ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 :: Knock the door 1st Day
เคาะประตู วันที่ 1
แสงแดดจ้าสาดส่องบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว บ่ายวันอาทิตย์ วันของการพักผ่อนของใครหลายๆ คนที่ไม่ต้องการจะลุกเดินเหินไปทำอะไรทั้งสิ้น บ่ายวันอาทิตย์ที่คนอย่าง โอ เซฮุน ตั้งใจไว้ว่าจะนอนให้โลกลืมชดเชยที่ทำงานติดต่อกันมาหลายคืน แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง วันนี้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตั้งแต่เที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่เซฮุนเพิ่งจะนอนไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง หากแต่เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพื่อนรักอย่างชานยอลที่ชอบโทรมาชวนเขาไป โน่นไปนี่แบบกระทันหัน อันที่จริงก็ไม่ใช่จะไม่โกรธ เรียกว่าชินแล้วเสียมากกว่า
หลังจากที่ได้รับสายของชานยอล เซฮุนก็ใช้เวลางัวเงียบนเตียงสักพัก พร้อมเช็คการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลายในมือถือของเขาอยู่ประมาณสิบ นาทีก่อนจะลุกไปอาบน้ำ แต่งตัว และเซ็ทผมแบบลวกๆ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าการที่จะกินข้าวในโรงอาหารมหาลัยนั้นจำเป็นจะต้องเสื้อ ผ้าหน้าเป๊ะเหมือนที่หลายๆ คนชอบทำเลย แต่อันที่จริง คนหน้าตาดีแบบเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากก็ดูดีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว
“วันนี้คิดเมนูจะกินไม่ออกเลยว่ะ” ชานยอลที่ยืนรอเซฮุนอยู่ครู่หนึ่งกอดคอเพื่อนรักอย่างเซฮุนเมื่อคนร่างสูง เพิ่งจะมาถึงโรงอาหาร อันที่จริงเขาน่ะอยู่หอนอก และเบื่อกับข้าวในมหาลัยจะแย่ แต่ชานยอลเพื่อนตัวดีคนนี้ของเขากลับขี้เกียจ และไม่อยากออกไปไหนไกล จึงเลือกที่จะเรียกเซฮุนเข้ามากินกับเขาแทนที่ตัวเองจะออกไป
“คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่เอาสปาเก็ตตี้ดีกว่า” เซฮุนตอบแล้วจดเมนูของตัวเองลงบนกระดาษที่ร้านเตรียมไว้ให้ ชานยอลยืนครุ่นคิดอยู่นานก็สั่งเมนูที่ตัวเองกินเหมือนเดิมทุกวันออกมา ซึ่งเซฮุนก็แอบด่าทอในใจว่ามันจะคิดนานไปเพื่ออะไรถ้าจะสั่งเมนูเดิมแบบนี้
“นั่ โต๊ะโน้นนะ” ชานยอลชี้ไปที่ม้านั่งยาวในโรงอาหาร อันที่จริงเขาสองคนกินที่นี่บ่อยแต่กลับไม่มีโต๊ะที่เป็นมุมประจำเหมือนคน อื่นๆ เลยด้วยซ้ำ วันนี้เองก็เหมือนกัน ชานยอลและเซฮุนนั่งโต๊ะที่ต่างออกไปจากทุกๆ วัน คืออยู่มุมหลืบสุดๆ และไม่เหมาะกับการทานอาหารเอาซะเลย แต่ทำยังไงได้ล่ะ โต๊ะมันเต็มหมดแล้วนี่นะ
ทันทีที่หย่อนก้นตัวเองลงบนม้านั่ง เซฮุนก็บังเอิญได้สบตาเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาคิดว่าน่าจะอายุเท่ากัน เรียนปีเดียวกันกับเขา เพราะเขาเองก็ปี 3 แล้ว จะบอกว่าแก่ที่สุดในมหาลัยตอนนี้ก็ว่าได้เพราะปี 4 นั้นอยู่ในช่วงฝึกงานกันหมด คนตัวโต หน้าโตแบบนี้น่าจะอยู่ปีเดียวกับเขาสิ เขาได้แต่คิดในใจ พยายามจะละสายตาตัวเองออกจากผู้ชายตรงหน้าที่ห่างออกไป 4 โต๊ะ ถึงระยะทางจะไกลขนาดนี้แต่เซฮุนกลับเห็นความมีเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ชัดเจน
ชัดเจนจนขนาดที่ว่าตอนนี้ผู้ชายคนที่ว่านั้นไม่ได้มองเขาแล้ว แต่เขาก็ยังละสายตาจากคนๆ นี้ไม่ได้เลย ทั้งที่พยายามที่สุดแล้ว
“ข้าวได้แล้วมึง” เสียงทุ้มของชานยอลทำให้เซฮุนตื่นจากภวังค์ เขาพยักหน้ารับแล้วรีบลุกขึ้นไปรับข้าว แต่ระหว่างทางก่อนที่จะไปถึงร้านข้าวนั้น เซฮุนจะต้องเดินผ่านโต๊ะผู้ชายปริศนาคนเดิมนั้นก่อน ซึ่งคราวนี้เซฮุนเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ผิวเนียนเกลี้ยงเกลาแต่คล้ำนิดๆ นั่นยิ่งดึงดูดให้เซฮุนมองเขาอย่างไม่วางตา
และอีกสิ่งหนึ่งที่เซฮุนเห็น ก็คือผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เขา …
“เฮ้ย!”
