{ SF } Fanboy. 「 Baek x Do 」 - { SF } Fanboy. 「 Baek x Do 」 นิยาย { SF } Fanboy. 「 Baek x Do 」 : Dek-D.com - Writer

    { SF } Fanboy. 「 Baek x Do 」

    'แฟนบอย' .. จากการกระทำของผม นั่นคือชื่อที่ทุกคนพากันเรียก อันที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูก ผมก็คือแฟนคลับธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบนักร้องเพลงป๊อปอย่างวง XOXO ที่ประกอบไปด้วย ลู่หาน เซฮุน ไค แบคฮยอน และคริส.

    ผู้เข้าชมรวม

    2,337

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    2.33K

    ความคิดเห็น


    44

    คนติดตาม


    71
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 พ.ค. 57 / 15:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น











    แฟนบอย

     

    จากการกระทำของผม นั่นคือชื่อที่ทุกคนพากันเรียก อันที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูก
    ผมก็คือแฟนคลับธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบนักร้องเพลงป๊อปอย่างวง
    XOXO
    ที่ประกอบไปด้วย ลู่หาน เซฮุน ไค แบคฮยอน และคริส ซึ่งคนหลังนี่มาจากจีนเหมือนกับลู่หาน
    เลยมีอีกชื่อที่ผมชอบเรียกมากกว่า คือ อี้ฟาน

    และพี่อี้ฟานคนนี้แหละครับคือไบแอสของผม

     

    ผมตามถ่ายรูปพี่อี้ฟานมาตลอดเกือบหนึ่งเดือนเต็ม
    จนมีแฟนไซต์พี่อี้ฟานที่ผมทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ทุกอย่างราบรื่นดี
    และมันคงไม่มีอะไรผิดแปลกไปหรอกครับ

     

    ถ้าหากผู้ชายในวงที่ชื่อ บยอน แบคฮยอน ไม่มาทำตัวเกาะแกะกับผม


    SQWEEZ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ



      แฟนบอย

       

      จากการกระทำของผม นั่นคือชื่อที่ทุกคนพากันเรียก อันที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูก ผมก็คือแฟนคลับธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบนักร้องเพลงป๊อปอย่างวง XOXO ที่ประกอบไปด้วย ลู่หาน เซฮุน ไค แบคฮยอน และคริส ซึ่งคนหลังนี่มาจากจีนเหมือนกับลู่หาน เลยมีอีกชื่อที่ผมชอบเรียกมากกว่า คือ อี้ฟาน และพี่อี้ฟานคนนี้แหละครับคือไบแอสของผม

       

      กิจวัตรประจำวันของผม นอกจากไปเรียนแล้ว ก็มีแค่ตามถ่ายรูปผู้ชายพวกนี้ตามงานต่างๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย ใช้ชีวิตแบบแฟนคลับธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ผมไม่ได้บ้าคลั่งอะไรมากมาย ไม่เคยถึงขั้นโดดเรียนมาตามเจ้าพวกนี้เหมือนที่แฟนเกิร์ลส่วนใหญ่ชอบทำ เพราะผมนับว่าการตามนักร้องแบบนี้เป็นงานอดิเรกเฉยๆ งานหลักในชีวิตของผมคือเรียนเท่านั้น

       

      อ้อเนื่องจากมั่นใจอยู่พอสมควรว่ากล้องของผมมีคุณภาพ และทุกภาพที่ผมถ่าย ผมก็ไม่อยากเก็บไว้ดูคนเดียว เพราะฉะนั้น ผมก็เลยเปิดแฟนไซต์ขึ้นมาแฟนไซต์หนึ่ง เป็นแฟนไซต์ที่ผมจัดการเองทุกอย่าง

       

      แน่นอนว่าเป็นแฟนไซต์ที่มีแต่รูปของพี่อี้ฟานคนเดียว

       

      XOXO มาโน่นแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

       

      เสียงแฟนเกิร์ลที่ปิดล้อมพื้นที่ไว้ทุกบริเวณของสตูดิโอ KBS ดังขึ้นจนผมต้องรีบหันไปตามทางที่ว่า ภาพที่ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไปหา XOXO และยิงชัตเตอร์รัวแบบนี้เป็นภาพที่ผมเห็นเสียจนชินตาไปแล้ว ผมเองก็ไม่รอช้า รีบยกอาวุธของตัวเองขึ้นมายิงชัตเตอร์ใส่พี่อี้ฟานบ้าง

       

      พี่อี้ฟานจะเป็นคนที่นิ่ง เงียบ ขรึม และไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร เวลาเยื้องย่างไปไหนก็จะเกร็งหน้าตลอดเวลา ผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังแอบด่าในใจอยู่บ่อยๆ ว่ามันมีความจำเป็นอะไรที่พี่เขาต้องเก๊กขนาดนั้นเหรอ

       

      แต่ก็เพราะว่าหน้าหล่อแบบนี้ไงครับ ผมเลยให้อภัยได้ทุกครั้งไป

       

      “รบกวนหลีกด้วยคร้าบ~~

       

      บยอน แบคฮยอน เจ้าของฉายาเสียงสวรรค์ ที่ผมเอามาตั้งชื่อใหม่ให้เองว่าไอ้เสียงแปดหลอด เอ่ยปากขึ้นอย่างสุภาพเมื่อแฟนๆ เอาแต่จะล้อมตัวนายนั่นไว้เหมือนไม่ยอมให้ไปไหน ผมไม่ค่อยได้สนใจแบคฮยอนมากเท่าที่ควร เพราะหมอนั่นก็มีแฟนคลับเยอะที่สุดในวงอยู่แล้ว ด้วยความที่หน้าตาโอเค ประกอบกับเป็นคนสุภาพและขี้เล่น ก็เลยมีแต่คนหลงรักอย่างที่เห็น

       

      แต่อย่านับรวมผมไปด้วยเลยครับ ผมน่ะหมั่นไส้หมอนั่นจะตายชัก

       

      “อ้าวคยองซู วันนี้ก็มาด้วยเหรอ” พี่ลู่หานทักผมทันทีที่เห็นหน้า ด้วยความที่เป็นแฟนบอย และตัวเล็กกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปแบบนี้ ผมเลยกลายเป็นที่รู้จักของ XOXO ไปโดยปริยาย และคนที่ชอบชวนผมคุยมากที่สุดก็คือพี่ลู่หานนี่แหละ

       

      “วันนี้ผมเกือบไม่ตื่นแน่ะครับ แต่ก็มาจนได้แหละนะ” ผมยิ้มไปด้วยพูดไปด้วย แต่สายตายังแอบลอบมองพี่อี้ฟานที่เอาแต่เดินนิ่งไม่เงยหน้ามามองผมเลยแม้สักนิด

       

      “วันนี้พวกพี่เท่ห์กันมากเลยครับ ผมชอบชุดสีดำมากเลย”

       

      “ขอบใจมากนะ อาหารซัพพอร์ตของแฟนๆ อร่อยมากเลยแหละ อ้อ นี่จะกลับเลยใช่มั้ย” พี่ลู่หานเอ่ยปากถาม

       

      “ครับพี่”

       

      “ยังไงก็กลับบ้านดีๆ นะ” พี่ลู่หานยิ้มหวานให้ผม ผมได้แต่บอกขอบคุณและโค้งให้พี่เขาไปด้วยความเคารพนับถือ อันที่จริงถ้าไม่ติดว่าผมไม่ชอบคนหน้าหวานเหมือนผู้หญิงแล้วล่ะก็ ผมคงจะเมนพี่ลู่หานไปนานแล้ว

       

      “กลับบ้านดีๆ นะคร้าบ~” ทันทีที่ผมโค้งให้พี่ลู่หานเสร็จสรรพ แบคฮยอนที่เดินนำหน้าผมไปไม่ถึงคืบก็ตะโกนออกมาแบบนั้น แฟนๆ ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันกรี๊ดไม่เป็นภาษาเพราะคำพูดน่ารักๆ นั่น ยกเว้นผมเพียงคนเดียว

       

      แต่มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ที่ตะโกนซะดังเหมือนกับตั้งใจจะบอกทุกคนแบบนั้น แต่กลับเหลียวหลังมาจ้องหน้าผมตอนพูดไปด้วยเนี่ย!

