คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ` c h a p t e r 9 ♡ { j u s t ' U & M E }
C I R C L E
` c h a p t e r 9 ♡ { j u s t ' U & M E }
“เราขอโทษชานยอล… เราขอโทษ”
ร่างเล็กตรงหน้ากล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน ทว่า มันกลับชัดเจนในความรู้สึกของผม มันก้องดังในหัวของผม เสียงที่บอกว่าเขาไม่ได้รักผม เขาไม่ได้รักผมเลย ผมอยากจะขับไล่เสียงนี้ออกไปให้พ้น
ไม่ใช่ว่าไม่อยากยอมรับความจริง ไม่ใช่ว่าอยากจะหลอกตัวเอง
แต่ผมยังไม่พร้อมจะยอมรับมัน… ตอนนี้
“เราพยายามแล้ว พยายามเปิดใจแล้ว แต่เรารู้ตัวเองเลยว่า… เรารักได้แค่… แบคฮยอนคนเดียว”
“พอแล้ว”
“…………”
“พอเถอะคยองซู… แค่นี้เรายังเจ็บไม่พออีกเหรอ”
น้ำใสที่เอ่ออยู่ที่ดวงตาของผม ในที่สุดมันก็ไหลลงมาอาบแก้ม ความเจ็บปวดในตอนนี้ของผม ผมเชื่อว่าผมจะจดจำมันไปอีกนาน ผมไม่เคยโดนปฏิเสธต่อหน้าต่อตา ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
และที่สำคัญ คนตรงหน้าคือคนที่ผมคิดว่าผมทุ่มเทให้มากที่สุดในชีวิต
“คิดว่าจะรักกันไปได้นานอีกแค่ไหนล่ะ”
“หือ?”
จู่ๆ ผมก็เอ่ยปากถามออกมาแบบนั้นหลังจากที่เราทั้งสองนั่งจมอยู่ในความเงียบเกือบๆ จะสิบนาที ไม่รู้ว่าทำไมความเจ็บปวดถึงได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความโกรธแทนภายในเวลาอันสั้น อันที่จริงผมไม่ใช่คนขี้โมโหแบบนี้ ไม่ใช่เลย
“คยองซูกับแบคฮยอนน่ะ คิดว่าจะรักกันไปได้อีกนานแค่ไหนเหรอ”
“ทำไมถึง…”
“เรื่องนี้น่ะ ไม่ใช่คยองซูที่จะต้องเจ็บหรอกนะ คนที่ลำบากที่สุดน่ะ… ไม่ใช่คยองซูหรอก”
“พูดอะไรน่ะ”
“คยองซูเองก็รู้ว่าไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่ชอบคยองซู ยังมีผู้ชายอีกสองคนไม่ใช่เหรอ ถึงเราจะถอนตัวไปแล้วน่ะ”
คยองซูจ้องตาผม คิ้วขมวดแน่น ตอนนี้อีกฝ่ายคงมีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาหรอกน่ะ เพียงแต่ผมโกรธ และรู้สึกน้อยหน้าที่โดนปฏิเสธแบบนี้ก็เท่านั้นเอง แน่นอนว่าถึงผมจะถอนตัวไป ก็ยังมีอีกตั้งสองคน แถมยังไม่ใช่คนเบาๆ เสียด้วย คนที่ลำบากที่สุดก็คือแบคฮยอนไม่ใช่เหรอ
แต่แน่นอน… ว่าผมจะไม่ถอนตัว
“เราไม่รู้หรอกนะว่านายกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้นายไม่ใช่ชานยอลคนที่เรารู้จักอีกต่อไปแล้ว เราขอตัวนะ”
คยองซูลุกพรวด พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต คาดว่าอีกฝ่ายก็คงโกรธไม่น้อยไปกว่าผมเลย ผมผิดเองที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป แต่ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ไม่เลย
ผมจ้องมองคยองซูที่เดินออกไปจากร้านภายในเวลารวดเร็ว ก่อนจะกลับมาดื่มน้ำในแก้วของผมให้หมดแล้วเดินออกจากร้านไปด้วยในเวลาต่อมา
แบคฮยอน…
นายจะต้องเจ็บปวด ให้ได้เท่ากับที่ฉันเจ็บปวด
สักวันนายจะต้องได้รับรู้ว่าหัวใจของฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน
… คอยดูก็แล้วกัน …
.
.
.
“คุณบี…”
ผมเดินกลับบ้านมาด้วยท่าทีเหนื่อยล้าเต็มทน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ และที่สำคัญ … กับชานยอล
แต่ตอนนี้ผมหายเหนื่อยแล้ว แค่เพียงได้เห็นคนตรงหน้ายืนรอผมอยู่ที่หน้าบ้าน สีหน้าของแบคฮยอนดูไม่ได้ดีไปกว่าผมเลย ผมไม่รู้หรอกว่าแบคฮยอนไปเจอเพื่อนคนไหนมา แต่มันคงไม่ใช่การพบกันที่ดีแน่ๆ มีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
“มารอนานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ผมตัดใจไม่ถามอะไรออกไป เดินเข้าไปหาคนรักของตัวเองแล้วจับมือที่คุ้นเคยทันทีที่ประชิดตัว แบคฮยอนแยกรอยยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะกระชับมือให้แน่นกว่าเดิม พร้อมทั้งยกมืออีกข้างขึ้นโอบไหล่ผมด้วย
แค่นี้เอง แค่จับมือกันเอาไว้แบบนี้เอง แค่สิ่งนี้แหละ สิ่งเดียวที่คนอย่างผมต้องการ
“ไม่นานเลย ยืนรอแค่แป๊ปเดียว ไม่หนาวด้วยนะ เค้าเก่งใช่มั้ย” เสียงออดอ้อนออเซาะของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอขำออกมาโดยไม่รู้ตัว ถึงผมจะชินกับการอ้อนน่ารักๆ แบบนี้ของแบคฮยอน แต่มันก็ยังเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมเสมอ … ผมชอบจัง
“เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้คนเก่งไม่สบายเค้าจะตีให้เลย” ผมดันหัวอีกคนเบาๆ แบคฮยอนหัวเราะก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“คุณเค อาบน้ำให้เค้าหน่อย”
“หือ?”
“อาบน้ำด้วยกันเถอะ เหนียวตัวไปหมดแล้ว”
“แต่…”
“นะครับ”
“…………”
“นะ”
“…อื้อ…”
ดวงตาคู่นั้นที่ทอดตรงมาที่ผม สายตาออดอ้อนปนเหนื่อยอ่อนและต้องการการดูแลของแบคฮยอนทำให้ผมปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะเจอเรื่องอะไรไม่ดีมาจริงๆ ด้วย แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ถามอะไรออกไปหรอก ถ้าแบคฮยอนอยากเล่าก็คงเล่าเองนั่นแหละ
.