เพราะมองจนต้องเหลียวหลัง น้ำซุปในมือของเซฮุนจึงกระฉอกออกมาเกือบครึ่งถ้วย และนั่นก็ทำให้หลายคนในโรงอาหารที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองเซฮุนกันเป็นตา เดียว รวมถึงชายปริศนาที่เป็นต้นเหตุด้วย
“ทำไมวันนี้ลอยจังวะ” ชานยอลรีบดึงถ้วยในมือเซฮุนไปถือแทนเพราะเห็นว่าวันนี้เพื่อนรักของตนดูจะ ยังไม่ตื่นเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเซฮุนหรอก เขาผิดเองที่โทรเรียกเพื่อนซี้ รบกวนเวลานอนของเพื่อนแบบนี้
“ไม่รู้เหมือนกัน อายชิบหาย” ที่ว่าอาย คือเซฮุนไม่ได้อายคนในโรงอาหารสักเท่าไหร่ หากแต่อับอายที่น้ำซุปนั้นหกอยู่ตรงแถวๆ ที่ที่ผู้ชายต้นเหตุนั้นนั่งอยู่ แต่แล้วเขาก็ยิ่งอายกว่าเดิมเมื่อชานยอลหันไปทักผู้ชายคนที่ว่าอย่างสนิทสนม ทำให้เซฮุนต้องหยุดยืนฟังสองคนนี้คุยกันด้วย
“เห้ย จงอิน ไงวะงานเหลือเยอะมั้ย”
จงอิน… จงอินเหรอ… อืม ชื่อเพราะจังนะ
“เหลือเยอะชิบหาย ขี้เกียจทำแล้วเนี่ย นอนหกโมงเช้ามาหลายวันแล้วว่ะ มึงอ่ะ?” เจ้าของชื่อจงอินตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ผู้หญิงคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นแฟนของเขายิ้มแย้มและร่วมบทสนทนาของชานยอลและจงอินอย่าง เป็นมิตร
“เยอะเหมือนกัน ไอ้นี่สิทำจะเสร็จแล้ว” ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ไอ้นี่’ ออกมาจากปากชานยอล ใบหน้าของเซฮุนก็แดงระเรื่อขึ้นสีทันทีเพราะรู้เลยว่าเขากำลังจะได้ร่วมบท สนทนานี้ด้วยแล้ว ไม่ว่าเปล่า ชานยอลคว้าตัวเซฮุนมาอยู่ในอ้อมแขนและตอนนี้จงอินก็ยิ้มให้เขาด้วย โลกทั้งใบของเซฮุนตอนนี้เหมือนกำลังจะหยุดหมุน นี่มันรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยนะเนี่ย
“เก่งจังเนอะ แต่ทำงานมากไปป่ะ เดินยังไงให้น้ำซุปหกน่ะ” ว่าจบจงอินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เซฮุนเองก็หัวเราะตามออกมาด้วย ลักษณะนิสัยของจงอินนั้นดูเหมือนคนเงียบๆ แต่พอได้พูดนี่ก็กวนประสาทเหมือนกันนะเนี่ย
“เห้ย อย่าว่าดิ คนมันก็ต้องมีเบลอบ้างแหละ” เซฮุนพูดไปยิ้มไปกับเพื่อนใหม่ของเขา ถ้าจงอินได้รู้สาเหตุที่น้ำซุปกระฉอกออกมาแบบนั้น จงอินจะตกใจขนาดไหนกัน
“เออ เดี๋ยวกินข้าวก่อนนะ โคตรหิวเลยว่ะ” ยังคุยกันได้ไม่ถึงสองประโยค หลังจากที่หัวเราะชอบใจกันไม่นานเท่าไหร่ ชานยอลก็ตัดบทออกมาแบบนั้น เซฮุนได้แต่ยิ้มลาจงอินและจงอินก็ยิ้มตอบแล้วรีบกลับไปสนใจกับจานข้าวตรง หน้าและแฟนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเคยเห็นหน้าและรู้สึกว่าเริ่มชอบคนๆ นี้ไม่ถึงชั่วโมง อาจจะเร็วเกินไปที่จะรู้สึกแบบนี้ แต่เซฮุนคิดว่าเขากำลังอิจฉาผู้หญิงคนนี้อยู่
“นั่นเพื่อนมึงเหรอวะ ทำไมกูไม่เคยเห็นเลย” ทันทีที่ถึงโต๊ะและตักข้าวเข้าปากไปคำสองคำ เซฮุนก็เอ่ยถามชานยอลเรื่องจงอิน
“เออ เป็นเพื่อนสมัยตอนเป็นเฟรชชี่อ่ะ มันอยู่คณะไอซีที ไอ้พวกออกแบบการ์ตูนอ่ะ มึงเลยไม่ค่อยได้เห็น เพราะกูก็ไม่ค่อยเห็นมันเหมือนกัน” ชานยอลพูดไปตักข้าวเข้าปากไป ถึงจะดูไม่ดีแบบนี้แต่ชานยอลก็ยังเป็นจุดสนใจในโรงอาหารอยู่ดี เขาติดอันดับต้นๆ ของหนุ่มป๊อปของคณะเลยทีเดียว
“อ่อ… เออๆ” เซฮุนได้แต่ตอบรับอยู่ในลำคอ ถึงท่าทีจะดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรในตัวจงอินมาก แต่ดวงตาทั้งสองของเขาก็มองจงอินอีกครั้งโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร รู้แต่อาการแบบนี้มันห่างหายไปนานมากๆ แล้ว ถึงจะชอบมองคนที่หน้าตาดีมีเสน่ห์แบบนี้ให้หัวใจเต้นเล่นๆ บ่อยๆ แต่เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากับจงอินคนนี้มันไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เลย
.
