คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 7: ชีวิตหลังแลกเปลี่ยน ต้องปรับตัวยังไงนะ?
แท่นแท๊น~ ตอนนี้จะมาอัพเรื่องชีวิตหลังจากกลับจากแลกเปลี่ยนกันนะจ้ะ
(คนอ่าน: อ่าว เฮ้ย แล้วชีวิตแลกเปลี่ยนมันหายไปไหน่ละ!?!)
ไม่ได้ลืมม แต่เห็นว่ามีนักเขียนน่ารักๆคนอื่นเล่ามาเยอะแล้วไง เราเลยคิดว่ามาเล่าเรื่องชีวิตหลังไปแลกเปลี่ยนกันมั่งดีกว่า ว่ามันต่างไปเยอะแค่ไหน อะไรที่ต่าง แล้วเรารับมือกับมันยังไง
ส่วนตัวเราคิดว่า การไปอยู่ต่างประเทศ ต้องเตรียมตัวตลอด ไม่ว่าจะเป็นก่อนไป (อันนี้เตรียมเยอะ) ระหว่างที่อยู่นู่น(เรื่องเรียน เพื่อน ภาษา กิจกรรม ฯลฯ)
พอกลับมา ก็ต้องเตรียมปรับตัวเข้าสู่ชีวิต วัฒนธรรมไทยแบบเดิมๆ ชีวิตการเรียนแบบเดิมๆ
หลายๆคนที่ไม่ได้เตรียมใจไว้ ปรับตัวกันไม่ได้ก็มี
ก็เลยเป็นที่มาของบทนี้ไงล่ะจ้า
(เห็นมั้ยว่ามีตรรกะ เค้าไม่ได้แถนะเอ้อ~)
ปรับ 1: ปรับอากาศ
หลังจากไปเป็นหมีขั้วโลกกันมานาน
บ้างไปอเมริกา บางคนไปแคนาดาอยู่อากาศหนาวมาตลอดปี
ลงจากเครื่องที่สุวรรณภูมิปุ๊บกลายเป็นหมูตกมัน
เหงื่อแตกพลั่ก ญาติที่มารอรับตกใจ
เปิดแอร์ยี่สิบห้า ทำไมอินี่รู้สึกยังกะห้าสิบ
ไม่สบาย นอนอยู่ห้องนิ่งๆสามวัน
อยู่บ้านนอก เจอแต่อากาศบริสุทธิ์
กลับมาเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย ทำไมควันมันเยอะขนาดนี้
นึกถึงอากาศที่แคนาดาจับจิต Y.Y
อันนี้ แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องให้ร่างกายชินไปเอง
ทนร้อนหน่อย คว้าเอาชุดระบาย สายเดี่ยวที่ซื้อมาจากเมืองนอก
ที่เค้าใส่กันหน้าร้อน น้องก็หาว่าบ้า ทำยังกะฝรั่งมาเที่ยววัดพระแก้วไปได้
แหม่~ ทำไมกฎเกณฑ์แต่งตัวมันเยอะจัง จะแต่งตามใจเหมือนอยู่เมืองนอกก็บ่ได้นิ
ปรับ 2: ปรับน้ำหนักให้เข้าที่
เคยฟาดเนื้อสเต็กกลางวัน ขนมปังพีนัทบัตเตอร์ยามดึก มันฝรั่งอบชีสมาตลอดหนึ่งปีเต็ม
เหนียงจากหนึง กลายเป็นสอง
กางเกงยีนส์ไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยนหมด
(แม้จะพยายามหลอกตัวเองว่าเครื่องอบผ้าทำมันหด)
กลับมาน้องสาวจำแทบไม่ได้ แต่ที่ได้ดีกลับมาคือ
ความขาว (เหมือนหมูอมชมพู)
เด็กนอกกลุ้ม คนที่ดีใจคือ อากงอาม่า
