้าที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่มิดแบบนั้นของคยองซูสามารถบอกแทนคำพูดได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวเจ็บปวดกับการกระทำของผมมากแค่ไหน

     

    และในวันนี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตลงไปแล้ว

    การทำให้คยองซูเจ็บปวด การทำให้คยองซูมีน้ำตา คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด

     

    ผมทำมันลงไปแล้ว ทำมันทั้งหมดด้วยตัวของผมเอง

     

     

    มันคงจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดเรื่องบ้าๆ พวกนี้เสียที

    ผมจะหยุดเรื่องทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้ ผมไม่ต้องการให้คยองซูเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

     

    แบคฮยอน ฉันขอยอมแพ้

    ฉันยอมแพ้นายแล้ว ยอมหมดแล้วจริงๆ

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

    “ครับๆ เดี๋ยวเค้าไปหานะ”

     

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะทุ่มนึงแล้ว ผมรับสายของคยองซูแล้วรีบเด้งตัวไปหาแฟนตัวเองเพราะจู่ๆ คยองซูก็โทรมาหาผมทั้งที่เราสองคนเพิ่งแยกกันไปเมื่อสามชั่วโมงก่อน และที่สำคัญ เสียคยองซูดูเพลีย ดูล้าแปลกๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่คยองซูกลับบอกว่าแค่คิดถึงผม อยากนอนกอดผม

     

    ผมมาหยุดยืนที่หน้าบ้านคยองซู คนตัวเล็กรีบเดินออกมารับผมแล้วพากันเดินเข้าห้องด้วยความเคยชิน ถ้าสังเกตไม่ผิด ผมว่าผมเห็นตาคยองซูแดงแปลกๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา หรือว่าคยองซูจะคิดถึงพี่จุนมยอนจนร้องไห้ออกมาอีก

     

    เอาเป็นว่าผมจะไม่ถามอะไรก็แล้วกันนะ

     

    “ทำไมอยู่ๆ นึกอยากนอนกอดเค้าล่ะ เหงาเหรอ” ผมพูดในขณะที่คยองซูเดินจูงมือผมมานั่งที่เตียง คยองซูหันมายิ้มให้ผมแล้วส่ายหน้าช้าๆ

     

    “เค้าแค่อยากอยู่ด้วย…” คนตัวเล็กเว้นวรรค “อยากอยู่กับคุณบีตลอดเวลาเลย”

    “งั้นเค้าควรย้ายบ้านมาอยู่กับคยองซูเลยดีมั้ย” ผมพูดติดตลก

    “เค้าแค่รู้สึกว่า เวลาอยู่กับคุณบีแล้วเค้าปลอดภัย”

    “ใครบอกว่าปลอดภัย นี่เค้าคิดจะปล้ำตัวเองทุกวันเลยนะ”

     

    ผมเอาแต่พูดติดตลกพร้อมพ่นเสียงหัวเราะเพราะหวังจะให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้น แต่แล้วจู่ๆ คยองซูก็โผเข้ากอดผม ใบหน้าของคนตัวเล็กซุกเข้าที่แผ่นอกของผม และยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนกำลังโหยหาไออุ่น

     

    ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่กลับใช้มือหนาของผมกอดเอวอีกคนเอาไว้ และใช้มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นลูบผมนิ่มของคยองซูด้วยความรัก

     

    คยองซูค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของผมแล้วใช้ขาพาดคร่อมตัวของผมเอาไว้ การกระทำนี้ของคยองซูทั้งทำให้ผมตกใจและใจสั่นไปพร้อมๆ กัน ร่างเล็กที่กำลังนั่งคร่อมตักผมอยู่ค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบรอบคอของผมเบาๆ ก่อนเชยคางของผมขึ้นแล้วจรดริมฝีปากลงมาประทับที่ริมฝีปากของผม

     

    ถึงจะประหลาดใจอยู่มากเพราะเดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ถูก แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกดีกับรสจูบที่หวานละมุนนี้ของคยองซู ลิ้นเล็กสอดเข้ามาในโพรงปากของผมก่อนอย่างไม่เคอะเขินเหมือนเช่นทุกที แถมยังเล็มเลียจนทั่วริมฝีปากของผม น้อยครั้งนักที่คยองซูจะทำแบบนี้

     

