ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SHOESBOX

    ลำดับตอนที่ #1 : PART: SPOT [BOBBY X B.I]

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 58


    ชี้แจงแถลงไข

    #ฟิคshoesbox เป็นฟิคสั้นนะคะ (จริงๆ) เนื้อเรื่องจะอัพต่อกันเรื่อยๆ สำหรับใครที่เข้ามาอ่านต่อจะอัพต่ออยู่ด้านล่างๆเลย ต้องเลื่อนกันยาวมาก (อันนี้กราบขออภัยอย่างแรง) เพราะอยากให้มันจบเป็นพาร์ทๆ เป็นคู่ๆ เป็นเรื่องๆในตอนเดียว เพราะฉะนั้นต้องขอภัยจริงๆ และเค้าอัพบ่อยมาก (ทุกวันก็ว่าได้) เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งรำคาญการอัพของเรานะคะ แล้วก็ถ้าเจอคำผิดฝากทักด้วยนคะติดแท็ก #ฟิคshoesbox หรือทวีต @DAVINSBLOB  ก็ได้ค่ะเพราะบางคำเรามองไม่เห็นอาจจะไม่ได้แก้
    สุดท้ายแล้ว! ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม (ซาบซึ้งน้ำตาจิไหล) ฝากติดตามเรื่องนี้จนจบและเรื่องต่อๆไป (ในอนาคต) ด้วยนะคะ 

    อัพต่ออยู่ข้างล่าง!



    SHOES BOX

    PART: SPOT [BOBBY x B.I]

     

                “ตามมันให้ทันสิโว้ย!!

                “ซ้าย!

                “เร็วเซ้!

     

    แฮ่ก แฮ่ก !

    เสียงกระเส่าเพราะความเหนื่อยแข่งกับเสียงฝีเท้านับสิบที่ไล่ตามหลังอย่างกับฝูงหมาป่า คนถูกล่าแทรกตัวหลบในซอกตึกเล็กๆ อำพรางตัวในความมืด

    “มันหายไปแล้ว”

    “หามันให้เจอ! ไป”

    เสียงตะโกนสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนฝีเท้าจะค่อยๆเบาลงและเงียบไปในที่สุด

    คนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในความมืดฟุบตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงหลังจากดูจนแน่ใจว่าพวกที่เหลือไปกันหมดแล้ว

    ฟู่ว!

    ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาอย่างโล่งอก สูดอากาศกลับเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างกายที่ไม่ได้นอนมาเกือบสามวันมันล้าจนเดินแทบไม่ไหว ขาทั้งสองข้างสั่นจนก้าวไม่ออก

    เขาล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าตัวถูกล่า แต่กลับสำคัญมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก นึกแล้วก็น่าตลกที่ลูกกุญแจขนาดเท่าก้านไม้ขีดทำให้เขาต้องมาลุยเดี่ยวอยู่กลางประเทศที่ไม่คุ้นเคยอย่างรัสเซีย

    ครืด !

    เสียงข้อความจากมือถือในกระเป๋าผละความคิดน่าขันออกจากหัว เขาล้วงมันออกมาก่อนจะเปิดอ่านข้อความที่ทำให้มีแรงที่จะวิ่งต่ออีกสิกสิบกิโลเมตร


     

    กลับมาได้แล้ว คิม ฮันบิน

     

     

    “นายว่าหมอนั่นจะทำงานสำเร็จหรือเปล่า ?”

    “ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นลุยเดี่ยว”

    “ปานนี้โดนสอยไปแล้วมั้ง”

    “เออว่ะ...ไปนานขนาดนี้ ควรขุดหลุมรอไหมวะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

    ปัง!

    ลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนพกสั้นถูกยิงแสกกลางวงสนทนาที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกปาก มันเฉี่ยวปลายผมของคนที่เริ่มตั้งหัวข้อบทสนทนาคนแรกไปนิดเดียว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้า อ้าปากค้างราวกับถูกกดปุ่ม Pause เอาไว้

    “ถ้ามีเวลว่างนินทาคนอื่น กลับไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ลูกชายที่บ้านดีกว่านะ”

    เสียงแหบทุ้มกับแววตาที่ฆ่าคนได้แค่เสี้ยววินาที ทำเอาคนอายุมากกว่าสามคนที่จับกลุ่มนินทาต้องหุบปากแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ผู้ชายตัวสูงที่สวมแค่เสื้อคลุมสีดำไว้บนไหล่ ผ้าพันแผลสีขาวถูกพันรอบเอวจนเกือบจะถึงอก

    “เฮ้! พวกเราแค่ล้อเล่นน่า”

    “แต่มันก็น่าคิดไม่ใช่หรือไง ปานนี้แล้วหมอนั่นยังไม่กลับมาอีก”

    “บางทีเขาอาจพลา...”

