คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ` p r o l o g u e ♡ { b e g i n n i n g }
C I R C L E
` p r o l o g u e .
ผม…
ไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบเลย
.
.
.
จนกระทั่ง…
กริ๊ง ~
“สวัสดีครับ สอบถามได้นะครั…”
เสียงกระดิ่งที่ติดไว้กับประตูร้านดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมต้องกล่าวต้อนรับลูกค้าที่ผลักประตูเข้ามาโดยอัตโนมัติเหมือนที่ผมทำอยู่เป็นประจำ ทว่า ลูกค้าคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนนี้แปลกไปจากลูกค้าทั่วไป ร้านที่ผมทำงานอยู่เป็นร้านเช่าหนังสือการ์ตูน ผมเพิ่งจะมาเป็นพนักงานที่ร้านนี้ไม่ถึงสองเดือนหลังจากเรียนจบ ถึงจะเป็นเวลาไม่นาน แต่ผมก็คุ้นชินกับลูกค้ามากหน้าหลายตาที่มักจะเข้ามาเช่าหนังสือการ์ตูนไปอ่านเป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมัธยมไปจนถึงวัยมหาลัย ที่เห็นบ่อยคงจะเป็นเด็กผู้ชาย และใส่แว่น
แต่สำหรับลูกค้าคนนี้ มีใบหน้าที่น่ารัก ดวงตากลมโต และมีริมฝีปากที่ชวนหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
“หาเรื่องอะไรอยู่รึเปล่าครับ” เอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าลูกค้าคนที่ทำให้ผมหยุดมองไม่ได้นั้นกวาดตาไปรอบๆ ชั้นหนังสือเหมือนกับว่ากำลังหาเล่มไหนสักเล่มอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะหาไม่เจอ
“ไม่เป็นไรครับ” ร่างเล็กหันมามองตาผมประเดี๋ยวหนึ่ง ก่อนจะแย้มรอยยิ้มบางให้แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายด้วยกัน ทั้งที่ก็มีท่าทาง อากัปกิริยาเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ทำไมผมถึงได้ใจเต้นรัวและแรงมากขนาดนี้นะ
ผมลอบมองอีกฝ่ายเป็นระยะเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กรู้ตัว ถึงแม้ว่าใจผมอยากจะจ้องมองไม่วางตาเลยก็ตามที มันเกิดอะไรขึ้นกับผม คนอย่าง ปาร์ค ชานยอล คนนี้ไม่เคยตกหลุมรักใครง่ายๆ แบบนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 22 ปี แถมคนที่ผมคิดว่าผมรู้สึกชอบตั้งแต่ผลักประตูร้านเข้ามา ยังไม่ใช่ผู้หญิงอีกด้วย
“ไม่ทราบว่าโคนันเล่มที่ 84 จะมาเมื่อไหร่หรอครับ” พอรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินเข้ามาหาผมที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ ผมก็รีบทำทีว่ากำลังเล่นคอมอยู่ ทั้งที่จริงๆ แล้วผมเอาแต่แอบมองเจ้าของดวงตากลมโตนี้มาตลอด
“โคนันเล่มที่ 84 หรอครับ สักครู่นะครับ…” ผมรีบเสิจดูในโปรแกรมหนังสือของร้านทันทีที่คนตรงหน้าถาม ทว่า ในใจของผมไม่ได้คิดถึงเรื่องโคนันเล่มที่ 84 เลยแม้แต่นิด ผมกลับเอาแต่คิดว่า จะทำยังไงผมถึงจะได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้แบบจริงๆ จังๆ
ผมไม่อยากให้โอกาสนี้ผ่านไปเลย ไม่อยากเลย…
“โคนันเล่มที่ 84 จะมาเดือนหน้านะครับ อีกประมาณ 15-16 วัน ยังไงโทรเข้ามาเช็คกับทางร้านก็ได้ครับ” น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะฉะฉานของผมตอนนี้เต็มไปด้วยความประหม่า ผมพยายามกดเสียงให้ดูนุ่มนวลที่สุดเพื่อให้ฟังดูลื่นหู ทั้งที่ปกติผมไม่ใช่คนพูดจานุ่มนวลเลย เสียงของผมมันทุ้มใหญ่มากจนใครหลายคนล้อเลียนอยู่บ่อยๆ ในตอนนี้ ผมเลยไม่มั่นใจเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเดือนหน้าผมมาใหม่ก็ได้ ขอบคุณนะครับ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น หัวใจผมกลับเต้นแรงกว่าเดิมอีกเท่าตัว ไม่ใช่เต้นแรงเพราะเขินหรืออะไร แต่ที่มันเต้นแรงขนาดนี้ก็เพราะว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรลงไปสักอย่างเลยน่ะสิ เอายังไงดีนะ คุณลูกค้าคนนี้กำลังจะเดินออกจากร้านแล้วด้วย เอายังไงดี เอายังไงดี ปาร์คชานยอล อย่าขี้ขลาดสิ
“เดี๋ยวครับ!”