.
เราสองคนพากันเดินเข้ามาในบ้าน แบคฮยอนทำความเคารพคุณยายผมและนั่งคุยกันพักหนึ่ง ผมเองก็จัดสำรับกับข้าวให้คุณยายเหมือนที่ทำเป็นประจำก่อนจะเข้าห้องตัวเองมาพร้อมกับแบคฮยอนโดยที่มีผมเป็นคนเดินนำ ทันทีที่ปิดประตูและล็อคห้องเรียบร้อย แบคฮยอนก็ดึงแขนของผมรั้งเข้าหาตัวเองและจัดการดันตัวผมให้เป็นฝ่ายยืนชิดติดประตูแทน
ริมฝีปากเรียวบางที่บุกเข้ามากดทับริมฝีปากของผมแบบกระทันหันทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนแรก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายออกเมื่อเคลิบเคลิ้มกับรสจูบมากขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นหนาของอีกฝ่ายที่รุกรานเข้ามาในโพรงปากของผมทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนเช่นทุกครั้ง มือเรียวสวยทั้งสองที่ใครหลายคนอิจฉากำลังประคองใบหน้าของผมอยู่ ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะทับกับมือของแบคฮยอนเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผมรักเขามากขนาดไหน
มาก… เสียจนไม่อยากอยู่ห่างแม้แต่วินาทีเดียว
“อ… อื้อ”
ผมร้องครางเบาๆ ในลำคอเพราะเริ่มจะขาดอากาศหายใจหลังเวลาล่วงผ่านมานานพอสมควร เราทั้งสองค่อยๆ ผละออกจากกันช้าๆ แบคฮยอนจรดปลายจมูกลงที่จมูกของผมแล้วจ้องตาผมเนิ่นนานแบบที่ชอบทำเป็นประจำ ผมคลี่ยิ้มบางออกมา หวังเพียงว่ารอยยิ้มของผม จูบของผมจะทำให้แบคฮยอนหายเครียดได้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่
“คุณเค… รักเค้าไหมครับ”
“ถามอะไรที่รู้คำตอบอยู่แล้วเนี่ยนะ”
“อือ ก็แค่อยากได้ยินให้มันชื่นใจเท่านั้นเอง”
“ไม่รัก…”
“…………”
“ไม่รักคุณบี… แล้วจะไปรักใคร”
คำตอบของผมทำให้แบคฮยอนยิ้มกว้างออกมาจนเห็นฟันครบทุกซี่ มืออุ่นของอีกฝ่ายยีผมของผมจนยุ่งไปหมด ผมเองก็ได้แต่ยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายเช่นกัน จะหาว่าโอเวอร์หรือยังไงก็ได้ แต่แค่การยิ้มให้กันและกันนี่แหละ คือการเติมพลังให้ผมไปได้อีกยาวๆ เลย
“ไปอาบน้ำกัน”
แบคฮยอนกระซิบข้างหูของผมแผ่วเบา เป็นเพียงคำพูดธรรมดาที่ไม่ได้ผิดแปลกอะไร แต่กลับชวนให้ผมสยิวจนหน้าร้อนไปหมด อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่หน้าหรอก ตอนนี้ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวเลยล่ะ ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาในหัวผม
ทำไม… ถึงได้น่าหลงใหลขนาดนี้นะ
.
.
.
“พรุ่งนี้เริ่มไปติวกับไอ้ซูโฮแล้วใช่มั้ย”
“คุณบี อย่าเรียกพี่เขาว่าไอ้สิ พี่เขาป่วยอยู่นะ”
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ ไม่ต้องมาห้ามเลยนะตัวดื้อ เค้ายอมให้ไปก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่คยองซูที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคยองซูในชุดนอนลายหมีสีขาวแบบนี้นี่มันน่าขย้ำเป็นที่สุด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคยองซูในชุดนอนน่ารักแบบนี้ ผมห้ามตัวเองไม่ให้ใจสั่นไม่ได้เลย
อ้อ … เมื่อกี้เราอาบน้ำด้วยกันก็จริง แต่เราทั้งสองอาบโดยเปลือยแค่ท่อนบนนะครับ คยองซูใส่กางเกงชั้นใน ส่วนผมก็ใส่บ๊อกเซอร์อาบ และเราทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกันเลยนะครับ จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้เอ้า
ผมไม่ได้สัญญากับคยองซู แต่ผมได้ให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าผมจะไม่ล่วงเกินคยองซูก่อนถึงเวลาอันควรเด็ดขาด ผมรักและให้เกียรติคยองซูมาก อยากทะนุถนอมอีกฝ่ายมากเสียจนผมคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้ … คยองซูมีค่าสำหรับผมมากเหลือเกิน
แต่จะบอกว่ามันยากสุดๆ เลยแหละครับกับการหักห้ามใจไม่ให้ล่วงเกินคยองซูเนี่ย
ถ้าจะให้ผมเปรียบ ก็ลองจินตนาการว่ามีขนมโปรดมาวางอยู่ตรงหน้า ได้สูดกลิ่น ได้จับช้อนเตรียมตัวจะกิน แต่ว่ากินไม่ได้ดูนะครับ นั่นแหละ … ผมตอนที่อาบน้ำกับคยองซูเลย
“อื้อ ไม่ขัดอะไรแล้วก็ได้ คุณบีของเค้าอ่ะใจดีที่สุดเลย”
คยองซูในชุดนอนลายหมีเดินเข้ามาหาผมพร้อมสวมกอดด้านหลังหลวมๆ อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าของวงหน้าน่ารักน่าเอ็นดูนั่นเกยคางอยู่ที่ไหล่กว้างของผมผ่านกระจก
“คืนนี้เค้าคงไม่ได้นอนที่นี่นะ พ่อเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลย” น่าเสียดายนิดหน่อยที่ผมคงได้แค่อาบน้ำกับคยองซู ทั้งที่อยากนอนกอดคนตัวเล็กปุ๊กลุกนี่ใจจะขาด แต่พ่อของผมเหมือนกับว่าจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ผมเลยจำเป็นต้องกลับไปดูแลพ่อ
“คุณลุงเป็นอะไรมากรึเปล่า” ใบหน้าของคยองซูแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลทันทีที่ได้ยินเรื่องพ่อ ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไรพร้อมส่ายหน้ายิ้มๆ อันที่จริงผมไม่น่าพูดแบบนั้นเลย เพราะหลังจากนั้นคยองซูก็รีบบอกให้ผมแต่งตัวไวๆ แล้วรีบไล่ผมกลับบ้านเลย
โธ่… อยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้จัง
ก่อนจะออกมาจากบ้านคยองซู ผมก็จูบแก้มคนตัวเล็กจนเกือบจะช้ำไปหลายรอบ คยองซูเอาแต่ตีแขนผมแล้วไล่ให้ผมรีบไป ผมกลายเป็นคนดื้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมไม่เคยอ้อนใครขนาดนี้มาก่อนนะ
“คืนนี้ฝันดีนะครับคุณเค คุณบีรักคุณเคนะ”
.
