คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : PART: SPOT [BOBBY X B.I]
ชี้แจงแถลงไข
#ฟิคshoesbox เป็นฟิคสั้นนะคะ (จริงๆ) เนื้อเรื่องจะอัพต่อกันเรื่อยๆ สำหรับใครที่เข้ามาอ่านต่อจะอัพต่ออยู่ด้านล่างๆเลย ต้องเลื่อนกันยาวมาก (อันนี้กราบขออภัยอย่างแรง) เพราะอยากให้มันจบเป็นพาร์ทๆ เป็นคู่ๆ เป็นเรื่องๆในตอนเดียว เพราะฉะนั้นต้องขอภัยจริงๆ และเค้าอัพบ่อยมาก (ทุกวันก็ว่าได้) เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งรำคาญการอัพของเรานะคะ แล้วก็ถ้าเจอคำผิดฝากทักด้วยนคะติดแท็ก #ฟิคshoesbox หรือทวีต @DAVINSBLOB ก็ได้ค่ะเพราะบางคำเรามองไม่เห็นอาจจะไม่ได้แก้ สุดท้ายแล้ว! ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม (ซาบซึ้งน้ำตาจิไหล) ฝากติดตามเรื่องนี้จนจบและเรื่องต่อๆไป (ในอนาคต) ด้วยนะคะ
อัพต่ออยู่ข้างล่าง!
SHOES BOX
PART: SPOT [BOBBY x B.I]
“ตามมันให้ทันสิโว้ย!!”
“ซ้าย!”
“เร็วเซ้!”
แฮ่ก แฮ่ก !
เสียงกระเส่าเพราะความเหนื่อยแข่งกับเสียงฝีเท้านับสิบที่ไล่ตามหลังอย่างกับฝูงหมาป่า คนถูกล่าแทรกตัวหลบในซอกตึกเล็กๆ อำพรางตัวในความมืด
“มันหายไปแล้ว”
“หามันให้เจอ! ไป”
เสียงตะโกนสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนฝีเท้าจะค่อยๆเบาลงและเงียบไปในที่สุด
คนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในความมืดฟุบตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงหลังจากดูจนแน่ใจว่าพวกที่เหลือไปกันหมดแล้ว
ฟู่ว!
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาอย่างโล่งอก สูดอากาศกลับเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างกายที่ไม่ได้นอนมาเกือบสามวันมันล้าจนเดินแทบไม่ไหว ขาทั้งสองข้างสั่นจนก้าวไม่ออก
เขาล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าตัวถูกล่า แต่กลับสำคัญมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก นึกแล้วก็น่าตลกที่ลูกกุญแจขนาดเท่าก้านไม้ขีดทำให้เขาต้องมาลุยเดี่ยวอยู่กลางประเทศที่ไม่คุ้นเคยอย่างรัสเซีย
ครืด !
เสียงข้อความจากมือถือในกระเป๋าผละความคิดน่าขันออกจากหัว เขาล้วงมันออกมาก่อนจะเปิดอ่านข้อความที่ทำให้มีแรงที่จะวิ่งต่ออีกสิกสิบกิโลเมตร
‘กลับมาได้แล้ว คิม ฮันบิน’
“นายว่าหมอนั่นจะทำงานสำเร็จหรือเปล่า ?”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นลุยเดี่ยว”
“ปานนี้โดนสอยไปแล้วมั้ง”
“เออว่ะ...ไปนานขนาดนี้ ควรขุดหลุมรอไหมวะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ปัง!
ลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนพกสั้นถูกยิงแสกกลางวงสนทนาที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกปาก มันเฉี่ยวปลายผมของคนที่เริ่มตั้งหัวข้อบทสนทนาคนแรกไปนิดเดียว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้า อ้าปากค้างราวกับถูกกดปุ่ม Pause เอาไว้
“ถ้ามีเวลว่างนินทาคนอื่น กลับไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ลูกชายที่บ้านดีกว่านะ”
เสียงแหบทุ้มกับแววตาที่ฆ่าคนได้แค่เสี้ยววินาที ทำเอาคนอายุมากกว่าสามคนที่จับกลุ่มนินทาต้องหุบปากแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ผู้ชายตัวสูงที่สวมแค่เสื้อคลุมสีดำไว้บนไหล่ ผ้าพันแผลสีขาวถูกพันรอบเอวจนเกือบจะถึงอก
“เฮ้! พวกเราแค่ล้อเล่นน่า”
“แต่มันก็น่าคิดไม่ใช่หรือไง ปานนี้แล้วหมอนั่นยังไม่กลับมาอีก”
“บางทีเขาอาจพลา...”
โครม!
“อั๊ก!”
“ใจเย็นน่า”
ผู้ชายผมทองรีบเข้ามาห้ามทันที่เพื่อนอีกคนของเขาถูกเอาปืนกรอกปาก คนเด็กกว่าบีบคางคนแก่กว่าและตัวเล็กกว่านิดหน่อยเอาไว้ อัดปากกระบอกปืนเข้าไปลึกจนแทบจะถึงลำคอ
“หุบปากเน่าๆของแกซะ”
“อั๊ก!”
คนแก่กว่ายกมืออย่างยอมแพ้ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถึงคนตรงหน้าจะเด็กกว่าแต่แววนั่นแน่วแน่เสียจนน่ากลัว มันสื่ออกมาว่าเขาทำจริงแน่ถ้าหากยังปากดีต่อไปเรื่อยๆ
“เลิกตีกันได้แล้ว”
เสียงห้ามของบุคคลที่เพิ่งจะเข้ามาช่วยชีวิตคนปากเก่งเอาไว้ ปากกระบอกปืนถูกดึงออกอย่างไม่สนใจว่าอีกคนจะเจ็บ เขาโยนมันทิ้งไปข้างๆก่อนจะตรงเข้าไปหาคนที่มาใหม่แทน ผู้ชายผิวเข้มตัวสูงพอๆกับเขากำลังยืนกอดอกอยู่ที่ประตู
“ปืนนั่นกระสุนมีแค่นัดเดียวจริงไหม แล้วนายก็ยิงไปแล้ว”
“หึ”
เสียงหัวเราะหึในลำคอเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ใช่ปืนนั่นมีกระสุนแค่นัดเดียว
“ฉันมีเรื่องให้นายได้หัวเราะมากกว่านี้อีก”
“อะไร ?”
“ไปดูเองเถอะ”
ใบหน้าทีกำลังยิ้มเหมือนจะบอกว่าเป็นข่าวดี และมันทำให้อีกคนตื่นเต้นจนต้องรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าตัวเองกำลังเจ็บแผลที่สีข้างอยู่
“ขอบใจนะ ซง มินโฮ”
กว่าจะตั้งสติได้มินโฮก็เกือบเดินออกไปแล้ว แต่คนที่ยังเจ็บอยู่ที่ปากก็พยายามที่จะบอกขอบคุณ
“บ็อบบี้ไม่ใช่คนที่จะไว้ชีวิตใครง่ายๆหรอกนะ”
‘อย่าพูดถึงของของเขาแบบนั้นอีก’
“ดีใจที่กลับมาได้นะ”
“เกือบไม่รอดเหมือนกันครับ”
“แต่น่าจะมีคนที่ดีใจกว่า”
ยุนฮยองพยักเพยิดหน้าไปทางที่กำลังมีคนวิ่งเข้ามา ผู้ชายที่มีแค่เสื้อคลุมไหล่กับผ้าพันแผล
“หวังว่าคงได้พักผ่อนนะฮันบิน”
คำพูดทิ้งท้ายของยุนฮยองทำเอาฮันบินหน้าขึ้นสีจนต้องรีบหลบสายตา
บ็อบบี้หยุดวิ่งตรงหน้าแล้วเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่โล่งอก ตลอดเวลาที่ฮันบินออกไปคนเดียวมันทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าฮันบินจะแกร่งพอที่จะทำงานให้สำเร็จหรือเปล่า และนั่นมันทำให้หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ
มือเรียวของคนเด็กกว่าเต็มไปด้วยบาดแผล ร่างกายช้ำเป็นจ้ำๆ แถมยังผอมซูบและโทรมจนน่าใจหาย เขาสัมผัสเบาๆที่ผ้าพันแผลสีขาวอย่างกังวล
“หายเจ็บหรือยังครับ ?”
คำถามกับแววตาใสซื่อของอีกคนทำเอาหัวใจที่เต้นโครมครามนั่นวูบลงอย่างบอกไม่ถูก
นึกไม่ออกจริงๆในวันที่ขาดเด็กคนนี้ไป มันจะแย่สักแค่ไหน
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา คนโตกว่าคว้าแขนของอีกคนเข้ามา กอดรัดร่างบางเอาไว้แน่นจนแทบจะจมไปกับกล้ามของตัวเอง ฮันบินเบิกตากว้างเพราะความตกใจ บ็อบบี้ไม่สนด้วยซ้ำว่าคนอื่นๆกำลังมองเขาอยู่
“ขอโทษนะ”
เสียงแหบทุ้มนั้นกระซิบเบาๆข้างหู มันฟังดูเศร้าและกำลังโทษตัวเอง ฮันบินยืนเงียบได้แต่กอดตอบกลับไปเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเจ้าตัวเป็นคนตัดสินใจลุยเดียวเอง
ถ้าหากจะรอแต่บ็อบบี้ ฮันบินอาจจะทำอะไรไม่เป็นเลยก็ได้
3 ปีก่อน
LONDON
ปัง ปัง ปัง!
เสียงปืนดังสนั่นใจกลางเมือง เสียงหวีดร้องเพราะความตกใจของผู้คนทำเอาคนในระแวกนั้นแตกตื่นวุ่นวายไปหมด ธนาคารหลักของเมืองถูกปิดล้อมด้วยตรวจหลายสิบนายเฝ้าระวังพร้อมอาวุธครบมือ
“ใจเย็นๆ ผมไม่มีอาวุธเราเจรจากันได้”
คำพูดหว่านล้อมตามแบบที่ได้รับการฝึก จินฮวานหัวหน้าชุดตำรวจยืนอยู่ทางเข้า พร้อมยกมือทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่าปราศจากอาวุธเพื่อเข้าเจรจากับกลุ่มปล้นธนาคาร หลังจากถูกตำรวจนอกเครื่องแบบสาดกระสุนเข้าไปไม่ยั้ง ก่อนจะหยุดลงหลังจากได้รับคำสั่ง
“เอาไงล่ะทีนี้”
จุนฮเวหนึ่งในกลุ่มที่หลบอยู่หลังเคาเตอร์ หันไปถามบ็อบบี้ที่ดูท่าทีอยู่ใกล้ๆ
“อยากให้เงินทั้งหมดนี่เป็นของตำรวจหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่อยู่แล้ว”
“ฉันจะรอที่โดมินิกัน”
พูดแค่นั้นก็ทำให้คนเด็กกว่าเข้าใจว่าต้องทำยังไง บ็อบบี้คว้ามืออีกคนที่อยู่ข้างๆค่อยๆเดินหลบไปตามเคาเตอร์ ปล่อยให้จุนฮเวหาทางรอดด้วยตัวเอง เขามั่นใจว่าเด็กนั่นไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับแน่
“ตำรวจเต็มไปหมด เราจะทำยังไง”
ฮันบินถามออกมาอย่างกังวลขณะที่ถูกบ็อบบี้ลากออกมาอีกฝั่งจากเคาเตอร์ มองไปรอบๆที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างที่พอจะละสายตาจากตำรวจได้ หรือพูดง่ายๆแทบจะไม่มีทางรอดเลย
“นายกลัวหรือไง ?”
“ผมเปล่าสักหน่อย! แต่แค่กำลังหาทางออกต่างหาก”
ทันทีที่ถูกถามเหมือนจะดูถูก เจ้าตัวก็รีบปฏิเสธทันควันจนอีกคนยิ้มออกมาเหมือนเป็นเรื่องตลก ทั้งๆที่ตอนนี้บรรยากาศมันน่าซีเรียสมากกว่า
“ก็ดีแล้วฉันไม่ชอบคนขี้ขลาด”
“?”
“ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ”
แล้วมันหมายถึงอะไรล่ะนั่น
ปัง!
เสียงปืนดังมาจากฝั่งของจุนฮเว นั่นเป็นสัญญาณว่าได้เวลาชิ่งแล้ว ฮันบินหันกลับไปมองคนเด็กกว่าที่กำลังสาดกระสุนสะเปะสะปะ
จินฮวานรีบหลบหลังเสาร์ต้นใหญ่ข้างหน้า ล้วงเอาปืนที่ซ่อนไว้ในกางเกงออกมาถือไว้แน่น ส่งสัญญาณให้ลูกทีมพร้อมลุยก่อนจะเป็นคนนำเข้าไป
กระสุนหลายสิบนัดสาดเข้ามาจนกระแจกแตกเป็นเสี่ยงๆ จุนฮเวมองซ้ายขวาเพื่อหาตัวช่วย
ปัง ปัง ปัง!
ฮันบินสะดุ้งหันขวับไปมองต้นเสียง เขาเห็นบ็อบบี้กำลังเหนี่ยวไกไม่ยั้งใส่ตำรวจที่พยายามจะเข้ามาข้างใน กลิ่นคาวเลือดทำเอาขนลุกจนต้องลดตัวลงต่ำเพื่อหลบกระสุน
“ไง...ไหนบอกไม่กลัว”
น้ำเสียงที่เหมือนจะเยาะเย้ยมากกว่า มันน่าหงุดหงิดแต่ต้องเก็บเอาไว้แล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง ฮันบินสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วโผล่ขึ้นมาจากเคาเตอร์ยืนอยู่ข้างๆบ็อบบี้ เหนี่ยวไกปืนในมือ เทคนิคของเขาคือเล็งเป้าหมายแล้ว...
ปัง!
นัดเดียวต้องเก็บให้ได้หนึ่ง
“เจ๋งนี่ แต่ไม่ใช่เวลาโชว์เท่ห์....พาพวกที่เหลือขนเงินออกไป ฉันจะดึงความสนใจของตำรวจเอง”
“แต่ว่า...”
“ไปเซ่!”
ฮันบินหน้าถอดสีที่ต้องทิ้งบ็อบบี้กับจุนฮเวไว้ แต่อีกคนกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัว ตรงกันข้ามยังน่ากลัวจนไม่อยากเข้าใกล้
ตูม!