“ครับ?”
“ถ้างั้นทิ้งเบอร์ไว้หน่อยได้ไหมครับ” โอ้ย… ให้ตายสิ ผมไม่เคยจีบใครเร็วขนาดนี้เลย หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้นะว่าผมกำลังจีบอยู่ เพี้ยง! “เผื่อว่ามันมาเร็วกว่ากำหนด ผมจะได้โทรบอกคุณคนแรกไงครับ”
“อ้อ… แต่จริงๆ แล้วผมรอได้นะ” คนตัวบางหัวเราะน่ารัก ดูเหมือนว่าจะชอบใจที่ผมเซอร์วิสดีเป็นพิเศษ
“ทิ้งเบอร์ไว้เถอะครับ เดี๋ยวไม่ได้อ่านคนแรกไม่รู้นะ” ผมหัวเราะ ดวงตาเลิกลักผิดปกติ จริงๆ แล้วผมเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากนะ แต่ทำไมคนตรงหน้าถึงทำให้ผมเป็นคนที่ดูประหม่าได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” เมื่ออีกฝ่ายตกลงยินยอม ผมก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วรีบยื่นกระดาษโน้ตใบเล็กๆ ให้ทันที ร่างเล็กหยิบปากกาใกล้มือแล้วจดชื่อกับเบอร์โทรฯ ลงบนกระดาษโน้ตนั่น ผมใช้โอกาสนี้ลอบมองอีกคนระยะประชิด และยิ่งได้มองใกล้มากเพียงใด ก็ยิ่งรับรู้ถึงความสมบูรณ์แบบ และมีเสน่ห์ของคนตรงหน้ามากขึ้นเท่านั้น
ผิวขาวเนียนละเอียดนั่น ขนตาโค้งงอนนั่น และจมูกโด่งได้รูปนั่น … ผมว่าผมต้องเก็บภาพทั้งหมดนี้ไปฝันอย่างแน่นอน
“ขอบคุณมากๆ นะครับ” น่าเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นคนเขียนเร็วเกินไปหน่อย ผมเลยลอบมองเจ้าของใบหน้าน่ารักนี่ได้ไม่นานอย่างที่ใจต้องการ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ได้สิ่งสำคัญมาแล้วนี่นา
“แล้วแวะมาใช้บริการอีกนะครับ” รับกระดาษโน้ตมาพร้อมพยักหน้าช้าๆ ให้อีกฝ่าย และมองดูคนร่างเล็กเดินออกจากร้านไป ผมเอาแต่ยิ้มไม่หุบถึงแม้ว่าคนที่ทำให้ผมยิ้มจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ก่อนจะหันมาสนใจกับกระดาษโน้ตที่แสนจะพิเศษที่ผมกำลังถืออยู่ในมือตอนนี้
“คยองซู… เหรอ”
.
.
.