       

      เห็นแบบนั้นผมก็ได้แต่ถลึงตาใส่เจ้านั่น ทั้งตกใจที่หันไปแล้วใบหน้าอยู่ใกล้กันแค่คืบ และแปลกใจที่เจ้านี่หันมาจ้องผมแบบนี้ด้วย อันที่จริงแบคฮยอนเป็นคนแปลกในสายตาผมนะ เพราะตั้งแต่ที่ผมตามวงนี้มา ผมไม่เคยคุยกับหมอนี่เลยสักหนเดียว แต่หมอนี่กลับเอาแต่ยิ้มแล้วก็ทำหน้าแปลกๆ ให้ผมแทบจะทุกงาน

       

      บางทีผมก็คิดนะว่าผมหรือเขากันแน่ที่แปลกกว่ากัน

       

      “ระวังรถด้วยนะครับผม” หลังจากที่ XOXO ทั้งหมดกลับขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว แบคฮยอน ตัวป่วนคนเดิมก็เปิดกระจกมาพูดกับแฟนๆ แบบที่ชอบทำในทุกๆ ครั้ง แต่มันก็แปลกอีกนั่นแหละที่แบคฮยอนพูดไปแล้วชี้มาที่ผมไปด้วย แถมพอรถเคลื่อนตัวไปไกลแล้วก็ยังไม่ยอมปิดกระจก เอาแต่ชะโงกหน้าออกมามองตามอยู่นั่น

       

      ผมคิดว่าผมคงคิดไปเองคนเดียว แต่กลับไม่ได้มีแค่ผมที่คิดแบบนี้น่ะสิ

       

      “นี่คยองซู นายสนิทกับแบคฮยอนเหรอ เป็นเพื่อนที่มหาลัยรึเปล่า ฉันเห็นแบคฮยอนเอาแต่จ้องหน้านายเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วยเลยอ่ะ”

       

      แฟนเกิร์ลเมนแบคฮยอนที่รู้จักกับผมเดินเข้ามาเขย่าแขนผมเบาๆ แล้วถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น อันที่จริงเธอคนนี้ถามแบบนี้บ่อยแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากผมเลยแม้แต่หนเดียว เพราะผมเพียงแค่มอบรอยยิ้มให้เป็นคำตอบเท่านั้น และครั้งนี้ก็จะเป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

       

      ก็ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจริงๆ นี่นา

       

      “นายต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ ถึงได้ไม่ยอมตอบฉันสักทีเนี่ย” เธอตะโกนกึ่งไม่พอใจนิดๆ “จะยังไงก็ช่างเถอะ ฉันอิจฉานายจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

       

      “อิจฉา?” ผมเลิกคิ้ว ทำตาโตนิดๆ มันมีอะไรน่าอิจฉากันล่ะเนี่ย

       

      “ตั้งแต่ที่ตามมาเกือบๆ เดือน ฉันสังเกตได้ว่าแบคฮยอนมองนายบ่อยกว่าพวกเราซะอีก”

       

      “คิดไปเองรึเปล่า เราเมนพี่อี้ฟานนะ” ผมโพล่งหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าใครมองผมหรือไม่มองผม ก็อย่างว่านั่นแหละ วันๆ ผมเอาแต่จ้องพี่อี้ฟานจนแทบจะไม่มีเวลาไปมองคนอื่นในวงเลย เว้นเสียแต่โอกาสเอื้ออำนวยเท่านั้น

       

      “เมนอี้ฟานเหรอ แล้วอี้ฟานจำนายได้รึยังล่ะ”

       

      คำถามของเพื่อนคนนี้ทำให้รอยยิ้มเลือนหายไปจากหน้าผมในชั่วพริบตา

       

       

      จำได้ไหม น่ะเหรอ?

      เป็นคำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกวันเลยแหละ

       

       

      “ก็ ไม่รู้เหมือนกันสิ”

       

      กระอักกระอ่วนใจเกินกว่าจะตอบอะไรออกไป ผมเลยได้แต่พูดแล้วยิ้มแหยๆ ไปแบบนั้น คำถามของอีกฝ่ายมันแทงใจดำผมเข้าอย่างจัง เพราะสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดเวลาก็คือ พี่อี้ฟานไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาเลย หรือบางทีแล้ว อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีตัวตนอยู่ และเป็นแฟนคลับของพี่เขา

       

      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมท้อใจอะไรหรอก ผมพร้อมจะสู้ต่อไปอยู่แล้ว จำไม่ได้วันนี้ วันหน้าก็ต้องจำได้สิน่า!

       

       

       

      .

      .

      .

       

       

       

      วันเสาร์
      18.00 .

       

      วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าผมเป็น 1 ใน 10 ผู้โชคดีที่ได้เข้าร่วมแฟนมีต After Party ของคอนเสิร์ตวันนี้น่ะสิครับ ผมตกใจมากเลยนะ เพราะผมส่งชิคโชคไปแค่อัลบั้มเดียวเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ได้หวังว่าตัวเองจะได้ด้วย ก็แค่อุดหนุนศิลปินที่เรารักเท่านั้นเอง

       

      แต่สงสัยผมคงทำบุญมาเยอะ และตอนนี้ผมก็มาหยุดยืนต่อคิวเตรียมเข้างานแล้ว

       

      “น้องๆ รบกวนต่อคิวกันอย่างเป็นระเบียบนะคะ อีก 5 นาทีจะมีศิลปินออกมาจับมือทักทายพวกเราก่อนเข้างานด้วยแหละ อดใจรอกันหน่อยนะ”

       

      ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศจากพี่สต๊าฟ แฟนเกิร์ลอีก 8 คนในแถวผมก็พากันกรี๊ดเกรียวกราว โชคดีที่ว่าผมไม่ได้เป็นแฟนบอยคนเดียวในงานนี้ ยังมีเพื่อนผู้ชายที่ผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนอยู่ด้วย ผมเลยหันไปยิ้มกับนายนั่นนิดหน่อย พูดคุยกันเล็กน้อย และได้ความว่าเป็นเมนพี่ลู่หาน

       

      ผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ถ้าหากเป็นพี่อี้ฟานที่เดินออกมาจับมือพวกเราล่ะ

       

      ตึกตัก
      ตึกตัก
      ตึกตัก

       

       

      .

      .

      .

       

       

      “สวัสดีคร๊าบผม”

       

      เสียงแปดหลอดดังมาจากทางด้านขวา ทำให้ผมต้องเบ้ปากหนึ่งทีเงียบๆ คนเดียวเมื่อรู้ว่าคนที่จะออกมาจับมือทักทายพวกผมคือแบคฮยอน หมอนี่แก่กว่าผมนะ แต่ผมไม่เคยคิดจะเรียกว่าพี่เลยสักหน ก็เล่นทำตัวติ๊งต๊องไปวันๆ แบบนี้ทำไมล่ะ

       

      “ยินดีที่ได้เจอทุกคนนะคร้าบ” แบคฮยอนพูดพลางจับมือแฟนคลับคนแรก แล้วชวนเธอคนนั้นคุยอะไรนิดหน่อยอยู่เกือบหนึ่งนาทีกว่าจะเปลี่ยนมาจับมือคนที่สอง และก็ชวนคุยยาวๆ แบบเดิมอีก ผมซึ่งต่อแถวอยู่เป็นคนที่ 8 ได้แต่ยืนมองพลางคิดในใจว่าถ้าแบคฮยอนเดินมาจับมือผม ผมจะพูดอะไรกับเจ้านั่นดี

       

      แต่คิดยังไงผมก็คิดไม่ออก

       

      “เอ่อสวัสดีคร้าบ”

       

      ผมมัวแต่หาเรื่องคุยเพลินจนลืมไปเลยว่าแบคฮยอนใกล้จะมาถึงผมแล้ว รู้สึกตัวอีกที แบคฮยอนก็มาหยุดยืนตรงหน้าผมแล้วยื่นมือมาเตรียมจะจับมือกับผม แต่ผมกลับเอาแต่ยืนเอ๋อเพราะตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองเลยไม่ได้ยื่นมือออกไปจับ หมอนั่นก็หน้าเจื่อนนิดหน่อย พอเห็นแบบนั้นผมเลยรีบยื่นมือออกไปจับทันที

       

      “เอ่อ ดีครับ”

       

      ร้อยวันพันปี คนที่ไม่เคยพูดคุยกับแบคฮยอนเลยแม้แต่คำเดียวอย่างผมได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะทำตัวไม่ถูก จากเดิมที่เป็นคนไม่ชอบพูดเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมได้แต่ยืนมองแบคฮยอนแล้วยิ้มน้อยๆ ให้โดยไม่มีคำพูดใดๆ

       

      “มานานแล้วเหรอครับ” ไอ้ตี๋นี่เริ่มชวนผมคุยประโยคแรก ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้

      “ทานอะไรมารึยังครับ”

      “เรียบร้อยครับ”

      “บ้านอยู่แถวไหนครับเนี่ย”

      “เอ่อ ก็ไม่ไกลจากที่นี่มากครับ”

      “ชอบสีอะไรเหรอครับ”