.
.
โรงพยาบาลมยองดง
17.40 น.
“ตื่นแล้วเหรอพี่”
วันนี้เซฮุนมาเยี่ยมผมหลังจากเลิกเรียน อันที่จริงเวลานี้เซฮุนต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลโซล แต่เจ้านี่บอกว่าลาเจ้านายมาเยี่ยมพี่ชายได้ไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ต้องรีบกลับไปอยู่ดี
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย” ผมเอ่ยปากถาม ยิ้มออกมาเมื่อเห็นของพะรุงพะรังในมือของเซฮุน ในนั้นมีการ์ตูนเรื่องโปรดที่ผมชอบอ่านด้วย น้องชายคนนี้มันรู้ใจผมเสียจริง ผมน่ะเบื่อห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี้จะแย่อยู่แล้ว
“ผมเอาสิ่งที่มันน่าจะทำให้พี่มีความสุขมาให้… เพราะเดี๋ยวพี่จำเป็นต้องใช้มัน”
“พูดอะไรวะเนี่ย นิยายจัง … มีอะไร”
“ผมรู้ว่าผมไม่ควรบอกพี่ แต่ผมว่ามันจะดีกว่าถ้าพี่รู้”
“เข้าเรื่องมาเลยเหอะ”
ผมขมวดคิ้ว มองหน้าเซฮุนที่ดูมีอะไรอยู่ในใจ หัวใจผมเริ่มเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ น้องชายของผมนั่งลงกับโซฟา หลุบตาลงต่ำอยู่นานราวกับคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“คยองซู… น่ะ… เป็นแฟนกับแบคฮยอนแล้วนะ”
ราวกับโดนแช่แข็ง ร่างกายของผมชาไปหมดทั้งตัว ใบหน้าของผมถอดสีทันทีที่ได้ยินอะไรแบบนั้นออกมาจากปากเซฮุน ผมไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว
ตอนนี้ผมเหมือนคนเป็นอัมพาตดีๆ นี่เอง
… นี่มันเรื่องจริงเหรอ …
“ไม่จริง”
“จริงครับ พี่ยอมรับแล้วหยุดซะทีเถอะ”
“ไม่จริง เซฮุนพอได้แล้ว”
“เค้าคบกันได้หลายวันแล้ว เค้ารักกันมากด้วย”
“ไม่จริง”
“พี่จุนมยอน!!”
เสียงตวาดของเซฮุนเรียกสติของผมให้กลับมาได้เป็นอย่างดี ผมเอาแต่พูดว่ามันไม่จริง คิดว่ามันไม่จริงอยู่อย่างนั้น มันเป็นคำเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ เซฮุนเดินเข้ามาเขย่าตัวผมที่ดูเหมือนจะสติหลุดไปไหนต่อไหนแล้วจ้องหน้าผมเขม็ง
“ถ้าเค้าไม่รักก็หยุดเถอะครับ ฟังผมบ้างสิ”
“เค้าไม่รัก… เหรอ”
ผมแค่นแต่ละคำพูดออกมาจากลำคอช้าๆ ดวงตาร้อนผ่าวไปหมด ตาของผมแดงเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรเลย สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้มันเอ่อล้นออกมาต่อหน้าน้องชายตัวเอง
“แกไปทำงานของแกได้แล้ว”
เอ่ยปากไล่เซฮุนแผ่วเบาโดยไม่สบตาเจ้านั่นเลยแม้แต่นิด เซฮุนทำสีหน้าโกรธผมอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะคว้ากระเป๋าออกไปตามที่ผมว่า วันนี้ผมต้องเจอคยองซู และต้องติวภาษาญี่ปุ่นให้คยองซูด้วย และนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว
ผมจะมองหน้าคยองซูยังไงดี…
ไม่ถึงสิบห้านาทีหลังจากที่เซฮุนออกไป คยองซูก็เปิดประตูเข้ามาและทักทายผมด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส ผมรีบทำหน้าให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้คยองซูจับได้ถึงตาของผมมันจะแดงมากก็ตาม
“มาช้าจังเลยนะ” ผมคลี่ยิ้มใจดีให้อีกฝ่าย คยองซูค่อยๆ วางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเดินเข้ามาเอามือแตะหน้าผากผม
“เป็นไงบ้างครับเนี่ย ดีขึ้นรึยัง ทำไมตัวยังร้อนอยู่เลย”
“……………”
“หิวน้ำอะไรไหม ผมซื้อน้ำส้มคั้นแท้ๆ มาฝากด้วยนะ”
“……………”
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ ปวดหัวตรงไหนรึเปล่า”
ผมเอาแต่จ้องมองดวงตาคู่สวยคู่นั้นของคยองซู ดวงตาคู่เดียวที่ผมเอาแต่เฝ้ามองมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ดวงตาที่มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อ หนำซ้ำยังอยากจ้องมองให้นานมากกว่าเดิม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกต่างหาก
ทว่า… ดวงตาคู่นั้นมองผมเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่อยากกินอะไรเลย เรามาเริ่มติวกันเลยเถอะเนอะ”
ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งในท่าทะมัดทแมงเตรียมตัวจะเริ่มติวให้คยองซู ทั้งที่อารมณ์ของผมมันขุ่นมัวเสียเหลือเกิน เกินกว่าที่จะมานั่งสอนอะไรแบบนี้ได้ คิดได้แบบนั้นผมก็เริ่มรวบรวมสมาธิตัวเองให้กับมาเป็นปกติ ผมควรจะทำสิ่งดีๆ ให้คยองซูอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้สิ
“เริ่มที่ข้อแรกเลยนะ”
เมื่อสมาธิของผมมันค่อนข้างจะนิ่งแล้ว การติวให้คยองซูในครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยดี ยิ่งได้เห็นว่าคยองซูตั้งใจเรียนแบบนี้ ผมยิ่งต้องช่วยให้คยองซูไปถึงฝั่งฝันให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด
แม้ว่าคยองซูจะไม่รับรู้ถึงการช่วยเหลือของผมเลยก็ตาม
“ทำไมเราต้องใช้ตัวนี้ในประโยคนี้ด้วยอ่ะครับ”
“ก็เพราะว่าประโยคนี้เป็นประโยคสุภาพไง อย่างเช่นเวลาเราพูดกับคุณครูอะไรแบบนี้ แต่ถ้าพูดกับเพื่อนเราต้องใช้ตัวนี้”
คยองซูไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของผมเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะว่าผมตีหน้าเนียนเก่งหรือว่าคยองซูไม่เคยใส่ใจผมกันแน่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันก็ดีแล้วที่คยองซูไม่รู้ถึงความเจ็บปวดของผมแบบนี้ มันดีแล้วจริงๆ
“ประโยคปฏิเสธอันนี้ ช่วยยกตัวอย่างการใช้ให้หน่อยได้มั้ยครับ”
“ไหนมาดูซิ”
ผมหยิบชีทในมือคยองซู ดูตามข้อที่คยองซูสงสัยแล้วนึกตัวอย่างที่จะใช้อธิบายอยู่นานสองนาน อันที่จริงสิ่งที่กำลังลอยวนอยู่ในหัวผมตอนนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีได้เลยแหละ
“ตัวอย่างเหรอ… อืม… โบะคุก่ะไดสึคิจะไน่โนะ”
“แปลว่า…”
“เธอไม่ได้รักฉัน คุณไม่ได้รักผม…”
“อ้อ”
“คุณ… ไม่ได้รักผม”
จู่ๆ เสียงของผมก็ถูกกลืนหายไปในลำคอ ในที่สุดสิ่งที่ผมพยายามมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ล้มเหลว น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลลงมาและผมก็ปาดมันทิ้งไม่ทัน คยองซูที่เงยหน้าขึ้นมาจากชีทและเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ได้แต่อ้าปากค้างไปพักหนึ่ง แล้วรีบถามผมด้วยความเป็นห่วง
“พี่จุนเป็นอะไรไปครับเนี่ย”
“เปล่า… พี่แค่รู้สึกตาแห้งๆ น่ะ”
“เอ๋… ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่ครับ”
คยองซูขมวดคิ้ว จ้องตาผมที่กำลังหลบตาอยู่อย่างจับผิด ผมพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของคยองซูนั้นก็ยิ่งทำให้น้ำตาผมไหลลงมามากกว่าเดิม
ผมอ่อนแอขนาดนี้ต่อหน้าคยองซูได้ยังไง
“ไม่ได้รัก… เลยแม้แต่นิดเดียวใช่มั้ย”
“เห? พูดกับผมเหรอครับ?”
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะพูดในสิ่งที่อยากพูดออกไปให้คยองซูรู้ ดวงตาของเราจ้องมองกันเนิ่นนาน ผมไม่รู้ว่าคยองซูจะรู้หรือยังว่าผมหมายถึงอะไร แต่ถ้ายังไม่รู้ ผมก็จะบอกให้เลยแล้วกัน
“คยองซูไม่เคยรักพี่ในแบบอื่นเลยใช่มั้ย… นอกจากพี่ชาย”
“พี่จุนมยอน…” คยองซูเรียกชื่อผมแบบลากเสียงยาว คนตัวเล็กดูอึ้งไม่น้อยเลย
“ช่างมันเถอะ พี่ไม่คิดจะพูดอะไรให้คยองซูเปลี่ยนใจหรอก เรามาเรียนกันต่อดีกว่าเนอะ … ไหนลองพลิกไปที่ชีทหน้าสิ……”
หมับ !
จู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็ดึงตัวผมไปกอดแน่นจนผมเกือบหายใจไม่ออก
“คยองซู…พี่หายใจไม่ออก” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป เลยพูดในสิ่งที่มันดูจะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมรู้สึกอยู่ในตอนนี้ที่สุด คยองซูค่อยๆ ปล่อยผมให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดแน่นเมื่อครู่ ดวงตาของเราสบตากันอีกครั้ง และผมก็พบว่าคยองซูกำลังร้องไห้อยู่ด้วยเช่นกัน
“คยองซูร้องไห้ทำไม…”
“ผมขอโทษที่…”
“ไม่… ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องพูดอะไรเลย มันไม่ได้มีใครผิดซะหน่อย”
“แต่ว่าพี่จุนมยอนคงจะเจ็บมากที่ผมไปคบกับคุณบี… เอ่อ แบคฮยอนแบบนี้”
“อืม พี่เจ็บ”
ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ทั้งที่ตายังแดงอยู่ มือหนาของผมยกขึ้นเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้คยองซูอย่างเบามือ แก้มนิ่มชวนสัมผัสของคยองซูทำให้ผมอดเสียดายที่ไม่ได้เป็นเจ้าของไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมแพ้แล้ว ผมแพ้บยอน แบคฮยอนคนนั้นแล้ว
“พี่เจ็บมาก… แต่คยองซูคนดีของพี่… ไม่เป็นไรใช่มั้ยล่ะ”
“ผม…”
“คยองซูของพี่คงจะยิ้มได้ทั้งวันเวลาอยู่กับแบคฮยอน”
“พี่จุนมยอนครับคือ…”
“คยองซูของพี่… ต้องมีความสุขมากแน่ๆ เลยใช่มั้ยตอนได้จับมือกับแบคฮยอนน่ะ”
“……………”
“คยองซูของพี่จะมีความสุข…”
“………………”
“คยองซูของพี่จะยิ้ม คยองซูของพี่จะมีความสุขมากกว่าใครๆ ในโลกนี้”
“…………………”
“คยองซูของพี่… ต้องมีความสุขให้มากๆ เลยนะรู้มั้ยหื้ม”
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและยินดีไหลพรั่งพรูอาบแก้มของผม มือที่คอยเกลี่ยแก้มและลูบผมอีกฝ่ายอยู่เริ่มจะอ่อนแรงลงทุกที ผมรู้สึกเจ็บปวดมากพอๆ กับรู้สึกยินดีในความรักของคยองซู คยองซูไม่ผิดที่ไม่เลือกผม เพราะผมไม่ใช่คนดี และไม่สมควรถูกเลือกแต่แรก
สิ่งที่ผมพูดออกไปทั้งหมด ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ
คยองซูต้องมีความสุข… แค่ต้องมีความสุขให้ผมเห็น… แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะ
คยองซูเองก็ร้องไห้หนักหนาไม่แพ้ผม หนำซ้ำคนตัวเล็กนี่ยังสะอื้นมากกว่าผมเสียอีก คราวนี้เลยกลายเป็นผมที่ดึงคยองซูมากอดปลอบแทน มือหนายกขึ้นลูบหัวคนตัวน้อยในอ้อมกอดไม่หยุด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปหลายนาที
คยองซูต้องไปแล้ว
ไม่ใช่แค่ต้องไปจากที่นี่
แต่ต้องไปจากหัวใจของผมด้วย…
ช่วยเดินจากไป… ให้ไกลที่สุด… เท่าที่จะทำได้เลยนะคยองซู
“กลับก่อนนะครับ”
.