เป็นอีกวันที่ผมออกมาปั่นจักรยานเล่นในตอบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์แบบนี้ หลังจากที่เรียนจบมาได้สองสามปี ผมก็แทบจะหาเวลาว่างมาปั่นจักรยาน หรือสูดอากาศบริสุทธ์แบบนี้ไม่ได้เลย งานที่ผมทำอยู่คือบริษัทรถยนต์ที่พ่อของผมเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย 10% และเนื่องด้วยผมเรียนจบมาจากคณะบริหาร แน่นอนอยู่แล้วว่าพ่อผมจะต้องบังคับให้ผมมาทำงานที่บริษัทนั้น เพราะหวังว่าผมซึ่งเป็นลูกคนเดียวจะสืบตำแหน่งคณะกรรมการผู้จัดการของบริษัทได้
ผมไม่ชอบเลยที่วันๆ ต้องมานั่งจมอยู่กับตัวเลขและหุ้น แทนที่จะมานั่งมองสาวๆ แบบที่เคยทำสมัยเรียนมหาลัย
“อ๊ะ ขอโทษครับ” คิดอะไรเพลินจนลืมไปว่าตัวเองกำลังปั่นจักรยานอยู่ ผมรีบเบรกกระทันหันเพราะเกือบจะชนผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ดวงตากลมโตที่เบิกกว้างเพราะตกใจเล็กๆ ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ม… ไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กในเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ดำลายจุดโค้งตัวเล็กน้อยให้ผมแล้วเดินผ่านไปทางทะเลสาปเล็กของสวนสาธารณะแห่งนี้ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ได้แต่ปั่นจักรยานต่อไปตามเรื่องราว
แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน… ที่ผมต้องคอยหันไปมองเด็กผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าร่างเล็กจะเดินไกลออกไปจนเกือบจะลับสายตา แต่ผมก็ยังเอาแต่มองหาว่าเด็กคนนั้นกำลังจะเดินไปไหน และเดินไปทำอะไร … มองแล้วมองเล่า มองเป็นหนที่สอง สาม และสี่ ห้า จนจักรยานผมเกือบจะล้มเพราะเสียหลักไปหลายรอบ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม… แค่เด็กผู้ชายคนเดียว ทำไมผมต้องมองเหลียวหลังจนเกือบจะเจ็บตัวขนาดนี้ด้วย
ผมจอดจักรยานตรงม้านั่งที่ไม่ไกลจากทะเลสาปที่เด็กผู้ชายร่างบางคนนั้นนั่งอยู่นัก ทั้งเป็นการพักเหนื่อยหลังจากที่ปั่นมาเกือบชั่วโมง และถือเป็นการแอบมองคนที่อยู่ไกลออกไปคนเดิมด้วย … ถึงแม้จะเป็นการแอบมองในระยะไกล แต่ผมก็เห็นทุกการกระทำของเด็กคนนั้นอย่างชัดเจน ภาพที่เห็นในตอนนี้คือเจ้าตัวเล็กนั่นกำลังหยิบถุงขนมปังก้อนออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วโยนให้ทั้งปลาและนกที่อยู่รอบๆ นั้น พร้อมกับยิ้มคนเดียวด้วย … ดูท่าทางจะมีความสุขกับการให้อาหารสัตว์ไม่น้อยเลยนะเนี่ย
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่แอบมองราวกับคนโรคจิต และนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่รู้สึกชื่นชม มีความสุขกับภาพที่เห็น ..