      “เอ่อ

      นี่จะทักทายหรือว่าซักประวัติส่วนตัวผมล่ะครับเนี่ย

       

       

      “อ๋อ เปล่า ผมก็ถามแบบนี้ทุกคนแหละครับ เผื่อว่าในงานแจกของน่ะ” พอเห็นว่าผมเริ่มทำหน้าเจื่อนใส่ แบคฮยอนก็หัวเราะแห้งๆ แล้วพูดแบบนั้น ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ได้แต่พยักหน้าช้าๆ

       

      “ชอบสีดำครับ”

      “แล้วชอบ……………”

      “แบคฮยอน รีบหน่อยนะ จะได้เวลาแล้ว”

       

      ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะถามอะไรผมต่อ พี่สต๊าฟคนเดิมที่คอยคุมแถวพวกผมก็เดินมากระซิบข้างหูแบคฮยอนที่ดูจะมีคำถามถามผมมากมายเหลือเกิน หมอนี่มันประหลาดเกินไปแล้วนะครับ หรือจะเป็นคนขี้คุย ขี้เอาใจมากเกินไปหน่อย

       

      ผมก็ไม่รู้สิ

       

      และแล้วเวลาที่ผมและผู้โชคดีอีก 9 คนรอคอยก็มาถึง พวกผมเดินเข้ามาในโรงหนังเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแฟนมีตติ้งในวันนี้ บนเวทีมีโต๊ะตัวยาวเรียงกันสองตัว กับเก้าอี้ที่เท่ากับจำนวนสมาชิกในวง อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า พวกนั้นก็จะมาถึงแล้วล่ะ เห็นภายนอกผมเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วผมตื่นเต้นมากเลยนะ เพราะว่าวันนี้ผมจะได้ใกล้ชิดกับพี่อี้ฟานเป็นพิเศษน่ะสิ

       

      ก็ตั้งแต่ตามพี่เขามาเกือบเดือน ผมกับพี่อี้ฟานก็ยังไม่เคยได้คุยกันเป็นกิจลักษณะเลย

       

      “สวัสดีครับ พวกเรา XOXO

       

      ผมปล่อยให้หัวตัวเองเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ มากมายจนตีกันไปหมด รู้สึกตัวและเรียกสติกลับมาได้อีกทีก็ตอนที่ XOXO มายืนอยู่บนเวทีตรงหน้าผมนี้แล้ว และเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมเอาแต่จดจ่อ จับจ้องไปที่พี่อี้ฟานเพียงคนเดียว ผมเห็นว่าพี่เขากวาดสายตามองพวกเราจนครบสิบคน และแอบส่งยิ้มมาให้ผมเล็กน้อยเมื่อพบว่าผมเป็นผู้โชคดีในวันนี้ด้วย ผมขอบอกเลยนะว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้เขินพี่อี้ฟานขนาดนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน

       

      จะว่าไป รอยยิ้มนั่นก็เป็นรอยยิ้มที่แปลกดีเหมือนกันแฮะ

       

      “วันนี้เราทั้งหมดจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันนะครับ รับรองว่าต้องสนุกแน่นอน” พี่ลู่หานเป็นคนจับไมค์พูดคนแรก ทุกคนดูปกติ สดใสร่าเริงเหมือนเคย ยกเว้นพี่อี้ฟานเมนผมที่เอาแต่ยืนเก๊กหน้านิ่ง แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องปกติของพี่เขาอีกนั่นแหละ

      “อันดับแรก น้องๆ ทุกคนต้องแนะนำตัวให้พี่รู้จักก่อนนะ” คราวนี้พี่อี้ฟานเป็นคนพูดขึ้นบ้าง พอได้ยินแบบนั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ริมซ้ายสุดของแถวแรกก็เริ่มยืนขึ้นแนะนำตัวเอง ผมนั่งฟังไปยิ้มไป ไม่ได้ยิ้มที่พวกเธอแนะนำตัวหรอกนะ แต่ยิ้มเพราะมีความสุข แค่คิดว่าวันนี้จะได้ใกล้ชิดกับพี่อี้ฟานมากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ผมก็มีความสุขจะแย่แล้วล่ะ

       

      “เชิญคนต่อไปเลยครับ”

      “คยองซูอา~”

      ……………………………”

       

      เสียงแรกเป็นเสียงของเซฮุน ไม่มีอะไรผิดปกติดีจนกระทั่งแบคฮยอนพูดชื่อผมออกมา แถมยังเรียกแบบสนิทสนมอีกด้วย ผมที่เพิ่งได้รับไมค์จากคนก่อนหน้าเอาแต่อ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากไอ้ตี๋นั่น

       

      คำถามก็คือ หมอนั่นรู้จักชื่อผมได้ยังไง

       

      “แบคฮยอนรู้จักน้องเขาแล้วนี่” ไคพูดขึ้นแล้วหัวเราะคลอไปด้วย แบคฮยอนได้แต่ทำหน้าตื่นแล้วรีบส่ายหัวทันที

       

      “เปล่านะ ผมก็แค่เคยได้ยินพี่ลู่หานเรียก” ว่าจบเจ้านั่นก็หัวเราะกลบเกลื่อน ผมไม่ได้คิดอะไรเลยแนะนำตัวต่อตามปกติ สายตาจับจ้องไปที่คนๆ เดียว

       

      “ผมชื่อคยองซูครับ”

       

      “น้องคยองซู~” พี่ลู่หานที่คุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดีส่งเสียงทักทายมาจากเวที ผมเลยยิ้มให้พี่เขาน้อยๆ ก่อนจะกลับไปสนใจแค่พี่อี้ฟานต่อ

       

      “เมนหลัก

       

      “อี้ฟาน! คริสฮยอง!

       

      ……………………………”

       

      อีกแล้ว อีกแล้วที่หมอนั่นเจ๋อเรื่องของผม

       

       

      “ผมก็แค่เห็นน้องเขาเอาแต่ถ่ายรูปพี่คริสอ่ะ” แบคฮยอนเกาหัวแก้เขินเมื่อทุกคนจับจ้องมาที่นายนั่นคนเดียว อันที่จริงผมก็ไม่ได้สังเกตหรอกนะว่าตอนคนอื่นแนะนำตัว แบคฮยอนได้แซวอะไรแบบนี้ด้วยรึเปล่า เพราะว่าผมเอาแต่สนใจพี่อี้ฟานน่ะสิ

       

      “เมนหลักพี่คริสครับ” ภายนอกอาจจะดูเหมือนผมเป็นคนแข็งแกร่ง แต่จริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนแบบนั้นเลย ข้างในผมอ่อนไหวมาก อ่อนไหวมากเหลือเกิน

       

      ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเรียกชื่อจริงของพี่เขาออกมา

       

       

      “เอาล่ะครับ ตอนนี้พวกเราทุกคนก็มาอยู่ด้วยกันครบแล้วเนอะ งั้นวันนี้กิจกรรมของเรามีอะไรบ้างครับคุณแบคฮยอน” พี่ลู่หานพูดขึ้นหลังจากที่ผมและผู้ชายคนสุดท้ายที่นั่งติดกับผมแนะนำตัวเสร็จ จะว่าไปในวงนี้มีคนที่ชอบพูดอยู่ไม่กี่คน สำหรับผมแล้ว พี่ลู่หานเป็นคนที่พูดในปริมาณที่เหมาะสม พอดีกับที่ผมชอบ ส่วนแบคฮยอนน่ะเหรอ

       

      ผมว่าเจ้านั่นพูดมากเกินความจำเป็นไปหน่อยนะ

       

      “กิจกรรมแรกที่เราจะเริ่มกันก็คือ จับฉลากผู้โชคดีขึ้นมาแล้วทำเป็นแสดงละครเรื่อง The Heirs ครับ!