เสียงระเบิดจากข้างนอกมันเสียงดังและแรงจนต้องหาที่หลบ บ็อบบี้กดหัวฮันบินลงข้างล่างแล้วใช้ตัวเองเป็นเกราะ ได้ยินเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดของตำรวจด้านนอกที่โดนแรงกระแทก
กลุ่มเฝ้าระวังข้างนอกโยนระเบิดใส่รถตำรวจหลายคันที่จอดอยู่ ร่างตำรวจหลายนายกระเด็นเหมือนกับตุ๊กตาที่เคยเล่นสมัยเด็กแต่มันสยองกว่านั้น
“ไปได้แล้ว”
บ็อบบี้บอกพรางผลักหลังฮันบินให้วิ่ง เจ้าตัวสาวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องวิ่งไปสมทบกับคนอื่นๆที่กำลังขนเงินอยู่ในห้องนิรภัยของธนาคาร
แต่ทว่าคนที่รอจังหวะอยู่ข้างนอกกำลังหันปลายกระบอกปืนตามหลังฮันบิน จินฮวานที่กำลังเล็งเป้าหมายเขาพร้อมเหนี่ยวไกทันทีที่เป้าหยุดนิ่ง
“พี่!”
จุนฮเวตะโกนบอกบ็อบบี้ที่กำลังมัวมันกับการสาดกระสุนใส่ตำรวจที่เหลือ เขาละสายตาจากตรงหน้า มองผู้ชายที่กำลังจะเหนี่ยวไก...
ปัง!
[ CUT ต่อใน TWITTER ]
คืนที่เงียบสงบปราศจากสงคราม แน่นอนว่าในค่ำคืนที่เป็นดั่งฝันแบบนี้ใครๆก็อยากจะออกมารับลมก่อนข้านอน มินโฮเองก็เช่นกัน
บนดาดฟ้าของตึกบัญชาการทหาร มันทำให้มองเห็นบราซิลในมุมกว้าง มันทั้งสวย น่าหลงใหล เหมือนสาวงามที่ยืนเรียงรายรอให้เชยชม
“มารับลมเหมือนกันเหรอ ? บ็อบบี้”
ไม่ทันจะได้เห็นหน้า เพียงแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าเจ้าของคือใคร
“พี่ยังแม่นเหมือนเดิมไม่เลยนะ”
“ก็พอๆกับนายนั่นแหละ ฮันบินเป็นไงบ้าง”
มินโฮถามถึงบุคคลที่สามที่เขาเองก็เอ็นดูอยู่ไม่น้อย บ็อบบี้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนจะไม่อยากตอบก่อนจะเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆพร้อมกระป๋องเบียร์ในมือ
“หลับไปแล้ว”
“แปลกน่ะ ที่หมอนั่นอุตสาลุยเดียวทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะพลาดมากกว่าสำเร็จ”
“น่าทึ่งใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ประมาณนั้น”
มินโฮมองออกไปยังท้องฟ้ามืดแต่กลับสวยงาม แผ่นฟ้าผืนใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่น่าแปลกที่คนนับร้อยเดินทางมาเจอกันได้ จะน่าทึ่งหรือน่าขันดีเพราะในบรรดาร้อยคนนั้นก็มีพวกที่ชอบขวางโลกปะปนอยู่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
“นึกถึงวันเก่าๆอยู่รึยังไง ?”
บ็อบบี้หันไปถามพี่ชายคนสนิท ที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนคนแก่กำลังรำลึกความหลัง
“หึ...ฉันกำลังคิดว่า ทำไมตอนนั้นถึงได้ดึงโจรอย่างนายเข้ามาร่วมทีมกับทหาร”
“อะไรกัน พี่จะยกเลิกข้อตกลงหรือไง”
“ไม่หรอกน่า ก็แค่นึกสงสัย”
“ผมฝีมือดีล่ะมั้ง”
“ไอ้เด็กนี่”
มินโฮหัวเราะร่วนออกมากับคำพูดหลงตัวเองของคนเป็นน้อง แต่มันก็จริงนั่นแหละเพราะบ็อบบี้ฝีมือดีจนกองทัพทหารยอมรับถึงได้ดึงตัวเข้ามาในทีมเพื่อทำการใหญ่ แต่มันก็แลกกับข้อเสนอที่เขาต้องได้ถ้าหากยอมตกลง
‘ประวัติและคดีทั้งหมด ถ้าลบมันได้ผมจะยอมเข้าร่วม’
ข้อเสนอที่เป็นเหมือนคำขาด มันเลือกที่จะปฏิเสธไม่ได้สำหรับโจรระดับโลกอย่างเขา ปล้นธนาคาร ขโมยรถ ทำลายตึก แต่กลับบริจาคเงินหลายสิบล้านให้กับคนยากไร้ โรบินฮูดในยุค 2015 เลยก็ว่าได้
“แล้วทำไมถึงตัดสินใจยอมร่วมมือกันล่ะ”
น้ำเสียงของคนโตกว่าฟังดูเครียดจนอีกคนต้องกระดกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วหันไปมองคนข้างๆ
“อิสระ และการแก้แค้น”
“นายกับพวกของซึงฮยอนมีเรื่องอะไรกันงั้นเหรอ ?”
นี่อาจจะเป็นความรู้ใหม่ของมินโฮเลยก็ว่าได้ ตลอดเวลาเกือบสามเดือนที่ร่วมงานกันมาเขาแทบจะไม่เคยถามถึงเหตุผลว่าทำไมบ็อบบี้ถึงยอมเข้าทีมด้วย
“มันทำลายครอบครัวของผม”
“ครอบครัว ?”
“หกปีก่อน พ่อกับแม่ส่งผมไปญี่ปุ่น พวกเขาให้เหตุผลว่าผมควรจะออกสู่โลกกว่างทั้งๆที่อายุแค่ 14 แต่มารู้ทีหลังว่าพวกเขาถูกซึงฮยอนตามล่า ผมไม่ได้ข่าวพวกเขาเลยตลอดหกเดือนที่อยู่ที่นั้น รู้อีกทีก็ตอนที่กลับมาลอนดอน พวกเขาถูกฆ่าตาย”
“พ่อกับแม่นายเคยทำงานให้พวกมันเหรอ ?”
มินโฮจ้องหน้าของเด็กหนุ่มที่แววตามเต็มไปด้วยความแค้นแต่แฝงไปด้วยความเศร้า มันหลายอารมณ์จนน่าแปลกใจที่เขาซ่อนมันเอาไว้นานขนาดนี้ บ็อบบี้กระดกเบียร์เข้าปากอีกครั้งเพื่อระงับไฟที่กำลังก่อตัวในใจ
“พวกเขาเป็นแฮกเกอร์ แต่พอแม่มีผมก็อยากจะวางมือ พ่อเลยขอร้องให้พวกมันมอบอิสระภาพให้ แต่มันก็แค่ความสุขเพียงชั่วคราว”
“นายเลยอยากแก้แค้น โดยการร่วมมือกับพวกเรา”
“มันเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไง ผมได้แก้แค้นโดยที่ไม่มีความผิด”
“ถ้านายกลัวความผิด แล้วทำไมถึงทำผิดตั้งแต่แรกล่ะ”
คำถามนั้นเหมือนจะทำให้ความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัวชะงัก บ็อบบี้หันหลังให้กับเมืองบราซิลแล้วมองเข้าไปในตึกแทน
“เพราะผมไม่เหลืออะไร ผมอยากทำอะไรที่มันบ้าระห่ำให้เต็มที่”
“โดยการปล้นไปทั่วโลก”
“ก็ทำนองนั้น”
คำตอบของเด็กหนุ่มที่ทำให้มินโฮอึ้งไปหลายครั้ง ทั้งเรื่องราวชีวิตที่ไม่เคยรู้มาก่อน ต่อให้พวกเขาจะรู้จักกันมาสักพักตั้งแต่สมัยวิ่งไล่ล่ากันก่อนที่จะยอมจับมือกันก็ตาม มินโฮไม่เคยถามถึงความหลังของบ็อบบี้รู้แค่ว่าเขาเป็นโจรที่กระหายเงิน แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเขาไม่เคยกลัวตายเลยสักครั้ง ต่อให้มีปืนสักสิบกระบอกจ่อตรงหน้าก็ตาม
“แล้วฮันบินล่ะ นายจะหิ้วเขาไปทุกที่ด้วยหรือเปล่า ?”
บ็อบบี้เงียบไปสักพักเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ฮันบินเป็นคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้ จุนฮเวที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็หายไปตั้งแต่วันนั้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากลากฮันบินไปเสี่ยงด้วย
“ชีวิตหมอนั่นก็ไม่ต่างจากนาย ไม่มีครอบครัว ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด เขาอยู่กับนาย ยอมเสี่ยงตายแทนนายเหมือนกับว่านายคือโลกทั้งใบของเขา”
“ผมไม่เคยบังคับใครให้เป็นหรือตาย เขาเลือกได้ว่าจะอยู่หรือไป”
ใช่! ไม่เคยเลยสักครั้งที่บ็อบบี้จะบังคับหรือพยายามผลักให้ฮันบินออกห่าง ตรงกันข้ามเขาอยากจะให้อยู่ใกล้ๆตลอดเวลาด้วยซ้ำไป
“งั้นเหรอ เด็กคนนึงที่กำลังติดยาจนกลายเป็นเด็กเร่ร่อน เจอกับโคตรโจรที่ดึงเขาออกมาจากนรกของยาเสพติด เขาเห็นนายเป็นมากกว่าพี่ชาย คนรักหรือพ่อแม่ เขาเห็นนายเป็นพระเจ้า”
เรื่องนั้นไม่บอกก็รู้สึกได้ บ็อบบี้นิ่งไปกับคำพูดของมินโฮ ทุกครั้งที่ได้คุยกันตามลำพังมันเหมือนกับการเตือนสติให้รู้อยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร ไม่ได้มีคำพูดสวยหรูอะไรมากมายแต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“แผลนั่นน่ะ ใกล้หายดีหรือยัง ?”
“อือ!”
“ฮันบินรู้หรือเปล่าว่านายได้มันมายังไง”
“ผมไม่ได้บอก”
‘นายควรจะบอกเขานะ แผลที่เขาเป็นคนทำหน่ะ’
“เจอไหม ?”
“ไม่เจอเลยครับ”
“เป็นไปไม่ได้ที่ฮันบินจะหายไปดื้อๆแบบนี้”
น้ำเสียงกังวลของมินโฮทำเอานายทหารที่ระดมกำลังตามหาฮันบินทั่วทั้งพื้นที่กังวลไปด้วย หลังจากหกชั่วโมงก่อนหน้าที่ฮันบินหายไป
บ็อบบี้ที่อยู่ไม่ไกลพยายามติดต่อแต่ก็ไร้การตอบรับทั้งโทรศัพท์และเครื่องติดตาม ทุกอย่างถูกตัดสิญญาณเหมือนกับว่าที่ฮันบินหายไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ผมเจอนี่ในป่าหลังกองทัพ”
นายทหารที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์และเครื่องติดตามของฮันบิน มันถูกทำลายจนพังเละ แถมยังมีคราบเลือดติดอีกด้วย
“บ็อบบี้...”
มินโฮหันไปมองบ็อบบี้ที่กำลังจ้องกลับมา แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหารมันแผ่รังศีออกมาจนน่าขนลุก
“นั่นนายจะไปไหน ?”
“ผมจะไปตามหาฮันบิน”
“ไม่ได้นะ”
คนเป็นพี่รีบวิ่งเข้าไป บ็อบบี้โกรธจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ฮันบินไม่ได้หายไปธรรมดานะ ต้องมีใครหวังผลประโยชน์แน่”
“แล้วใครล่ะ!”
“ใจเย็นๆก่อน”
ต่อให้พยายามเกลี้ยกล่อมแค่ไหนแต่ดูเหมือนไฟที่กำลังลุกนั่นไม่ยอมอ่อนลงเลย มินโฮถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองที่ซากโทรศัพท์นั่นอีกครั้ง
“เข้าไปข้างในก่อน”
“เกิดอะไรขึ้น”
ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดเดินเข้ามาถามหลังจากทราบเรื่องของฮันบิน ทุกคนต่างกังวลเรื่องที่ฮันบินหายไปเพราะมันอาจจะเกี่ยวข้องกับราชการ
“ตอนนี้พวกเรายังไม่ทราบข้อเท็จจริงครับ”
“ผู้ก่อการร้ายเหรอ”
“ไม่น่าจะใช่ พวกนั้นจะไม่ลอบกัดกองทัพแบนี้ มันน่าจะมีแผนอะไรที่มากกว่านั้น”
มินโฮตอบ ตอนนี้เขาคิดได้แค่อย่างเดียวและมุ่งเป้าไปที่ซึงฮยอน บางทีพวกมันอาจจะต้องการเอาเซฟคืนถึงได้เล่นงานคนในทีม โดยเฉพาะฮันบินที่เป็นจุดอ่อนของบ็อบบี้
“อย่าเพิ่งวู่วามทำอะไรโดยที่ฉันไม่ได้สั่ง”
ดูเหมือนจะมีคนอ่านความคิดของบ็อบบี้ออก ถึงได้พูดดักทางเอาไว่ก่อนที่เขาจะทำอะไรผลีผลาม
“ครับ”
ไร้ข่าว ไร้วี่แวว ไร้การติดตาม
บ็อบบี้ยังคงถูกห้ามออกจากกองทัพจนกว่าจะมีคำสั่ง เขาได้แต่เดินไปรอบๆเผื่อจะเจออะไรที่มากกว่ารอยการต่อสู้ พยายามที่จะไม่นึกถึงเหตุการ์ที่ฮันบินเจอ
“บ็อบบี้...”
เสียงตะโกนของนายทหารที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา คนถูกเรียกหันไปมองกับหน้าตาที่ตื่นตระหนัก
“มีอะไร ?”
“ฮ...ฮันบิน ฮันบินกลับมาแล้ว...”
“ว่าไงนะ”
“เดี๋ยว!”