รู้ตัวอีกที ผมก็ยิ้มตามเหมือนคนบ้าเสียแล้ว
ไวกว่าความคิด ผมเริ่มลุกขึ้นอีกครั้งหลังจากที่นั่งอยู่นาน รวบรวมความกล้าปั่นจักรยานไปยังทะเลสาปที่อยู่ไม่ไกลนั่น เมื่อปั่นไปถึง ผมก็ค่อยๆ จอดจักรยานเงียบๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าผมกำลังจะเข้าไปหา
“น่าสนุกจังเลยเนอะ” หลังจากที่แอบย่องเข้าไปจนหยุดยืนอยู่ข้างหลังคนตัวเล็ก ผมก็พูดออกมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มใจดี ที่ไม่ว่าใครเห็นรอยยิ้มนี้ของผมก็เป็นอันต้องเอ่ยปากชมทุกครั้งไป
“พี่ขอให้อาหารปลาด้วยได้ไหม”
“อ่า… ได้สิครับ แต่ว่าเหลือขนมปังแถวสุดท้ายแล้วนะ” ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะตกใจเล็กน้อยที่ผมเข้าหาแบบนี้ แต่ผมไม่สนใจหรอก สิ่งที่ผมสนใจ คือคนตรงหน้านี่มากกว่า
“งั้นแบ่งมาครึ่งเดียวก็ได้ครับ” พอผมพูดจบ ร่างเล็กก็ฉีกขนมปังในมือให้ผมครึ่งหนึ่งอย่างว่าง่าย ผมรับมาแล้วเดินไปให้อาหารปลาโดยที่อีกฝ่ายก็เดินตามมาด้วย ผมทำเป็นสนใจแต่ปลาที่กำลังหิวโหย แต่ถึงกระนั้น ภาพที่อีกคนกำลังยิ้มกว้างอยู่ก็ไม่หลุดไปจากสายตาผมเลย ถึงแม้จะแค่หางตาก็เถอะ
“มาให้อาหารปลาแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ” ผมโยนขนมปังไปถามไป พยายามจะไม่มองอีกฝ่ายให้ได้นานที่สุด เพราะกลัวว่าจะชอบมากไปกว่านี้
“ไม่หรอกครับ วันนี้ว่างๆ” เจ้าของเสียงน่ารักตอบเบาๆ ยิ้มออกมาน้อยๆ
“พี่ก็ชอบให้อาหารปลาที่นี่เหมือนกัน แต่ห่างหายไปหลายเดือนแล้ว ตอนนี้แค่แวะมาปั่นจักรยานยังแทบไม่มีเวลาเลย”
“จริงเหรอครับ พี่คงงานยุ่งใช่มั้ย”
“อื้ม ที่บริษัทพี่งานค่อนข้างเยอะน่ะ” ผมตอบ หันไปยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่าย “เราชื่ออะไรเหรอ”
“คยองซูครับ แล้วพี่?”
“จุนมยอนครับ” ผมตอบพร้อมยิ้มกว้าง ใช้โอกาสนี้จ้องมองความน่ารักบนใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาสนใจปลา
“บ้านอยู่แถวนี้เหรอ” เมื่อรู้ชื่อเสียงเรียงนามกันแล้ว ผมจึงถามต่อ ถ้าหากว่าเด็กคนนี้อยู่แถวนี้จริงๆ ผมคงได้เจอบ่อยๆ สินะ ขอให้อยู่แถวนี้ด้วยเถอะ
“บ้านผมไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก” คยองซูส่ายหัวช้าๆ “แต่บ้านยายผมอยู่แถวนี้น่ะ ผมแวะมาหาแกทุกอาทิตย์เลย”
ผมพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มออกมาเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะมาแถวนี้ทุกอาทิตย์ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพราะเอาแต่ยิงคำถาม ผมเลยหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วรีบเข้าโปรแกรม BeeTalk ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถจับหาไอดีของคนที่อยู่ใกล้กันได้ง่ายๆ ผมเลือกใช้วิธีนี้ เพราะมันไม่มีเหตุผลเลยที่จะขอเบอร์คยองซูทั้งๆ ที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรก ตอนนี้ผมได้แต่หวังว่าคยองซูจะเล่นบีทอล์คเหมือนผมนะ
แต่เหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างผม… ผมไม่เจอแม้แต่ไอดีของคนๆ เดียวเลย คยองซูไม่ได้เล่นแอพฯนี้สินะ
“สวยจัง” คยองซูที่กำลังใช้มือถือถ่ายรูปนกบินบนท้องฟ้าพูดกับตัวเองเบาๆ ผมลอบมองการกระทำของเด็กคนนี้อยู่พักหนึ่ง และเริ่มรู้สึกตัวว่า ผมชอบน้องเขาเข้าให้แล้วจริงๆ
