ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Diary: จุดเริ่มต้นของชีวิตเด็กอินเตอร์

    ลำดับตอนที่ #9 : [Special] ว่าด้วยเรื่องสอบๆ ก่อนจะโกอินเตอร์ (TOEFL, TOEIC, IELTS) : EP1

    • อัปเดตล่าสุด 28 ส.ค. 56


     
    ก่อนจะโกอินเตอร์กันได้ ไม่ว่าจะเข้าคณะอินเตอร์ต่างๆ ไปแลกเปลี่ยน
    ไปเรียนต่อปริญญาตรี ปริญญาโท ฯลฯ ก็คงไม่พ้นข้อสอบภาษาอังกฤษ
    ที่เล่นเอาเด็กไทยอย่างเราๆปวดหมองกันไป 

    จริงๆแล้วข้อสอบพวกนี้จะว่ายากก็ยาก 
    (ถ้าในชีวิตประจำวันเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย)
    จะว่าง่ายก็ง่าย สำหรับคนที่เรียน ภาคอินเตอร์ หรือสองภาษา หรือไปแลกเปลี่ยนมาตอนมัธยม
    แค่ดูตัวอย่างข้อสอบคร่าวๆก็คงผ่านเกณฑ์ได้ไม่ยาก

    ถึงตอนนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า

    "อ่าว พี่~ แล้วถ้าดาวเป็นเด็กไทยแท้ จะทำยังไงให้สอบผ่านกะเค้าบ้างล่าาา !?!"
    .
    .
    .
    .

    ชิ้ง------- ถ้าสกิลเราสู้เค้าไม่ได้ เราก็ต้องผักชีกันไงล่ะน้อง 


    ขึ้นชื่อว่าข้อสอบ อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า

    มันไม่สามารถวัดความสามารถการใช้ภาษาของแต่ละคนได้ 100%

    ส่วนนึงคือสกิลการใช้ภาษาอังกฤษ ที่เหลือคือ


    1. การวางแผน!


    2. การฝึกฝน!


    3. เล่ห์กล!


    4. ความอึด!

    ***********************************************

    1. การวางแผน

    หลายๆคนที่สอบแล้วไม่ผ่าน ยื่นทุนไม่ทัน เข้ามหาลัยไม่ได้ที่ๆหวังไว้ เพราะว่าไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า อาทิเช่น

    ทุนเกาหลีเพิ่งออกมา หมดเขตสิ้นเดือนหน้า หนูยังไม่มีคะแนน TOEFL เลย TOEIC แทนไม่ได้หรอ?
    (TOEIC วัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในการทำงาน TOEFL ใช้สำหรับวัด academic english คนละจุดประสงค์กันนะ )

    จะไปเรียนอังกฤษเดือนกันยา แต่ต้องยื่นคะแนนภายในพฤษภานี้ สอบอะไรดี TOEFL, IELTS 
    (ยากพอกัน แถมกว่าจะไปสอบ รอสองอาทิตย์คะแนนออกออนไลน์ รออีกสองอาทิตย์ส่งไปมหาลัย ไหนจะเวลาอ่านเตรียมตัวสอบอีกล่ะ)


    ส่วนใหญ่ทุนการศึกษาก็มักจะ require คะแนนภาษาอังกฤษตัวเดิมๆ
    สอบทิ้งไว้ล่วงหน้าครึ่งปี หรือปีนึงเลยก็ได้
    เช่น ทุน EGPP ออกปีละสองครั้ง
    ถ้าจะสอบเพื่อไปเข้าภาค Fall ก้อเริ่มเตรียมคะแนนตั้งแต่ตอนเค้าประกาศรอบ Spring เลยก็ได้
    คะแนน TOEFL, IELTS ก็เก็บได้สองปีอยู่แล้ว