.
.
ทันทีที่ถึงห้องของตัวเอง เซฮุนก็จัดการซักผ้าที่คาอยู่ในตะกร้าเล็กของตนอยู่หลายวันจนสะสมกลายเป็น กองใหญ่แทบล้นออกมา ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีของมัน ซักผ้า บิดผ้าให้แห้ง และตากผ้า ทุกอย่างปกติหมด แต่เซฮุนกลับหารู้ไม่ว่ากำลังจะมีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในตอนที่เขาตากผ้า นี้
“อา ~ มงกูยา อย่าดิ้นแบบนั้นสิ ไม่เอานะ ไม่เอาๆ”
เสียงที่มีเสน่ห์ นุ้มทุ่ม และดูออกว่าเจ้าของเสียงน่าจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ อบอุ่น และใจดี ชวนให้เซฮุนที่กำลังสะบัดผ้าที่เปียกหมาดอยู่หันไปมอง ภาพที่เห็นผ่านตะแกรงหลังห้องของเขาคือภาพของจงอินที่กำลังหยุดยืนหยอกล้อ อยู่กับหมาสีดำของตัวเอง ซึ่งปกติแล้วเซฮุนเองก็ชอบเล่นและเอ็นดูหมาโดยเฉพาะหมาแบบที่จงอินเลี้ยงมาก นะ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเกลียดหมา อิจฉาหมาตัวนี้ขึ้นมาตะหงิดแล้ว
คนที่กำลังหยอกล้อพูดคุยกับหมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนความสุขไม่รู้เรื่องรู้ ราวเลยว่าเขากำลังโดนลอบมองอยู่ ปกติแล้วจงอินก็ไม่ใช่คนใส่ใจคนรอบข้างมากเท่าไหร่ สายตาเขาจะจับจ้องเพียงแค่สิ่งที่เขากำลังสนใจอยู่ ณ ตอนนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่เอะใจกับการโดนลอบมองในครั้งนี้เลย
ทางฝั่งของเซฮุนเองก็พยายามทำตัวปกติ มือขาวเรียวสะบัดผ้าและตากมันตามความเคยชินและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยและดูเหมือนไม่ได้กำลังสนใจอะไรอยู่นั้นสวนทางกับหัวใจที่ กำลังเต้นแรงโดยสิ้นเชิง เพราะตอนนี้ในหัวของเซฮุนมีแต่ความรู้สึกมีความสุขที่เขากับคนที่เขาเพิ่งจะ แอบชอบอยู่หอเดียวกัน และคาดว่าจงอินคงเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นาน เพราะเขาไม่เคยเห็นจงอินมาก่อนเลย
เซฮุนเดินกลับเข้าห้องไปด้วย อาการที่ว้าวุ่น ประตูถูกปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่เขาลอบยิ้มกับตัวเองคนเดียว กับอีแค่การแอบมองคนๆ หนึ่ง ทำไมถึงทำให้เขาเป็นได้ขนาดนี้เชียวนะ
ถ้าเซฮุนเปิดประตูออกไปทักทายจงอินตอนนี้ มันจะดูจงใจเกินไปรึเปล่านะ มันจะดีรึเปล่านะ …
“อ้าว”
ไวกว่าความคิด เซฮุนรีบเปิดประตูหลังห้องออกไปอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะทักทายจงอินหลังจาก ที่รวบรวมความกล้าด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แต่กลับพบเจอกับความว่างเปล่า จงอินไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เซฮุนรู้สึกเสียดาย… เพราะเขาปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไปแท้ๆ เลยเชียว
“ยังไงก็อยู่หอเดียวกันล่ะเนอะ” เซฮุนพูดกับตัวเอง ใบหน้าเสียดายเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มบางออกมา เขาได้แต่คิดว่าการเจอกันครั้งหน้าของเขาและจงอินจะต้องดีกว่าครั้งนี้ และเขาได้แต่ภาวนาให้วันแบบนั้นมาถึงไวๆ
.
.
.