       

      ทันทีที่แบคฮยอนอธิบายเกมส์แรกจบ แทนที่จะเป็นเสียงกรี๊ดแบบที่ผมเคยได้ยินทุกวี่วัน กลับเป็นเสียงหัวเราะและคำพูดที่เป็นเสียงเดียวกันว่า ห๊ะ อะไรเนี่ย ผมเองก็ขำออกมาเช่นเดียวกัน เหลือบไปมองเพื่อนๆ ผู้โชคดีอีก 9 คนที่เหลือเล็กน้อยเป็นนัยน์ว่าขอให้พวกเธอโชคดี

       

      เพราะผมไม่เคยมีดวงอะไรแบบนั้นหรอก แค่ได้มาปาร์ตี้แบบนี้ก็ถือเป็นบุญขั้นสุดของผมแล้ว

       

      “โอปป้า! ถ้าเกิดว่าพวกเราได้ พวกเราสามารถแสดงละครกับเมนเราได้ใช่มั้ยคะ”

       

      “แล้วพวกเราจะได้เป็นชาอึนซังใช่มั้ยคะโอปป้า ไม่ใช่ยูราเอลใช่มั้ย”

       

      พวกแฟนเกิร์ลต่างผลัดกันยิงคำถามใส่ XOXO จนพวกนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อย จริงๆ แล้วคำถามแรกเป็นคำถามที่ผมอยากรู้ที่สุดเหมือนกัน เผื่อว่าผมเกิดเป็นผู้โชคดีขึ้นมา ผมจะสามารถเล่นอะไรแบบนั้นกับพี่อี้ฟานได้ไหม

       

      “น้องๆ ที่ได้ขึ้นมาบนเวทีนี้ จะไม่สามารถเลือกเมนได้ครับ” ไค คนที่บางทีก็พูดน้อย แต่บางทีก็พูดเยอะ ตอบคำถามที่แฟนเกิร์ลยิงไปเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้ม เรียกเสียงโห่จากแฟนๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเธอคงเสียดายที่ไม่สามารถร่วมกิจกรรมกับเมนตัวเองได้สินะ

       

      อันที่จริง ถ้าไม่ใช่พี่อี้ฟาน ผมเองก็ไม่อยากร่วมกิจกรรมกับใครอื่นแล้วเหมือนกัน

       

      “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับเด็กๆ ทุกกิจกรรมของเรามีกติกาครับ น้องที่ได้ขึ้นมาบนเวทีจะต้องจับฉลากเลือกพระเอกของตัวเองอีกทีครับ เอาเป็นว่า ถ้าพวกน้องทำบุญมาดี พวกน้องก็จะได้เมนของพวกน้องครับ” แบคฮยอนพูดไปหัวเราะไป

       

      “เค้าอยากได้โอปป้าอ่ะ โอปป้า!” แฟนเกิร์ลที่นั่งทางซ้ายของผมตะโกนไปหาแบคฮยอน เรียกรอยยิ้มจากแบคฮยอนได้ไม่น้อย

      “เค้าก็อยากได้แบคฮยอนโอปป้า”

      “เค้าด้วย”

       

      เหล่าแฟนเกิร์ลที่ 2 ใน 4 ที่มาในวันนี้เป็นเมนแบคฮยอนแย่งกันพูดขึ้น ผมได้แต่หันไปมองด้วยความขบขัน แล้วส่ายหัวเบาๆ เมื่อได้ยินอะไรแบบนี้ ความจริงแล้วแบคฮยอนเป็นคนที่มีแฟนคลับเยอะที่สุดในวง เรียกว่าฮอตเลยก็ไม่ผิด

       

       “จะเริ่มจับฉลากแล้วนะครับ” เซฮุนพูดพร้อมชูกล่องฉลากขึ้นมาให้พวกเราดู แฟนเกิร์ลทุกคนดูตื่นเต้นมากจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ผมกับเพื่อนแฟนบอยอีกคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพียงแต่พวกเราไม่แสดงอะไรออกไปเลยก็เท่านั้น

       

      “เซฮุนจะจับฉลากเป็นคนแรกนะครับ” พี่ลู่หานพูดพร้อมรับกล่องฉลากมาจากมือเซฮุน

       

      “ได้ผู้โชคดีคนแรกแล้วครับ” เซฮุนยิ้มกว้างแล้วชูชื่อผู้โชคดีในมือให้ทุกคนเห็น ก่อนจะประกาศชื่อออกมา

       

      “โด คยองซู คุณคยองซู คนไหนครับ”

       

      ……………………”

       

      ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่ผมทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แน่นอนว่าทุกคนรู้จักชื่อผมแล้วก่อนเข้างาน เพื่อนแฟนบอยข้างๆ ผมตบไหล่ผมเบาๆ แล้วหัวเราะลั่นราวกับได้ยินเรื่องตลก

       

      “ผมจริงๆ เหรอ” ผมชี้ที่ตัวเอง ทำตาโต อ้าปากหวอ ราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง

       

      “คุณคยองซู ขอเชิญบนเวทีด้วยครับ” เซฮุนประกาศเรียกผมอีกครั้ง ทำให้ผมเริ่มแน่ใจว่าผมได้ยินไม่ผิด ผมได้แต่แจกยิ้มให้กับแฟนเกิร์ลทุกคนที่จ้องมองมาที่ผม สายตาบางคู่เป็นสายตาที่ยินดี แต่สายตาบางคู่ก็เต็มไปด้วยความอิจฉาที่ชัดเจนจนผมสังเกตได้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อวันนี้ผมมากับดวงนี่นะ

       

      ทีนี้ก็เหลือแค่จับฉลากให้โดนพี่อี้ฟานแล้ว

       

      ผมก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความประหม่าหากประเมินจากภายนอก แต่ใครจะรู้ล่ะว่าทุกย่างก้าวนั้นทำให้หัวใจผมเต้นแรงขนาดไหน ยิ่งใกล้ถึงตัวพี่อี้ฟานที่ยืนอยู่ริมทางเดินมากเท่าไหร่ หัวใจผมก็เหมือนจะระเบิดออกมาเท่านั้น

       

      “น้องคยองซูของเรานี่เอง มาจับฉลากตรงนี้เลยครับ”

       

      เมื่อผมได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีเรียบร้อย คนขี้ขลาดอย่างผมก็ได้แต่เหลือบมองพี่อี้ฟานแล้วรีบหลบตาพี่เขาโดยไว ผมไม่อยากให้พี่เขารู้สึกว่าผมเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อะไรเทือกนั้น ผมเลยไม่แม้แต่จะส่งยิ้มให้ แต่หางตาของผมก็สังเกตได้นะ ว่าพี่เขาก็มองผมอยู่เหมือนกัน

       

      อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็ได้อยู่ในสายตาพี่เขาบ้างแล้วสินะ

       

      “รับฉลากมาจากน้องคยองซูแล้วนะครับ มาดูกันซิว่าใครจะเป็นพระเอกให้น้องคยองซู”

       

      ความจริงมันประหลาดนิดหน่อยนะกับการที่ต้องมาเล่นเป็นนางเอกของเจ้าพวกนี้เนี่ย ถึงจะเป็นแค่บทบาทสมมุติก็ตามที ผมไม่ชอบทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ให้ตาย มีแค่กรณีเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำให้ผมชอบขึ้นมาได้

       

      คือการได้ทำร่วมกับพี่อี้ฟาน แค่นั้นจริงๆ

       

       

      “พระเอกของน้องคยองซู คือ………” พี่ลู่หานเปิดอ่านชื่อในฉลากแล้วหยุดวรรคเพื่อที่จะสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งผมและคนอื่นๆ

      “คือ…………”

      “…………………”

      “แบคฮยอนครับ!

       

       

      กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!

      กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

      กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

       

       

      เสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นโรงหนังเล็กๆ นี่ทันทีที่พี่ลู่หานประกาศชื่อ ผมหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งขำที่ตัวเองไม่มีดวงกับพี่อี้ฟาน และขำที่ตัวเองต้องได้เผชิญหน้ากับไอ้ตี๋นี่อีกแล้ว

       

      “คยองซูยา ขอฉันขึ้นไปแทนได้ไหม”

      “เดี๋ยวฉันจ่ายพันวอนเลย ให้ฉันขึ้นไปแทนเถอะนะ”

       

      แฟนเกิร์ลสองสามคนแข่งกันตะโกนขึ้นมาหาผม ได้ยินแบบนั้นผมก็อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ แฟนเกิร์ลพวกนี้ชอบแบคฮยอนมากเสียจนผมคิดว่าผมควรจะมอบโอกาสนี้ให้พวกเธอ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากตอบอะไร แบคฮยอนก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

       

      “ใจเย็นก่อนนะครับ ยังมีอีกหลายเกมส์นะไม่ต้องกลัว” ไอ้ตี๋พูดไปขำไป คงจะตลกแฟนเกิร์ลตัวเองไม่น้อย

       

      “เรามาเริ่มเล่น The Heirs กันเลยดีกว่าครับคุณแบคฮยอน” ไคพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเริ่มจะเสียเวลา

       

      “ผมไม่เป็นนางเอกได้มั้ยครับ ผมเป็น” ผมพูดขึ้นมาเบาๆ ตั้งใจจะให้แค่พวกนั้นได้ยิน “เป็นยองโดก็ได้ครับ”

       

      “จะเอาแบบนั้นก็ได้นะครับถ้าน้องคยองซูสบายใจ งั้นเอาเป็นว่าเรามาชมละคร The Heirs ในบทบาทของคิมทันและชเวยองโดไซส์มินิกันเถอะครับ!” ไคพูดติดตลก ทุกคนต่างพากันหัวเราะกับคำพูดนั้น จริงๆ แล้วผมเนี่ยเตี้ยกว่าเจ้าแบคซะอีกนะครับ ยิ่งพูดก็ยิ่งอายตัวเอง