ไม่ทันจะได้พูดต่อ คนที่กำลังดีใจก็รีบวิ่งออกไป
นายทหารนับสิบที่ยืนต้อนการกลับมาของฮันบิน พวกเขาต่างยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เพื่อนร่วมทีมกลับมาได้ แถมยังปลอดภัยอีกด้วย
“นายหายไปไหนมา”
“ดีใจที่กลับมานะ”
คำถามและคำต้อนรับมากมายดังอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าคนที่ถูกต้อนรับกลับนิ่งเฉย ไม่ยิ้ม ไม่ตอบ ไม่ทักทาย ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงรอบข้าง ราวกับไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จัก
แววตาที่เปลี่ยนไปเหมือนเครื่องจักรกวาดไปรอบๆเพื่อหาใครบางคน
“เดี๋ยวบ็อบบี้”
มินโฮที่ยืนรวมอยู่ด้วยรีบเข้ามาดึงบ็อบบี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปหาฮันบิน เจ้าตัวชะงักแล้วหันไปมองคนเป็นพี่ แววตาที่บอกว่านั่นไม่ใช่ฮันบินทำให้หัวใจยิ่งเต้นแรง
ผู้ชายที่สวมชุดดำในมือถือปืนพกสั้นกล็อกที่อัดกระสุนเต็มแม็คเอาไว้
“นั่นไม่ใช่ฮันบินคนเดิม”
ไม่รู้หรอกว่านั่นจะเป็นคนเดิมหรือคนใหม่ รู้แค่ว่านั่นคือ คิม ฮันบิน
บ็อบบี้เดินตรงเข้าไปหาผู้ชายที่ตอนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้า เขาไม่มีท่าทีว่าจะดีใจสักนิดที่เห็นคนรักของตัวเอง ตรงกันข้ามกลับน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางความหวาดกลัวของคนอื่นๆบ็อบบี้กลับเดินเข้าไปแม้ตอนนี้ปากกระบอกปืนมันจะหันเข้ามาหาตัวเองก็ตาม
“ถอยออกมาดีกว่าน่า”
เสียงเตือนของเพื่อนร่วมทีมพยายามจะบอก แต่ไร้ประโยชน์
“โผล่หัวออกมาสักทีนะ”
แม้แต่คำพูดหรือน้ำเสียงก็ไม่ใช่คนที่รู้จัก บ็อบบี้ยังเดินเข้าไปไม่หยุดแม้ฮันบินจะทำม่าเหนี่ยวไกแล้วก็ได้ มินโฮที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองชัดเจน ระยะประชิดตัวขนาดนั้นฮันบินไม่พลาดแน่ กระสุนแรงพอที่จะเจาะผ่านกระโหลกได้สบาย
“นายคือ ฮันบิน”
“อั๊ก!”
“เฮ้ย!”
เสียงร้องเพราะความตกใจเมื่อฮันบินถูกอัดลงไปกองกับพื้น บ็อบบี้ปรี่เข้าไปประชิดตัวอีกคนเร็วจนมองแทบไม่ทัน ฮันบินพยุงตัวขึ้นแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากออก
“เอางี้ก็ได้”
ไม่มีใครคิดว่าบ็อบบี้จะทำแบบนี้ เขาอัดฮันบินเต็มแรงแล้วเตะปืนที่หล่นออกไป ยืนมองคนรักที่กำลังจ้องเขาราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บ็อบบี้ถอดเสื้อคุลมแขนยาวของเขาออกเหลือแค่เสื้อกล้ามสีดำ แค่ร่างกายก็ต่างกันมากแล้วแต่อีกคนไม่รู้สึกกลัวสักนิด
ฮันบินวิ่งเข้าใส่แล้วอัดไปตรงๆแต่บ็อบบี้เบี่ยงตัวหลบทัน เขาอัดสวนไปที่ท้องจนตัวงอ
ไม่มีคำพูดหรือท่าทางหวาดกลัวแม้ว่าฮันบินจะจุกจนแทบพยุงตัวไม่ไหวก็ตาม บ็อบบี้เดินเข้าไปหาแล้วดึงคอเสื้อจนอีกคนตัวลอย แต่คราวนี้ฝ่ายตอบโต้กลับถีบเข้าที่อกของฝ่ายตรงข้ามแรงๆจนกระเด็นแล้ววิ่งเข้าไปเตะซ้ำอีกรอบจนบ็อบบี้ถลาไปข้างหน้า
“ถ้าวันนี้ฉันฆ่าแกไม่ได้ ฉันยอมตาย”
คำพูดนั้นทำเอาคนที่หันมาตั้งสติถึงกับเบิกตากว้าง เขาแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ไม่มีฮันบินอยู่ที่นี่
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีทางเลือก”
สิ้นประโยคบ็อบบี้วิ่งเข้าหาฮันบินแล้วกระหน่ำอัดเข้าที่ใบหน้าจนเลือดอาบ เตะซ้ำจนอีกคนทรุดลงกับพื้นและกระทืบที่ท้องแรงๆจนกระอักเลือดออกมากองโต
คนตัวเล็กกว่าพยายามจะพยุงตัวเองขึ้นทั้งๆที่ร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง แต่ตอนนี้ไม่มีคนรักไม่มีคนรู้จัก ท่ามกลางความตกใจของนายทหารและมินโฮ
เขายืนมองการกระทำอันป่าเถื่อนไร้ความปราณีแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนรักของบ็อบบี้อย่างใจเย็น
“จำได้หรือยัง”
บ็อบบี้ถามแม้อีกฝ่ายจะคงนอนหายใจหอบอยู่
“จะ...จำได้แล้ว พี่บ็อบบี้”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยที่พยายามเปล่งออกมา บ็อบบี้เดินเข้าไปหาช้าๆ แววตาของลูกแมวที่เขาชอบมองกำลังมองเขาในตอนนี้ ค่อยๆพยุงร่างของคนรักขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เขาแทบจะขาดใจทุกครั้งที่ต้องทำให้ฮันบินเจ็บ
“นายจำได้จริงๆเหรอ ?”
“พี่ยัง...โง่เหมือนเดิมเลยนะ”
ฉึก!
“อั๊ก!”
ความเจ็บที่พุ่งไปทั้งตัวมันเจ็บจนแทบจะลุกไม่ขึ้น บ็อบบี้ปล่อยฮันบินออกจากมือของตัวเอง มีด SCHRADE ที่ฮันบินเลือกใช้เขาแทงมันจนสุดด้าม มันลึกมากพอที่จะทำให้คนถูกแทงเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ แต่อีกคนกลับพยุงตัวเองขึ้นแล้วยิ้มและหัวเราะอย่างสะใจ
“อย่า!”
เสียงตะโกนห้ามของคนที่กำลังเจ็บทำให้นายทหารชะงัก พวกเขากำลังจะจับฮันบิน
“ถ้านายต้องการอย่างนั้น ฮันบิน”
บ็อบบี้ดึงมีดที่สีข้างออก แม้มันจะเจ็บจนแทบจะขาดใจก็ตาม แต่นี่คือวิธีสุดท้ายเขาจะเดิมพันมันด้วยชีวิต
ฮันบินหัวเราะอย่างสมเพทกับร่างกายที่แทบจะยืนไม่ไหว เลือดที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด ถ้าเขาจะจัดการมันก็ง่ายนิดเดียว
แต่เขาไม่สนอยู่แล้ว
ฮันบินวิ่งเข้าใส่บ็อบบี้อย่างไม่รีรอ ปล่อยหมัดไปตรงๆอีกครั้งคราวนี้บ็อบบี้กลายเป็นเป้านิ่งเขาไม่ตอบโต้แม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้ฮันบินรัวมัดใส่ตัวเองไม่ยั้งจนเซไปด้านหลัง
เสียงหมัดอัดกับหน้าและลำตัวดังปึก บ็อบบี้ถอยจนหลังชนกำแพงปล่อยให้ฮันบินทำอย่างที่ต้องการจนตัวเองตาเริ่มพล่ามัว ฮันบินยืนหายใจหอบเพราะเขาเองก็บาดเจ็บไม่ต่างกัน
“เหนื่อยแล้วหรือไง ?”
“หึ!”
“ถึงคิวฉันแล้ว”
“อั๊ก!”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตั้งตัว บ็อบบี้จับฮันบินแล้วอัดกับเข้ากำแพงแรงๆจนเลือดอาบทั้งหน้า ควักปืนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาแล้วฟาดไปแรงๆที่ท้ายทอยจนอีกคนสลบลงไปกองกับพื้น
ภาพสุดท้ายที่เห็น ภาพที่เจ็บปวดที่สุด ก่อนที่แรงทั้งหมดจะหายไปแล้วล้มตัวลงข้างๆกัน
บนโลกนี้มีอะไรมากมายที่เราคาดไม่ถึง มันทั้งกว้างใหญ่และน่ากลัวแต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างสวยงาม
ในห้อง ICU ของโรงพยาบาลทหาร เคลื่อนหัวใจสองดวงที่เต้นแข็งกันอยู่ใกล้ๆ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด มินโฮยืนมองทั้งคู่อยู่ปลาเตียงด้วยความรู้สึกมากมาย
ไม่รู้ว่าฮันบินจะจำทุกอย่างได้มั้ยเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าอาการของบ็อบบี้จะดีขึ้นหรือเปล่า
ได้แต่ภาวนาให้คนทั้งคู่ปลอดภัยและทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
วันเวลาที่เราเฝ้ารอมักผ่านไปช้าเสมอ ยิ่งอยากให้มันผ่านไปเร็วเท่าไหร่มันก็ช้ามากเท่านั้น
บ็อบบี้ถูกแยกออกมาจากห้อง ICU หมอบอกว่าโชคดีที่ไม่โดนอวัยวะสำคัญแม้จะเหลือไม่ถึงเซนก็ตาม และโชคดีมากกว่าที่ฮันบินเลือกมีดขนาดสั้นสำหรับซ่อน ในห้องสี่เหลี่ยมมีดอกกุหลาบขาวถูกเปลี่ยนเมื่อไม่นานวางอยู่ข้างๆ
คนไข้ที่ถูกดูแลเป็นพิเศษค่อยๆขยับตัวทีละน้อยเมื่อรู้สึกตัว มินโฮเดินเข้าไปหาน้องชายที่พยายามจะลืมตาเพื่อมองโลกแห่งความเป็นจริง
“เป็นไงบ้าง ?”
“ยังไม่ตาย”
คำตอบติดตลกของคนเป็นน้องทำเอามินโฮโล่งอกไปเปราะใหญ่ เพราะอย่างน้อยเขาก็กลับมากวนประสาทได้เหมือนเดิม
“ผมหลับไปนานแค่ไหน ?”
“สามวัน โชคดีที่มีดไม่ยาวมาก ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว”
“หึ...ผมหนังเหนียวอยู่แล้ว”
ต่อให้หลับไปอีกสักสองปีความกวนก็ยังคงเหมือนเดิม มินโฮยิ้มออกมากับท่าทางที่ยังไม่ตื่นดีของบ็อบบี้ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าไอ้เด็กนี่มันอึดขนาดไหน
“แล้วฮันบิน ?”
“ยังอยู่ในห้อง ICU หมอบอกว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนเสี่ยงที่จะเป็นเจ้าชายนิทรา”
นับเป็นข่าวร้ายที่สุด ไม่รู้จะว่าดีใจหรือเปล่าที่ตื่นขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้
“นายจงใจสินะ”
ไม่มีคำตอบ บ็อบบี้หลับตาแล้วนอนเงียบๆ ใช่...เขาตั้งใจให้เป็นแบบนี้ถ้าทำให้ฮันบินคนเดิมกลับมาไม่ได้ได้ก็ไม่ต้องห้เขาตื่นขึ้นมาอีก หรือไม่ก็ให้หายไปเลย ไม่ใช่เพราะเขาเสียใจแต่เพื่อตัวฮันบินเอง
มินโฮไม่ได้ถามอะไรออกไป เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ควรพูดถึงอนาคตเพราะบ็อบบี้ยังไม่ได้คิดถึงมัน เขาแค่อยากจะผ่านเวลานี้ไปให้ได้ก็พอ
แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ฮันบินตื่นขึ้นมาเป็นฮันบินคนเดิม
เป็นคนรักคนเดิมของเขา
“เหมือนปาฏิหารย์ที่นายฟื้นขึ้นมาแล้วจำตัวตนของนายได้”
“ตอนนั้นผมความจำเสื่อม ?”
“ใช่! แถมยังถอกป้อนข้อมูลมาผิดๆด้วยถึงได้ตั้งใจจะฆ่าฉันขนาดนั้น”
“ผม...ผมขอโทษ”
เสียงสั่นเครือของคนเด็กกว่าทำเอาหัวใจของอีกคนหักวูบ น้ำเสียงที่กำลังโทษตัวเองจนไม่อยากให้อภัย มันคือสาเหตุที่ทำให้บ็อบบี้ไม่อยากบอกความจริงถึงได้ปิดบังมาตลอด รู้แน่ว่าคนรักต้องเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้
“ช่างเถอะน่า มันผ่านไปแล้ว”
มือหนาลูบเบาๆที่กลุ่มผมสีดำ ฮันบินเอาแต่ก้มหน้าและพูดขอโทษ
แสงแดดที่สะท้อนเงาของคนสองคนที่ยืนตรงหน้าของกันและกัน อีกคนแข็งแกร่งและบ้าบิ่นทำได้ทุกอย่างถ้าเขาคิดจะทำ อีกคนอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความกล้าหาญ บ็อบบี้เช็ดน้ำตาใสๆที่กำลังไหลอาบแก้มของคนเด็กกว่าออกเบาๆ ฮันบินกำลังโทษตัวเองอย่างหนัก
“พวกมันน่าจะฆ่าผมให้ตาย”
“ฉันไม่ยอมให้พวกมันทำแบบนั้นแน่”
“แต่ผม...”
“ฉันเป็นคนเดินเข้าไปหานายเอง”
คำพูดแบบนั้นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ฮันบินเงยหน้ามองคนรักที่กำลังยิ้มให้เขาเหมือนลูกแมวตัวน้อย ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จะรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ฮันบินโผเข้ากอดคนตรงหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เพราะนี่คือคนเดียวที่กำหนดได้ชีวิตของเขาจะเป็นหรือตาย คนเดียวที่เหลืออยู่ คนเดียวที่เป็นทุกอย่าง คนเดียวที่เป็นคนรัก และคนเดียวที่เขายอมตายแทนได้
‘ผมได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในห้องสี่เหลี่ยม แต่น่าแปลกมันไม่มีดอกไม้สักดอกในห้อง มีเพียงคนเดียวที่นอนอยู่ข้างผม ในห้องนี้’
ฮันบินลืมตาขึ้นในความสลัว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ายังดีที่มีผ้าห่มกันความหนาวเอาไว้ให้ กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกใครคนนึงจ้องเขาอยู่
“พี่ยังไม่นอนเหรอครับ ?”