ถ้าเราอยากจะรู้จักใครสักคน บางทีเราอาจจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ผลที่ได้กลับมามันอาจจะเริ่มต้นอย่างสวยงาม และลงท้ายด้วยความเสียใจ
แต่ถ้าเราไม่ลองสักครั้ง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผลลัพธ์มันจะสุข หรือจะเสียใจ
ร่างบางที่นอนแผ่อยู่บนเตียงหลังจากซักผ้า กวาดห้อง ถูห้องจนเหนื่อยอ่อนเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจงอินที่เป็นเรื่องเดียวที่กวน ใจเขาอยู่ในตอนนี้ เซฮุนเอาแต่คิดว่า คนคุยไม่เก่งและไม่ค่อยชอบเข้าสังคมแบบเขาจะทำความรู้จักจงอินด้วยวิธีไหนดี ซึ่งมันก็ดีตรงที่เขากับจงอินมีชานยอลเป็นตัวกลางในการกล่าวอ้างถึงเป็นทุน เดิมอยู่แล้ว แต่เซฮุนไม่อยากเอาชานยอลมาอ้างในการทำความรู้จักกับจงอิน เขาอยากสร้างมิตรภาพใหม่ขึ้นมา มิตรภาพที่ไม่เกี่ยวกับชานยอล ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น แต่เป็นความสัมพันธ์ของเขาและจงอินแค่สองคน
นิสัยของเซฮุนนั้นไม่ใช่คนที่จะทักทายใครก่อน ซึ่งนิสัยแบบนี้มันเป็นนิสัยเสียที่ใครๆ ก็เอาแต่ต่อว่าเซฮุนโดยเฉพาะชานยอลเพื่อนตัวดีของเขา เพราะชานยอลเป็นคนชอบเข้าสังคมและชอบมีเพื่อนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ชานยอลมีเพื่อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ เซฮุนคนนี้กลับยังคงมีแค่ชานยอลที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจเขาที่สุดเพียงคนเดียว
แต่ถ้ามัวแต่เป็นคนแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เขากับจงอินจะได้สนิทกันสักทีล่ะ?
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ~
ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะแค่นั่งรอให้เวลาเดินผ่านไปโดยไม่ทำอะไรดีๆ … เซฮุนที่ครุ่นคิดจนตัดสินใจเอาเองได้ว่า การเริ่มไปเคาะประตูห้องจงอินนี่แหละคือวิธีที่ดีที่จะใช้เริ่มต้นกับใครสัก คนหนึ่งซึ่งอยู่หอเดียวกันกับเขา และที่เซฮุนรู้ว่าจงอินอยู่ห้องติดกับเขาก็เพราะว่าเขาเห็นหมาของจงอินถูก มัดไว้หน้าห้องนั่นเอง ถึงจะตกใจเล็กน้อยที่จงอินใกล้เข้ามาในชีวิตเขามากกว่าเดิมอีกนิด แต่เซฮุนก็ทำใจกล้าไปเคาะประตูห้องจงอินแบบนั้น
“อ้าว”
จงอินที่ปล่อยให้เซฮุนยืนรออยู่ไม่นานนักเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าที่ เกลี้ยงเกลาและผมที่เปียกหมาดบ่งบอกว่าเจ้าตัวเพิ่งจะล้างหน้าเสร็จ เขากล่าวอุทานอย่างตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่เคาะประตูคือเซฮุนนั่นเอง คนที่เจอกันที่โรงอาหารเมื่อตอนบ่าย คนที่จงอินเองก็ยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร
“เซฮุนนะ” ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยปากถาม เซฮุนแนะนำตัวเองอย่างง่ายดายด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่เขาประหม่ากับตัวเองเหลือเกิน ปกติจะยิ้มให้ใครก็แค่ยิ้มๆ ส่งๆ ไป แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เขากลับกังวลว่ายิ้มแบบไหนถึงจะดูดีในสายตาคนตรงหน้าเขามากกว่า
“อ้อ เราจงอิน…” จงอินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม น้ำเสียงที่ทำให้เซฮุนใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่ได้ยิน ถ้าหากว่าได้คุยกันแบบนี้นานๆ ก็คงจะดี ก็คงจะได้ยินแต่เสียงที่ทำให้ใจเขาสั่นแบบนี้
“ยินดีที่ได้รู้จัก ไม่คิดเลยเนอะว่าจะอยู่ห้องติดกัน” เซฮุนพูดอย่างเลิกลัก แต่อีกฝ่ายคงจับทางของเขาไม่ได้ว่าเขากำลังประหม่าขั้นสุดอยู่
“ว่าแต่…” จงอินพยักหน้ารับแล้วหยุดเงียบไปสักพัก “มีอะไรรึเปล่าน่ะ”
จริงด้วย… เซฮุนมาเคาะประตูห้องจงอินโดยไม่ได้คิดเหตุผลมาก่อนเลย เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้เซฮุนใจกล้าหน้าด้านแบบนี้คือแค่อยากรู้จักและอยาก คุย มันมีแค่นั้นจริงๆ
“อ๋อ … เรื่องนั้นน่ะ…” เซฮุนยืนลูบคอตัวเองแล้วมองไปทางอื่นเพื่อใช้ความคิด พลันหันไปพบเข้ากับไม้กวาดที่จงอินวางพิงไว้หน้าประตูห้องพอดี
“จะมาขอยืมไม้กวาดหน่อยน่ะ” เซฮุนพูดแล้วชี้ไม้กวาดพร้อมยิ้มแห้งๆ ให้จงอิน อีกฝ่ายก็รีบพยักเพยิดหน้าทันที
“เอ้อ เอาไปสิ วันหลังจะใช้อะไรก็หยิบๆ ไปเลย ขี้เกียจเอาไว้ในห้องอะ ใช้ตามสบายเลยนะ” จงอินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หยดน้ำที่ไหลลงมาตามเส้นผมนุ่มนั่นยิ่งทำให้เซฮุนหยุดมองที่จงอินไม่ได้ แต่เขาต้องหักห้ามใจ
“ขอบใจ” เซฮุนพูดนิ่งๆ แล้วทำทีเป็นเดินไปหยิบไม้กวาดอย่างเอื่อยๆ กะว่าหันไปอีกทีจะขอบคุณจงอินอีกสักรอบ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว…
“รีบจัง” เซฮุนพึมพำกับตัวเองเมื่อหันไปพบกับความว่างเปล่า ตอนนี้จงอินได้ปิดประตูห้องไปเรียบร้อยแล้ว อะไรกันล่ะ เขายังไม่ทันได้บอกลาจงอินเลยแม้แต่ประโยคเดียวนะ ทำไมเป็นคนแข็งกระด้างอย่างนี้ล่ะ เขาได้แต่ต่อว่าจงอินในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยิบไม้กวาดนั้นแล้วเดินกลับห้องตัวเองซึ่งอยู่ติด กันไปแต่โดยดี
บางทีแล้ว… จงอินอาจจะมีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะก็ได้มั้ง ถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น… เซฮุนได้แต่คิดในแง่ดี
.