    โครม!

    “อั๊ก!

    “ใจเย็นน่า”

    ผู้ชายผมทองรีบเข้ามาห้ามทันที่เพื่อนอีกคนของเขาถูกเอาปืนกรอกปาก คนเด็กกว่าบีบคางคนแก่กว่าและตัวเล็กกว่านิดหน่อยเอาไว้ อัดปากกระบอกปืนเข้าไปลึกจนแทบจะถึงลำคอ

    “หุบปากเน่าๆของแกซะ”

    “อั๊ก!

    คนแก่กว่ายกมืออย่างยอมแพ้ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถึงคนตรงหน้าจะเด็กกว่าแต่แววนั่นแน่วแน่เสียจนน่ากลัว มันสื่ออกมาว่าเขาทำจริงแน่ถ้าหากยังปากดีต่อไปเรื่อยๆ

    “เลิกตีกันได้แล้ว”

    เสียงห้ามของบุคคลที่เพิ่งจะเข้ามาช่วยชีวิตคนปากเก่งเอาไว้ ปากกระบอกปืนถูกดึงออกอย่างไม่สนใจว่าอีกคนจะเจ็บ เขาโยนมันทิ้งไปข้างๆก่อนจะตรงเข้าไปหาคนที่มาใหม่แทน ผู้ชายผิวเข้มตัวสูงพอๆกับเขากำลังยืนกอดอกอยู่ที่ประตู

    “ปืนนั่นกระสุนมีแค่นัดเดียวจริงไหม แล้วนายก็ยิงไปแล้ว”

    “หึ”

    เสียงหัวเราะหึในลำคอเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ใช่ปืนนั่นมีกระสุนแค่นัดเดียว

    “ฉันมีเรื่องให้นายได้หัวเราะมากกว่านี้อีก”

    “อะไร ?”

    “ไปดูเองเถอะ”

    ใบหน้าทีกำลังยิ้มเหมือนจะบอกว่าเป็นข่าวดี และมันทำให้อีกคนตื่นเต้นจนต้องรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าตัวเองกำลังเจ็บแผลที่สีข้างอยู่

    “ขอบใจนะ ซง มินโฮ”

    กว่าจะตั้งสติได้มินโฮก็เกือบเดินออกไปแล้ว แต่คนที่ยังเจ็บอยู่ที่ปากก็พยายามที่จะบอกขอบคุณ

    “บ็อบบี้ไม่ใช่คนที่จะไว้ชีวิตใครง่ายๆหรอกนะ”

     
     

    อย่าพูดถึงของของเขาแบบนั้นอีก


     

     

    “ดีใจที่กลับมาได้นะ”

    “เกือบไม่รอดเหมือนกันครับ”

    “แต่น่าจะมีคนที่ดีใจกว่า”

    ยุนฮยองพยักเพยิดหน้าไปทางที่กำลังมีคนวิ่งเข้ามา ผู้ชายที่มีแค่เสื้อคลุมไหล่กับผ้าพันแผล

    “หวังว่าคงได้พักผ่อนนะฮันบิน”

    คำพูดทิ้งท้ายของยุนฮยองทำเอาฮันบินหน้าขึ้นสีจนต้องรีบหลบสายตา

    บ็อบบี้หยุดวิ่งตรงหน้าแล้วเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่โล่งอก ตลอดเวลาที่ฮันบินออกไปคนเดียวมันทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าฮันบินจะแกร่งพอที่จะทำงานให้สำเร็จหรือเปล่า และนั่นมันทำให้หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ

    มือเรียวของคนเด็กกว่าเต็มไปด้วยบาดแผล ร่างกายช้ำเป็นจ้ำๆ แถมยังผอมซูบและโทรมจนน่าใจหาย เขาสัมผัสเบาๆที่ผ้าพันแผลสีขาวอย่างกังวล

    “หายเจ็บหรือยังครับ ?”