(อาม่า: "อีขาวๆ อวบๆ เป็นแม่พันธุ์ที่ดี")
บ้ะ~ คนนะ บ่ใช่หมู - -
เวลาออกไปกินข้าว ทำไมก๋วยเตี๋ยวสามสิบบาท ชามเดียวมันไม่อิ่ม
เคยกินอาหารจานใหญ่ อยู่ดีๆจานมาเล็กลง กินไม่พอ ต้องขอเบิ้ล
ตอนนั้นกลับจากแคนาดา อ้วนขึ้นมาห้าโล
ลดอยู่ซักเดือนสองเดือน ก็เข้าที่เข้าทาง
กลับมากินก๋วยเตี๋ยวท่าพระจันทร์ชามเดียวอิ่มเหมือนเดิม
เพื่อนบางคนขึ้นมาแปดโล สิบโล อันนี้ลำบากหน่อย
ลดอยู่เป็นเทอมทีเดียว
ส่วนเรื่องอื่นๆ
บางคนไปแอลเอ แดดแรง แทนที่ไปเมืองนอกจะขาว
ดำกลับมา ทำเอาคนไทยงง
ส่วนเรา ตอนอยู่แคนาดา
เพื่อนเกาชวนออกไปกินร้านอาหารเกาหลีอยู่หลายครั้ง
ระหว่างกลับมาไทย ก็แวะเกาหลี เอากิมจิกลับมา
กินที่บ้านกับข้าวต้มเมื้อเช้าอย่างอร่อย พ่องง
"นี่เราส่งลูกไปเรียนแคนาดา หรือเกาหลีวะเนี่ย!?
เพราะไปเข้าชมรมเกาหลี เลยได้ภาษาเกาหลีกลับมาอีกด้วย แฮ่~
(เป็นที่มาของการไปเรียนต่อเกาหลีในบทถัดๆไป)
ปรับ 3: ระเบี๊ยบระเบียบ
ก่อนไป เป็นคนไร้ระเบียบ
แต่งหน้าแล้ว ก็วางอายไลน์เนอร์ แป้ง พัฟกระจุยกระจาย
โต๊ะเครื่องแป้งไม่เคยจัด
ผ้าก็พับชุ่ย สะกิดนิดเดียว กองผ้าถล่ม
พอไปถึงนู่น อยู่คนเดียว เสมือนห้องเป็นบ้านที่ชั้นซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
จัดตลอดเวลา ผ้าพับเรียบร้อย กินปุ๊บล้างจานปั๊บ เพราะต้องนอนห้องเดียวกับกินข้าว
บวกกับทัพเพอร์แวร์ซื้อมาแค่อันสองอัน ถ้าไม่ล้าง เวลากินจะไม่มีใช้
กลับมาเลย หงุดหงิดใจ ถ้าต้องทิ้งจานไว้ ไม่ได้ล้าง
อดไม่ได้ กินปุ๊บ ล้างทันที ทั้งแก้วพ่อ จานกับข้าว เหยือกน้ำส้ม ฯลฯ
พ่อดีใจ ไม่เสียแรงที่ส่งไปเมืองนอก กลายเป็นเด็กมีระเบียบขึ้นมา
หารู้ไม่ว่า อยู่ได้ไม่ถึงเดือน
กลับมาเป็นเหมือนเดิม แฮ่~
แหม อยู่บ้านกันสี่ห้าคน ล้างคนเดียวก็ไม่ไหวนะเฟ้ยย
ซักพัก แรงขยัน ไม่สู้ แรงขี้เกียดที่คนอื่นทิ้งไว้
ป๊าดด ล้างแล้ว เดี๋ยวจานใครกินไว้ก็มาอีกละ
ไม่ล้งไม่ล้างมันแล้ว ดูทีวีดีก่า -o-
แล้วความซกมกก็กลับมา ฟิ้วววว~~~
ปรับ 4: ปรับการใช้ตังค์
กางเกงยีนส์ ห้าร้อย ถูกโคด กาแฟ แก้วละเจ็ดสิบห้าเอง
อยู่แคนาดา กางเกงตัวละสองพัน ยังไม่สวยเท่านี้
กาแฟใต้ห้องสมุดมหาลัยธรรมดาๆ แก้วละร้อยหกสิบ
กลับมาไทยใหม่ๆ เลยปลื้มใจ อารมณ์เหมือนแม่บ้านเจอของเซลล์