คนที่เอนหลังพิงกับหัวเตียงส่ายหน้าปฏิเสธ ลูบเบาๆที่ผมของคนที่นอนหนุนอยู่ขาตัวเองอยู่ ฮันบินกอดมันเบาๆราวกับไม่อยากให้มันพาเจ้าของเดินจากไป
“เราจะทำสำเร็จมั้ย ?”
จู่ๆน้ำเสียงหวาดกลัวก็ถูกถามออกมา ฮันบินกำลังกลัวถ้าพวกเขาพลาด นั่นก็หมายถึงชีวิตที่ต้องเสียไป บ็อบบี้ไม่ได้ตอบอะไรออกมาเพียงแต่ยังเงียบเหมือนเดิม
“ผมกลัว”
“ในโลกนี้มีสิ่งเดียวที่ฉันกำหนดไม่ได้...”
ประโยคที่ขาดหายไปทำให้คนที่นอนอยู่ต้องลุกขึ้นมา ฮันบินจ้องบ็อบบี้ที่กำลังเงียบและจ้องเขาตอบเช่นกัน
“อะไรครับ ?”
“คือนาย”
“ผมเหรอ ?”
“ฉันกำหนดชีวิตนายไม่ได้ นายมีสิทธิ์ที่จะอยู่หรือไป”
คำตอบของบ็อบบี้ทำให้หัวใจหักวูบรู้สึกหน่วงอย่างบอกไม่ถูก ฮันบินก้มหน้าลงเพราะไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงกับคำพูดนั้น ต่อให้ไม่มีทางเลือกอื่นฮันบินก็จะอยู่กับบ็อบบี้อย่างนี้
“พรุ่งนี้...เราไปกันมั้ยครับ”
“ไปเหรอ ?”
“ไปจัดการกับพวกมัน แค่เราสองคน”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น แม้รู้ว่ามันเท่ากับการฆ่าตัวตายถ้าหากบุกไปหาซึงฮยอน แต่นี่คือสิ่งที่ฮันบินต้องการ คนเด็กกว่านั่งเงียบแล้วก้มหน้าซ่อนอารมณ์เอาไว้ในความมืด
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“ผมรู้ครับ...”
ฮันบินเงยหน้าขึ้นแล้วสบตาอีกครั้งกับคนรัก เพื่อบอกว่าเขารู้ตัวดีว่ากำลังพูดอะไร
“เราจะวางมือจากทุกอย่าง แล้วหายไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป”
มันคือความต้องการฮันบิน เขาต้องการแบบนั้นมาตลอด บ็อบบี้เอื้อมมือไปลูบแก้มของคนตรงหน้าเบาๆ เขารู้ดีกว่าฮันบินกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว กลัวที่จต้องเจ็บปวด กลัวที่จะต้องอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่มีเขา
‘พรุ่งนี้เราจะไปจัดการทุกอย่างให้มันจบด้วยกัน’
“พวกเขาไปกันแล้วครับ”
“ขอบใจ”
มินโฮตอบเบาๆก่อนจะยืนมองห้องที่ว่างเปล่าตรงหน้า ในที่สุดพวกเขาก็ทำมันจริงๆ
ฮันบินนั่งเงียบมาเกือบชั่วโมง นั่งอ่านหนังสือท่องเที่ยวในมือที่เจ้าตัวชอบดูเพราะมันทำให้เขาผ่อนครายทุกอย่างได้ ในขณะที่บ็อบบี้เอาแต่ฟังเพลงและมองออกไปนอกหน้าต่าง
ภูเขาและมหาสมุทรมันกว้างใหญ่ไพศาลจนอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วมันต่างกันกี่พันกี่ล้านเท่า
“ผมชอบโดมินิกัน”
เสียงจากคนข้างๆที่พูดขึ้นทำให้อีกคนต้องถอดหูฟังออกแล้วหันมาสนใจ ฮันบินกำลังก้มอ่านหนังสือแต่แววตาของเขากำลังมีความสุข
“อยากไปที่นั่นเหรอ”
“ไม่ใช่แค่อยากไป แต่ผมอยากไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่น”
แววตาของคนเด็กกว่ากำลังบอกว่าเขาจริงจังมากแค่ไหนกับเรื่องที่กำลังพูด บ็อบบี้คว้าหนังสือในมือของเขามาแล้วเปิดดูภาพสีสันสดใสไปทีละหน้า
“นึกถึงความหลังหรือไง ?”
“ก็ผมเจอพี่ที่นั่น”
“แต่มันก็เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ”
“จุนฮเว”
บ็อบบี้พยักหน้าให้กับคำตอบของฮันบิน จุนฮเวหายไปตอนที่พวกเขาอยู่ที่นั่นแล้วไม่ได้ข่าวอีกเลย ไหนจะเรื่องวีรกรรมนับสิบที่พวกเขาก่อไว้อีก มันเต็มไปด้วยความทรงจำจริงๆ
“ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เราเป็นอิสระ”
รอยยิ้มของคนข้างๆทำเอาบ็อบบี้อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่เลยสักครั้งที่อยากจะละสายตาตาจากเด็กคนนี้ เขาจูบเบาๆที่ปากของอีกคนเพื่อย้ำว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอิสระแล้วจริงๆ
“9 นาฬิกา”
ทันทีที่บ็อบบี้ผละออก ฮันบินก็กระซิบเบาๆให้อีกคนได้ยิน
“คนของซึงฮยอน”
เขาจำมันได้แม่นกับสัญลักษณ์ที่พวกมันห้อยที่คอ มันคล้ายกับบัตรประจำตัวพนักงานแต่นั่นคือเครื่องหมายที่จะทำให้พวกมันที่อยู่รอบๆรู้ว่าคือพวกเดียวกัน บ็อบบี้ใส่หูฟังกลับไว้เหมือนเดิมแต่ไม่ได้เปิดเพลง ส่วนฮันบินก็กลับมาอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไร เมื่อถึงที่หมายชีวิตจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันที ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยคนของซึงฮยอน แต่พวกเขาถอยกลับไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำคือเดินหน้าต่อไป
“ขอโทษที่มารบกวน”
“ไม่เป็นไร จุนฮเวก็เพื่อนของผมเหมือนกัน”
ดงฮยอกตอบพรางเดินนำผู้มาเยือนเข้าบ้าน จริงๆก็เกรงใจอยู่หรอกที่จู่ๆโผล่พรวดพราดมาโดยไม่บอกก่อนแบบนี้ แต่บ็อบบี้จำได้ว่าจุนฮเวเคยพูดถึงดงฮยอกอยู่บ่อยๆ เขาเป็นแฮกเกอร์ฝีมือดีของญี่ปุ่นและซ่อนตัวเป็นเริศ แต่น่าแปลกที่บ็อบบี้เจอเขาได้ง่าย เพียงแค่เดินอยู่ที่สถานีรถไฟ
“ได้ข่าวเขาบ้างหรือเปล่า ?”
“ไม่เลย”
ถึงจะไม่สนิทกันมากนักแต่อย่างน้อยก็เคยทำงานร่วมกัน ฮันบินวางกระเป๋าของตัวเองลงบนเตียง บ้านของดงฮยอกไม่ใหญ่มากแต่ก็อยู่สบาย เขาบอกว่าบ้านหลังนี้สร้างเสร็จเมื่อเดือนที่แล้วเพราะตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไม่ย้ายไปไหนอีก แล้วก็วางมือจากการเป็นแฮกเกอร์แล้ว
“ตามสบายแล้วกันนะ”
“ขอบใจ”
ถึงจะเพิ่งเจอกันซึ่งๆหน้าครั้งแรก แต่ดงฮยอกดูท่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครตามแบบฉบับของแฮกเกอร์
บ็อบบี้มองตามหลังดงฮยอกก่อนจะหันมามองคนเด็กกว่าที่นั่งมองไปรอบๆห้อง เขาเดินเข้าไปแล้วยีผมเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินผ่านไปที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนที่คุยกันคนละภาษา เขามาที่นี่เพื่อจบทุกอย่างที่เคยทำและเริ่มต้นใหม่
“พี่มาที่นี่เพื่อฆ่าซึงฮยอน ?”
ดงฮยอกถามขึ้นระหว่างโต๊ะอาหารเย็น บ็อบบี้พยักหน้าพรางยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม
“มีแผนหรือยัง ?”
“แผนคือ ไม่มีแผน”
“ด้นสด”
“ประมาณนั้น”
ดูเหมือนเด็กท่าทางฉลาดคนนี้จะอ่านออกซะหมดเปลือก
“นายอยากร่วมมือกับเราหรือเปล่า ?”
คำตอบของฮันบินทำเอาดงฮยอกหัวเราะหึออกมา เขาไม่สนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเพราะเขากำลังจะวางมือ คนเด็กกว่าใช้มีดเขี่ยเนื้อในจานไปมาทั้งๆที่ยังไม่แตะมันเลยสักคำ
“ทำไมผมต้องร่วมมือกับพวกพี่ด้วย ในเมื่อมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมเลย”
“เมืองนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของซึงฮยอน ฉันว่านายเองก็อึดอัดอยู่ไม่น้อย ที่นายยอมวางมือจากวงการนี้เพราะถูกซึงฮยอนจับได้ใช่มั้ยล่ะว่านายพยายามที่จะเจาะข้อมูลของพวกมัน”
ฮันบินร่ายยาวจนอีกสองคนต้องเงียบฟัง ดงฮยอกนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เขากำลังทึ่งที่ฮันบินอ่านขาดมากกว่าเขาเสียอีก ใช่...นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องยอมวางมือ
“ไม่ยักรู้ว่าจะมีคนที่อ่านคนเก่งกว่าผมอยู่”
“คนมีฝีมืออย่างนายคงไม่ยอมวางมือง่ายๆเพียงเพราะเบื่อหรืออยากอยู่แบบคนธรรมดาหรอก”
“ใช่พี่พูดถูกผมไม่ได้เบื่อ แต่ผมเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองต่างหาก”
“โดยการหลบอยู่ใต้หลังคาบ้านแบบนี้เหรอ ?”
“เปล่า...ผมแค่รู้ว่าควรจะเลือกข้างไหน”
“หมายความว่าไง”
“ผมกับจุนฮเวน่ะต่างกันนะ”
ดงฮอกยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ เขาปาดเนื้อในจานช้าๆแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวอย่างอร่อย ในขณะที่ฮันบินกำลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆบ้าน แต่บ็อบบี้เอาแต่นั่งเงียบๆแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มเหมือนกับว่าจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
“เจอกันจนได้นะ คิม จีวอน”
เสียงทุ้มต่ำของใครคนนึงที่กำลังเข้ามาพร้อมกลิ่นบุหรี่ราคาแพง กับพวกอีกหลายสิบคนที่ยืนล้อมพวกเขาอยู่ ฮันบินตกใจตาเบิกกว้างแต่ไม่กล้าขยับไปไหนเพราะต่อให้มีปืนที่อัดกระสุนเต็มแม็กพวกเขาก็แพ้อยู่ดี
‘หึ...ฉันก็รอแกอยู่หมือนกัน ชเว ซึงฮยอน’
บ็อบบี้ยังคงนั่งดื่มเบียร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในฐานะที่ไม่มีสิทธิ์ต่อรองก็ตาม
“ที่จริงนายจงใจตามหาพวกเราสินะ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งยากจะเดาความหมายของคำพูดนั้น ดงฮยอกยิ้มออกมาแทนคำตอบ
“ดูเหมือนเราจะคิดเหมือนกัน”
คราวนี้บ็อบบี้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าบ้าง แต่ฮันบินที่นั่งอยู่ข้างๆกลับมองทั้งสองคนสลับไปมาเพราะเขาไม่รู้อะไรเลยรวมถึงเรื่องที่บ็อบบี้พูดด้วย
“เอาเถอะ...ถือซะว่าเราต่างก็ช่วยกันแล้วกัน”
“ดงฮยอกหลอกแกมาที่นี่ ส่วนแกก็ใช้ดงฮยอกเป็นประตูผ่านมาหาฉัน”
ซึงฮยอนพูดทั้งๆที่ปากยังคาบบุหรี่ราคาแพงอยู่ ในมือถือไม้เท้าสีทองที่ดูยังไงก็เหมือนเจ้าพ่อมาเฟียที่สามารถถล่มโตเกียวได้ทั้งเมือง
ดงฮยอกดึงสีหน้าไม่พอใจแต่ก็เงียบเอาไว้ เพราะรู้แน่ว่าถ้าปริปากแม้แต่นิดเดียวเขาอาจโดนเป่าสมองกระจุยเลยได้
แต่บรรยากศที่น่าอึดอัดพวกเขากลับผ่อนคลายเหมือนเพื่อนเก่าที่พบปะกัน ลูกน้องคนหนึ่งของซึงฮยอนผลักดงฮยอกออกจากโต๊ะเพื่อให้เจ้านายของตัวเองนั่ง มันตรงข้ามกับบ็อบบี้ที่กำลังจิบเบียร์เหมือนกำลังนั่งฟังเพลงซิมโฟนี่อยู่พอดี
“มีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ ?”
คนเด็กกว่าถามออกมาทั้งๆที่ไม่ได้สบตากันแม้แต่น้อย
“เราต่างก็รู้กันดี”
“เหรอ...ไม่เห็นจะรู้เลย”
“แต่เด็กนี่ท่าทางจะรู้นะ”
บุคคลที่ซึงฮยอนหมายถึงคือผู้ชายที่กำลังจับต้นชนปลายอยู่อีกข้าง ฮันบินขมวดคิ้วจนแทบจะซ้อนกันเพราะเขาเกลียดซึงฮยอนจนอยากจะฆ่าให้ตาย หมอนี่ทำให้เขาต้องทำร้ายบ็อบบี้ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ไวน์สีแดงราคาแพงบนปวดถูกติดด้วยโลโก้ยี่ห้อดังกับปี พ.ศ.ที่หมัก ถูกรินใส่แก้วใสอย่างปราณีต มันเทียบกับเบียร์ราคาแค่ไม่กี่บาทไม่ได้เลย แต่ใครจะสนในเมื่อรสชาติมันต่างกันอยู่แล้ว ซึงฮยอนค่อยๆจิบมันเบาๆเพื่อรับรสชาตินุ่มลิ้นเหมือนราชา
“แกก็รู้ดีว่าไม่มีทางหนีอีกแล้ว มันก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย”
“หึ!”