    คำถามกับแววตาใสซื่อของอีกคนทำเอาหัวใจที่เต้นโครมครามนั่นวูบลงอย่างบอกไม่ถูก

    นึกไม่ออกจริงๆในวันที่ขาดเด็กคนนี้ไป มันจะแย่สักแค่ไหน

    ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา คนโตกว่าคว้าแขนของอีกคนเข้ามา กอดรัดร่างบางเอาไว้แน่นจนแทบจะจมไปกับกล้ามของตัวเอง ฮันบินเบิกตากว้างเพราะความตกใจ บ็อบบี้ไม่สนด้วยซ้ำว่าคนอื่นๆกำลังมองเขาอยู่

    “ขอโทษนะ”

    เสียงแหบทุ้มนั้นกระซิบเบาๆข้างหู มันฟังดูเศร้าและกำลังโทษตัวเอง ฮันบินยืนเงียบได้แต่กอดตอบกลับไปเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเจ้าตัวเป็นคนตัดสินใจลุยเดียวเอง

    ถ้าหากจะรอแต่บ็อบบี้ ฮันบินอาจจะทำอะไรไม่เป็นเลยก็ได้

     

     
     

    3 ปีก่อน

    LONDON

    ปัง ปัง ปัง!

    เสียงปืนดังสนั่นใจกลางเมือง เสียงหวีดร้องเพราะความตกใจของผู้คนทำเอาคนในระแวกนั้นแตกตื่นวุ่นวายไปหมด ธนาคารหลักของเมืองถูกปิดล้อมด้วยตรวจหลายสิบนายเฝ้าระวังพร้อมอาวุธครบมือ

    “ใจเย็นๆ ผมไม่มีอาวุธเราเจรจากันได้”

    คำพูดหว่านล้อมตามแบบที่ได้รับการฝึก จินฮวานหัวหน้าชุดตำรวจยืนอยู่ทางเข้า พร้อมยกมือทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่าปราศจากอาวุธเพื่อเข้าเจรจากับกลุ่มปล้นธนาคาร หลังจากถูกตำรวจนอกเครื่องแบบสาดกระสุนเข้าไปไม่ยั้ง ก่อนจะหยุดลงหลังจากได้รับคำสั่ง

    “เอาไงล่ะทีนี้”

    จุนฮเวหนึ่งในกลุ่มที่หลบอยู่หลังเคาเตอร์ หันไปถามบ็อบบี้ที่ดูท่าทีอยู่ใกล้ๆ

    “อยากให้เงินทั้งหมดนี่เป็นของตำรวจหรือเปล่าล่ะ”

    “ไม่อยู่แล้ว”

    “ฉันจะรอที่โดมินิกัน”

    พูดแค่นั้นก็ทำให้คนเด็กกว่าเข้าใจว่าต้องทำยังไง บ็อบบี้คว้ามืออีกคนที่อยู่ข้างๆค่อยๆเดินหลบไปตามเคาเตอร์ ปล่อยให้จุนฮเวหาทางรอดด้วยตัวเอง เขามั่นใจว่าเด็กนั่นไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับแน่

    “ตำรวจเต็มไปหมด เราจะทำยังไง”

    ฮันบินถามออกมาอย่างกังวลขณะที่ถูกบ็อบบี้ลากออกมาอีกฝั่งจากเคาเตอร์ มองไปรอบๆที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างที่พอจะละสายตาจากตำรวจได้ หรือพูดง่ายๆแทบจะไม่มีทางรอดเลย

    “นายกลัวหรือไง ?”

    “ผมเปล่าสักหน่อย! แต่แค่กำลังหาทางออกต่างหาก”

    ทันทีที่ถูกถามเหมือนจะดูถูก เจ้าตัวก็รีบปฏิเสธทันควันจนอีกคนยิ้มออกมาเหมือนเป็นเรื่องตลก ทั้งๆที่ตอนนี้บรรยากาศมันน่าซีเรียสมากกว่า

    “ก็ดีแล้วฉันไม่ชอบคนขี้ขลาด”

    “?”

    “ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ”

    แล้วมันหมายถึงอะไรล่ะนั่น

    ปัง!