    ตักตวงความหวานจากโพรงปากของกันและกันอยู่นานจนลมหายใจขาดห้วง คนตัวเล็กก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากอวบอิ่มออกไปอย่างอ้อยอิ่ง มือน้อยๆ ทั้งสองข้างยังคงจับแก้มของผมเอาไว้มั่น คยองซูจรดปลายจมูกเรียวลงมาที่จมูกของผม พ่นลมหายใจอุ่นออกมาช้าๆ เบาๆ

     

    และแล้วคยองซูก็สร้างความประหลาดใจให้ผมต่ออีกระลอก คนตัวบางมองตาผมอยู่นานแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นผิวที่ทั้งขาว และเนียนละเอียด ชวนสัมผัส ยากที่จะละสายตาไปมองทางอื่นได้

     

    “คยองซู…”

     

    ผมเรียกชื่อคนรักด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถึงจะยอมรับว่าชอบในการกระทำสุดเซอร์ไพร์สแบบนี้ของคยองซู แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะคยองซูไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน นอกจากอ้อนเป็นแมวในครั้งนั้น

     

    คยองซูไม่ตอบ แต่เลือกที่จะส่งยิ้มยั่วยวนให้ผมแทน พร้อมกับค่อยๆ ถอดเสื้อของผมออกตามแล้วดันตัวผมให้นอนราบลงกับเตียง มือเล็กลูบไล้แผงอกของผมแผ่วเบา ก่อนจะประเคนจูบดูดดื่มให้ผมอีกครั้ง

     

    ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ผมรู้สึกดีเหลือเกิน

     

    คยองซูค่อยๆ เลื่อนตัวลงแล้วลากจมูกขึ้นลงตั้งแต่ซอกคอของผม ไล่ไปจนถึงแผ่นอก และหน้าท้องแกร่ง เรือนร่างเนียนลื่นมือของคยองซูที่กำลังเสียดสีไปทั่วร่างของผมทำให้ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงสงสัยในการกระทำนี้อยู่ดี

     

    “เดี๋ยวสิคุณเค ทำไม…”

    “อยากกินมานานแล้วไม่ใช่เหรองั้นก็กินซะวันนี้เลยสิ”

     

    คยองซูกระซิบข้างหูของผมแผ่วเบา เป็นเสียงกระซิบที่สร้างความเสียวซ่านได้ไม่น้อย ทั้งขนแขนและขนขาของผมลุกซู่โดยพร้อมเพรียง คยองซูเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ คนตัวเล็กค่อยๆ ก้มลงแตะลิ้นลงมาที่ยอดอกของผมก่อนจะเลียวนรอบๆ สลับดูดเม้มจนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบ

     

    ภาพคยองซูที่อยู่บนร่างผมตอนนี้ ไม่ใช่แม่เสือสาว ไม่ใช่นางแมวยั่วสวาท แต่กลับเหมือนเด็กน้อยที่กำลังกินขนมหวานอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ผมลอบยิ้มโดยที่คนตัวเล็กไม่ทันได้สังเกตเห็น ถึงการกระทำของคยองซูจะเปรียบได้กับเด็กน้อย แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีมากอย่างประหลาด หรือไม่ก็เพราะว่าเหมือนเด็กน้อยนี่แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีได้ขนาดนี้

     

    ผมเอื้อมตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะมองอีกคนได้ถนัด ลิ้นเล็กของคยองซูกำลังสนุกสนานอยู่กับการหยอกล้อจุกสีเข้มของผม ภาพของเจ้าของวงหน้าน่ารักที่กำลังปรือตาลงเล็กน้อย บวกกับลิ้นเล็กที่แลบออกมาเลียริมฝีปากตัวเองจนชุ่มทำให้สติของผมขาดผึง

     

    หมดสิ้นแล้วซึ่งความอดทน .. ผมเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีเลือดมีเนื้อ และแน่นอน มีความต้องการไม่ต่างจากใครๆ .. กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาเพราะพยายามจะอดกลั้นไม่ให้ตัวเองล่วงเกินคยองซูกำลังจะพังทลายลง ในเมื่อผมรับรู้แล้วว่าคยองซูเองก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือรังเกียจเรื่องแบบนี้ แล้วผมจะทนเฉยอีกได้อย่างไร

     