คนเด็กกว่าแค่หัวเราะออกมาในลำคอแล้วกระดกเบียร์เข้าไปอีก ในขณะที่ซึงฮยอนแกว่งแก้วไวน์เบาๆเพื่อให้รสชาติดียิ่งขึ้น
“แต่ฉันชอบให้โอกาสคน แกมีสิทธิ์เลือกว่าจะตายหรือยอมทำงานให้ฉัน”
ซึงฮยอนยังคงเจรจาอย่างเป็นมิตร แต่ทางเลือกที่เสนอให้กลับน่าหงุดหงิดชอบกล
“ตัวเลือกของแกยังคงเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม”
“คนเรามันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง”
“แม้แต่การฆ่าคนก็เป็นตัวเลือกที่ดีของแกงั้นสินะ”
บ็อบบี้กดเสียงต่ำมือที่ถือขวดเบียร์มันสั่นจนแทบจะระงับความโกรธนั่นไม่ไหว แต่เขาต้องใจเย็นเพราะถ้าหากทำอะไรวู่วามตอนนี้จะไม่ใช่แค่เขาที่ต้องเจอกับอันตราย
“ก็ไม่เสมอไป ไม่งั้นเด็กคนนี้คงไม่รอดมานั่งจ้องเหมือนจะฉีกฉันเป็นชิ้นๆแบบนี้หรอก”
คนเด็กกว่าที่จ้องศัตรูเหมือนเจ้าป่า เขาฆ่าซึงฮยอนได้ถ้าคิดจะลงมือแต่ถ้าขืนแตะต้องหมอนี่แม้แต่นิดเดียวก็เท่ากับฆ่าตัวตายอย่างที่เขาว่า
“แกหวังจะให้ฉันถูกกองทัพฆ่าต่างหาก”
“อย่าเข้าใจผิดสิ คิม ฮันบินฉันหวังดีต่างหาก ถ้าฉันใจร้ายฉันคงฆ่านายตั้งแต่วันนั้น”
“อย่าพูดมากให้เปลืองน้ำลายกันดีกว่า เรามาจัดการให้มันจบๆไปเถอะ ฉันเบื่อกับการตามล่าแกเต็มทีแล้ว”
แสงแหบทุ้มนั้นดังขึ้นดึงความสนใจของคนแก่กว่าที่เอาแต่มองฮันบินเหมือนกำลังวางแผนเลวๆอะไรอีก บ็อบบี้วางขวดเบียร์ที่ดื่มจนหมดแล้วลงบนโต๊ะอาหาร ซึงฮยอนหันกลับมาพรางยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันก็ไม่ต่างกัน”
ซึงฮยอนยื่นแก้วไวน์ให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาใช้นิ้วกลางลูบไปมาที่หัวไม้เท้า มันเป็นรูปสุนัขพันธ์เล็กแต่กลับดูยิ่งใหญ่จนน่าแปลกใจ
ดงฮยอกที่พยายามออกมาจากตรงนั้นตั้งแต่แรก พยายามที่จะออกห่างจากกลุ่มของซึงฮยอน พวกเขาอันตรายและยากที่จะไว้ใจ เขาแค่ต้องการที่ปลอดภัยไม่ได้ต้องการที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใด
“แกเองก็คงไม่ได้มามือเปล่าสินะ”
“ฉันจำเป็นที่จะต้องทำเป็นดีกับแกด้วยเหรอ”
“เรามันโจรเหมือนกันย่อมรู้จักกันดี”
“ฉันมันโจรที่เคารพในพระเจ้าแล้วแกละ”
“ฉันเคารพตัวเอง”
ปัง!
เสียงกระสุนจากทิศไหนไม่มีใครรู้ บ็อบบี้ดึงแขนฮันบินแล้ววิ่งออกมาจากตรงนั้นในขณะที่กระสุนหลายนัดกระหน้ำยิงออกมาทั่วสารทิศ ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆวิ่งเข้าไปเพื่อกันซึงฮยอนจากลูกกระสุน
ปัง ปัง ปัง!
ฝั่งของซึงฮยอนเริ่มตอบโต่ออกไปอย่างไร้จุดหมาย พวกมันยิงทั้งข้างบนและด้านข้างเพราะไม่เห็นทิศทางที่แน่ชัด ได้แต่ยิงออกไปเพื่อป้องกันเจ้านาย
กลิ่นคาวเลือดเริ่มคลุ้งแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกของซึงฮยอนถูกเก็บไปทีละคน
“วิ่งออกไปข้างนอก”
คนโตกว่าบอกขณะที่พาฮันบินวิ่งออกมาจนแทบจะถึงประตู แต่เขากลับชะงักและทำท่าจะวิ่งกลับเข้าไป
“พี่จะไปไหน”
“ที่เรายอมให้พวกมันจับได้เพราะเป้าหมายคือซึงฮยอน”
“ไม่ได้นะต้องออกไปด้วยกัน”
“ฉันออกไปแน่”
สิ้นประโยคไม่มีคำพูดใดออกมาอีก บ็อบบี้ดึงมือที่จับอยู่ที่แขนออกแล้ววิ่งกลับเข้าไปข้างในที่กระสุนกำลังสาดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ฮันบินมองตามหลังคนรักจนหายเข้าไปข้างในถึงได้ตัดสินใจวิ่งออกมาตามที่อีกคนบอก
“ฮันบิน!”
ปัง!
เสียงตะโกนเรียกของใครบางคนที่ไม่คุ้นหู ไม่ทันจะได้หันไปมองเสียงปืนก็ดังขึ้นเสียก่อน ฮันบินชะงักแล้วถอยกลับไปหลบข้างใน มองออกไปข้างนอกเพื่อหาคนยิง เสียงฝีเท้าของใครคนนึงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ เสียงหนักเพราะเจ้าของตัวใหญ่และท่าทางจะเป็นมือปืนฝีมือดี
‘ศัตรูจะลอบกัดเราเมื่อเราเผลอ’
ฮันบินจำมันได้ขึ้นใจ ยืนหลบหลังประตูเพื่อรอให้คนแปลกหน้าปรากฏตัว แต่เสียงหัวใจมันดังแข่งกับเสียงปืนข้างในจนหูอื้อไปหมด เงาของผู้มาเยือนค่อยๆโผล่เข้ามาช้าๆ เขาตัวใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
สูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกกำลังใจ จับปืนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาแล้วถือไว้แน่น
ยิ่งเงานั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่อุณหภูมิในร่างกายยิ่งสูงมากขึ้น
ปลายกระบอกปืนที่ค่อยๆโผล่ออกมามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
...เรื่อยๆ...
ปัง!
ปลายกระบอกปืนถูกผลักขึ้นแล้วเหนี่ยวไกออกไปในอากาศ ฮันบินผลักคนแปลกหน้าที่พยายามจะยิ่งเขาก่อนหน้านี้ออกไปแล้วเตะเข้าสีข้างแรงๆ จับมือข้างที่ถือปืนอัดเข้ากับผนังจนมันหล่นลงพื้น อัดเข้าที่หน้าจนเลือดซิบออกมา
ปัง!
ฮันบินรู้ดีกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรไว้ชีวิตใคร กระสุนที่ออกมาจากปลายกระบอกปืนเจาะผ่านกระโหลกจนทะลุออกด้านหลัง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งราวกับเดินอยู่ในสงคราม
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะกลัว ฮันบินรีบวิ่งออกมาจากบ้านของดงฮยอกที่ตอนนี้กลายเป็นสงครามย่อมๆไปแล้ว
“พี่! ทางนี้”
เสียงของคนเมื่อครู่ที่เรียก ฮันบินมองไปตามเสียงนั้น ผู้ชายที่อายุน่าจะน้อยกว่าเขากวักมือเรียกในรถสปอตสีขาวสะดุดตา แต่ฮันบินไม่รู้จักเด็กคนนั้น
“ขึ้นมาก่อนเร็ว”
“...”
“ผมรู้จักกับพี่บ็อบบี้”
เด็กคนนั้นตอบพยายามเร่งฮันบินที่ยืนตัดสินใจให้ขึ้นรถ
ปัง!
เสียงปืนไล่หลังตัดสินใจแทน ฮันบินวิ่งตรงไปที่รถของเด็กคนนั้นแล้วกระโดดขึ้นไปก่อนมันจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฝีมือการขับรถของเด็กนี่ใช้ได้เมื่อเทียบกับบ็อบบี้แล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ ผมเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพี่บ็อบบี้น่ะ”
เด็กคนนั้นบอกเพราะเห็นว่าฮันบินทำหน้าเหมือนจะไม่ไว้ใจ แต่ถึงจะอ้างชื่อบ็อบบี้ออกมาก็ยังกังวลอยู่ดี
“นายรู้จักฉันได้ไง”
“พี่บ็อบบี้ส่งรูปของพี่ให้ผมดูเมื่อวันก่อนที่จะมาถึงโตเกียว”
เขาบอกพรางยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปฮันบิน ชื่อของคนส่งถูกจัดเก็บว่าบ็อบบี้
“นายเป็นใคร ?”
“ผมชื่อชานอู เป็นน้องของพี่จุนฮเวกับพี่บ็อบบี้ เราสามคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน”
คนเด็กกว่ายิ้มเพื่อให้คนโตกว่าหายเครียดในขณะที่รถแล่นออกไปไกลมากเรื่อยๆ ฮันบินมองกลับไปถนนที่ผ่านมาเขามองไม่เห็นทางเข้าบ้านของดงฮยอกแล้ว และบ็อบบี้ก็ไม่ได้ตามเขามา
“ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ สองคนนั้นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”
“สองคนเหรอ ?”
‘ฮะ พี่จุนฮเวด้วย’
ปัง ปัง ปัง!
เสียวปืนยังคงดังอยู่ตลอดเวลา ลูกกระสุนที่สาดสวนกันไปมาเริ่มมีช่องว่างมากขึ้น ลูกน้องคนสนิทที่ใกล้ตัวพาซึงฮยอนออกมาจากตรงนั้น ในขณะที่เจ้านายของพวกมันไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวต่อให้จะถูกกระสุนเฉี่ยวไปมาก็ตาม
ปัง ปัง!
เสียงปืนสองนัดถูกยิงตัดขั้วหัวใจของลูกน้องทั้งสองคน จนล้มลงข้างเจ้านายที่พวกมันรักและเทิดทูน ซึงฮยอนหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปหาเจ้าของกระบอกปืนนั้น
บ็อบบี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเขาเล็งเป้าหมายมาที่ซึงฮยอน แต่อีกฝ่ายกลับทำท่านิ่งเฉยไม่แม้แต่จะขยับตัวหนี แววตาที่จ้องกลับไปกำลังท้าทายให้อีกคนเหนี่ยวไก
แต่ตรงกันข้ามเขากลับลดปืนลงแล้วหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องตลก
“แกเกลียดศัตรูที่ยืนเป็นเป้านิ่ง เพราะมันง่ายเกิไปที่จะจัดการ”
ซึงฮยอนพูดออกไปในขณะที่บ็อบบี้กำลังยอมรับกับเรื่องนั้น
“เพราะฉันไม่ชอบลอบกัดใครเหมือนแก”
“งั้นเรามาจบมันกันเถอะ”
บ็อบบี้ว่าพรางโยนปืนออกไป เขาเดินหาซึงฮยอนด้วยมือเปล่า นับจากวินาทีที่ก้าวขาออกไปทุกอย่างเดิมพันด้วยชีวิต
แต่คราวนี้ซึงฮยอนกลับเล่นด้วยแบบซื่อๆ ไม่มีอาวุธ ไม่มีแผน ไม่มีกำลังหนุน มีแค่มือเปล่า
คนหนึ่งคือผู้รอดและอีกคนต้องหายไป
“อั๊ก!”
เสียงหมัดหนักๆกระทบสันกรามของคนเด็กกว่าจนเจ็บไปทั้งหน้า บ็อบบี้ถลาไปตามแรงอัดของซึงยอนพยายามตั้งตัวแล้วหันกลับมาเพื่อตอบโต้
แต่ช้ากว่าซึงฮยอนเขาเตะสวนแรงๆที่ท้องจนคนเด็กกว่าตัวงอ
บ็อบบี้พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วเช็ดเลือดที่ออกตามใบหน้า ซึงฮยอนยืนมองเขาด้วยความเหนื่อยเพราะก่อนหน้านั้นเขาก็โดนอัดไม่น้อยเหมือนกัน หางคิ้มมุมปากและจมูกมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ตอนนี้ไม่ได้เดิมพันว่าใครเก่งกว่ากันแต่มันเดิมพันว่าใครจะแกร่งกว่ากัน
“ฉันยอมรับจริงๆ...ว่าแกมันอึดกว่าใครๆที่ฉันเคยรู้จัก”
เสียงทุ้มต่ำแต่ติดขัดเพราะความเหนื่อยกับน้ำเสียงที่พูดออกมาจากความรู้สึก ซึงฮยอนพยุงตัวเองให้ยืนเผชิญหน้ากับคนเด็กกว่าที่กำลังพยายามจะท้าทายเข้าอีกครั้ง
“วันนี้ฉันจะคิดบัญชีกับแก ทุกอย่างที่เคยทำไว้กับทุกคน”
“แต่แกคงลืมไปสินะว่าฉันมันโจร และเป็นโจรที่ไม่ยึดมั่นกับคำสัญญาของโจรด้วยกัน”
ซึงฮยอนล้วงเอาปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านในที่เขาซ่อนมันเอาไว้ แล้วเล็งเป้าไปที่บ็อบบี้ แต่อีกคนยิ่งทำให้เขาอึ้งเพราะเด็กนั่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเดินเข้ามาหาอย่างไม่กลัวตาย
“แกมันน่าทึ่งจริงๆ”
ปัง!