    เสียงปืนดังมาจากฝั่งของจุนฮเว นั่นเป็นสัญญาณว่าได้เวลาชิ่งแล้ว ฮันบินหันกลับไปมองคนเด็กกว่าที่กำลังสาดกระสุนสะเปะสะปะ

    จินฮวานรีบหลบหลังเสาร์ต้นใหญ่ข้างหน้า ล้วงเอาปืนที่ซ่อนไว้ในกางเกงออกมาถือไว้แน่น ส่งสัญญาณให้ลูกทีมพร้อมลุยก่อนจะเป็นคนนำเข้าไป

    กระสุนหลายสิบนัดสาดเข้ามาจนกระแจกแตกเป็นเสี่ยงๆ จุนฮเวมองซ้ายขวาเพื่อหาตัวช่วย

    ปัง ปัง ปัง!

    ฮันบินสะดุ้งหันขวับไปมองต้นเสียง เขาเห็นบ็อบบี้กำลังเหนี่ยวไกไม่ยั้งใส่ตำรวจที่พยายามจะเข้ามาข้างใน กลิ่นคาวเลือดทำเอาขนลุกจนต้องลดตัวลงต่ำเพื่อหลบกระสุน

    “ไง...ไหนบอกไม่กลัว”

    น้ำเสียงที่เหมือนจะเยาะเย้ยมากกว่า มันน่าหงุดหงิดแต่ต้องเก็บเอาไว้แล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง ฮันบินสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วโผล่ขึ้นมาจากเคาเตอร์ยืนอยู่ข้างๆบ็อบบี้ เหนี่ยวไกปืนในมือ เทคนิคของเขาคือเล็งเป้าหมายแล้ว...

    ปัง!

    นัดเดียวต้องเก็บให้ได้หนึ่ง

    “เจ๋งนี่ แต่ไม่ใช่เวลาโชว์เท่ห์....พาพวกที่เหลือขนเงินออกไป ฉันจะดึงความสนใจของตำรวจเอง”

    “แต่ว่า...”

    “ไปเซ่!

    ฮันบินหน้าถอดสีที่ต้องทิ้งบ็อบบี้กับจุนฮเวไว้ แต่อีกคนกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัว ตรงกันข้ามยังน่ากลัวจนไม่อยากเข้าใกล้

    ตูม!

    เสียงระเบิดจากข้างนอกมันเสียงดังและแรงจนต้องหาที่หลบ บ็อบบี้กดหัวฮันบินลงข้างล่างแล้วใช้ตัวเองเป็นเกราะ ได้ยินเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดของตำรวจด้านนอกที่โดนแรงกระแทก

    กลุ่มเฝ้าระวังข้างนอกโยนระเบิดใส่รถตำรวจหลายคันที่จอดอยู่ ร่างตำรวจหลายนายกระเด็นเหมือนกับตุ๊กตาที่เคยเล่นสมัยเด็กแต่มันสยองกว่านั้น

    “ไปได้แล้ว”

    บ็อบบี้บอกพรางผลักหลังฮันบินให้วิ่ง เจ้าตัวสาวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องวิ่งไปสมทบกับคนอื่นๆที่กำลังขนเงินอยู่ในห้องนิรภัยของธนาคาร

    แต่ทว่าคนที่รอจังหวะอยู่ข้างนอกกำลังหันปลายกระบอกปืนตามหลังฮันบิน จินฮวานที่กำลังเล็งเป้าหมายเขาพร้อมเหนี่ยวไกทันทีที่เป้าหยุดนิ่ง

    “พี่!

    จุนฮเวตะโกนบอกบ็อบบี้ที่กำลังมัวมันกับการสาดกระสุนใส่ตำรวจที่เหลือ เขาละสายตาจากตรงหน้า มองผู้ชายที่กำลังจะเหนี่ยวไก...

    ปัง!