       

      “จะเอาบทไหนดีล่ะ” แบคฮยอนพูดพร้อมก้าวออกมายืนข้างๆ ผม แต่ไม่ได้มองผม ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าเจ้านี่กำลังเขินผมอยู่

      “เอาบทเตะยอดหน้ามั้ย” เซฮุนเสนอแล้วหัวเราะลั่น

      “นี่นายจะให้ฉันเตะแฟนคลับเรอะ” แบคฮยอนผลักเซฮุนเบาๆ

      “งั้นเอาฉากที่แย่งชาอึนซังกันมั้ย ในร้านกาแฟนั่นน่ะ”

      “แบบนี้ก็ต้องหาชาอึนซังล่ะสิ”

      “เดี๋ยวพี่เป็นชาอึนซังให้เอง” พี่ลู่หานเสนอด้วยท่าทางกระตือรือร้น

       

      “นี่ผมกับน้องเขาต้องแย่งพี่ลู่หานกันเหรอครับ งั้นน้องเอาไปเลย พี่ไม่อยากได้หรอก” คำพูดติดตลกของแบคฮยอนทำให้ทุกคนพากันหัวเราะลั่นอีกครั้ง ไม่ว่าหมอนี่จะพูดจะจาอะไร ทุกคนก็ชอบมันไปเสียหมด

       

      ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหมอนี่มีเสน่ห์มากจริงๆ แต่ยังไงก็ไม่ใช่สไตล์ผมอยู่วันยันค่ำ

       

      “เอาล่ะๆ เริ่มกันเลยดีกว่า” คราวนี้พี่อี้ฟานเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนยิ้มอยู่นาน ให้ตายสิ นี่ผมจะต้องมาทำเรื่องน่าอายให้พี่เขาดูเหรอเนี่ย

       

      “นี่นาย…” เมื่อการแสดงบทบาทสมมุติเริ่มขึ้น วิญญาณนักแสดงก็เข้าสิงแบคฮยอนทันที นายนั่นเดินมาหาผม เอามือสอดในกระเป๋ากางเกงแบบนักเรียนจิ๊กโก๋ อันที่จริงคิมทันควรจะสุขุมกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

       

      “ง ไงล่ะ” ผมแอบหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย แต่ก็ยังเล่นต่อได้ไม่มีปัญหาอะไร

       

      “ชาอึนซังน่ะ บอกกี่หนแล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน” แบคฮยอนทำเป็นพูดเสียงนิ่งเรียบราวกับตัวเองเป็นคิมทันจริงๆ

       

      “นายถามชาอึนซังรึยังล่ะ ว่าเขาอยากเป็นของนายไหม” ผมนิ่งคิดบทไปพักนึงก่อนจะพูดออกไปแบบนั้น คำพูดของผมทำให้ผู้หญิงเกือบทุกคนรวมถึง XOXO หัวเราะและกรี๊ดปะปนกันไป เขาคงไม่คิดว่าผมจะคิดบทแบบนี้ได้กระมัง

       

      “มันจะมากไปแล้วนะเชวยองโด…” แบคทันแกล้งกระชากคอเสื้อผมเบาๆ ทำทีเหมือนจะต่อยผม สายตาจ้องตรงมาที่ผมอย่างมุ่งมั่น แต่ผมเริ่มรู้สึกว่าสายตานายนี่มันแปลกเกินไปหน่อย

       

      ผมคงคิดไปเองอีกแล้ว

       

      “หยุดนะพวกนาย!” ลู่อึนซังรีบวิ่งเข้ามาห้ามพวกผม สีหน้าพี่ลู่หานเหมือนคนที่กำลังกลั้นขำอยู่ ทำให้ผมเผลอขำออกมาด้วย อา นี่มันตลกดีจริงๆ ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

       

      “เธอไม่ต้องมายุ่ง” แบคทันหันไปพูดกับพี่ลู่หานหลังจากหลุดขำออกมานิดหน่อย

       

      “พวกนายจะทะเลาะกันเพราะฉันทำไม” พี่ลู่หานดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิง นั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะหัวเราะออกมาอีก

       

      “ก็เพราะฉันชอบเธอ ฉันชอบเธอมาก

       

      ……………………………”

       

       

      ราวกับโดนสะกดด้วยเวทมนตร์ ผมยืนแข็งเป็นหินเมื่อแบคฮยอนพูดแบบนั้นออกมา น้ำเสียงผิดแปลกไปจากที่ควรจะเป็น และมันคงจะไม่มีอะไร หากแบคฮยอนไม่จ้องมาที่ผม ทั้งที่ผมพยายามไม่มองหมอนี่แล้วก็ตาม

       

      คำถามมีอยู่ว่า นายนี่พูดแบบนี้ แล้วจ้องผมไปด้วยทำไม

       

      “คัทททท!

       

      สิ้นเสียงของไค พวกผมทั้งสามคนก็ทำตัวผ่อนคลายและหลุดหัวเราะออกมาทันทีหลังจากที่ผมยืนแข็งอยู่นานสองนาน ผมอยากจะขอบคุณไคจริงๆ ที่พูดขึ้นมาแบบนั้น

       

      “ขอเสียงปรบมือให้กับแบคทัน และชเวคยองซูด้วยครับทุกคน”

       

      ผมได้แต่โค้งขอบคุณ XOXO แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินลงจากเวทีไป อันที่จริงมีโอกาสได้มาอยู่บนเวทีแบบนี้ ผมก็อยากจะจับมือหรือสบตากับพี่อี้ฟานนานๆ บ้างเหมือนกันนะ แต่ก็ทำได้แค่นี้นี่แหละ

       

      ได้แค่มอง แล้วก็เดินผ่านไป เหมือนคนไม่รู้จักกัน

       

      “เรามาต่อกันที่เกมส์ต่อไปเลยดีกว่าครับ!” เซฮุนเป็นคนพูดขึ้นหลังจากที่ผมลงจากเวทีไปเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ผมมานั่งประจำที่ของผม แฟนเกิร์ลทั้งหลายก็หันมายิ้มให้ผมกับบทบาทเมื่อครู่ แต่ผมเชื่อเลยล่ะว่าในใจพวกเธอคงคิดอิจฉาผม

       

      “เกมส์นี้จะเป็นเกมส์จับฉลากผู้โชคดีมา 3 ท่าน ขึ้นมาถ่ายรูปโพราลอยด์กับพวกเราทั้ง 5 คน พร้อมลายเซ็นต์จากเมนตัวเองครับ!

       

      เสียงประกาศจากไคทำให้เหล่าแฟนเกิร์ลขนาดย่อมในงานพากันตาลุกวาว อันที่จริงผมอยากเป็นผู้โชคดีเกมส์นี้มากกว่าอีกนะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าวันนี้สนุกมากแล้ว

       

      “คุณอี้ฟานเชิญจับชื่อผู้โชคดีขึ้นมา 3 ท่านด้วยครับ” พี่ลู่หานยื่นกล่องฉลากให้พี่อี้ฟานเป็นคนจับบ้าง สายตาผมเอาแต่จับจ้องทุกการกระทำของพี่เขาเหมือนเช่นเคย และไม่นานนัก พี่อี้ฟานก็จับฉลากขึ้นมาเรียบร้อย

       

      “ครับ ผมได้ผู้โชคดีสามคนแล้วนะครับ” พี่อี้ฟานชูฉลากขึ้นมาแล้วยิ้มหล่อตามสไตล์ “ไม่รู้ว่าจะมีคนที่เมนผมบ้างมั้ยน้า ผมอยากเซ็นให้จะแย่แล้วครับ”

       

      “ผู้โชคดีคนแรก คุณจียองครับ” แฟนเกิร์ลเจ้าของชื่อจียองที่ว่ากรี๊ดออกมาน้อยๆ แล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนเวที ถ้าจำไม่ผิด คนนี้เป็นเมนไคนะ

       

      “คนที่สอง คุณโซราครับอ่า โซราของพวกเรานี่เอง” พี่อี้ฟานพูดไปยิ้มไป แน่นอนว่าพี่เขารู้จักเธอดี เพราะเธอตามวงนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กฝึก ที่สำคัญ เธอเมนพี่อี้ฟาน คนเดียวกับผมเสียด้วย

       

      น่าอิจฉาจังเลยนะครับ

       

      “ส่วนคนสุดท้าย ฟังดีๆ นะครับ

      …………………………”

       