.
.
ความรักของผมมันทำร้ายใครหลายคนเกินไปรึเปล่า…
ผมคือคนเห็นแก่ตัวรึเปล่าที่เลือกแบบนี้…
ผมทำให้ใครหลายคนต้องร้องไห้เพราะผมใช่ไหม
ผมมันแย่… ระหว่างทางเดินออกมาจากโรงพยาบาล ผมคิดได้แค่อย่างเดียวว่าตัวผมมันโคตรจะแย่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใครหลายคนในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้เลย ผมไม่ชินกับการเฉยเมยต่อคนที่รู้สึกดีกับผม และทำเพื่อผมมากขนาดนี้
ไม่ใช่แค่คนเดียว … ไม่ใช่แค่สองคน … แต่มากถึงสามคน
“ทาด๊า!”
ผมอุทานออกมาทันทีที่แบคฮยอนเด้งตัวกระโดดออกมาจากพุ่มไม้หน้าโรงพยาบาล โชคดีที่ตาผมไม่แดงมากแล้วเลยดูไม่ออกว่าผมผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ถึงหน้าผมจะบวมๆ ไปหน่อยก็เถอะนะ
“คุณบีมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย ไม่ไปทำงานเหรอไง”
“เลิกงานแล้ว วันนี้ร้านเปิดแค่ครึ่งวันเพราะเจ้าของจะไปดูงานอีกสาขานึงน่ะ เราไปกินข้าวกันนะคุณเค”
“อื้อ เอาสิ”
ผมต้องทำหน้าให้ปกติที่สุดเพราะกลัวแบคฮยอนจะจับได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก และผมก็ไม่ต้องการให้แบคฮยอนรู้ด้วย เพราะผมพอจะเดาออกว่าถ้าแบคฮยอนรู้ขึ้นมา เขาจะกังวลและโมโหมากแค่ไหน แฟนผมน่ะคิดมากเสียยิ่งกว่าผมอีก
เราสองคนพากันนั่งรถเมล์ไปกินอาหารร้านโปรดแถวๆ บ้าน แบคฮยอนดูอารมณ์ดีและปกติดีทุกอย่าง ผิดกับผมที่เอาแต่นั่งเงียบ และเคี้ยวข้าวช้าไปจากเดิมจนแบคฮยอนต้องเอ่ยปากถามออกมา
“เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าไอ้จุนมันทำอะไร”
“ไม่… พี่เค้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
“แล้วทำไมไม่ค่อยพูดเลย ข้าวก็ไม่ค่อยกิน”
“แค่เครียดเรื่อง…ทุนนิดหน่อย”
พอบอกออกไปแบบนั้น แบคฮยอนก็จัดการปลอบและให้กำลังใจผมชุดใหญ่ ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้าเออออไปกับแบคฮยอน และพยายามจะตักข้าวเข้าปากให้ได้ปกติที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเรื่องอื่นมากเท่าไหร่ ภาพของคนสองคนก็ยังคงลอยวนอยู่ในหัวของผมอยู่ดี
ภาพของชานยอลที่ร้องไห้ต่อหน้าต่อตาผม ภาพของพี่จุนมยอนที่ร้องไห้เป็นเด็กๆ สองคนนี้ร้องไห้โดยที่มีผมเป็นสาเหตุ
จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลย มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“คุณบีเคย… ทำให้ใครร้องไห้รึเปล่า”
“หืม? อ้อ น่าจะเคยตอนแกล้งคุณเคสมัยมัธยมน่ะ”
แบคฮยอนตอบพร้อมหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมได้แต่เนียนขำแห้งๆ ไปด้วยเพราะกลัวว่าแบคฮยอนจะจับได้ว่าผมคิดมากเรื่องอะไรอยู่ ผมไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ผมอยากจะสดใสเหมือนเดิมเวลาอยู่กับแบคฮยอน แต่ผมทำไม่ได้ ผมทำร้ายจิตใจคนมามากเกินไป
“มีอะไรรึเปล่า ถามทำไมเหรอ ไปทำใครร้องไห้มาล่ะ”
“ไม่มีอะไร เรื่องของเพื่อนเค้าน่ะ ไม่ใช่เรื่องของเค้าหรอก”
“ถึงเค้าจะเคยทำให้คุณเคร้องไห้มาหนนึงแล้ว แต่รับรองนะว่าต่อจากนี้เค้าจะไม่ให้คุณเคต้องร้องไห้อีก”
แบคฮยอนพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ยื่นมือเรียวสวยนั่นออกมาแล้วชูนิ้วก้อยตรงหน้าผม ผมเกี่ยวก้อยกับแบคฮยอนก่อนจะยิ้มออกมาด้วยเหมือนกัน คงไม่ผิดเลยหากจะพูดว่าแบคฮยอนคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้ในตอนนี้
“ขอบคุณนะคุณบี”
.
.
.