    [ CUT ต่อใน TWITTER ]

     

    คืนที่เงียบสงบปราศจากสงคราม แน่นอนว่าในค่ำคืนที่เป็นดั่งฝันแบบนี้ใครๆก็อยากจะออกมารับลมก่อนข้านอน มินโฮเองก็เช่นกัน

    บนดาดฟ้าของตึกบัญชาการทหาร มันทำให้มองเห็นบราซิลในมุมกว้าง มันทั้งสวย น่าหลงใหล เหมือนสาวงามที่ยืนเรียงรายรอให้เชยชม

    “มารับลมเหมือนกันเหรอ ? บ็อบบี้”

    ไม่ทันจะได้เห็นหน้า เพียงแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าเจ้าของคือใคร

    “พี่ยังแม่นเหมือนเดิมไม่เลยนะ”

    “ก็พอๆกับนายนั่นแหละ ฮันบินเป็นไงบ้าง”

    มินโฮถามถึงบุคคลที่สามที่เขาเองก็เอ็นดูอยู่ไม่น้อย บ็อบบี้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนจะไม่อยากตอบก่อนจะเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆพร้อมกระป๋องเบียร์ในมือ

    “หลับไปแล้ว”

    “แปลกน่ะ ที่หมอนั่นอุตสาลุยเดียวทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะพลาดมากกว่าสำเร็จ”

    “น่าทึ่งใช่มั้ยล่ะ”

    “ก็ประมาณนั้น”

    มินโฮมองออกไปยังท้องฟ้ามืดแต่กลับสวยงาม แผ่นฟ้าผืนใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่น่าแปลกที่คนนับร้อยเดินทางมาเจอกันได้ จะน่าทึ่งหรือน่าขันดีเพราะในบรรดาร้อยคนนั้นก็มีพวกที่ชอบขวางโลกปะปนอยู่ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม

    “นึกถึงวันเก่าๆอยู่รึยังไง ?”

    บ็อบบี้หันไปถามพี่ชายคนสนิท ที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนคนแก่กำลังรำลึกความหลัง

    “หึ...ฉันกำลังคิดว่า ทำไมตอนนั้นถึงได้ดึงโจรอย่างนายเข้ามาร่วมทีมกับทหาร”

    “อะไรกัน พี่จะยกเลิกข้อตกลงหรือไง”

    “ไม่หรอกน่า ก็แค่นึกสงสัย”

    “ผมฝีมือดีล่ะมั้ง”

    “ไอ้เด็กนี่”

    มินโฮหัวเราะร่วนออกมากับคำพูดหลงตัวเองของคนเป็นน้อง แต่มันก็จริงนั่นแหละเพราะบ็อบบี้ฝีมือดีจนกองทัพทหารยอมรับถึงได้ดึงตัวเข้ามาในทีมเพื่อทำการใหญ่ แต่มันก็แลกกับข้อเสนอที่เขาต้องได้ถ้าหากยอมตกลง

    ประวัติและคดีทั้งหมด ถ้าลบมันได้ผมจะยอมเข้าร่วม

     

    ข้อเสนอที่เป็นเหมือนคำขาด มันเลือกที่จะปฏิเสธไม่ได้สำหรับโจรระดับโลกอย่างเขา ปล้นธนาคาร ขโมยรถ ทำลายตึก แต่กลับบริจาคเงินหลายสิบล้านให้กับคนยากไร้ โรบินฮูดในยุค 2015 เลยก็ว่าได้

    “แล้วทำไมถึงตัดสินใจยอมร่วมมือกันล่ะ”

    น้ำเสียงของคนโตกว่าฟังดูเครียดจนอีกคนต้องกระดกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วหันไปมองคนข้างๆ

    “อิสระ และการแก้แค้น”

    “นายกับพวกของซึงฮยอนมีเรื่องอะไรกันงั้นเหรอ ?”

    นี่อาจจะเป็นความรู้ใหม่ของมินโฮเลยก็ว่าได้ ตลอดเวลาเกือบสามเดือนที่ร่วมงานกันมาเขาแทบจะไม่เคยถามถึงเหตุผลว่าทำไมบ็อบบี้ถึงยอมเข้าทีมด้วย

    “มันทำลายครอบครัวของผม”

    “ครอบครัว ?”

    “หกปีก่อน พ่อกับแม่ส่งผมไปญี่ปุ่น พวกเขาให้เหตุผลว่าผมควรจะออกสู่โลกกว่างทั้งๆที่อายุแค่ 14 แต่มารู้ทีหลังว่าพวกเขาถูกซึงฮยอนตามล่า ผมไม่ได้ข่าวพวกเขาเลยตลอดหกเดือนที่อยู่ที่นั้น รู้อีกทีก็ตอนที่กลับมาลอนดอน พวกเขาถูกฆ่าตาย”

    “พ่อกับแม่นายเคยทำงานให้พวกมันเหรอ ?”