.
.
สิ่งที่เซฮุนทำกับไม้กวาด ไม่ใช่การจับมันแล้วกวาดห้องเหมือนที่หน้าที่ของไม้กวาดพึงกระทำ แต่เซฮุนกลับหยิบมือถือมาถ่ายรูปตัวเองคู่กับไม้กวาดของจงอิน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คนปกติคงไม่คิดจะทำกัน แต่เซฮุนกลับทำมันอย่างไม่คิด… เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอายถ้ามีใครมาเห็นเข้า แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ นี่นา… อันที่จริงเขาเองก็มีไม้กวาดเหมือนกัน แต่โชคดีที่เขาเก็บมันไว้ในห้อง จงอินถึงไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้
“ฮัลโหลว่าไง” ถ่ายรูปเซลฟ์คาเมร่าคู่กับไม้กวาดไปได้แค่ไม่กี่รูป เสียงโทรศัพท์ที่ปลายสายเป็นเจ้าประจำอย่างปาร์ค ชานยอล ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คงจะต้องโทรมาชวนออกไปกินข้าวเหมือนทุกๆ วันเป็นแน่ เพราะนี่ก็ได้เวลาอาหารค่ำของเขาทั้งสองพอดี
(มากินข้าวได้แล้ว อยู่ร้านเจบี) ชานยอลพูดเพียงแค่นั้น เซฮุนได้แต่ตอบรับเออออแล้วก็วางสายไป
ไม่ปล่อยให้เพื่อนรักรอนาน เซฮุนตรงไปยังร้านเจบีซึ่งเป็นร้านหลังมหาลัยร้านเดียวที่ชานยอลชอบกิน และร้านนี้ก็อยู่ในซอยหอของเขาด้วย ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีในการเดินไปถึงของเซฮุน
“เซ็งว่ะ กล้องหน้ากูพัง” เมื่อมานั่งไม่ทันไร เพื่อนรักของเซฮุนก็บ่นอุบเรื่องกล้องมือถือให้เขาฟัง
“เป็นอะไรวะ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้พัง” เซฮุนถามพร้อมกับดูดน้ำในแก้วที่ชานยอลรินไว้ให้เสร็จสรรพ ชานยอลไม่ตอบอะไรแต่กลับคว้าโทรศัพท์ของเซฮุนไปแล้วเปิดกล้องหน้าเพื่อลอง ถ่ายรูปตัวเองดู
“กูยืมถ่ายหน่อยนะ วันนี้กูรู้สึกตัวเองหล่อ” เซฮุนที่มัวแต่งงกับท่าทีแปลกๆ ของชานยอลไม่ทันได้ฉุกคิดว่ารูปล่าสุดในเครื่องของเขานั้นเป็นเซ็ทรูปเซลฟ์ คาไม้กวาดจงอิน แต่กว่าจะนึกได้ก็เป็นตอนที่ชานยอลไปเจอเข้าเองนี่แหละ
“เห้ย มึงโรคจิตป่ะเนี่ย ถ่ายรูปกับไม้กวาด” ชานยอลพูดแล้วขำออกมาอย่างชอบใจ สายตาจับจองไปที่หน้าจอสี่เหลี่ยมของเซฮุน ซึ่งเจ้าตัวก็พยายามจะยุดยื้อฉุดมือถือตัวเองคืนมา แต่กลับไม่เป็นผล เพราะแรงของชานยอลเยอะกว่าและหลบได้ไวทีเดียว
“มึงเอาคืนมาดิ๊ กูก็แค่ว่าง” เซฮุนเริ่มตะคอก
“เดี๋ยวๆๆ นี่มึงถ่ายกับไม้กวาดไม่พอ ยังจะทำท่าจุ๊บไม้กวาดอีกด้วยเหรอวะ โอ้ย ประสาทแดกไอห่า” ชานยอลปล่อยก๊ากออกมาทันทีที่เห็น ทำให้เซฮุนอับอายจนทำหน้าไม่ถูก และความอับอายนั้นเอง ทำให้เซฮุนคว้ามือถือตัวเองกลับคืนมาจนได้
“มึงอย่าขี้เสือกดิ๊” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เซฮุนก็ลอบยิ้มเล็กๆ เมื่อมองภาพที่เขาทำท่าจะจุ๊บไม้กวาดของจงอินที่อยู่ในมือตอนนี้ เขายิ้มเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ลงไปได้เหมือนกัน
“ข้าว ได้แล้ว ไปเอาดิ๊เร็วๆ” ชานยอลพูดเมื่อป้าตะโกนเรียกโต๊ะของพวกเขา เซฮุนรีบลุกไปเอาข้าวอย่างว่าง่าย โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า ปาร์คชานยอลกำลังจะทำอะไรกับรูปของเขา แต่เมื่อเซฮุนเดินมาถึงโต๊ะ ชานยอลก็รีบวางมือถือของเซฮุนโดยเร็วเพื่อไม่ให้เจ้าของเครื่องสงสัย
“กินๆๆ” ชานยอลพูดกลบเกลื่อนเพราะกลัวจะขำกับเรื่องสนุกที่มีแต่ตัวเองคนเดียวที่รู้ และนั่นก็ไม่ได้ทำให้เซฮุนเอะใจเลย
จนกระทั่งมาถึงห้อง…