วันนี้คยองซูผิดปกติมาก
ผมขอเดาว่ามันคงไม่ใช่แค่เรื่องทุนไปญี่ปุ่นหรือเรื่องเพื่อนทำใครร้องไห้อะไรนั่นหรอก ไอ้จุนมยอนมันจะต้องพูดอะไรกับคยองซูแน่ๆ คยองซูของผมถึงได้มีสีหน้าอมทุกข์ขนาดนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป
เพราะว่าเวลานี้ยังไม่ดึกมาก ผมเลยเสนอตัวพาคยองซูไปเที่ยวที่เอเวอร์แลนด์เพราะอยากทำให้คยองซูอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ไม่ถึงชั่วโมงเราสองคนก็มายืนอยู่ที่เอเวอร์แลนด์และซื้อบัตรเครื่องเล่นเสร็จสรรพ
ผมกับคยองซูเล่นเครื่องเล่นกันไปได้แค่สองสามเครื่องเพราะว่าสวนสนุกใกล้จะปิดแล้ว และเราก็ต่างเหนื่อยกันมาทั้งวัน แต่ผมดีใจที่ทำให้คยองซูยิ้มได้มากขึ้น และกว้างขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้คยองซูกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
“วันนี้สนุกมั้ยคุณเค มีความสุขมั้ยหื้ม”
“ที่สุดเลยแหละ” คยองซูยิ้มกว้าง ผมอดหยิกแก้มไปด้วยความหมั่นเขี้ยวไม่ได้
“ดีแล้วแหละ ชอบเครื่องเล่นอันไหนมากที่สุดเนี่ย”
“เค้าชอบทุกอันที่มันสูงๆ เสียวๆ เพราะเค้ารู้สึกว่าได้เข้าใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นกว่าเดิมอ่ะ เหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย”
“อ้อ…” ผมพยักหน้าช้าๆ
“แต่คุณเครู้ป้ะ ไม่ต้องมาถึงที่สวนสนุก เค้าก็ทำให้คุณเคทั้งเสียว และได้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยนะ รู้ป้ะรู้ป้ะ”
ฟังจบคยองซูก็ง้างหมัดแล้วทุบเข้าที่หน้าท้องผมอย่างแรงจนผมจุกไปครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งผมและเจ้าตัวเล็กก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน การทำร้ายร่างกายผมแบบนี้มันก็เป็นการกระทำแก้เขินเท่านั้นแหละ สังเกตได้จากพวงแก้มที่แดงระเรื่อนั่นน่ะนะ
“เดี๋ยวเค้าไปซื้อไอศครีมตรงโน้นให้นะ คุณบีนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ”
“โอเค ขอบคุณนะครับ”
ตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ผมถอดหมวกคู่ใจออกแล้วเช็ดเหงื่อตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า มองคยองซูที่เดินลับตาไปไกลก่อนจะกลับมาเล่นมือถือตัวเองเพื่อเช็คว่าวันนี้มีใครส่งอะไรมาบ้าง เพราะวันนี้ทั้งวันผมแทบไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาดูเลย
.
.
.
“โอ้ย สนุกเป็นบ้า”
“จะเอาไอติมหรืออะไรเย็นๆ หน่อยมั้ย เดี๋ยวเดินไปซื้อให้”
“กำลังอยากกินไอติมช็อคโกแล็ตพอดีเลย”
วันนี้ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลย ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะผมได้โอกาสโดดงานมาเที่ยวสวนสนุกกับจงอินเพราะคุณหมอคิมไม่มาทำงานน่ะสิ ถ้าคุณหมอคิมรู้เข้าว่าผมแอบมาเที่ยวกับลูกชายสุดที่รักของเขา คุณหมอคงต้องขำมากแน่ๆ
ไม่ใช่ผมที่เป็นฝ่ายชวนจงอินหรอกนะ เป็นจงอินต่างหากที่มาหาผมถึงที่หน้าห้องทำงาน และชวนผมออกมาที่สวนสนุกแห่งนี้ สวนสนุกที่ผมมาครั้งล่าสุดเมื่อหลายปีมาแล้ว วันนี้สนุกมากจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าทำไมจงอินถึงต้องมาทำดีกับผม แต่ผมไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับเหตุผลพวกนั้นหรอก แค่ได้อยู่กับจงอินผมก็มีความสุขจะตายอยู่แล้ว
หลังจากที่จงอินอาสาไปซื้อไอศครีมให้ผมได้ไม่ถึงนาที ผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากทางที่จงอินเพิ่งจะเดินไป ฝูงชนจำนวนมากตะโกนร้องโหวกเหวกและผมจับใจความได้ว่ามีการวิ่งราว
ผมรีบลุกพรวดแล้ววิ่งไปยังที่เกิดเหตุเพราะมีลางสังหรณ์แปลกๆ และแล้วผมก็พบว่าจงอินกำลังวิ่งไล่ตามไอ้โจรวิ่งราวนั่นอยู่
“จงอิน!!”
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนเลิกลักอยู่หน้าร้านไอศกรีม ครั้นจะให้ผมวิ่งตามก็ดูจะวุ่นวายเข้าไปอีก ผมเลยเลือกที่จะยืนรอจงอินอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อมองไปทางซ้าย ห่างออกไปไม่ไกล ผมก็เห็นคยองซูที่กำลังยืนหน้าตาตื่นอยู่
หมอนั่นมาทำอะไรที่นี่น่ะ
ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาคยองซูเพราะมัวแต่ห่วงจงอินอยู่ ไม่นานเกินไปนัก จงอินก็วิ่งกลับมาหาคยองซูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผม ก่อนจะยื่นกระเป๋าสตางค์ให้คยองซูด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ ผมรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงทันที
“จงอิน เป็นไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไร คยองซูนี่สิโดนวิ่งราว เสียดายโจรมันหนีไปซะก่อน ไม่งั้นอัดแม่งเละแน่”
ผมหันไปมองคยองซู เหนื่อยขนาดนี้แล้วจงอินยังเป็นห่วงคยองซูมากกว่าชีวิตตัวเองอีก ผมได้แต่ข่มอารมณ์น้อยใจให้ลงไปลึกจนสุด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาน้อยใจอะไรทั้งนั้น
“ขอโทษนะจงอินที่ทำให้ลำบาก นี่มากับเซฮุนสองคนเหรอ”
“อื้อ”
จงอินตอบไปหอบไป ผมรีบวิ่งไปซื้อน้ำเปล่ามาให้จงอินดื่ม ไม่นานแบคฮยอนก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาคยองซู หมอนั่นมองหน้าจงอินด้วยสีหน้างงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ คยองซูเลยอธิบายว่าตนโดนวิ่งราวกระเป๋าสตางค์ ทำให้แบคฮยอนทำหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“มากับมันนี่เอง…” จงอินมองหน้าแบคฮยอนสลับกับคยองซูโดยมีผมยืนมองอยู่ไม่ห่าง แบคฮยอนมองมาทางจงอินที่จ้องตอบอย่างดุดันเช่นเดียวกัน ทั้งสองไม่พูดอะไรกัน มีแต่คยองซูที่เอาแต่ขอบคุณจงอินเท่านั้น
“กลับกันเหอะเซฮุน”
จงอินพูดออกมาแบบนั้นแล้วลากแขนผมให้เดินออกมาจากที่ตรงนั้น ผมรู้ว่าจงอินคงเจ็บปวดมากที่เห็นคยองซูอยู่กับคู่อริของตัวเอง ผมเลยเลือกที่จะเดินข้างๆ จงอินเงียบๆ เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ถูกใจออกไป
“อยู่ๆ ก็เป็นใบ้รึไง” กลายเป็นว่าจงอินพูดขึ้นมาก่อน หลังจากที่เราสองคนเดินพ้นมาได้สักระยะแล้ว
“อะไรเล่า ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร…”
“พูดอะไรก็ได้…” จงอินพูดเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตากับผม “เวลานายพูดออกมา มันทำให้ฉันดีขึ้นเยอะ”
“หืม เราไปพูดอะไรตอนไหน”
“พูดเพ้อเจ้ออะไรก็ได้ พูดมาเหอะน่า”
“……………”
“ยังไม่ยอมพูดอีก”
“จงอินหล่อ…”
“ฮะ!?”