    มินโฮจ้องหน้าของเด็กหนุ่มที่แววตามเต็มไปด้วยความแค้นแต่แฝงไปด้วยความเศร้า มันหลายอารมณ์จนน่าแปลกใจที่เขาซ่อนมันเอาไว้นานขนาดนี้ บ็อบบี้กระดกเบียร์เข้าปากอีกครั้งเพื่อระงับไฟที่กำลังก่อตัวในใจ

    “พวกเขาเป็นแฮกเกอร์ แต่พอแม่มีผมก็อยากจะวางมือ พ่อเลยขอร้องให้พวกมันมอบอิสระภาพให้ แต่มันก็แค่ความสุขเพียงชั่วคราว”

    “นายเลยอยากแก้แค้น โดยการร่วมมือกับพวกเรา”

    “มันเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไง ผมได้แก้แค้นโดยที่ไม่มีความผิด”

    “ถ้านายกลัวความผิด แล้วทำไมถึงทำผิดตั้งแต่แรกล่ะ”

    คำถามนั้นเหมือนจะทำให้ความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัวชะงัก บ็อบบี้หันหลังให้กับเมืองบราซิลแล้วมองเข้าไปในตึกแทน

    “เพราะผมไม่เหลืออะไร ผมอยากทำอะไรที่มันบ้าระห่ำให้เต็มที่”

    “โดยการปล้นไปทั่วโลก”

    “ก็ทำนองนั้น”

    คำตอบของเด็กหนุ่มที่ทำให้มินโฮอึ้งไปหลายครั้ง ทั้งเรื่องราวชีวิตที่ไม่เคยรู้มาก่อน ต่อให้พวกเขาจะรู้จักกันมาสักพักตั้งแต่สมัยวิ่งไล่ล่ากันก่อนที่จะยอมจับมือกันก็ตาม มินโฮไม่เคยถามถึงความหลังของบ็อบบี้รู้แค่ว่าเขาเป็นโจรที่กระหายเงิน แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเขาไม่เคยกลัวตายเลยสักครั้ง ต่อให้มีปืนสักสิบกระบอกจ่อตรงหน้าก็ตาม

    “แล้วฮันบินล่ะ นายจะหิ้วเขาไปทุกที่ด้วยหรือเปล่า ?”

    บ็อบบี้เงียบไปสักพักเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ฮันบินเป็นคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้ จุนฮเวที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็หายไปตั้งแต่วันนั้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากลากฮันบินไปเสี่ยงด้วย

    “ชีวิตหมอนั่นก็ไม่ต่างจากนาย ไม่มีครอบครัว ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด เขาอยู่กับนาย ยอมเสี่ยงตายแทนนายเหมือนกับว่านายคือโลกทั้งใบของเขา”

    “ผมไม่เคยบังคับใครให้เป็นหรือตาย เขาเลือกได้ว่าจะอยู่หรือไป”

    ใช่! ไม่เคยเลยสักครั้งที่บ็อบบี้จะบังคับหรือพยายามผลักให้ฮันบินออกห่าง ตรงกันข้ามเขาอยากจะให้อยู่ใกล้ๆตลอดเวลาด้วยซ้ำไป

    “งั้นเหรอ เด็กคนนึงที่กำลังติดยาจนกลายเป็นเด็กเร่ร่อน เจอกับโคตรโจรที่ดึงเขาออกมาจากนรกของยาเสพติด เขาเห็นนายเป็นมากกว่าพี่ชาย คนรักหรือพ่อแม่ เขาเห็นนายเป็นพระเจ้า”

    เรื่องนั้นไม่บอกก็รู้สึกได้ บ็อบบี้นิ่งไปกับคำพูดของมินโฮ ทุกครั้งที่ได้คุยกันตามลำพังมันเหมือนกับการเตือนสติให้รู้อยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร ไม่ได้มีคำพูดสวยหรูอะไรมากมายแต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

    “แผลนั่นน่ะ ใกล้หายดีหรือยัง ?”

    “อือ!

    “ฮันบินรู้หรือเปล่าว่านายได้มันมายังไง”

    “ผมไม่ได้บอก”

    นายควรจะบอกเขานะ แผลที่เขาเป็นคนทำหน่ะ


     

    “เจอไหม ?”