      โรงหนังเต็มไปด้วยความเงียบ บ่งบอกให้รู้ว่าทุกคนตั้งใจฟังอย่างจดจ่อแค่ไหน ผมเชื่อว่าทุกคนต้องลุ้น และหวังว่าชื่อตัวเองจะถูกประกาศบ้างในเกมส์นี้ ผมเองก็เฉกเช่นเดียวกัน หากแต่ดวงของผมคงไม่ดีขนาดนั้นหรอก

       

      “คุณคยองซูครับ อา

       

      “อะไรกันล่ะ คยองซูได้อีกแล้วเหรอ”

      “นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย โอปป้าจะให้คนซ้ำได้ขึ้นไปเหรอคะ”

       

      “ทุกคนเงียบก่อนนะครับ” แบคฮยอนพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแฟนเกิร์ลโวยวายเล็กน้อย ผมได้แต่นั่งมึนอยู่เพราะไม่คิดว่าผมจะเป็นผู้โชคดีอีก

       

      “พวกเราจับฉลาก ไม่มีการโกงแต่อย่างใด ขอให้ทุกคนเคารพกติกาด้วยนะครับ”

       

      “เกมส์นี้เราให้เธอไปก็ได้ แต่เกมส์หน้าควรเอาชื่อนายนี่ออกได้แล้วนะคะ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย” แฟนเกิร์ลที่นั่งถัดจากผมไปสามที่โวยวายเล็กน้อย อันที่จริงผมก็ไม่อยากเป็นผู้โชคดีซ้ำสองนักหรอกนะ เพราะรู้ว่าจะโดนหมั่นไส้แบบนี้ไง

       

      “ครับ รอบหน้าจะไม่มีการเรียกซ้ำอีกแล้ว ขอเชิญน้องคยองซูด้วยครับ” คราวนี้พี่ลู่หานเป็นคนพูด ผมได้แต่ลุกแล้วเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างงุนงง วันนี้ผมมากับดวงจริงๆ สินะ

       

      ผมกำลังจะได้ใกล้ชิดกับพี่อี้ฟานแล้วนะครับ

       

      ฝันผมกำลังจะเป็นจริงแล้ว!

       

       

      “ขอให้น้องๆ เดินไปหาเมนตัวเองได้เลยครับ” พี่ลู่หานพูดแล้วหยุดหัวเราะ “อา ไม่มีใครเมนผมเลยนะเนี่ย”          

       

      ผมรอให้แฟนเกิร์ลเจ้าของชื่อโซราเดินไปหาพี่อี้ฟานก่อน สองคนนั้นคุยกันออกรสออกชาติจนผมทนมองไม่ได้ พลันสายตาผมหลบไปทางอื่น และทางอื่นที่ว่า ก็คือทางที่แบคฮยอนยืนอยู่

       

      หมอนั่นกำลังจ้องมองมาที่ผม และผมคิดว่ามองที่ผมมานานแล้วด้วย

       

      ทันทีที่ผมหันไปสบตากับไอ้ตี๋นี่พอดิบพอดี เจ้านั่นก็รีบหลบตาผมโดยการมองไปทางอื่น ผมเองก็หลบสายตาตามไปด้วยเช่นกัน วันนี้ทั้งวันผมรู้สึกแปลกกับแบคฮยอนมาก มากเสียจนผมบรรยายออกมาไม่ถูก

       

      “น้องคยองซูครับ” มัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่ทันมองว่าโซราถ่ายรูปกับพี่อี้ฟานเสร็จไปแล้ว กลายเป็นว่าพี่อี้ฟานเองที่เรียกชื่อผมให้หันไปหา

       

      ผิดไหมครับ ที่แค่ได้ยินเขาเรียกชื่อผมแบบนี้หัวใจก็สั่นไหวแล้ว

       

      “คครับ” ผมขานเสียงสั่น ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้พี่อี้ฟาน ก่อนที่คนตัวโตกว่าผมจะหันกล้องโพราลอยด์เข้าหาตัวเองแล้วเอื้อมมือไปข้างหน้าจนได้องศาที่พอเหมาะ ผมได้แต่ยิ้มกว้าง แต่สายตาเหลือบไปเห็นว่าพี่เขาชูสองนิ้วด้วย ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ

       

      “โอเค เรียบร้อย” แสงแฟลชจากกล้องโพราลอยด์ทำให้ผมตาพร่าไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่วายยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่เขาดี ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะพูด แต่ผมไม่สามารถรวบรวมความกล้าพูดมันออกไปได้เลย

       

      “ผม เป็นแฟนคลับพี่นะครับ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายเสียเมื่อไหร่

       

      “อ้อ พี่รู้แล้วล่ะครับ ขอบคุณเรามากนะ” พี่อี้ฟานพูดไปยิ้มไป ในขณะที่มือยังคงเซ็นลายเซ็นอยู่

       

      “เข้าไปเยี่ยมแฟนไซต์ผมได้นะครับ รูปพี่เต็มไปหมดเลย”

       

      “อ่า ได้สิครับ ขอบคุณนะ” พี่อี้ฟานพูดเสียงเรียบ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสไตล์ของพี่เขาอยู่แล้ว หรือเขาไม่อยากคุยกับผมกันแน่ “ได้แล้วล่ะ”

       

      พี่อี้ฟานยื่นรูปโพรายลอยด์ที่มีลายเซ็นต์สดๆ ร้อนๆ ของพี่เขาให้ผมด้วยรอยยิ้ม ใช้มือตบบ่าผมเบาๆ แล้วไม่ยอมพูดอะไรต่อ แถมยังมองไปทางอื่น แต่ผมก็ไม่คิดมากหรอก ได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว

       

      “ขอให้น้องๆ ทั้งสามคนมาถ่ายรูปรวมทางนี้ด้วยครับ” เซฮุนเรียกพวกเราทั้งสามคนหลังจากเห็นว่าผมเสร็จแล้ว ผมกับพี่อี้ฟานเดินไปทางที่ว่าพร้อมกัน XOXO ทั้ง 5 คนมายืนรวมตัวกันโดยมีพวกเราผู้โชคดีทั้ง 3 อยู่ด้านหน้า ผมไม่รู้หรอกว่าใครอยู่ด้านหลังผม แต่ผมขอเดาว่าเป็นพี่ลู่หาน เพราะร่างกายนี้เบียดผมมาแน่นเหลือเกิน แถมยังแอบชูสองนิ้วเป็นเขาบนหัวให้ผมอีกด้วย

       

      ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งได้รับรูปถ่ายมา

       

       

      มันคือแบคฮยอน คนที่อยู่ข้างหลังผม คนที่เติมเขาให้ผม คนที่เอาคางเกยหัวผม

       

      แบคฮยอน

       

      บยอน แบคฮยอน อีกแล้ว

       

       

       

      ผมมองรูปในมือตัวเองระหว่างทางเดินลงจากเวที เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ตัวเองยิ้มออกมาตอนมองหน้าแบคฮยอนที่ทำท่าทางทะเล้นๆ แบบในรูปนั่น รู้ตัวอีกทีก็เพราะคำพูดของแฟนบอยคนที่นั่งข้างๆ ผมมาตลอดนี่แหละ

       

      “ยิ้มไม่หุบแบบนี้ ดีใจที่ได้พี่อี้ฟานอ่ะดิ๊”

       

      “ห๊ะ อ๋อ อื้ม ก็ดีนะ” ผมค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อได้ยินคำว่าอี้ฟาน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากพูดถึงพี่เขาแล้ว ท่าทีที่ดูเหมือนจะไม่สนใจผมเลยแบบนั้นทำให้ผมแอบน้อยใจอยู่คนเดียวทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์

       

      แต่ถ้าจะบอกว่าการยิ้มไม่หุบเมื่อกี้นี้ เพราะแบคฮยอน

       

      มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ

       

      “เดินทางมาถึงเกมส์สุดท้ายแล้วนะครับ เอาล่ะ เกมส์สุดท้าย

       

      เรียกสติของตัวเองกลับมาได้หลังจากได้ยินเสียงประกาศจากเซฮุน ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเท่าตอนแรกอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อผมได้เป็นผู้โชคดีทั้งสองเกมส์แล้ว เกมส์นี้ผมคงไม่ได้เล่นอะไรอีก น่าแปลกที่ผมก้มลงมองภาพโพราลอยด์ในมือโดยอัตโนมัติ

       

      ที่แปลกไปกว่านั้น คือผมจับจ้องไปที่แบคฮยอนอีกแล้ว

       

      ผมไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่ตุ๊ด ผมเป็นผู้ชายที่ปลื้มผู้ชายด้วยกันเพราะความสามารถของพวกเขาเท่านั้น แต่ความรู้สึกนี้มันแปลกมาก มากจนผมประหลาดใจตัวเองขึ้นมา

       

       