    การเตรียมตัวสอบควรจะเตรียมไว้อย่างน้อยสามเดือน
    (บางคนอาจเยอะกว่านี้ แล้วแต่พื้นฐานภาษาที่มีมา) 
    บางคนไปเรียนติว ก็นานขึ้นไปอีก
    แต่จริงๆแล้ว ค่าเรียนติว TOEFL แพงมาก (หมื่นถึงสองหมื่นบาท)
    เคยเรียนติวมาเหมือนกัน  แต่คิดอีกทีเอาไปสอบหลายๆรอบแทน น่าจะดีกว่านะ
    (ค่าสอบ TOEFL, IELTS 5,000-6,000บาท เท่ากับสอบได้เกือบสี่รอบ)
    แต่ถ้าใครคิดว่า ถ้าฝึกเองจะต้องขี้เกียจ ผัดวันประกันพรุ่ง
    หรือลองเองแล้ว มันไม่ได้จริงๆ การติวก็เป็นอีกทางเลือกนึง


    คอร์ส TOEFL ที่แนะนำใน pantip ดีๆมีหลายที่เหมือนกัน
    แต่ที่เราเลือกไปติวเป็นของ Princeton Review

    ข้อดี- ได้รู้ทริคในการทำข้อสอบ บวกกับมีการทำ Test จำลอง ทำกับคอมพิวเตอร์เหมือน IBT
    ทำให้กะคะแนนได้ว่าควรจะเพิ่มตรงไหนอีก
    + พาร์ท speaking, writing มีคนตรวจให้
    +ครูสอนเป็นฝรั่ง ได้ฝึก conver ไปในตัว

    ข้อเสีย- เสียเวลาเดินทาง ตอนสอน reading ง่วงมาก เกือบหลับ
    (เป็นคนสมาธิสั้น ทนนั่งในห้องเรียนนานๆไม่ได้ จะเริ่มวาดรูป หาหนมกิน ออกไปห้องน้ำ~)
    +ค่าเรียนแพงโฮกกกก (20,000+ นานมาแล้ว ไม่รู้ขึ้นยัง) 

    ก็แล้วแต่ว่าใครอยากไปติว หรือโหลดข้อสอบทำเองอยู่กับบ้าน
    หรืออาจจะเลือกติวเฉพาะบางจุด
    เช่น พาร์ทอื่นพอฝึกเองได้ อยากพัฒนาแค่ writing ก็ลงคอร์ส advance writing ของ BB&C 
    หรือคอร์สของ princeton ที่แบ่งเป็น 1. Reading & Listening กับ 2. Speaking & writing 
    ถ้าเรางบไม่พอ ก็อาจจะเลือกแค่อันสองก็ได้


    ***********************************************

    2. การฝึกฝน

    ควรจะมีตารางเวลาฝึกทำข้อสอบที่เหมาะกับตัวเอง
    เลือกเวลาที่ตัวเองหัวสมองแล่นที่สุด มีสมาธิมากที่สุด
    อย่างเราจะใช้วิธีเหมือนตอนอ่านหนังสือเอนท์ก็คือ
    อ่านสองชั่วโมง พัก 15 นาที
    ตอนสอบ TOEFL ก้ออ่านวันละสี่ชั่วโมง
    กินข้าว อาบน้ำเสร็จ ก็จะเริ่ม 7pm-9.15pm, 9.15pm-11.15pm
    เป็นคนมีสมาธิตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน
    แต่เห็นบางคนรีบนอนตั้งแต่สองทุ่ม ตื่นมาอ่านตีสองตีสาม ก็แล้วแต่ถนัดนะจ้ะ

    ตอนนั้นคิดว่ายังไงอยากไปแลกเปลี่ยนให้ได้ (ตอนปีสาม)
    เลยทำข้อสอบ TOEFL เยอะมากกกก
    แทบจะทุกเล่มที่มีวางขายในท้องตลาด
    (เว่อออ555+) พอสอบเสร็จก็ยกให้เพื่อนไป

    ที่อยากแนะนำก็มีไม่กี่เล่ม


    1. Barron's TOEFL IBT




    ที่แนะนำเล่มนี้เพราะว่า มันยากมากกกก ยากกว่าข้อสอบตัวจริง
    เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกอันนี้ไป เวลาทำจริง ก็จะได้คะแนนเยอะเข้าไปอีก
    (แม้ว่าตอนฝึกจะเหงื่อตก ท้อแท้ ทำไมคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ซักที)