    ผมพลิกตัวคยองซูให้นอนใต้ร่างทันทีที่สบโอกาส คยองซูยกยิ้มเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอผม ใบหน้าของเราห่างกันเพียงน้อยนิด ดวงตาทั้งสองคู่สอดประสานกันเนิ่นนาน

     

    ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคยองซู เป็นทั้งการมองด้วยความรักที่เปี่ยมล้น และเป็นการมองในเชิงขออนุญาตไปพร้อมๆ กัน

     

    จมูกของผมเริ่มลากไปตามพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ ที่ทั้งนุ่มนิ่มและส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนสัมผัส น่าหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด .. ผมจูบซับและเล็มเลียปลายคางมน ก่อนเปลี่ยนทิศทางไปซุกไซร้แถวกกหู พลางพ่นเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูคนใต้ร่าง

     

    “จะกินให้อร่อยเลยครับ”

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    เสียงหอบหายใจถี่รัวของผมกับคยองซูดังสลับกันระงมหลังจากบทรักของเราทั้งสองเพิ่งจะจบลงไป หากจะเปรียบกับเพลง เพลงๆ นี้ก็คงจะเป็นเพลงรักที่ไพเราะ นุ่มละมุน เนิบนาบค่อยเป็นค่อยไป แต่ฟังแล้วลื่นหู อยากกลับมาฟังอีกไม่รู้จบรู้สิ้น

     

    เฉกเช่นเดียวกันกับเรือนร่างของคยองซู เรือนร่างที่เนียนละเอียดไปเสียทุกส่วนจนแทบจะหาที่ตำหนิไม่ได้ เรือนร่างที่ยิ่งได้ค้น ได้หา ได้เห็นมากขึ้นเท่าไหร่ ความหลงใหลก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น

     

    ตอนนี้ไม่ใช่แค่รัก แต่ผมทั้งรักทั้งหลงคยองซูมากเหลือเกิน

     

    ช็อคโกแล็ตเหรอ ? ขนมเค้กเหรอ ? วาฟเฟิลเหรอ ? ... ของพวกนี้เคยเป็นของโปรดของผมมาตลอดยี่สิบกว่าปี แต่วันนี้ผมคงต้องบอกลาของพวกนั้นไปได้เลย เพราะผมมีของโปรดใหม่แล้ว เป็นของโปรดที่ทั้งหวาน ทั้งหอม ทั้งนุ่มนิ่มเกินกว่าของหวานใดๆ บนโลกนี้

     

    โด คยองซู คือสิ่งที่ผมโปรดปรานมากที่สุด



    จากตอนแรกที่ทิ้งตัวลงพ่นลมหายใจหอบเหนื่อยอยู่บนร่างของคนตัวเล็ก ตอนนี้ผมเลยค่อยๆ ย้ายตัวเองลงมานอนข้างๆ คยองซูแทน มือหนาดึงอีกคนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง พร้อมกับดึงผ้าห่มมาห่มให้ด้วย

     

    ผมทั้งลูบ ทั้งจูบลงบนผมนิ่มของคยองซู ร่างกายทุกส่วนที่ตอนแรกก็ว่าน่าทะนุถนอมอยู่แล้ว ตอนนี้มันกลับน่าทะนุถนอมและมีค่ามากกว่าเดิม แม้กระทั่งเส้นผมของคยองซู ผมยังมีความรู้สึกอยากจะแตะต้องมันอย่างเบามือเลยด้วยซ้ำ

     

    นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการมาโดยตลอด แต่ก็เป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรก ผมกลับมีความต้องการอยากจะทำครั้งที่สอง ครั้งที่สามทันทีที่ครั้งแรกเพิ่งจบลงไป จะว่าผมบ้ากามก็ยอม แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสเรือนร่างชวนฝันของคยองซูแล้ว ก็คงจะต้องเป็นแบบผมไปเสียทุกรายแน่นอน

     

    หวงแหน ยิ่งได้ครอบครองร่างกายนี้ ผมก็ยิ่งหวงแหนมากขึ้นไปอีก

     

    คยองซูเป็นของผมแล้ว

    คิดขึ้นมาได้แบบนั้น ผมก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

     