เมื่อแยกกับชานยอลไปได้กว่าครึ่งชั่วโมงและเขาไม่ได้แตะมือถืออีกเลย เซฮุนก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค เมื่อเช็คดูกลับเป็นคอมเม้นของชานยอลที่มาคอมเม้นรูปภาพของเขา เซฮุนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เพราะเขายังไม่ได้ลงรูปอะไรในเฟสบุ๊คเลยนี่นา…
“เหี้ยยยย!” เซฮุนอุทานออกมาทันทีที่กดเข้าไปดูแล้วพบเข้ากับรูปของตัวเองที่กำลังทำท่าจะจุ๊บไม้กวาด
‘ทำงานบ้านมันเหนื่อยครับ แต่ก็รู้สึกดีที่มีแฟนอย่างไม้กวาด ทำให้งานบ้านไม่เหนื่อยอีกต่อไป มาจุ๊บทีสิจ๊ะแฟน’
ยิ่งอ่านแคปชั่น เซฮุนยิ่งอยากจะโทรไปด่าชานยอลเสียตอนนี้เลย เขาได้แต่อุทานออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยอดคนกดไลค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เซฮุนยิ่งอับอายหนักกว่าเดิม และที่ยิ่งต้องโมโหไปกว่านั้นคือคอมเม้นของชานยอล
‘ทุกวันนี้ที่มึงบอกว่าไม่ค่อยได้อึ๊บสาวนี่คือมึงเอากับไม้กวาดแทน?’
กว่าหนึ่งนาทีที่เซฮุนใช้เวลาหงุดหงิดกับรูปนั้น เขาเปลี่ยนจากอารมณ์ตกใจมาเป็นหงุดหงิด และหงุดหงิดมาเป็นหัวเราะให้ตัวเองแทน ปกติเขาเป็นแต่ฝ่ายแกล้งชานยอล ตอนนี้กลับโดนเอาคืนเสียเอง ก็เลยคิดซะว่าเจ๊ากันก็แล้วกัน ขำๆ ดี
เมื่อหันไปมองเข้ากับไม้กวาดเจ้ากรรม เซฮุนก็นึกขึ้นได้ว่าเขาต้องเอามันไปคืนกับจงอิน แต่จะให้เอาไปคืนเฉยๆ มันก็คงจะไม่ใช่โอ เซฮุน … เซฮุนคิดว่าเขาคงจะเดินไปคืนไม้กวาดด้วยการเคาะประตูห้องจงอินอีก แล้วเขากับจงอินก็คงได้คุยกันบ้างสักสามสี่ประโยคแหละน่า
“เดี๋ยวกูมาต่อกับมึงละกันนะไอ้ชานยอล” เซฮุนพูดพร้อมมองมือถือยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาเป้าหมายอื่นที่สำคัญกว่า
คราวนี้หลังจากที่เคาะประตูไป กลับไม่มีการตอบรับจากเจ้าของห้องเลยแม้แต่นิด เซฮุนเอาหูแนบประตูก็ได้ยินแต่ความเงียบ คนตัวบางเลยตัดสินใจเคาะอีกทีเพื่อเช็คกว่าคนในห้องไม่อยู่จริงหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงเสียดายน่าดู
“เซฮุน” หลังจากที่เคาะและยืนรออยู่สักพัก เซฮุนที่หันหลังกลับจนเกือบจะถึงห้องตัวเองแล้วก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้าน หลัง จงอินเปิดประตูออกมาด้วยท่าทางงัวเงียสุดๆ
“นี่เราปลุกแก เหรอ โทษทีนะ” เซฮุนรู้สึกผิดที่การเคาะประตูของเขาเป็นการปลุกคนหลับ แต่จงอินกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
“แล้วมีอะไรเหรอ” จงอินถาม พลันมองเข้าที่ไม้กวาดในมือเซฮุน
“อ้อ เราจะเอาไม้กวาดมาคืนอ่ะ” เซฮุนยื่นให้เจ้าของห้อง แต่จงอินกลับพยักเพยิดหน้าไปทางขวา
“วางไว้ตรงนั้นเลย” จงอินบอกด้วยเสียงแผ่วเบาตามสไตล์คนที่เพิ่งตื่นโดยแท้ เซฮุนพยักหน้ายิ้มๆ แล้ววางไม้กวาดลง
“ขอบใจอีกทีนะ” เซฮุนยิ้มเล็กน้อย “แล้วก็ขอโทษอีกทีที่กวนเวลานอน”
“ไม่เป็นไร เราชินเรื่องการอดหลับอดนอนอยู่แล้ว” จงอินพูด ถึงแม้จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้เซฮุนสบายใจขึ้นเลยสักนิด
“ว่าแต่…” จงอินพูดต่อ น้ำเสียงงัวเงียไม่ต่างจากเดิม
“พอเคาะแล้วเราไม่เปิด แทนที่จะวางไม้กวาดเอาไว้หน้าห้องเลย นายถือกลับไปด้วยทำไมน่ะ…”
“ห๊ะ… เอ่อ… อ๋อ…” เซฮุนลืมคิดไปเลยว่าเขาควรจะทำแบบที่จงอินพูดถ้าเป็นคนปกติทั่วไป แล้วค่อยบอกทีหลังก็ได้ว่าคืนไม้กวาดแล้วนะแต่จงอินไม่เปิดประตูหรืออะไรก็ ว่าไป แต่ที่เซฮุนคิดไว้ก็คือ ถ้าเคาะแล้วจงอินไม่อยู่ห้อง เขาก็จะเอาไม้กวาดกลับห้องไปก่อน แล้วค่อยเอามันมาคืนอีกทีเมื่อจงอินกลับมา