“ก็ตอนนี้.. เวลาชุ่มเหงื่อแบบนี้ ดูหล่อดี”
“นี่เหรอสิ่งที่อยากพูดตอนนี้”
จงอินหลุดขำออกมานิดหน่อย ถึงจะเป็นการขำแบบไม่ค่อยออกมาจากใจ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ทำให้จงอินยิ้มออกมาได้แบบนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะสำคัญหรือไม่สำคัญกับจงอินมากน้อยแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆ ผมเนี่ย สำคัญกับผมมากเหลือเกิน
ถ้าเขายิ้ม… ผมก็จะยิ้ม
ถ้าเขาร้องไห้… ผมก็คงจะเจ็บหัวใจไม่ต่างกัน
“ทำไมคยองซูถึงไม่เป็นแบบนาย…”
“เพราะคยองซูก็คือคยองซู และเซฮุนก็คือเซฮุนไง”
ผมแกล้งพูดไปขำไปติดตลก มันยากเย็นแค่ไหนกันนะ กับไอ้การที่ต้องยิ้ม หัวเราะออกมา ทั้งที่หัวใจกำลังแหลกละเอียด แตกออกเป็นเสี่ยงๆ … ตอนนี้ผมรับรู้แล้ว ว่ามัน… เจ็บปวดมากเหลือเกิน
“ฉันไม่ดีกว่าแบคฮยอนตรงไหนเหรอ”
“สำหรับเรา จงอินดีกว่าแบคฮยอนเยอะเลย”
“เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงได้อยากให้นายเป็นคยองซู”
คยองซู
คยองซู
แล้วก็คยองซู…
ผมชักจะเกลียดชื่อนี้มากขึ้นทุกที ทำไมจงอินถึงไม่แคร์ว่าผมจะรู้สึกยังไง ทำไมจงอินถึงเอาแต่พูดเรื่องคยองซู จะมีสักวันไหมที่จงอินจะพูดเรื่องของผมบ้าง และเป็นห่วงความรู้สึกของผมบ้าง
แค่สักนิด … นิดเดียวก็ยังดี
“นี่ ลองมองดีๆ ดิ เราหล่อกว่าคยองซูตั้งเยอะ แถมตัวโตกว่าด้วยนะ ปกป้องจงอินได้สบายเลย”
ผมพยายามไม่อารมณ์เสีย ตอนนี้ถ้าพอจะมีทางไหน หรือคำพูดใดที่ทำให้จงอินกลับมารู้สึกดีได้ ผมก็ยินดีจะทำ ยินดีจะพูดมันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคยองซูหรือเรื่องอะไรที่ทำให้ผมเจ็บปวดใจมากก็ตาม … ผมยอมทุกอย่างแล้ว ขอแค่ให้ผมได้คุย และได้อยู่ใกล้ชิดกับจงอินแบบนี้นานๆ ก็พอ แค่นั้นมันก็มากพอสำหรับคนธรรมดาที่จงอินไม่เคยเหลียวแลอย่างผม
ผมยอมให้จงอินพูดเรื่องคยองซูกับผมทั้งวันเลยก็ยังได้ ถ้านั่นมันจะทำให้ผมมีเรื่องคุยกับจงอินน่ะ
“นายนี่มันประหลาดจริงๆ” จงอินส่ายหน้าแล้วหัวเราะออกมากับคำพูดของผม ทำให้ผมนึกไปถึงวันแรกที่เราได้คุยกัน วันที่จงอินเอาแต่ด่าว่าผมประหลาด โรคจิต และน่ารำคาญ
วันนี้ผมก้าวผ่านมาได้อีกขั้นแล้วนะ
ผมดีใจ และมีความสุขมากจริงๆ แม้จะเป็นความสุขที่เคล้าน้ำตาก็ตาม
“ว่าแต่ไหนล่ะไอติมอ่ะ”
“เออใช่ ลืมไปเลย งั้นเดี๋ยวเดินไปซื้อให้ใหม่นะ”
“ไม่ต้อง…” จงอินทำท่าว่าจะลุกไปอีกรอบ ผมคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องไปไหนแล้ว…”
“…………………….”
“ไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว… เพราะเรากลัวว่า… จงอินจะหายไปนานอีก”
.
.
.