ในโลกใบนี้มีอีกหลายที่ที่เราไม่เคยไป หรือแม้จะอยากไปแค่ไหนก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ง่าย
แสงสีขาวสะอาดตรงหน้าแทบจะมองไม่เห็นว่ามีเส้นทางให้เดินต่อไปหรือเปล่า ดวงตาเรียวเล็กค่อยๆลืมขึ้น เขากระพริบมันสองสามทีถึงเห็นท้องฟ้าสีครามกับหมู่เมฆสีขาว มันสวยราวกับความฝัน เหมือนกับกำลังนอนอยู่บนก้อนเมฆที่รอยอยู่บนท้องฟ้า มันต่างจากห้องนอนสี่เหลี่ยมน่าอึดอัด รู้สึกสบายจนไม่อยากจะตื่น
เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน
...แบบนั้น...
“พี่ควรจะพักบ้างนะ”
เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมกับกระป๋องน้ำผลไม้ เขายื่นมันให้ฮันบินที่นั่งอยู่แต่อีกคนรับมันมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่
ร่างของคนที่นอนอยูบนเตียงหน้าซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือด ลทหายใจดูแผ่วจนน่าเป็นห่วง ฮันบินได้แต่นั่งดูอยู่ข้างๆไม่ยอมห่าง
“ขอโทษนะพี่ ถ้าผมไปเร็วกกว่านั้นพี่บ็อบบี้คงไม่โดนยิงแบบนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลย”
เสียงของใครคนนึงที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาหยุดเดินข้างๆจุนฮเวแล้วตบที่ไหล่เบาๆ
“นาย...”
“ตกใจที่เจอฉันหรือไง ?”
เขายิ้มให้ฮันบินมันต่างจากเมื่อก่อนที่เจอกันตอนแรก ในตอนนั้นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแต่ตอนนี้กลับเป็นมิตร
“ทำไม...”
“ผมว่ามันไม่ยุติสักหน่อยที่พี่บ็อบบี้จะยิงเขา”
“เด็กนี่ช่วยฉันไว้ตอนที่แฟนของนายกำลังเหนี่ยวไก น่าแปลกนะว่ามั้ย โจรที่ยอมช่วยตำรวจทั้งๆที่รู้ดีว่าตัวเองอาจจะถูกจับ”
“แล้วตอนนี้...”
ฮันบินมองทั้งคู่สลับกัน จินฮวานยิ้มออกมาแล้วมองคนตัวโตกว่าที่อยู่ข้างๆ
“ก็เพราะจินฮวานนไม่ยอมจับผมนะสิ ผมเลยต้องพาหนีความผิดไปเรื่อยๆ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
คนตัวเล็กกว่ารีบขัดแล้วทุบเข้าที่หลังของอีกคนแรงๆจนร้องโอ้ยออกมา จุนฮเวโค้งหัวหน่อยๆเป็นการขอโทษแล้วยืนเงียบๆแทน
“ฉันลาออกจากตำรวจ ไม่ใช่เพราะหมอนี่หรอกนะ แต่เพราะก่อนหน้านั้นฉันยื่นใบลาออกไว้แล้วด้วยเหตุผลที่ว่าฉันเหนื่อย แล้วเด็กนี่ก็ทำตัวเป็นผู้ปกครองเพราะเขาช่วยฉันไว้”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกนายไม่ติดต่อพวกเราเลยล่ะ”
“ไว้พี่ถามคนนั้นดีกว่านะ”
จุนฮเวพยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง ฮันบินขมวดคิ้วแล้วหันหลังกลับไป
แต่คนตรงหน้าที่นอนอยู่กำลังมองเขาด้วยแววตาที่เหนื่อยล้า รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมา หัวใจทีแทบจะหมดแรงเต้นเสียงดังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ฮันบินเอื้อมมือไปจับเบาๆที่มือของอีกคนพรางน้ำตาคลอ ราวกับว่าทุกอย่างที่เคยมืดมนกำลังสว่างขึ้นอีกครั้ง
จินฮวานหันไปมองคนเด็กกว่าที่ยืนอยู่ๆข้างๆก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกัน เพราะรู้ดีว่าเวลานี้พวกเขาไม่ควรเข้าไปขัด
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย ?”
เสียงแหบพร่าของอีกคนทำให้น้ำตาคลออยู่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ฮันบินยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
“หมอนั่นเป็นยังไง ?”
“ถูกจับหลังจากที่มันยิงพี่ จุนฮเวกับจินฮวานเป็นคนพาตำรวจไปที่นั่น”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างมันจะพลาด”
คำพูดของบ็อบบี้ทำเอาคนที่ฟังหัวใจหักวูบ เขากลัวแทบตายตอนเห็นจุนฮเวพาบ็อบบี้กลับมาในสภาพที่เลือดท่วมตัว แต่เจ้าตัวกลับพูดเหมือนไม่กังวลสักนิด
“พี่จะทิ้งผมไปเหรอ ?”
“อะไร ?”
“ก็ที่พี่พูดแบบนั้น...”
ฮันบินก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกคน จับมือตัวเองแน่นพยายามที่จะไม่แสดงท่าทีเอาแต่ใจ
“ฉันจะทิ้งนายได้ยังไง ?”
“...”
“นี่เงยหน้าขึ้นมาหน่อยสิ”
ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้ายังไงในตอนนี้ รู้แค่ว่าตัวเองกำลังกลัวต่อให้พยายามซ่อนมันไว้แค่ไหนก็ตาม ฮันบินเงยหน้าตามที่บ็อบบี้บอก เขาเห็นคนตรงหน้าที่เอื้อมมือมากุมมือของเขาเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าต่อให้ต้องเดินทางไปไกลแค่ไหนเขาก็จะไม่มีวันหายไป
“ฉันไม่เป็นไร”
บ็อบบี้ตอบเสียงเบาพรางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ฮันบินปาดน้ำตาใสๆที่ไหลออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ออกแล้วยิ้มตอบกลับไป มองแผลที่มีเลือดไหลออกมาเป็นสีแดงกว้างที่ผ้าปิดแผล มันเฉียดหัวใจไปนิดเดียว
“พี่เจ็บหรือเปล่าฮะ”
“ไม่เจ็บหรอก แต่เกือบตาย”
คำพูดติดตลกทำให้คนเด็กกว่ายิ้มออกมาได้ เสียงหัวเราะเล็กๆดังขึ้นช่วยผ่อนคลายทุกอย่าง
“แต่ผมยังสงสัยเรื่องจุนฮเวกับชานอู ไหนจะจินฮวานอีก พี่รู้มาตลอดเลยเหรอ ?”
“อ่า...ขอโทษที่ฉันไม่ได้บอก มันน่าจะดีกว่าถ้ามีแค่ฉันที่รู้”
“พี่ไม่ไว้ใจผมเหรอ ?”
“เปล่า ฉันไว้ใจนายแต่เพื่อความปลอดภัยของเราเอง จุนฮเวกับชานอูเป็นน้องของฉันพวกเขายังไม่ถูกลบประวัติทั้งคดีและการประกาศจับ ส่วนจินฮวานที่อยู่กับจุนฮเวก็อาจโดนร่างแหไปด้วยเพราะฉะนั้นน่าจะดีกว่าถ้าทุกอย่างเป็นความลับ”
บ็อบบี้อธิบายเพื่อให้อีกคนเข้าใจ แต่ฮันบินยังรู้สึกน้อยใจอยู่ดีมันเหมือนกับไม่ถูกไว้ใจ
“อย่าทำหน้าแบบนั้น ทุกอย่างก็เพื่อเรา”
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ฮันบินพยักหน้าอย่างจำใจและพยายามจะเข้าใจสิ่งที่บ็อบบี้พูด
“ทำไมพวกเขาไม่มาหาเราล่ะ มันอาจจะดีกว่าการหลบๆซ่อนๆ”
“เพราะจุนฮเวเกลียดการทำงานร่วมกับรัฐบาล อีกอย่างถ้าเขาร่วมมือกับเราวันนี้เราอาจจะไม่รอดก็ได้นะ”
เพราะพวกเขาคือไม้ตายสุดท้ายอย่างนั้นสินะ ฮันบินพยักหน้าอีกครั้งแล้วสลัดความน้อยใจทุกอย่างทิ้งไป มันไม่มีประโยชน์ที่ต้องมานั่งน้อยใจกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว
ทุกอย่างกำลังจะจบ...
“พี่!!”
ชานอูที่พรวดพราดเข้ามาทำลายกำแพงของสองคนที่กั้นเอาไว้ แต่หน้าของคนเด็กกว่านี่กำลังตกใจจนแทบเสียสติ
“มีอะไร ?”
“ได้เวลาเผ่นแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“ลูกน้องของซึงฮยอน มันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่พวกมันมาแก้แค้น!”
ปัง!
เสียงปืนจากข้างนอกเป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเขาต้องหนีแล้ว ฮันบินหันไปมองบ็อบบี้ที่ยังไม่ดีขึ้น แผลก็ยังมีเลือดออกไม่หยุดถ้าต้องหนีตอนนี้ล่ะก็เขาอาจจะแย่กว่าเดิม
“ไปเร็ว!”
ชานอูเร่งพรางโยนปืนพกสั้นให้ฮันบินไว้ป้องกันตัว จุนฮเวที่เพิ่งวิ่งเข้ามารีบพยุงบ็อบบี้ขึ้น มีจินฮวานยืนขนาบข้างเพื่อป้องกัน
“ไป!”
เพราะมีคนเจ็บพวกเขาทำได้แค่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ยิ่งบ็อบบี้แสดงสีหน้าเจ็บมากเท่าไหร่ฮันบินก็ยิ่งกังวล เลือดที่ไหลออกมาก็ไม่ยอมหยุดสักที
“ชานอูนำไปห้องใต้ดิน”
เสียงจุนฮเวตะโกนตามหลังคนเด็กกว่าที่วิ่งนำไปข้างหน้า เสียงปีนสาดเข้ามาอยู่ไม่ไกลแต่พวกเขาก็หยุดพักไม่ได้
“ทางนี้เร็ว”
คนนำทางตะโกนบอกก่อนจเปิดประตูห้องครัวที่อยู่ด้านในสุด เขาเดินไปหลังเคาเตอร์แล้วดึงพรมสีแดงผืนใหญ่ออก มันมีประตูเล็กๆซ่อนอยู่ จุนฮเวพยุงให้บ็อบบี้นั่งที่เก้าอี้แล้วไปช่วยชานอูเปิดประตูทางลับ โดยที่จินฮวานคอยระวังอยู่ตรงประตูห้องครัว
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยฮะ ?”
ฮันบินย่อตัวลงแล้วเงยหน้ามองคนรัก เขาเอื้อมมือไปติดกระดุมเสื้อที่สวมไว้ เลือดที่ไหลออกมามันเยอะกว่าตอนแรกจนอดห่วงไม่ได้
“อื้อ”
คนโตกว่าตอบพรางลูบหัวอีกคนอย่างอ่อนโยน แววตาที่กังวลนั่นจะทำให้เขาได้รับอันตรายเองเพราะมัวแต่ห่วงคนข้างหลัง มันไม่ดีแน่
“แหม...ผมรู้นะว่าพวกพี่เป็นห่วงกันและกัน แต่ว่าตอนนี้ได้เวลาเผ่นแล้ว”
ชานอูเร่งแล้วลงไปในหลุมที่ขนาดพอดีตัวคนแรก เขาค่อยๆปีนลงไปเพราะข้างในมืดจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ก่อนจะล้วงเอาไฟฉายที่คว้ามาได้ตอนที่กำลังเปิดประตู
“พี่ไปก่อน”
ถึงเวลานี้คนที่ต้องเข้มแข็งคือฮันบิน เขาถอยออกมาแล้วให้บ็อบบี้ลงไปก่อนโดยมีชานอูคอยรับอยู่ข้างล่าง บ็อบบี้พยุงตัวเองพยายามที่จะเกาะบันไดเอาไว้ให้ถึงที่หมาย แต่แผลที่อกก็เริ่มฉีกออกเรื่อยๆจนเลือดซึมออกมาข้างนอก
รอจนแน่ใจว่าคนบาดเจ็บถึงที่หมาย ชานอูสาดแสงไฟขึ้นมาเป็นสัญญาณ ฮันบินรีบปีนลงไปเพื่อดูอาการของบ็อบบี้
“พี่ลงไปก่อน”
จุนฮเวบอกคนตัวเล็กที่ยืนระวังอยู่ด้านหลัง จินฮวานส่ายหัวปฏิเสธเพราะเขาตัวเล็กกว่าชองแค่นี้ลงไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว แต่จุนฮเวยังยืนยันที่จะลงเป็นคนสุดท้าย
“รีบตามลงมานะ”
“ครับ”
“ทางนี่จะพาเราไปไหนเหรอ ?”
ฮันบินถามในระหว่างที่พวกเขาเอาแต่เดินไปเรื่อยๆในทางเดินแคบๆแล้วก็อับจนแทบหายใจไม่ออก
“มันจะพาเราไปโผล่อีกฝั่งนึงที่บ้านอีกหลัง”
“ถ้านี่คือทางที่ปลอดภัยเราเดินช้าลงหน่อยได้มั้ย พี่บ็อบบี้ไม่ไหวแล้ว”
คนเจ็บหายใจหอบเพราะความเหนื่อยและแผลที่ฉีกออกเรื่อยๆ เขาทรุดลงกับพื้นแล้วกดแผลตัวเองไว้เพื่อนหยุดเลือด ฮันบินนั่งลงข้างๆอย่างเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างพี่”
คนเด็กกว่าถามอย่างเป็นห่วงพรางส่องไฟไปข้างหน้าเพื่อดูว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง
“จุนฮเวยังไม่มา เราน่าจะรอก่อน”
คนตัวเล็กที่คอยคุ้มกันด้านหลังมองย้อนกลับไปทางที่ผ่านมา จุนฮเวที่บอกว่าจะตามลงมาจนตอนนี้ยังมองไม่เห็น ยิ่งทำให้จินฮวานเป็นห่วง
“เสียง...เสียงคนกำลังมาทางนี้”
บ็อบบี้ที่นั่งหายใจหอบพยายามเปล่งเสียงออกมาเพื่อเตือนทุกน ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนแต่สัมผัสพิเศษของเขายังดีอยู่
จินฮวานเดินออกไปแล้วยืนเพื่อปกป้องทุกคน ยกปืนในมือขึ้น ถ้านั่นคือศัตรูเขาก็พร้อมจะเหนี่ยวไก
“ผมเอง!”