เพื่อที่เขาจะได้มีเรื่องคุยกับจงอินอีก… เขาทำเพื่อเหตุผลข้อเดียวจริงๆ
“ช่วงนี้เราก็ไม่ค่อยได้นอนเหมือนกันว่ะ เบลอไปหมดแล้วเนี่ย แต่แกนี่ช่างสังเกตไปมั้ยวะ ฮ่าๆ” เซฮุนพูดกลบเกลื่อน จงอินได้แต่หัวเราะเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเร็วๆ ราวกับว่าเข้าใจแล้วกับสิ่งที่เซฮุนพูดออกมา
“งั้นเดี๋ยวไปนอนต่อล่ะนะ” จงอินพูดด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มง่วงๆ แต่ก็ทำให้ใจของเซฮุนสั่นไม่เป็นจังหวะได้เหมือนทุกครั้ง
“อื้ม”
.
.
.
เซฮุนกลับเข้าห้องมาด้วยท่าทีเลินเล่ออย่างที่เขาไม่ค่อยได้รู้สึกอับอาย เท่านี้มาก่อน ถัดจากเรื่องที่ชานยอลโพสต์รูปแกล้งเขา ก็มีเรื่องนี้ต่อทันที นี่มันวันอะไรกันเนี่ย ทำไมมีแต่เรื่องขายขี้หน้าแบบนี้
ตั้งแต่มีจงอินเข้ามาในชีวิต… เขาก็มีเรื่องให้ต้องรู้สึกอับอายได้เรื่อยๆ … แต่ทั้งหมดนั้นเขาก็รู้ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายทำตัวเองล้วนๆ
“ไอ้ชานยอล เอาล่ะ…” เซฮุนที่เพิ่งเข้ามาในห้องรีบคว้ามือถือเตรียมตัวจะคอมเม้นสู้กับชานยอลตาม ที่เขาได้คิดเอาไว้ แต่ทุกความคิดกลับถูกกลืนหายเข้ากลีบสมองไปหมดเมื่อเขาพบกับคอมเม้นของคน แปลกหน้าที่เขารู้จักดี
‘Kim Jongin comment : ไม้กวาดคุ้นๆ เนอะ ฮ่าๆ’
“เห้ย!” เซฮุนตาลุกวาวทันทีที่เห็นชื่อของจงอินมาคอมเม้นในรูปตัวเอง เขาไม่ได้แอดจงอินเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค แต่คาดว่าจงอินคงจะเห็นภาพนี้ในหน้า new feed ของตัวเองที่มีชานยอลเป็นเพื่อนอยู่
โถ่เว้ย… รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ตอนแรกร่างบางก็กะว่าจะลบรูปนี้ทิ้ง แต่พอเห็นคนสำคัญมาคอมเม้นแบบนี้แล้วเขาก็เปลี่ยนใจกระทันหัน ถึงมันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่มันก็เป็นความทรงจำดีๆ ไปพร้อมๆ กัน ในความคิดของเซฮุน นี่จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่เขาจะได้ใกล้ชิดกับจงอินมากขึ้นไปอีก ไม่รอให้ช้าไปกว่านั้น เซฮุนรีบกดแอดจงอินเป็นเพื่อนและอีกฝ่ายก็รับเขาเป็นเพื่อนโดยเร็ว
“ไหนว่าจะนอนไง” เซฮุนพึมพำกับตัวเองแล้วยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า แต่ตอนนี้ใครมาหาว่าเขาบ้า เขาก็ไม่สนอะไรแล้ว
เมื่อเป็นเพื่อนกันเรียบร้อย เซฮุนก็เริ่มมีความคิดที่จะทักแชทเฟสของจงอินเพื่อเริ่มคุยกันในช่องทางใหม่ แต่เขายังนึกเรื่องที่จะคุยไม่ออก ตอนนี้เขากำลังนึกถึงเพียงแต่เรื่องของจงอินจนลืมจัดการชานยอลไปเสียสนิท
“ทักว่าอะไรดีวะเนี่ย” ตอนนี้ถึงจะมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำอย่างเช่นการบ้านที่เยอะแยะเกินจะเคลียร์ เซฮุนก็ไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว นาทีนี้มีสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ นั่นก็คือจงอิน
“เอาวะ แบบนี้ก็ได้”
‘oh sehun : ว่าไง’
“ดูโง่ไปไหมเนี่ย” เซฮุนพูดกับตัวเอง หัวเราะเล็กๆ ออกมาให้กับคำพูดโง่ๆ ที่ตัวเองเป็นคนพิมพ์เอง และความทรมาน ตื่นเต้น ลุ้นระทึกก็เริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่กดส่งข้อความนั้นไป
“อ่านสิอ่าน” เซฮุนลุ้นไม่หยุด เขาไม่ยอมออกจากหน้าแชทจงอินไปไหน รอจนกว่าจะขึ้นเครื่องหมายว่าอ่านแล้วอย่างเดียวเท่านั้น
‘seen 9.35 p.m.’