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นว่าคยองซูกำลังจะอัพภาพที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่ลงเฟสบุ๊ค สายตาอันเฉียบคมของผมจ้องมองไปที่ชื่อเฟสบุ๊คของน้องเขาจนกระทั่งรู้ทุกตัวอักษรในที่สุด โชคดีที่ไม่ได้ยาวมาก ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วบันทึกเอาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าจะลืม
ให้ตายสิ … ทำไมผมฉลาดอย่างนี้ล่ะเนี่ย
“เดี๋ยวผมต้องแวะเข้าไปบ้านยายแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะครับ” พออัพรูปเสร็จสรรพ คยองซูก็เก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงพร้อมคว้ากระเป๋าเป้มาสะพาย ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มให้แล้วโบกมือลา ใจจริงก็เสียดายอยู่เหมือนกันที่ได้อยู่กับน้องเขาแค่แป๊บเดียว แต่อีกใจก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนชนะ ได้เฟสบุ๊คมาแล้วนี่นะ จะคุยกันอีกทีตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว
ผมนั่งยิ้มลำพัง แอบหันไปมองคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินจากไปนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมาสนใจกับท้องฟ้าและทะเลสาปที่อยู่ตรงหน้า แค่มโนภาพว่าจะได้คุยกับคนน่ารักอย่างคยองซูทุกคืนทุกวัน ผมก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้แล้ว
ว่าแต่ … ผมกำลังแอบชอบเด็กผู้ชายอยู่เหรอเนี่ย
.
.
.
“กว่าจะมาถึงนะ นี่รอทั้งวันเลยรู้มั้ยเนี่ย” ผมตะโกนเหวขึ้นทันทีที่คนตรงหน้าปรากฏตัว มือที่กำลังนวดขาคุณยายของคยองซูอยู่หยุดกึกลงเพราะดันสนใจเจ้าของร่างเล็กนี่มากกว่า แน่สิครับ ผมมารอคยองซูที่บ้านคุณยายตั้งแต่เช้าแล้ว แต่หมอนี่คงเถลไถลแล้วก็เพิ่งจะมาถึงเอาป่านนี้
“แล้วจะมารอทำไมเล่า” คยองซูยิ้ม วางถุงแกงที่ซื้อมาให้คุณยายลงกับโต๊ะอาหารแล้วค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ผม
เหตุผลที่ผมต้องมานั่งรอคยองซูทุกวันเสาร์แบบนี้น่ะเหรอ… คงมีแค่ผมคนเดียวที่รู้ ยังไงผมก็บอกหมอนั่นไม่ได้หรอก
“คุณยายปวดขาเหรอครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คยองซูเอ่ยปากถามคุณยายและทำเหมือนผมเป็นอากาศเหมือนเช่นทุกครั้ง หมอนี่มักจะห่วงยายตัวเองมากเสมอจนต้องแวะมาหามาดูแลทุกอาทิตย์แบบนี้ และเพราะเป็นเด็กกตัญญูแบบนี้แหละ ผมถึงได้ชอบเจ้านี่มากขนาดนี้
ใช่แล้วครับ… ผมแอบชอบหมอนี่ แอบชอบมาหลายปีแล้วซะด้วย
“ไม่ได้ปวดอะไรมากหรอกลูก เจ้าแบคฮยอนมันนวดให้ยายจนหายปวดเลยล่ะ แล้วนี่มาเหนื่อยๆ ทำไมไม่ไปกินน้ำกินท่าก่อน” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากคุณยาย อย่างน้อยก็เป็นอีกหนแล้วที่หมอนั่นจะได้รับรู้ถึงความดีของผมบ้าง
ผม บยอน แบคฮยอน ผู้ชายที่เป็นเพื่อนของคยองซูมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเข้ามหาลัย เราก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่มหาลัยเดียวกัน แต่ยังไงบ้านเราก็เคยอยู่ติดกัน แม้ว่าตอนนี้คยองซูจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว เราสองคนก็ยังติดต่อกันอยู่แทบทุกวัน