      กิจกรรมสุดท้ายเป็นการร่วมทำไอศกรีมกับ XOXO ผมไม่ได้เป็นผู้โชคดีอย่างที่คิดเอาไว้ และผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับกิจกรรมบนเวทีมากเท่าตอนแรกแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นเต้นมันหมดไปแล้ว หรือเพราะรูปโพราลอยด์ในมือผมกันแน่

       

      ร้ายมากนะ แบคฮยอน ร้ายมาก

       

      “ขอขอบคุณที่มาร่วมสนุกกับพวกเราในวันนี้นะครับ ผมเสียดายมากที่เวลาสั้นไปนิดหน่อย ที่จริงผมอยากอยู่กับทุกคนต่ออีกนานๆ เลยนะ แต่นี่มันดึกแล้ว เดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ได้กัน”

       

      เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เกมส์สุดท้ายดำเนินไปจนเสร็จสิ้น รู้ตัวอีกทีก็เพราะเสียงแหลมๆ ของแบคฮยอนนี่ล่ะ เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มกันทุกคน บ่งบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับพวกเธอมากแค่ไหน

       

      “กลับยังไงล่ะ” ผมหันไปถามเพื่อนชายที่นั่งติดกัน

      “เอารถมา กลับด้วยกันมั้ยล่ะ” บยองฮุน เพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งได้จากงานนี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

      “เห้ย ไม่เป็นไร บ้านเราอยู่ใกล้ๆ นี่เอง สี่ป้ายก็ถึงแล้ว”

      “ไปด้วยกันเหอะ นั่นก็ทางผ่านเราเหมือนกัน”

      “ไม่เป็นไรจริงๆ เกรงใจ”

      “ถือซะว่าเพื่อนไปส่งเพื่อนละกัน นะ”

       

      สายตาเว้าวอนบวกกับมือที่ยืนมาเขย่าไหล่ผมนั่นทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธได้ ผมยิ้มออกมาน้อยๆ ให้กับความเป็นมิตรของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้าตอบรับไปในที่สุด นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงคิดว่าเจ้านี่จีบผมไปนานแล้ว

       

      พวกเราเอ่ยลากับ XOXO และแยกย้ายกันเดินออกจากโรงหนัง ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือเปล่าที่เห็นบยองฮุน ที่อาสาจะขับรถไปส่งผมที่บ้าน โบกมือให้แบคฮยอนแล้วขยิบตาให้หมอนั่นหนึ่งที

       

      แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก บางทีหมอนี่อาจจะเป็นเพื่อนกับใครสักคนในวงก็เป็นได้

       

      “มาตามนักร้องแบบนี้ ยังไม่มีแฟนล่ะสิท่า” ทันทีที่เข้ามานั่งในรถคันหรูของบยองฮุน หมอนี่ก็ยิงคำถามมาที่ผม

      “ไม่มีหรอก รู้สึกว่ายังดูแลใครไม่ได้น่ะ” ผมตอบไปขำไป

      “แบบนี้ก็ต้องให้คนมาดูแลแทน” บยองฮุนพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมเริ่มกลัวขึ้นมานิดหน่อย หวังว่าหมอนี่คงไม่ได้กำลังจีบผมอยู่จริงๆ หรอกนะ

      “เอ่อไม่ใช่แบบนั้น เราก็ยังเป็นผู้ชายอยู่นะ” ผมทำเป็นตอบเสียงปกติ ใจดีสู้เสือ

      “เป็นผู้ชาย แล้วมีโอกาสมั้ยว่าจะชอบผู้ชายด้วยกัน”

      …………………………”

       

      เจอคำถามแบบนี้เข้าไป ผมถึงกับตาโตด้วยความอึ้ง หัวใจผมเต้นรัว แต่ไม่ได้เต้นรัวเพราะเขินหรอกนะ ที่เต้นรัวก็เพราะหมอนี่ชักจะน่ากลัวขึ้นไปทุกทีแล้วน่ะสิ

       

      “จอดตรงนี้แหละ เดี๋ยวเราจะเข้าเซเว่น” เหมือนพระเจ้าช่วยชีวิตผมเอาไว้ ผมพูดขึ้นทันทีที่เจอเซเว่น อันที่จริงมันก็ต้องเดินไกลนิดหน่อยถ้าลงตรงนี้ แต่ผมไม่มีทางเลือกแล้ว ผมไม่อยากอยู่กับหมอนี่แล้วล่ะ

       

      “เอางั้นเหรอ เดี๋ยวเรารอก็ได้นะ”

      “ไม่เป็นไร กลับไปเหอะ นี่ก็ใกล้จะถึงบ้านเราแล้ว”

      “ตามใจแล้วกัน”

      “ขอบใจมากนะ แล้ว ไว้เจอกัน”

       

      ผมรีบเปิดประตูลงจากรถและพยายามปั้นหน้าให้เป็นธรรมชาติที่สุดเพราะกลัวกว่าหมอนั่นจะรู้ว่าผมกลัว ผมยิ้มและโบกมือให้จนรถของบยองฮุนลับสายตาไป ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันทีที่ยกภูเขาลูกเล็กออกจากอกไปได้

       

       

      ที่แท้หมอนี่ก็

      เห้อ ช่างมันเถอะ

       

       

      เดินมาไกลจนผมรู้สึกว่าขาเริ่มล้า แต่พอคิดได้ว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้านแล้วผมก็ยิ้มออกมาได้ทันที ปกติผมไม่ใช่คนยิ้มง่ายแบบนี้เลยนะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเรื่องทั้งหมดในวันนี้ หรืออาจเป็นเพราะ

       

      “แบคฮยอน!”

       

      แผดเสียงออกมาเมื่อพบว่าคนที่ยืนพิงเสากดมือถืออยู่ตรงหน้าคือแบคฮยอน ผมเบิกตากว้างตามสไตล์ ไร้คำพูดใดๆ นี่มันมีเหตุผลอะไรที่หมอนี่จะต้องมายืนอยู่หน้าบ้านผมล่ะเนี่ย หรือผมจะตาฝาด

       

      “หวัดดี”

       

       

      ผมไม่ได้ตาฝาด

       

       

      “มมาอยู่นี่ได้ไง”

      “ก็ขับรถมา”

      “ไม่ใช่สิ หมายถึง มาทำอะไร ที่นี่”

      “มาหาคยองซูไง”

      “ไม่ใช่สิ หมายถึง ห๊ะ มาหาผมทำไม”

       

       

      มายืนแบบนี้ผมก็ตกใจแทบแย่แล้ว ยิ่งมาพูดจาแบบนี้ ด้วยรอยยิ้มระรื่นแบบนี้ ไม่คิดว่าผมจะตกใจมากไปกว่าเดิมหรือยังไงกัน นี่มันอะไรกันเนี่ย เล่นเกมส์อะไรอยู่รึเปล่า ต้องหลอกผมอยู่แน่ๆ

       

      “อย่าเลิกชอบพวกเราเลยนะ”

       

      “หืม?” ผมเลิกคิ้ว หมอนี่กำลังพูดอะไรเนี่ย ผมงงไปหมด

       

      “ก็สเตตัสนายที่ตั้งเมื่อ 3 นาทีที่แล้วไง” แบคฮยอนพูดไปยิ้มไป

       

      “สเตตัส” ผมยืนนึกอยู่นาน เมื่อกี้ผมเล่นโซเชียลอะไรไปบ้างนะ อ้อ นึกออกแล้ว ผมตั้งสถานะในเฟสบุ๊คไปว่า หรือต้องเดินจากไปจริงๆ

       

      ใช่ ผมหมายถึงพี่อี้ฟาน

       

       

      แต่ที่ผมตกใจมากไปอีก ทำไมหมอนี่ถึงมีเฟสบุ๊คผม แล้วทำไมถึงรู้ว่าผมหมายถึงใคร

      สรุปว่าแบคฮยอนเป็นคนหรือผีครับเนี่ย ผมชักกลัวแล้วนะ

       

       

      “นายมีเฟสผมได้ยังไง”

       

      “มันไม่สำคัญหรอก” แบคฮยอนพูดไปยิ้มไป ยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วพูดต่อ “นายตั้งใจฟังผมให้ดีนะ”

       

      ………………” ผมไม่รู้ว่าหมอนี่กำลังจะพูดอะไร แต่ผมก็ยืนนิ่ง ตั้งใจรอฟังอย่างว่าง่าย

       

      “ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นคยองซู วันนั้นเป็นวันพฤหัสที่ 24

      …………………” ทำไมหัวใจผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ

       

      “ทุกท่าทาง ทุกการกระทำของคุณ มีเสน่ห์เหลือเกิน” แบคฮยอนจ้องตาผม สายตาอ่อนโยนแบบที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

       