เสียงของคนที่คุ้นหูทำให้เขาต้องลดมือลง จุนฮเวที่สิ่งเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าที่สะพายมาด้วย
“ผมไปเอาให้พี่บ็อบบี้แล้วก็อำพรางทางหนีของเรา”
จินฮวานถอนหายใจออกมาโล่งอกที่อีกคนไม่เป็นอะไร เขาถอยให้จุนฮเวเข้าไปหาบ็อบบี้ที่หายใจหอบ ล้วงเอากล่องยาออกมาแล้วยื่นให้ฮันบิน
“ถ้าทำแผลใหม่ จะช่วยหยุดเลือดได้สักพัก”
“ขอบใจ”
ถึงตอนนี้อะไรก็ได้ที่ช่วยให้บ็อบบี้อดทนไปจนถึงที่หมาย ชานอูเดินไปข้างหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางที่ซับซ้อน มันมีทั้งทางเลี้ยวและทางโค้งและช่องอีกมากมายที่ไว้หลอกศัตรูถ้าหากพวกมันรู้ทางเข้า
ฮันบินจัดการทำแผลให้อย่างระวังเพราะกลัวอีกคนจะเจ็บ เช็ดเลือดที่อาบไปทั้งตัวแล้วล้างแผลจนสะอาด ถึงจะเจ็บแต่ตอนนี้ต้องอดทนแล้ว
“อีกไม่ไกลก็เจอทางออกแล้ว อดทนหน่อยนะพี่”
“ไม่รู้ว่าทางที่หลอกพวกมันไว้ได้อีกนานแค่ไหน”
“จะยังไงก็ช่างรีบไปกันก่อนเถอะ”
“ไม่เห็นร่องรอยของพวกมันเลยครับ”
“มันไม่มีทางล่องหนไปได้หรอก”
ซึงฮุนว่าพรางมองไปรอบๆ เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของซึงฮยอนและไม่เชื่อว่าเหยื่อของเขาจะหายไปเฉยๆแบบไร้ร่องรอยขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ผีก็ทำไม่ได้
เขาเดินไปรอบๆห้องครัวเหมือนจะหาอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไร มันก็แค่ห้องครัวธรรมดาที่ถูกยิงจนเละไปหมด เสียงฝีเท้าดังวนอยู่รอบๆซ้ำๆ ก่อนจะหยุดเดินตรงพรมสีแดงผืนใหญ่
“เหอะ...ใครเขาปูพรมในห้องครัวแบบนี้กัน”
ซึงฮุนหัวเราะในลำคออย่างน่าขัน ความคิดของเด็กที่ประสบการณ์ยังไม่ถึงแบบนี้ยังไงก็ต้องรู้ทันอยู่แล้ว เขาสั่งลูกน้องให้ดึงพรมออก แน่นอนล่ะว่าสิ่งทีซ่อนอยู่ยิ่งทำให้เขายิ่งสมเพชกับความคิดของศัตรู
“พวกแกมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน”
พวกเขาเปิดประตูสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นออก บันไดขั้นเล็กๆที่ดูยังไงมันก็เหมือนกับทางลับแบบที่พวกทหารเคยใช้ ก็ยังถือว่าไม่เลว ลูกน้องคนนึงที่อยู่ตรงทางเข้าค่อยๆปีนลงไปเป็นคนแรก มันทั้งมืดและอับจนหายใจแทบไม่ออก
ตุ๊บ!
ทันทีที่ถึงพื้นเขารีบเปิดไฟฉายแล้วสาดไปรอบๆเพื่อหาทางเดินต่อ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!
ทว่าเสียงที่อยู่ไม่ไกลมันทำให้เขาต้องหยุดอยู่ที่เดิม เสียงเหมือนนาฬิกาเวลาที่กำลังนับถอยหลัง เขามองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียงนั่น
ระเบิดเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงสามสิบวินาทีกำลังถอยหลังเรื่อยๆ
“ระเบิด!”
เสียงตะโกนจากคนข้างล่างดังลั่นขึ้นมาข้างบน ซึงฮุนรีบปิดประตูทางหนีนั่นแล้วกระโดดออกทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ
ตู้ม!!
แรงระเบิดที่จุนฮเวเป็นคนทำขึ้นมาเองกับมือ มันแรงพอที่จะอัดให้ร่างของเขากระเด็นออกมาจนแทบจะถึงถนน บ้านสองชั้นหลังใหญ่พังลงแค่เพียงเสี้ยววินาที
ซึงฮุนมองกลุ่มควันสีดำที่ลอยขึ้นบนฟ้า ไม่น่าเชื่อว่าพวกเด็กที่เชาคิดว่าไม่น่าจะสร้างระเบิดแรงมหาศาลได้ขนาดนี้ เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
จุนฮเวยืนมองบ้านของตัวเองที่เพิ่งจะอยู่ได้ไม่นานอย่างนึกเสียดาย กว่าจะได้มันมาเขาต้องปลอมเอกสารการซื้ออยู่นานเพราะถ้าเอาชื่อตัวเองอาจโดนจับแทนที่จะได้บ้าน
“เอาน่า! ไว้จะซื้อให้ใหม่”
คนตัวเล็กที่คอยอยู่ข้างๆตลอดเวลาเดินเข้ามาตบไหล่เป็นการปลอบ
“เราต้องแยกกันแล้วล่ะ”
เสียงของบ็อบบี้ที่นั่งหายใจหอบอยู่ข้างหลังทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปหา ชานอูรีบไปนั่งข้างๆด้วยสีหน้ากังวล
“ได้ไงล่ะพี่ สภาพแบบนี้คงหนีมันได้ไม่นาน”
“แต่ถ้าเรายังเกาะกลุ่มกันแบบนี้ พวกเราก็ตายกันหมด”
“แต่ว่า...”
“ฉันเห็นด้วยนะ พวกของซึงฮยอนจมูกไวจะตายยิ่งคนเยอะเท่าไหร่มันก็ยิ่งเจอเราเร็วเท่านั้น”
จินฮวานพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจความหมายของบ็อบบี้ ถ้าขืนยังเกาะกันแบบนี้อีกไม่นานต้องถูกพวกมันเก็บแน่
“ถ้างั้นผมจะไปด้วย”
“ไม่! แค่ฮันบินกับฉัน”
ถึงจะพยายามหาข้อต่อรองแต่ก็ถูปฏิเสธอยู่ดียิ่งทำให้จุนฮเวกังวลจนแทบบ้า เขาไม่มีวันปล่อยพี่ชายที่สภาพกึ่งเป็นกึ่งตายแบบนี้ให้หนีหัวซุกหัวซุนลำพังแน่
“แต่พี่บาดเจ็บ พี่ฮันบินรับมือพวกมันไม่ไหวหรอก”
“ไหวสิ! ฉันเชื่อว่าเขาทำได้”
บ็อบบี้มองอีกคนที่อยู่ข้างๆ แววตาของฮันบินกังวลและสับสนจนไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกมา เขาไม่อยากแยกจากพวกของจุนฮเวเพราะถ้าถูกหาตัวเจอเขาต้านไม่ไหวแน่ แต่บ็อบบี้กลับกำลังบอกให้เขาเข้มแข็ง
เข็มแข็งเพื่อการเริ่มต้นใหม่
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะหาทางป้องกันถ้าพวกมันเจอเรา”
ฮันบินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง แต่แค่พูดออกไปเพื่อให้ทุกคนหมดห่วง
“ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไปด้วย”
จุนฮเวยื่นกระเป๋ายาที่เขาเป็นคนสะพายให้ฮันบินพร้อมกับกุญแจรถ
“พวกเราจะหาทางจัดการกับพวกมัน ระหว่างนี้พวกพี่ต้องซ่อนตัวจนกว่าจะหาย”
เหมือนเป็นคำขาดจากคนเป็นน้อง บ็อบี้พยักหน้าเพราะเขารู้ว่าต่อให้ต่อรองหรือเสนอความเห็นอื่นๆเด็กนี่ต้องไม่ยอมแน่
“รีบไปเถอะ ก่อนที่พวกมันจะดมกลิ่นเราเจออีก”
“แล้วเจอกัน”
จินฮวานตบไหล่ฮันบินเบาๆเหมือนจะบอกให้อีกคนอดทนเอาไว้ จุนฮเวช่วยพยุงบ็อบบี้ขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ ยืนมองรถออดี้สีเงินที่แล่นออกไปอย่างกังวล ไม่รู้ว่าระหว่างนี้จะต้องเจอกับอะไรอีก
“ไม่ต้องห่วงหรอกสองคนนั้นไม่ยอมโดนฆ่าง่ายๆหรอกน่า”
คนตัวเล็กพูดปลอบพรางเดินไปที่รถอีกคนที่จอดอยู่ใกล้ๆโดยมีชานอูสตาร์ทเครื่องรอไว้แล้ว
“ก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”
“เราจะไปไหนกันเหรอครับ ?”
ฮันบินหันไปมองบ็อบบี้ที่กำลังนอนหลับตาอยู่ข้างๆ
“มินโฮ ไปหาพี่มินโฮ”
เขาตอบกลับมาเสียงเบาก่อนจะหลับไปโดยที่ไม่ให้อีกคนถามต่อ ฮันบินขมวดมิ้วกับคำตอบนั้นแต่ก็ยอมขับไปตามเส้นทางที่บ็อบบี้บอก
ทั้งๆที่เขาออกมาจากกองทัพเพื่อจัดการกับซึงฮยอน แต่จะกลับไปเพราะทำไม่สำเร็จแล้วไหนจะสภาพที่ไม่พร้อมจะทำงานให้กองทัพแบบนี้
ความคิดมากมายแล่นสวนไปมาในหัวจนฮันบินต้องสลัดมันออก เพราะความกังวลทำให้สมาธิหายไปหมดจนแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองขับไปถึงไหน
แต่ก็ได้แต่หวังว่ากองทัพจะเข้าใจ
เสียงรถค่อยๆแล่นผ่านประตูทางเข้า ฮันบินถูกตรวจค้นอาวุธและรถที่ขับมาอย่างระเอียดรวมถึงบ็อบบี้ถึงผ่านเข้าไปได้
แต่มันน่าแปลกที่เห็นมินโฮยืนรอรับพวกเขาอยู่
ฮันบินลงไปเพื่อคุยแต่ไม่รู้จะทำสีหน้ากับพูดอะไรออกมาให้อีกคนเข้าใจ
“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้หมดแล้ว”
“ครับ ?”
“พาบ็อบบี้เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
ถึงจะไม่เข้าใจที่พูดก็เถอะ ฮันบินวิ่งไปอีกฝั่งเพื่อพาบ็อบบี้ลงมาจากรถ เขาปลุกบ็อบบี้หลายครั้งแต่อีกคนไม่ยอมตื่น แกพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง
มินโฮเดินนำเข้าไป แต่น่าแปลกยิ่งกว่าที่มีทั้งพยาบาลและหมอคอยรับอยู่ตรงประตู พวกเข้าวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแล้วจัดการใส่เครื่องช่วยหายใจให้บ็อบบี้ก่อนจะพาไปทางห้องพยาบาล ฮันบินทำท่าจะเดินแต่ถูกมินโฮเรียกตัวไว้เสียก่อน
“เขาไม่เป็นไรหรอก ตามฉันมา”
“ทำไมคุณถึง...”
“รู้เรื่องที่พวกนายออกไปน่ะเหรอ”
“ครับ”
ฮันบินพยักหน้าอย่างสำนึกผิด ทั้งละอายที่ทำไม่สำเร็จแต่มินโฮกลับหัวเราะออกมา
“นายคิดว่าหมอนั่นจะพานายออกไปเสี่ยงทั้งๆ ไม่มีแผนอะไรเลยงั้นเหรอ ?”
“หมายความว่ายังไง ?”
ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ฮันบินจ้องมินโฮเพื่อรอคำตอบ แววตาของเด็กซื่อที่ทำให้ใครๆต่างก็ต้องยอมใจอ่อนและยอมทำตาม
“ไม่แปลกใจว่าทำไมหมอนั่นถึงรักนายมาก”
“เอ๋ ?”
“ก่อนที่พวกนายจะออกไปบ็อบบี้มาหาฉัน เขาบอกแผนที่จะไปหาซึงฮยอนทั้งหมด”
“รู้ไหมว่าทำไม ?”
“ทำไมฮะ ?”
ฮันบินขมวดคิ้วจนมันแทบจะซ้อนกันอยู่แล้ว มินโฮเดินไปเรื่อยๆระหว่างทางเชื่อมของอาคาร รอบๆเป็นกระจกใสที่มองเห็นข้างนอก มันเป็นเหมือนภาพถ่ายที่เขามองทุกวันภาพของกองทัพที่เป็นเหมือนชีวิต
“เพราะเขากลัวว่าจะพลาดไง เขาบอกฉันว่าถ้าวันนี้ไม่กลับมาให้ตามหานายแล้วพากลับมาที่นี่ เรื่องจุนฮเวฉันก็รู้ฉันประสานกับทางตำรวจให้บุกจับพวกของซึงฮยอน แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนั่นก็มีไม้ตายเหมือนกัน ก่อนหน้าที่นายจะมาจินฮวานโทรบอกฉันแล้วถึงได้ออกมาต้อนรับ”
ฮันบินยืนอ้าปากค้างกับทุกอย่างที่มินโฮเล่า เขาคาดไม่ถึงสักอย่างทั้งเรื่องจุนฮเว เรื่องกลับมากองทัพ แล้วก็อะไรอีกหลายๆอย่าง
“หมอนั่นทำทุกอย่างก็เพื่อนาย เขาไม่อยากให้นายต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”
“แต่ผมก็พร้อมที่จะอยู่ข้างเขาเสมอ”
“หมอนั่นไม่ได้คิดแบบนั้น ความสุขของนายต่างหากที่เขาต้องการ”
ทุกอย่างมันดูซับซ้อนจนฮันบินคิดว่าเขาไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่ต้องการก็คืออยู่กับบ็อบบี้ต่อให้ต้องวิ่งหนีหรือต้องหลบซ่อนไปอีกสักครึ่งชีวิตเขาก็ทำได้
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ดูเหมือนแผนของหมอนั่นจะสำเร็จ”
“แผน ?”