    “ยิ้มอะไร” คยองซูที่อยู่ในอ้อมกอดของผมถามขึ้นหลังจากเงยหน้ามองผมที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมรู้ว่าคยองซูรู้ดีว่าผมกำลังคิดเรื่องอะไร เพียงแต่คนตัวเล็กคงแค่อยากจะแซวเท่านั้น

     

    “นี่ ถามทำไมไม่ตอบ” ผมเอาแต่จ้องหน้าคยองซู ไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นจนคนตัวเล็กต้องยกหมัดขึ้นต่อยแก้มผมเข้าให้ ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหอมแก้มของคยองซูไปฟอดใหญ่แทนคำตอบ

     

     

     

    RRRRRRRrrrrr~

     

     

    ระหว่างที่ผมกำลังนอนกกคยองซูใต้ผ้าห่มอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู และชื่อของสายเรียกเข้าที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ทำให้ผมต้องเบิกตากว้าง

     

    คิมจงอิน

     

    คิม จงอิน ที่ไม่โทรหาผมมาหลายปีแล้ว เว้นเสียแต่คราวนั้นที่นัดผมออกไปหาเรื่อง

     

    “อะไร” ผมกรอกเสียงเบื่อหน่ายใส่ปลายสาย

    (เราเซฮุนเอง)

    “หืม เซฮุน?” คำพูดของผมทำให้คยองซูหันขวับ

    (แบคฮยอน ตอนนี้นายว่างงานอยู่ใช่มั้ย)

    “อ เอ่อ เอ้อ ใช่”

    (ถ้ายังหางานใหม่ไม่ได้ นายอยากมาทำงานแทนเรามั้ยล่ะ)

    “หืม งานอะไรเหรอ”

    (เราทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อของจงอินอยู่ แต่เรากำลังจะลาออกแล้ว และตอนนี้ก็ยังหาคนมาทำแทนไม่ได้เลย)

    “ผู้ช่วยคุณหมอคิมเหรอ…”

    (งานไม่หนักหรอก สบายๆ แถมยังเงินเดือนดีด้วยนะ โอ๊ยย จั๊กจี๋นะจงอิน เอามือออกไปก่อนได้มั้ยเนี่ย)

    ………………”

    (เราแนะนำจริงๆ นะแบคฮยอน (เซฮุนนา ขอคุยกับแบคมันหน่อยสิ) แป๊บนึงนะแบคฮยอน จงอินขอคุยด้วย)

    …………”

    (นี่แบคฮยอน ถ้าแฟนกูโทรไปหามึงอีกโดยที่ไม่ใช่เรื่องงาน มึงต้องรีบบอกกูนะ)

    “ห๊ะ ? แฟน ?”

    (เออ เซฮุนนี่แหละแฟนกู เอาเป็นว่าถ้าสนใจจะทำงานแทนเซฮุนก็โทรกลับมาละกัน จะวางแล้วนะ หวง)

    “เดี๋ยวจงอิน ! มึง…”

    (อ้อ รักกับคยองซูนานๆ นะ ถ้าคยองซูเป็นอะไรไป มึงตายแน่ แล้วไว้เจอกันมึง)

     

    จบประโยค จงอินก็กดวางสายไปโดยไม่รอให้ผมได้เอ่ยปากพูดอะไร ผมได้แต่อ้าปากค้างด้วยความงุนงง จงอินกับเซฮุนคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมตอนนี้ยังอยู่ด้วยกันอีก ผมควรจะช็อคหรือดีใจก่อนดีล่ะ

     

    “มีอะไรเหรอคุณบี” คยองซูที่นอนฟังอยู่นานเอ่ยปากถาม

     

    “เซฮุนโทรมาขอให้เราไปทำงานต่อให้น่ะ แต่ จงอินอยู่ด้วย”

    “สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันแล้วเหรอ”

    “ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทนะคุณเค สองคนนั้นเป็นแฟนกันแล้วด้วยล่ะ”

    “หา!?”