“ไม่ไปดงไปเดทกับแฟนบ้างเรอะไง” หลังจากที่คยองซูได้ฟังคุณยายชื่นชมผมแล้ว หมอนี่ก็ยิ้มน้อยๆ มองมาทางผม ก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามที่ผมเบื่อที่จะตอบเป็นที่สุด
ก็คยองซูเล่นถามเรื่องแฟนของผมเกือบจะทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แล้วคนที่ไม่มีแฟนอย่างผมจะตอบว่าอะไรได้อีกล่ะ … ถ้าหมอนี่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีแฟน คงอึ้งน่าดูเลย
“ไม่ไปหรอก เบื่อๆ น่ะ” และทุกครั้งที่คยองซูถาม ผมก็จะทำทีเหมือนกับว่ามีแฟนมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย เพราะหน้าตาดีๆ อย่างผม สมควรอย่างยิ่งที่จะมีแฟนไม่ขาด … ถ้าไม่ติดว่ามีภาระหัวใจอย่างเจ้านี่อยู่น่ะนะ
“ยังไงกัน นี่อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับแฟนแล้วจะมาจีบยายเราอ่ะ” คยองซูและคุณยายหัวเราะคิกคักกันทันทีที่เจ้านั่นพูดจบ ผมเองก็หัวเราะออกมาด้วยเหมือนกัน
“เห้ย เราดูหน้าม่อขนาดนั้นเลยเหรอ นี่เห็นเราจีบไปทั่วเลยรึไง ถึงยายจะสวยขนาดไหนเราก็หักห้ามใจได้เว้ย” ผมพูดติดตลก เราทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ผมไม่จีบคุณยายหรอก … แต่สำหรับหลานคุณยายน่ะ ผมก็รออยู่นะ รอวันที่ผมจะกล้าเผยความรู้สึกออกไปอยู่
“แล้วเรื่องสอบเป็นไงบ้าง เห็นว่าเกรดออกแล้วนี่ เป็นไง ดีไหม” ผมถามสารทุกข์สุขดิบคยองซูเหมือนเช่นทุกที ถ้าดูผิวเผินผมและคยองซูดูเหมือนเป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันมากกว่าคนอื่น ไม่มีใครรู้หรอกว่า เวลาที่ผมอยู่กับคยองซูสองคนนั้น หัวใจผมเต้นรัวแค่ไหน
“ก็โอเคอยู่นะ ดีกว่าเทอมที่แล้วน่ะ เทอมนี้ได้ A มาสี่ตัว” คยองซูตอบแล้วยิ้มภูมิใจ ผมขอเดาว่าตัวที่เหลือที่ไม่ได้ A ก็คงจะไม่พ้น B+ เป็นแน่ เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกับเจ้านี่มาหลายปีดีดัก ก็ยังไม่เคยเห็นว่าเกรดจะต่ำกว่า 3.7-3.8 เลยสักเทอม ลุ้นเกียรตินิยมได้สบายบรื๋อเลยล่ะ
โด คยองซู … เด็กผู้ชายที่เก่งรอบด้าน ฉลาดทุกเรื่อง … แต่ดันเป็นแค่เด็กโง่คนหนึ่งที่ไม่เคยรับรู้ถึงหัวใจของผมเลย
“แปลกแฮะ วันนี้ไม่เห็นจงอินเลย” ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ออกมาจากปากคยองซู ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของผมก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งเฉยโดยอัตโนมัติ ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คยองซูเป็นฝ่ายพูดถึงมันก่อน
“ก็ดีแล้วนี่ มันไม่มาก็ดีแล้ว” ผมพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ คยองซูรู้ดีว่าผมกับจงอินไม่ถูกกัน ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไหน หมอนั่นก็อยู่แถวนี้เหมือนกับผม เราสามคนเคยสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่อยู่มาวันหนึ่งผมก็แตกคอกับมันโดยที่คยองซูไม่รู้เหตุผล เพราะทั้งผมและจงอินไม่มีใครยอมปริปากเล่าให้ฟัง
ทำไมน่ะเหรอ … ก็เพราะเราสองคนมีความลับร่วมกันน่ะสิ
“เมื่อไหร่จะเลิกกัดกันซะที” คยองซูพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเล็กน้อย ผมรู้ดีว่าคยองซูพยายามจะทำให้เราสองคนกลับมาคุยกันตลอด แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักวิธี
“จนกว่าจะตายกันไปข้างล่ะมั้ง”
“แบคฮยอน!”