“รอฟังข่าวพรุ่งนี้เถอะ ฉันว่านายควรจะไปอยู่ข้างๆหมอนั่นตอนที่เขาตื่นนะ”
อธิบายก็เหมือนไม่อธิบาย ฮันบินยืนเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดสักพักก่อนจะขอตัวออกมาแบบไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง มินโฮมองตามหลังของอีกคนพรางยิ้มออกมากับท่าทางซื่อๆของเขา จริงอย่างที่บ็อบบี้บอกสำหรับเด็กคนนี้เขาแลกได้ทุกอย่าง
ฮันบินนั่งอยู่เงียบๆในห้องพักคนไข้ แผลของบ็อบบี้ถูกทำใหม่จนสะอาด เขากำลังหลับอย่างสบายในห้วงนิทราของเขา แต่อีกคนที่อยู่ข้างๆกลับรู้สึกสับสนอยางบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่พวกเขาต่อสู้ด้วยกันสิ่งแรกที่รู้สึกคือความห่วงใย ต่อให้ต้องหนีจนหมดแรงเขาก็ยังรู้สึกปลอดภัย แต่ทำไมอีกคนตรงนี้กลับนึกถึงเพียงแค่คนอื่น ทำไมถึงอยากให้มีความสุขต่อให้ตัวเองต้องจากไป
มันไม่ยุติธรรม...ไม่เลยจริงๆ
น้ำตาใสๆไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกมายมายที่วนเวียนอยู่ในใจตอนนี้มันกำลังบีบให้เจ็บ พยายามที่นึกถึงวันที่ไม่มีอีกคนอยู่ข้างๆแต่ก็ทำไม่ได้
เสียงสะอื้นดังขึ้นในความเงียบคือความรู้สึกทั้งหมดตอนนี้
“มีอะไร ?”
เสียงแหบพร่าของคนที่ตื่นขึ้นมาเป็นเหมือนคำปลอบโยน ฮันบินปาดน้ำตาแล้วขยับเข้าไปใกล้จับมือของอีกคนขึ้นมาแนบที่แก้ม ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่กลับคิดถึงจนแทบจะขาดใจ
“อย่าทิ้งผมไป”
ฮันบินพูดออกมาเสียงสั่นเครือแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนนองทั้งสองแก้ม
“ทำไมฉันต้องทิ้งนาย”
“ไม่รู้ แต่อย่าทิ้งผมไป”
“นายคือทั้งชีวิตของฉัน”
บ็อบบี้พูดเสียงเบา แต่ฮันบินได้ยินชัดเจน หันไปสบตากับดวงตาเรียวเล็กที่อ่อนล้า ขยับเข้าไปใกล้แล้วจูบเบาๆที่ริมฝีปากของอีกคนเพื่อย้ำว่าเขายังอยู่ตรงนี้
“จะไม่ทิ้งผมไปใช่มั้ย ?”
“ไม่มีวันอยู่แล้ว”
รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา บ็อบบี้เช็ดน้ำตาทั้งสองแก้มที่เปียกชื้น เขายิ้มให้อีกคนอย่างโอนโยนก่อนจะดึงลงมาแล้วจูบย้ำอีกครั้ง
“อีกไม่นานหรอก ทุกอย่างจะจบจริงๆ”
แสงอาทิตย์ของวันใหม่โผล่เหนือหมู่เมฆและขุนเขา สาดเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมปลุกให้คนที่กำลังหลับตื่นขึ้นมาเพื่อรับวันใหม่
“ตื่นแล้วเหรอฮะ ?”
คนแรกที่เจอก็ยังเป็นคนเดียวกันที่ส่งเข้านอน
“พวกนายขัดคำสั่ง”
ความสุขมักผ่านไปเร็วตามเวลา ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าตึงเครียดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่ง”
ฮันบินยืมก้มหน้ารับผิด รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้แต่บ้อบบี้กลับนอนนิ่งๆเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“แล้วเป็นไง ซมซานกลับมา”
“แต่ซึงฮยอนถูกจับนะครับ”
“พวกนายไม่รู้หรือไง เรื่องของซึงฮยอนมันคือเรื่องของพวกเรา แต่ในเมื่อทหารจับมันได้ทุกอย่างจะอยู่ในอำนาจของตำรวจ หลักฐานที่เรามีก็ต้องส่งให้ตำรวจรับผิดชอบแล้วเราจะทำอะไรไม่ได้เลย”
น้ำเสียงโกรธเคืองจนแทบจะพ่นไฟได้ของผู้บังคับบัญชาฯ ทำเอาฮันสะดุ้งจนต้องก้มหน้าไว้อย่างเดิม มันก็ถูกเพราะยังไงหลักฐานทั้งหมดก็ยังอยุ่ในนั้น
“พวกนายทำผิด ต้องได้รับการลงโทษ พวกนายถูกจับ”
“ได้ไงล่ะครับ”
“พวกนายทำงานไม่สำเร็จ ข้อตกลงถือเป็นอันยกเลิก”
“ไม่มีข้อตกลงไหนถูกยกเลิกหรอกครับ”
มินโฮเดินเข้ามาพร้อมกับนายทหารอีกสองสามคนที่ถือแฟ้มเอกสารมาด้วย
“หมายความว่ายังไง ?”
“หมายความว่าพวกเขาทำสำเร็จ”
นายทหารสองคนที่อยู่ด้านหลังยื่นเอสารให้ผู้บังคับบัญชาฯดู เขาเปิดมันดูด้วยความสงสัย ทั้งข้อมวลการค้า เอกสารการโอนเงิน รายชื่อลูกค้ารายใหญ่ สัญญาการเปิดธุรกิจเถื่อนอีกนับมาถ้วน หลักฐานทั้งหมดมากพอที่จะเอาผิดซึงฮยอนได้แบบที่ดิ้นไม่หลุด
“ก็...ก็ดี
“แต่ผมมีข้อตกลงเพิ่มอีกอย่าง”
มินโฮพูดขึ้นตอนที่หัวหน้าของเขากำลังเดินออกไปจนต้องชะงัก เขายื่นเอกสารอีกชุดที่ถือเข้ามาด้วยให้กับหัวหน้า
“ผู้ต้องหาอีกสองคนที่ถูกหมายจับ พวกเขาเป็นคนเปิดเซฟ ผมว่าน่าจะมีอะไรตอบแทนให้พวกเขานะครับ”
ดูเหมือนงานนี้คนที่หัวเสียจะเป็นผู้บังคับบัญชาฯที่ตอนแรกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มินโฮยิ้มออกมาก่อนจะทำความเคารพหัวหน้าที่กำลังเดินออกไปอย่างไม่พอใจนัก
“พวกเขามาที่นี่เหรอฮะ ?”
ฮันบินถามทันทีที่ทุกคนเดินออกไปเหลือแค่มินโฮ
“พวกเขามาเมื่อคืนแล้วก็รีบกลับไป บอกว่าที่นี่อยู่แล้วหายใจไม่ออก”
“แล้วพวกเขาทำยังไงถึงเปิดเซฟได้ ?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้พวกนายค่อยถามเขาเองเถอะ...แล้วนี่จะเอายังไงต่อ ?”
มินโฮมองคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ได้แต่นอนฟังทุกอย่างนิ่งๆปล่อยให้มินโฮจัดการ บ็อบบี้หลับตาลงเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง
“ช่วยผมอีกสักครั้งได้หรือเปล่า ?”
“ช่วย ?”
“ครับ...อีกครั้งเดียว”
โดมินิกัน!
ไม่มีอะไรสวยเท่าที่นี่อีกแล้ว
ฮันบินยืนมองทะเลเบี้องหน้าที่ตอนนี้กลายเป็นของเขาไปแล้วมันทั้งสวยและสงบ ลมเย็นๆที่พัดผ่านน่าน้ำสีครามกระทบผิวกายที่เนียนนุ่ม ราวกับความฝันที่เขายืนอยู่ตรงนี้
“ทำอะไรอยู่หน่ะ ?”
เสียงของอีกคนที่อยู่ในบ้าน ฮันบินหันไปมองคนที่เดินเข้ามาหาเขาถือเบียร์เข้ามาสองขวดแถมยังเปลือยท่อนอีก ก็แบบที่เขาชอบนั่นแหละน่ะ บ็อบบี้ยื่นเบียร์ให้ฮันบินเขารับมันมาอย่างว่าง่าย
“สวยใช่มั้ยล่ะ”
“ฮะ...ผมชอบที่นี่”
“แล้วทำไมยังต้องพกปืนไว้ตลอดเวลาด้วยล่ะ ?”
บ้อบบี้ล้วงเอาปืนพกสั้นที่อยู่ด้านหลังของฮันบินออกมา เขาวางมันไว้ข้างๆอย่างไม่สนใจ
“ก็ผมกลัวนี่ฮะ ?”
“กลัวฉันเหรอ ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย ผมกลัวพวกของซึงฮยอนต่างหาก”
“กลัวทำไม ?”
“ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะกลับมาแก้แค้นเราหรือเปล่า”
ฮันบินตอบเขากังวลจนสลัดมันออกจากความคิดของตัวเองไม่ได้ ถึงจะมั่นใจว่าอยู่ไกลจากพวกของซึงฮยอนแต่ก็ยังกลัวอยู่ดี
“ที่นี่ไม่มีใครให้มันแก้แค้นหรอก ?”
“ทำไมล่ะครับ ?”
“เพราะมีฉันอยู่ไง”
มันเป็นแค่คำคอบธรรมดาแต่ฮันกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ความห่วงใยและความอบอุ่น บ็อบบี้ยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วมองทะเลเบื้องหน้าเขายกยิ้มเล็กๆมุมปากเมื่ออีกคนยังจ้องเขาอยู่ข้างๆ
ฮันบินลพสายตาจากเขาแล้วมองไปยังที่หมายเดียวกัน ยกเบียร์ที่ตอนนี้ทั้งอร่อยและหวานขึ้นดื่ม
ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันก็แค่เรื่องที่ผ่านมาและอีกไม่นานก็จะผ่านไป หรือต่อให้เรื่องมันจะใหญ่มาหรือหนักมากแค่ไหนก็คงไม่มีผลอะไรอีกแล้ว ในเมื่อทุกอย่างมันจะจบลงด้วยมือของคนๆนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆตรงนี้
ทุกคำพูดเหมือนคำมั่นสัญญา
และเขาก็ไม่เคยผิดสัญญา
- จบ –
Part: My Type (Junhwan)
โตเกียว
สถานีตำรวจ ห้องฝากขัง
ซึงฮยอนถูกขังเดี่ยว แน่นอนล่ะว่าเพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เจ้าตัวกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวความผิดสักนิด เขานั่งอยู่บนเตียงนอนที่มีแค่ผ้ารองที่พืนเตียงกันหมอนแข็งๆและผ้าห่มที่ห่มยังไงก็ไม่รู้สึกอุ่น แถมห้องน้ำก็ยังอยู่ปลายเตียงใกล้ๆนี่อีก เขาหัวเราะหึในลำคออย่างหงุดหงิด มันต่างจากที่ที่เขาเคยอยู่ที่ๆเป็นเหมือนราชวัง
“ทำไม อยู่ไม่ได้เหรอ ?”
เสียงของใครคนนึงดังขั้นหน้าประตูที่มีแค่ช่องเล็กๆให้เห็นคนที่มาเยือน
“แกคงไม่ได้โดนจับหรอกจริงมั้ย”
เขาตอบกลับไปพรางลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู เด็กผู้ชายผมทองที่อายุห่างกันหลายปียืนอยู่ตรงหน้าเพียงแต่มีประตูเหล็กขั้นเอาไว้ระหว่างพวกเขา
“ฉลาดดีนี่”
“ต้องการอะไร ลายมือฉันเหรอ ?”
เขายกมือตัวเองขึ้นดูแล้วมองเด็กที่จ้องเขาด้วยแววตานิ่งเฉยๆแต่แน่วแน่
“จะเข้าถึงตัวฉันมันยากหน่อยนะ ไอ้น้อง!”
ครื๊ด!
ประตูเหล็กหนาที่ถูกกั้นถูกเปิดออกทันทีที่พูดจบ เด็กตรงหน้าก็คือจุนฮเวที่อยู่ในชุดนักโทษ ซึงฮยอนรู้แน่ว่าเด็กนี่ไม่ได้โดนจับ นิสัยโจรที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กกับแค่จะเข้ามาในห้องขังแบบนี้มันไม่ยากเกินไปหรอก
“ไม่ยากหรอกจริงมั้ย ?”
“อั๊ก!”
จุนฮเวรัวมัดใส่ซึงฮยอนไม่ยั้ง ทันทีที่ถึงตัวจนคนโตกว่าถวาไปชนกำแพง เขาถีบจุนฮเวจนเวออกมากก่อนจะพุ่งเข้าไปอัดเข้าที่หน้าจังๆ แต่อีกคนเร็วกว่าเขาสวนหมดกลับมาจนซึงฮยอนเซไปชนกับกำแพงอีกครั้ง จุนฮเวล้วงเอามีดพกขนาดเล็กออกมาแล้วจี้ที่คอของศัตรู มันคมมากพอที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ใหล้ที่สุดได้
“แล้วไง จะตัดมือฉันไปเหรอ”
“หึ! ฉันทำแน่ถ้าจะทำแต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ฉึก!
เข็มฉีดยาขนาดเล็กถูกแทงลงไปที่หลังหู ซึงฮยอนเบิกตากว้างเพราะรู้ว่ายานั่นคืออะไรก่อนทุกอย่างจะค่อยๆมืดลง จุนฮเวปล่อยให้ร่างของศัตรูล้มลงกับพื้นก่อนจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วแตะลงกระดาษแผ่นใสที่เอามาด้วย
“แก กับฉันยังต้องเจอกันอีกนาน”
SHOESBOX
PART:SPOT #DoubleB
จบแล้ววววววว!!
เอ๊ะๆ ตัวอย่างของพาร์ทต่อไปแว๊บๆ
#JunHwan
ฝากติดตามด้วยคร๊าบ
ความคิดเห็น