ผมไม่เคยโกรธตัวเองมากเท่านี้มาก่อน
ผม… แบคฮยอน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฟนของคยองซูแท้ๆ แต่กลับปกป้องอะไรคยองซูไม่เคยได้เลย ที่เจ็บไปกว่านั้นคือการที่จงอินคือคนที่เข้ามาปกป้องคยองซูแทนผม คนที่ผมเกลียดมากที่สุดกำลังทำหน้าที่แทนผม
“เป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมทำหน้างั้นล่ะ” คยองซูเอ่ยปากถามผมที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดอะไรมานานแล้ว
“คุณเค… เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า โจรมันทำอะไรรึเปล่า”
“ไม่เลย เค้าไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว โชคดีจริงๆ ที่จงอินมาช่วย ไม่งั้นต้องแย่แน่”
“เค้ามันแย่…” ผมหัวเราะเยาะตัวเอง “แย่มากเลยใช่มั้ยที่ปกป้องคยองซูไม่ได้”
พอได้ยินแบบนั้น คยองซูก็ค่อยๆ จับมือผมขึ้นมา เราสองคนมองตากัน ก่อนที่คยองซูจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ผม มือเล็กค่อยๆ ยกขึ้นลูบผมของผมเบาๆ ช้าๆ แบบที่ชอบทำเป็นนิสัย
“สำหรับเค้า คุณบีของเค้าไม่เคยแย่”
“เค้าโกรธตัวเองที่ปกป้องคยองซูไม่ได้”
“นี่คุณบี… ฟังเค้าให้ดีนะ… เหตุการณ์เมื่อกี้มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกวันเสียเมื่อไหร่ มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นจงอินหรือใครที่มาช่วยเค้า ถ้าเวลานั้นจงอินไม่ได้มาสวนสนุก ไม่ได้มาซื้อไอติม ก็ต้องเป็นคนอื่นที่มาช่วยเค้าอยู่ดี ยังไงเค้าก็ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”
“แต่เค้า…”
“คุณบี เค้าโตแล้วนะ เค้าดูแลตัวเองได้ เพียงแต่ว่าอุบัติเหตุตอนนั้นมันกระทันหันมาก คุณบีไม่จำเป็นต้องแข็งแรงมากขนาดที่จะปกป้องเค้าได้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องดีเหมือนใครๆ เพราะอะไรรู้มั้ย…”
“……………”
“เพราะเค้ารักคุณบี ที่คุณบีเป็นแบบนี้ไง”
คยองซูจับมือผมไปแนบแก้มนิ่มของตัวเอง รอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนนั่นทำให้ผมยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกดีขึ้นมากอย่างบอกไม่ถูก และทำให้ผมเลิกรู้สึกผิดกับตัวเองขึ้นมาได้มากทีเดียว
“มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะปกป้องเค้า… เพราะคนที่เค้าอยากให้ปกป้อง มีแค่คุณบีคนเดียวเท่านั้น”
“แค่เค้าคนเดียวจริงๆ นะ”
“อือ แค่คุณบีคนเดียว… อยากอยู่กับคุณบีแค่คนเดียวด้วย มือก็อยากจับแค่มือของคุณบี แก้มก็อยากหอมแค่แก้มของคุณบี จูบก็อยากจูบแค่กับคุณ…”
คำพูดทั้งหมดของคยองซูถูกกลืนลงลำคอเพราะผมจัดการจับคางมนเอาไว้แล้วประกบปากจูบทันที ทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ แต่ผมกลับรู้สึกโหยหา อยากจะจูบคนตรงหน้าที่แสนจะน่ารักนี่ให้ปากบวมไปให้รู้แล้วรู้รอดเลย
“อื้อ”
คยองซูตีไหล่ผมแรงๆ แล้วร้องในลำคอเบาๆ ทำให้ผมต้องจำใจผละออกมา ผมรู้ว่านี่มันที่สาธารณะและคยองซูก็ไม่ชอบพลอดรักกับผมในทที่โล่งแจ้งแบบนี้ ผมขอโทษ แต่ผมควบคุมตัวเองไม่อยู่จริงๆ
“ไอ้คุณบีบ้า”
“อยากน่ารักก่อนเองทำไม” ผมหัวเราะ มองอีกฝ่ายราวกับจะกลืนกิน
“หยุดมองเลยนะ”
“ทำไม มองคนน่ารักไม่ได้เหรอ”
ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ ผมเท้าคางมองอีกคนอย่างไม่วางตา ทำให้คยองซูต้องดันตัวผมออกไปไกลจนเกือบจะตกเก้าอี้ ก่อนจะฟาดลงที่ไหล่ผมแบบใส่ไม่ยั้งจนผมต้องร้องโอดโอยออกมา
เวลาเขินจัดก็เป็นแบบนี้แหละครับ ชอบลงไม้ลงมือกับผมทุกที
“ทีนี้ก็เลิกคิดมากได้แล้วนะ” คยองซูจับหูของผมแล้วดึงเล่นเบาๆ เพราะรู้ว่ามันเป็นส่วนอ่อนไหวของผม ผมบ้าจี้ตรงหูมากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบให้คยองซูมาเล่นแบบนี้มากเช่นกัน
“เลิกคิดมากแล้วครับ”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ถ้าเค้ามั่นคง อย่างอื่นก็ไม่ใช่ปัญหา เข้าใจมั้ย”
“จริงๆ แล้วเค้าแค่อิจฉาคุณเคอ่ะ มีแต่หนุ่มมารุมล้อม เค้าก็อยากมีบ้างเหมือนกันนะฮ๊า”
ผมแกล้งทำเสียงเป็นผู้หญิง แล้วทำหน้าวอนส้นเท้าใส่คยองซู ทำให้คยองซูต้องโพล่งหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แถมยังผลักหัวและตีแขนผมด้วยความหมั่นไส้ไปหลายทีอีกด้วย
“หนุ่มไหนก็ไม่เด็ดเท่าหนุ่มบีอีกแล้วแหละ” คยองซูดึงแก้มผมยืดออกแล้วพูดจาด้วยน้ำเสียงน่ารัก ก่อนที่คนตัวเล็กจะพิงหัวลงที่ไหล่ของผม ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา และใช้มือลูบผมนิ่มของอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน
“แน่นอนอยู่แล้ว เค้านี่นะอย่าให้พูด ทั้งหล่อ ทั้งฉลาดปราดเปรื่อง เวลาเดินไปไหนมาไหนนี่หมายังเหลียวเลยเอ้า”
“ค้าบ พ่อคนเสน่ห์แรง จับผู้ชายสิบคนมารวมกันยังได้ไม่เท่าคุณบีคนเดียวเล้ย”
“หมายถึงเสน่ห์ใช่ป้ะ”
“ความขี้โม้เนี่ย”
ผมและคยองซูหัวเราะออกมาพร้อมกัน มือของผมหยิกแก้มคยองซูแรงๆ เพื่อทำโทษแบบแกล้งๆ คยองซูเองก็ไม่ยอมแพ้ เจ้าตัวเล็กนี่กัดมือผมซะจนเป็นรอยเขี้ยวลึกเชียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทนเจ็บได้อยู่ดี หรือว่าผมจะเป็นพวกมาโซคิสม์วะเนี่ย
“หอมแก้มเค้าหน่อย”
ผมมองหน้าคยองซู เอ่ยปากอ้อนด้วยน้ำเสียงน่ารักซึ่งเป็นโทนเสียงที่ใช้กับคยองซูเพียงคนเดียว พลางทำปากพองลมรอให้อีกคนฝังจมูกลงมาที่แก้มเต็มที่ คยองซูเห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมานิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมหอมแก้มผมไปสองฟอดแต่โดยดี
คยองซูไม่ใช่แค่น่ารัก ไม่ใช่แค่น่ารักมาก … แต่คยองซูน่ะ น่ารักที่สุด
ผมนึกอยากให้โลกหยุดหมุน หยุดหมุนตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังมีความสุขมากเพราะได้อยู่กับคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตรองจากพ่อและแม่ คนที่ผมห่วงมากเท่าชีวิตของผมเอง
ถึงผมจะปกป้องคยองซูได้ไม่ดีเท่าที่ควร… แต่ผมก็สามารถให้ความสุขกับคยองซูได้
แค่อยู่ข้างๆ กัน จับมือกัน กอดกัน ยิ้มให้กัน มอบความสุขให้แก่กัน
แค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ แล้วไม่ใช่เหรอครับ ?
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น