(ทั้งที่ๆจริงๆ มันก็ขายราคานี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว = = แพงด้วยซ้ำ)
แต่หน้ามืดตามัว ต้องให้น้องสาวเตือนเป็นระยะๆ
แต่ก็เป็นอยู่ไม่นาน หลังจากฟินกะการช๊อปปิ้ง กินของที่อยากกินมานานแล้ว
อาการนี้ก็จะค่อยๆหายไปเอง
ปรับ 5: โรคติดทิป
อยู่เมืองนอก เวลาไปร้านอาหาร
ขึ้นแท็กซี่ หรือรับบริการต่างๆ เราจะต้องทิป 10% ของบริการหรือค่าอาหารที่เราจ่าย
เช่น กินสเต็กไป 30 ดอล ก็ต้องทิปอีก 3 คิดเป็นเงินไทย บางทีก็ร่วมร้อยบาท
บางที่รวมไว้แล้วเสร็จสรรพในบิล แต่บางที่ไม่ได้รวม เราต้องคำนวณในใจแล้วจ่ายเอง
เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้
พอกลับมาเมืองไทย จากที่เคยจ่าย กลับไม่ต้องจ่าย
รู้สึกผิด ทำไมเราจ่ายให้ฝรั่งหัวทอง แต่กับคนชาติเราเอง
ขับสามล้อ พนักงานเสริฟอาหาร ที่ได้ค่าแรงชั่วโมงละไม่ถึงสี่สิบบาท
เรากลับไม่ได้ให้
กลับมาเลยชอบให้ทิป ถ้าได้รับเซอร์วิสที่ดีจริงๆ
เจอขอทานก็ให้ รู้สึกว่าเราควรจะช่วยกันดันคนที่เค้าไม่ได้รับโอกาส
ให้มีแรงลุกขึ้นมา มาช่วยกันพัฒนาประเทศ ให้ตามชาติที่เจริญแล้วอย่างที่เราไปแลกเปลี่ยนมาเหมือนกัน
จนถึงทุกวันนี้แล้ว ก็ยังเป็นอยู่
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ติดโรครักความยุติธรรมมา
ถ้าคนไหนหน้าเหม็นใส่ หรือเซอร์วิสกับลูกค้าไม่ดี ก็จะพูดออกมาเลยเหมือนกัน
หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินกรณีกาแฟแมคโดนัลด์ที่ต่างประเทศ
ที่มีลูกค้าสั่งกาแฟแล้วถูกลวก ฟ้องแมคโดนัลด์ที่ทำกาแฟร้อนเกินไป
สรุปลูกค้าก็เป็นฝ่ายชนะ ได้ค่าเสียหายไปเยอะอยู่
ส่วนแมคโดนัลด์เป็นฝ่ายผิด โทษฐานที่ประมาท
แรกๆพอกลับมาไทย ถ้าสั่งอาหารแล้วมีข้อผิดพลาดก็จะอยากเรียกพนักงาน
แต่พ่อกะน้องก็จะ หยวนๆไปเหอะน่า กินๆไปเหอะ
แรกๆก็ฮึดฮัด หลังๆก็พยายามเข้าใจ ว่าเราอยู่สังคมไทยนี่นะ
ไม่ใช่ว่าเจอเส้นผมในร้านข้าวต้มอากิมลุ้ย แล้วก็จะไปฟ้องร้องได้แบบเมืองนอกนี่เนอะ - -^"
***************************************
ว่าเตรียมตัวก่อนไปลำบากแล้ว ปรับตัวหลังกลับมาก็ยากไม่แพ้กันเลยน้อ
น้องๆว่าข้อไหนยากสุดกันบ้างนะ?~
มาแชร์กันได้นะจ้ะ^^
ความคิดเห็น