และในที่สุดหลังจากเซฮุนรอมาเกือบห้านาที จงอินก็กดอ่าน ตอนนี้เซฮุนกลับตื่นเต้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขาลุ้นว่าจงอินจะตอบอะไรมา ตอนนี้มันขึ้นว่าจงอินกำลังพิมพ์อยู่ หัวใจของเซฮุนเริ่มเต้นรัวและแรงราวกับกลอง
‘kim jongin : เอาไม้กวาดเราไปทำมิดีมิร้ายเหรอ ฮ่าๆ’
สิ้นสุดการรอคอย เซฮุนยิ้มเขินออกมาอัตโนมัติเมื่อเห็นข้อความตอบกลับจากจงอิน เขาลุกขึ้นเดินรอบห้องเพราะเขินจนทำตัวไม่ถูก และเพราะคิดไม่ออกด้วยว่าจะตอบอะไร ตอนนี้เขานึกขอบคุณไม้กวาดเจ้ากรรมที่เพิ่งทำให้เขาอับอายไปเมื่อชั่วโมง ก่อนทันที เพราะมันทำให้จงอินมีเรื่องคุยกับเขาเหมือนอย่างตอนนี้
‘oh sehun : งานเยอะทำให้คนบ้า จุ๊บไม้กวาดแม่งเลย’
เซฮุนคิดอยู่นานว่าจะตอบอะไรไปดี จนกระทั่งได้คำตอบที่ว่านั้น เขากดส่งไปและวินาทีแห่งการรอคอยก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง … แต่เหมือนว่าจะนานเกินไปจนจงอินทนรอไม่ไหว นี่ก็ผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้ว จงอินยังไม่แม้แต่จะกดอ่านข้อความของเขา เซฮุนทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้วแน่ๆ … เขารู้สึกเสียดาย และโทษตัวเองที่คิดคำตอบนานไปจนจงอินรอไม่ไหวแบบนี้
“ตื่นเมื่อ ไหร่คงตอบมาเองแหละมั้ง” เซฮุนวางมือถืออย่างคนหมดหวัง ไม่ว่านานแค่ไหนเขาก็จะรอ ถึงมันจะข้ามวันเขาก็จะยังคงรอคำตอบจากจงอิน
แค่ได้คุยกันวันละนิดแบบนี้เซฮุนก็มีความสุขแล้ว และต่อจากนี้เขาจะพยายามทำทุกทางให้ได้เจอ ได้คุยกับจงอินมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะเซฮุนชอบจงอินมาก และคิดว่าเขาคงชอบคนไม่ผิด… จงอินเป็นคนน่ารัก จิตใจดี และสุขุมนุ่มลึกมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน และความเป็นผู้ใหญ่นี้แหละที่ทำให้เซฮุนคิดจะเดินหน้าต่อกับจงอิน
ถึงแม้ว่าจงอินจะดูไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการที่เซฮุนเริ่มเข้าไปในชีวิตสัก เท่าไหร่ แต่เซฮุนก็ไม่อยากจะรีบถอดใจ เขาเองก็ไม่ใช่คนหน้าตาไม่ดี มีดีกรีเป็นถึงหนุ่มป๊อปเสียด้วยซ้ำ มันคงไม่ยากหากเขาจะคิดหาทุกหนทางที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกับจงอินแบบนี้
…โดยที่เซฮุนลืมไปเสียสนิทเลยว่า จงอินเองก็มีแฟนอยู่แล้ว…
ประตูที่เจ้าของห้องเปิดออกมาแค่พอให้เห็นแต่ร่างของเขานั้น หลังบานประตูอาจมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่
… บางสิ่งที่เจ้าของห้องไม่อยากให้ใครล่วงรู้ และอาจเป็นสิ่งที่สำคัญกับหัวใจของเจ้าของห้องมากด้วยเช่นกัน …
- to be continued -
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น