     

    คยองซูตะโกนลั่น เบิกตาโตราวกับคนเพิ่งรู้ความลับระดับชาติ แถมยังอุทานออกมาไม่เป็นภาษาจนผมต้องใช้สายตามองแบบค้อนๆ นี่คยองซูจะตกใจอะไรนักหนาน่ะ

     

    “ทำไม คุณเคหวงมันเหรอ เสียดายมันเหรอไง” ผมแกล้งพูดทีเล่นทีจริง

    “ไม่ใช่นะ แต่ว่ามันกระทันหันอ่ะ…”

    “ใช่ซี้ เค้ามันไม่เซ็กซี่แบบจงอินใช่ม้า”

    “อะไรเนี่ย”

     

    คยองซูหัวเราะลั่น มือเล็กยกขึ้นบีบจมูกผมจนแทบแบนติดเป็นเนื้อเดียวกัน มันมีอะไรน่าตลกตรงไหนกันล่ะครับ นี่ผมคิดมากจริงๆ นะ บางทีคยองซูอาจจะผิดหวังในรูปร่างที่ไม่เซ็กซี่เท่าของจงอิน ฟังดูปัญญาอ่อนไหมล่ะครับ นี่ไม่ตลกนะครับ ผมซีเรียสอยู่นะ

     

    โอเค ผมยอมรับว่าผมปัญญาอ่อนก็ได้

     

    “ต่อให้จงอินมาแก้ผ้าตรงหน้า เค้าก็ไม่สนใจหรอก”

    “ให้มันจริงเถอะ เอางี้ ถ้าจงอินแก้ผ้า แล้วเค้าใส่เสื้อผ้าครบอ่ะ คุณเคจะสนใจใครมากกว่ากัน”

    “เค้าก็จะเดินไปหาจงอิน

    “เนี่ย ดูดิ!”

    “เดินเข้าไปบอกจงอินว่า ใส่เสื้อผ้าเถอะ อย่ามาโชว์เลย แฟนเราเซ็กซี่กว่าจงอินเยอะ”

     

    พูดจบคยองซูก็หอมแก้มผมไวๆ แล้วฉีกยิ้มกว้างจนปากเป็นรูปหัวใจ คนตัวบางในอ้อมกอดของผมตอนนี้น่ารักเสียจนผมนึกอยากจะจัดชุดใหญ่อีกสักชุดสองชุด อยากจะปลุกปล้ำ ขย้ำขยี้ให้คยองซูหอบตายคาอกผมไปเลย

     

    ผมยิ้มอย่างมีความสุข เฉกเช่นเดียวกับคยองซู สีหน้าของคยองซูดูมีความสุขและสดชื่น ผิดกับตอนแรกที่เรียกให้ผมมาหา ดูเหมือนว่าคยองซูจะลืมเรื่องที่เคยทุกข์ไปแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมหวังเอาไว้

     

    หวังว่าผมจะเป็นคนที่ทำให้คยองซูมีความสุข และยิ้มกว้างๆ แบบนี้

     

    มือหนาของผมกระชับอ้อมกอดคนตัวเล็กแน่นขึ้น อ้อมกอดที่คยองซูชอบบอกว่ามันอบอุ่นกว่าอ้อมกอดของใครๆ และรู้สึกปลอดภัยเสียยิ่งกว่าอะไรดีเวลาที่ได้อยู่ได้อ้อมกอดของผมแบบนี้

     

    ภาพของจงอินและเซฮุนลอยขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง ผมนึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่เรื่องราวทั้งหมดจบลงแบบนี้ ทุกฝ่ายต่างมีความสุข และลงเอยกันด้วยดี ต่อจากนี้ก็แค่ทำทุกวันให้ดีที่สุดก็พอ ในอนาคตอาจมีบททดสอบอีกมากมายที่รอเราสองคนอยู่ แต่หากเรายังจับมือกันแน่นอยู่แบบนี้ ก็คงไม่มีอะไรมาทำลายความรักของเราได้

     

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ผมก็จะยังเป็นแบคฮยอนคนเดิมคนนี้

     

    คนที่รัก คนที่พร้อมจะปกป้องคยองซูเสมอ และตลอดไป




     






    - TO BE CONTINUED -





    ปล.1 ต้องขออภัยที่ไม่ได้ลงฉาก NC ที่สมบูรณ์แบบนะคะ กลัวจะโดนเด็กดีสอยค่ะ T_T
    NC ที่ขาดหายไปจะอยู่ในเล่มค่ะ ถ้าอยากอ่านกดสั่งจองกันได้เลย : P

    ปล. 2 ฟิคเรื่องนี้จะจบที่ตอน 13 นะคะ อีกสองตอนก็จบแย้ว เย้เฮ่ททท!




     



    themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×