    อันนึ้ทำทั้งเล่มเลย เพราะมี mock test ให้ด้วย 
    เวลาทำ ทำใส่ในสมุด แล้วจดคะแนนไว้ พอเราฝึกไปครบทุกเล่มกลับมาทำอีกที
    จะได้ดูว่าพัฒนาขึ้นมั้ย
    (จริงๆคืองก55)
    ใครว่า "อ้าว อย่างงี้ก็ยังจำเนื้อหาได้ดิ"--> แต่เราไม่เป็นนะ
    กลับมาลืมหมดแล้วอะ reading ไรพวกนั้น -___-
    ใครความจำไม่ยาว (แต่รักชั้นสั้น เอ้ย) ก็ลองวิธีนี้ดูนะ
    ตามรูปเป็น edition ใหม่ ที่เคยใช้จะเก่ากว่านี้
    แต่คิดว่าข้างในคงไม่ต่างกันมากล่า~~


    2. The Official Guide to the New TOEFL IBT




    อันนี้แนะนำมากๆ เพราะเป็นของ ETS ที่เป็นสถาบันจัดสอบ TOEFL ออกโดยตรง
    เลยเหมือนข้อสอบฉบับจริงมากที่สุด
    ใครไม่มีเวลา ทำเล่มนี้ก็พอ
    แต่ถ้าใครมีเวลาเยอะ ขอเก็บเล่มนี้ไว้ทำหลังๆ ใกล้ๆวันสอบจริง
    เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่หนาเท่าไหร่ (เทียบกับเล่มอื่นๆ)
    ราคาก็ไม่แพงด้วย 
    จบ รีวิวสั้นๆ เพราะมันดีจริง


    3. Cambridge Preparation for the TOEFL test




    เล่มนี้ง่ายพอๆกับเล่มของ ETS 
    ถ้าทำสองเล่มนั้นแล้ว รู้สึกไม่จุใจ ยังอยากฝึกอยู่ก็ทำเล่มนี้ได้
    อธิบายได้เข้าใจง่ายดี แนวคำถามคล้ายๆข้อสอบจริง

    ส่วนเล่มอื่นที่มีทำอีกก็ของ Longman แต่เราว่ามันง่ายกว่าข้อสอบจริงอะ เลยไม่ค่อยแนะนำ
    นอกจากนี้ที่เห็นมีขายอีกก็ของ Princeton แต่ไม่ได้ซื้อมา เพราะคิดว่าน่าจะเหมือนที่ไปติว


    *Caution

    นิดนึงเวลาเลือกหนังสือลองเปิดๆดูก่อนนะ 
    บางเล่ม บอกเคล็ดลับ วิธีมาซะยาวเหยียด เหลือข้อสอบอยู่นิดนึง
    ไม่บางเล่มก็แบ่งแบบฝึกหัดเป็นตอนๆ writing, reading ไม่มีแบบรวมกัน
    อยากแนะนำให้เลือกเล่มที่มี mock test เยอะๆมากกว่า
    เพราะเวลาทำจริง จะได้ฝึกจับเวลาจริงอะไรจริง
    (บางเล่มราคาถูก อาจจะขาย CD แยก ดูดีๆนะจ้ะ เดี๋ยวกลับไปบ้านอดทำ listening ล่ะเอ้อ)

    หนังสือเตรียมสอบของเมืองนอก หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬา ไม่ก็ kinokuniya
    (แต่อันหลังนี้บางเล่มขายแพงกว่าจุฬาหลายร้อย ดูดีๆนะ)
    หรือลองเสริชในเว็บพันทิพย์
    จะมีพี่ๆใจดี เอาลิงค์ดาวน์โหลดหนังสือฟรีมาแชร์ให้บ่อยๆ
    ใครงบน้อยหรืออยากประหยัดทรัพยากรโลก โหลด
    ใครไม่ชอบทำในคอม ขี้เกียจปรินท์ ก็ซื้อเล่มจริงละกันนะจ้ะ


    ***********************************************

    ว่าจะอธิบายให้ครบถึงข้อ 4 กล้วว่าจะยาวเกิ๊น
    เอางี้ ระหว่างรออัพตอนต่อไป ไปหาหนังสือมา "ฝึกฝน" กันก่อนละกันนะจ้ะ
    ปิดท้ายด้วยบรรยากาศห้องอ่านหนังสือของเด็กอีฮวา




    สรุปนี่ชั้นขยันอ่านหนังสือ เพื่อมา "อ่านหนังสือ" หรอนี่ T^T~~~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×