“เออ ทำไมล่ะ งี่เง่ามากใช่มั้ย ไม่ดีเหมือนมันนี่” ผมเริ่มโมโห ตลอดเวลาที่ผ่านมาคยองซูเอาแต่ปกป้องไอ้บ้านั่นโดยไม่แคร์เลยว่าผมจะรู้สึกยังไง เพียงเพราะแค่จงอินเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ และดูอ่อนโยน … ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่อีกต่อไป รีบลุกแล้วเดินออกจากบ้านไปเพราะไม่อยากทะเลาะกับคยองซูต่อหน้าคุณยาย
… แต่แล้วสิ่งที่ผมพบ กลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมอีกร้อยเท่า …
“ไง”
ผู้ชายที่ดูดีทั้งหน้าตาและรูปร่างเอ่ยปากทักทายผมด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก คิม จงอิน คนที่เคยเป็นเพื่อนรักของผมมาก่อน แต่ตอนนี้มันกลับไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ผมกับหมอนี่ กลายเป็นศัตรูกันไปเรียบร้อยแล้ว
“มาทำไม”
“กูต้องถามมึงมากกว่านะ ว่ามึงจะมาประจบคุณยายคยองซูทำไมนักหนา”
“ไอ้จงอิน กูไม่ได้ประจบ!” ผมปรี๊ดแตก คว้าคอเสื้ออีกคน แม้รูปร่างของเราจะต่างกันแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่กำลังโกรธอย่างผมเลย
“นี่คิดว่ากูดูไม่ออกเหรอ ว่ามึงกำลังเข้าทางผู้ใหญ่อยู่” จงอินแย้มรอยยิ้มชั่วร้าย หัวเราะเย้ยออกมานิดหน่อย หมอนี่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวผมเลยแม้แต่นิด “มึงคิดว่าทำแบบนี้แล้วคยองซูจะหันมารักมึงเหรอไง โอ้ย น้ำเน่าชิบหาย”
“หุบปากเน่าๆ ของมึงไปได้แล้ว!” ผมกัดฟันกรอด อดทนอดกลั้นเอาไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย
“เอาล่ะๆ กูจะไม่พูดแทงใจดำมึงก็ได้…” ร่างสูงกว่ายิ้มร้ายอีกครั้ง
“เพราะว่ากูสงสารมึง… สงสารที่มึงพยายามขนาดนี้แล้วเขายังไม่สนใจมึงสักนิด ไม่เหมือนกูที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย… แต่เขาก็เอาแต่เรียกหากู… หึ”
“ไอ้เวรนี่!” ผมง้างหมัดเตรียมจะชกหน้าหล่อๆ ของจงอิน แต่คำพูดของคยองซูก็ดังขึ้นมาในหัวเสียก่อน คยองซูเคยบอกกับผมว่าไม่ชอบคนที่ใช้กำลังตัดสินปัญหา คนที่ทำแบบนั้นคือคนโง่เขลา
ผมลดหมัดลงแล้วปล่อยมือออกจากคอเสื้อจงอิน ควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองโดยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วนับหนึ่งถึงสิบ มองหน้าไอ้เวรนี่อย่างเคียดแค้นแล้วค่อยๆ เดินจากไป
ใช่แล้ว … ความลับของผมและมัน …
คือเราสองคนแอบชอบคนๆ เดียวกัน
- TO BE CONTINUED -
ความคิดเห็น