      “หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็หยุดมองคุณไม่ได้เลย”

      …………………”

      “มันน่าเสียดายนะ ที่คุณชอบอี้ฟาน ไม่ใช่ผม ผมเสียดายจริงๆ”

      …………………”

      “ผมพยายามจะไม่สนใจคุณ แต่ทุกครั้งที่คุณไม่มาตามงานวงผม ผมก็เอาแต่มองหาคุณ พอไม่เจอ ผมก็หงุดหงิดไปทั้งวัน”

      …………………”

      “แบบนี้ มันแปลว่าผมชอบคุณรึเปล่า”

       

      “นี่ต้องเป็นรายการแกล้งอะไรแน่ๆ ไหนครับ กล้องอยู่ทางไหน” ผมที่ยืนอึ้งอยู่นานเรียกสติกลับมาแล้วทำเป็นมองหากล้อง ยังคงไม่คิดว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง

       

      “ผมไม่ได้ล้อเล่น” แบคฮยอนเดินเข้ามาประชิดตัวผม จับไหล่ผมเบาๆ น่าแปลกที่ผมตกใจ แต่ไม่ขัดขืนใดๆ เลย

       

      “ผมชอบคยองซู”

       

      “ไม่จริง”

       

      “งานปาร์ตี้วันนี้ ผมลงทุนจ่ายเงินตัวเอง จ้างทีมงานให้จัดขึ้นมา” แบคฮยอนพูดแล้วก้มหน้าหัวเราะ

       

      “เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะผมอยากเจอคุณไง”

       

      “ล้อเล่นแน่ๆ” ผมส่ายหน้ารัว

       

      “กล่องฉลากผู้โชคดี มีอยู่ยี่สิบใบ ผมเขียนชื่อคุณลงไปสิบชื่อ…” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง “ทุกอย่างในวันนี้ มันคือแผนของผมทั้งหมด”

       

      “แบคฮยอน หยุดเลยนะ” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมหน้าแดงหรือไม่อย่างไร ที่ผมรู้คือหัวใจผมเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา และผมก็รู้สึกได้ว่า ทั้งใบหน้าและใบหูของผมมันร้อนผ่าว

       

      “คุณไม่ต้องชอบผมก็ได้” แบคฮยอนเริ่มปล่อยมือออกจากไหล่ผมแล้วเดินห่างออกไป

       

      “ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย”

       

      …………………”

       

      “ที่ผมมาในวันนี้ เพราะผมจะมาขอร้องคุณ ขอร้องให้คุณอย่าจากพวกเราไป…” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน จนผมรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

       

      “ไม่ได้ขอร้องให้ชอบผม ไม่ได้ขอร้องให้ไม่จากผมไป แต่มาขอร้องว่าอย่าหายไป จากสายตาของผม เลย”

       

      “แบคฮยอน คือผม

       

      เมื่อได้ฟังแบบนั้นแล้ว สิ่งที่ผมคิดได้ก็คือ ผมคงไม่จากไปไหนแล้ว ถึงแม้ว่าพี่อี้ฟานจะไม่สนใจผม ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร รู้แค่ว่าผมชอบเค้า แต่กลับไม่ถามแม้กระทั่งว่าชื่อแฟนไซต์ของผมชื่ออะไร ไม่มีเลยซึ่งความใส่ใจ

       

      แต่ผมเลือกแล้ว

      เลือกแล้วว่าผมจะอยู่

       

       

      อยู่

      ตามคำขอร้องของผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้

       

       

      “ขอโทษด้วยถ้าไอ้บยองฮุนมันถามอะไรที่ตรงประเด็นจนทำให้คุณกลัวเกินไปหน่อย” แบคฮยอนพูดยิ้มๆ ผมเลิกคิ้วสูง

      “หมายความว่ายังไง”

      “บยองฮุนเป็นเพื่อนสนิทผม ผมจ้างมันให้มาในแฟนมีท ทำตัวเป็นแฟนคลับคนนึง เพราะผมกลัวว่าคุณจะเหงา ถ้าต้องเป็นผู้ชายคนเดียวในงาน”

      “นี่นาย…” ผมส่ายหน้าช้าๆ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง

      “ผมจ้างให้มันมาส่งคุณที่บ้านด้วยนะ” แบคฮยอนหัวเราะ โดยไม่แคร์ว่าผมจะรู้สึกสนุกด้วยไหมเลย

      ………………………………”

      “ผม…”

      “……………”

      แค่เป็นห่วงคุณคยองซูก็เท่านั้นเอง”

      …………………”

      “ผมไม่รบกวนแล้ว แต่ก่อนไป ผมขออะไรหน่อยได้ไหม”

      “ขออะไร…”

      “กอด”

      “ห๊ะ”

       

       

      “ขอกอดหน่อยได้ไหม มันคือสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในตอนนี้”

       

       

      ผมยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไร ในใจผมไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกว่าอยากให้กอด และไม่รู้สึกว่าอยากปฏิเสธ ผมกำลังสับสนในตัวเองอย่างมาก เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเร็ว เร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน

       

      “ไม่เป็นไร” เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่ค่อยยินยอมเท่าไหร่ของผม แบคฮยอนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ ก่อนจะเดินจากผมไปอย่างช้าๆ ราวกับคนใกล้หมดแรง ผมหันไปมองนิดหน่อย ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้านของตัวเอง

       

      เป็นการหันหลังกลับที่ผมรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง

       

                                                                                 

      เสียใจ

      เสียดาย

       

       

      ความรู้สึกเหล่านี้

      มันคืออะไรกัน

       

       

      ไวกว่าความคิด ผมรีบผลักประตูบ้านที่เพิ่งจะปิดลงไปไม่ถึงหนึ่งยี่สิบวิ สาวเท้าเร็ว จากเดินเร็วกลายเป็นวิ่ง และจากวิ่งกลายเป็นวิ่งเร็ว ใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เห็นเงาตะคุ่มของคนที่เพิ่งจะมาสารภาพรักกับผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกแม้จะเกลียดการวิ่งแบบนี้ ในที่สุดผมก็ไล่ตามแบคฮยอนทัน

       

      “แบคฮยอน” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงที่กึ่งดังกึ่งเบา ผ่อนลมหายใจเหนื่อยหอบออกมาถี่รัว

      ………………”

       

       

       

      พอมาคิดๆ ดูแล้ว

      คนที่ดูเหมือนจะใส่ใจผมตลอดเวลา

       

       

       

      “แบค…”

      “…………………”

       

       

       

      คนที่เอาแต่มองหาผม

      คนที่คอยกังวลเวลาที่ผมหายไป

       

       

       

      “แบ……”

      “…………………”

       



       

      คือคนที่ผม

      มองข้ามมาโดยตลอด


       

       

       

      หมับ !

       


      ไวเท่าความคิด ผมสวมกอดเข้าที่ด้านหลังของคนที่ตัวพอๆ กันกับผม พ่นลมหายใจถี่เร็วรดไหล่อุ่นของอีกคนราวกับคนเป็นหอบ ในวันข้างหน้าหากนึกย้อนมาถึงภาพในวันนี้ ตอนนี้ ผมคงจะพูดกับตัวเองว่า 'ผมทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย' แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้ผมยอมบ้า ยอมโง่ ผมยอม...

       

       

       

      คยองซู



      เสียงเรียกแผ่วเบา แต่หนักแน่นไปด้วยความอ่อนโยน เป็นเสียงที่ต่างจากเสียงแหลมๆ ที่ผมมักจะได้ยินเป็นประจำจากปากผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ความหมั่นไส้ที่สั่งสมอยู่ทั้งหมดทั้งมวล ข้อกังขาทุกข้อเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ... ได้หายไปหมดแล้ว




      ผมยืนกอดแบคฮยอนอยู่นาน นานจนกระทั่งจังหวะการพ่นลมหายใจของผมกลับมาเป็นปกติ นานพอที่จะทำให้ผมได้รู้ว่าหัวใจของผมเริ่มเปิดออกทีละนิด ละนิดแล้ว.. มือกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะกระซิบบอกอีกคนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า




       

      “อย่าเพิ่งไป ไหนเลยนะ”

       


       

      ตอนนี้ผมรู้แล้ว...

      ผมรู้แล้วว่าสายตาของผมมีเอาไว้เพื่อมองใคร




       

       

      ไม่ใช่พี่อี้ฟาน คนที่เคยมองข้ามผมอีกต่อไป

      ไม่ใช่แล้ว

       

       

       

      แต่เป็นคนนี้

      คนที่ผมกำลังกอดแน่นราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหนคนนี้

       

       

       

      บยอน แบคฮยอน






      - THE END -




      (Twitter Tag :
      #baekdofanboy )







       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×