    “ไม่เจอเลยครับ”

    “เป็นไปไม่ได้ที่ฮันบินจะหายไปดื้อๆแบบนี้”

    น้ำเสียงกังวลของมินโฮทำเอานายทหารที่ระดมกำลังตามหาฮันบินทั่วทั้งพื้นที่กังวลไปด้วย หลังจากหกชั่วโมงก่อนหน้าที่ฮันบินหายไป

    บ็อบบี้ที่อยู่ไม่ไกลพยายามติดต่อแต่ก็ไร้การตอบรับทั้งโทรศัพท์และเครื่องติดตาม ทุกอย่างถูกตัดสิญญาณเหมือนกับว่าที่ฮันบินหายไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    “ผมเจอนี่ในป่าหลังกองทัพ”

    นายทหารที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์และเครื่องติดตามของฮันบิน มันถูกทำลายจนพังเละ แถมยังมีคราบเลือดติดอีกด้วย

    “บ็อบบี้...”

    มินโฮหันไปมองบ็อบบี้ที่กำลังจ้องกลับมา แววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหารมันแผ่รังศีออกมาจนน่าขนลุก

    “นั่นนายจะไปไหน ?”

    “ผมจะไปตามหาฮันบิน”

    “ไม่ได้นะ”

    คนเป็นพี่รีบวิ่งเข้าไป บ็อบบี้โกรธจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

    “ฮันบินไม่ได้หายไปธรรมดานะ ต้องมีใครหวังผลประโยชน์แน่”

    “แล้วใครล่ะ!

    “ใจเย็นๆก่อน”

    ต่อให้พยายามเกลี้ยกล่อมแค่ไหนแต่ดูเหมือนไฟที่กำลังลุกนั่นไม่ยอมอ่อนลงเลย มินโฮถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองที่ซากโทรศัพท์นั่นอีกครั้ง

    “เข้าไปข้างในก่อน”

    “เกิดอะไรขึ้น”

    ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดเดินเข้ามาถามหลังจากทราบเรื่องของฮันบิน ทุกคนต่างกังวลเรื่องที่ฮันบินหายไปเพราะมันอาจจะเกี่ยวข้องกับราชการ

    “ตอนนี้พวกเรายังไม่ทราบข้อเท็จจริงครับ”

    “ผู้ก่อการร้ายเหรอ”

    “ไม่น่าจะใช่ พวกนั้นจะไม่ลอบกัดกองทัพแบนี้ มันน่าจะมีแผนอะไรที่มากกว่านั้น”

    มินโฮตอบ ตอนนี้เขาคิดได้แค่อย่างเดียวและมุ่งเป้าไปที่ซึงฮยอน บางทีพวกมันอาจจะต้องการเอาเซฟคืนถึงได้เล่นงานคนในทีม โดยเฉพาะฮันบินที่เป็นจุดอ่อนของบ็อบบี้

    “อย่าเพิ่งวู่วามทำอะไรโดยที่ฉันไม่ได้สั่ง”

    ดูเหมือนจะมีคนอ่านความคิดของบ็อบบี้ออก ถึงได้พูดดักทางเอาไว่ก่อนที่เขาจะทำอะไรผลีผลาม

    “ครับ”

     

    ไร้ข่าว ไร้วี่แวว ไร้การติดตาม

    บ็อบบี้ยังคงถูกห้ามออกจากกองทัพจนกว่าจะมีคำสั่ง เขาได้แต่เดินไปรอบๆเผื่อจะเจออะไรที่มากกว่ารอยการต่อสู้ พยายามที่จะไม่นึกถึงเหตุการ์ที่ฮันบินเจอ

    “บ็อบบี้...”

    เสียงตะโกนของนายทหารที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา คนถูกเรียกหันไปมองกับหน้าตาที่ตื่นตระหนัก

    “มีอะไร ?”

    “ฮ...ฮันบิน ฮันบินกลับมาแล้ว...”

    “ว่าไงนะ”

    “เดี๋ยว!

    ไม่ทันจะได้พูดต่อ คนที่กำลังดีใจก็รีบวิ่งออกไป

    นายทหารนับสิบที่ยืนต้อนการกลับมาของฮันบิน พวกเขาต่างยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เพื่อนร่วมทีมกลับมาได้ แถมยังปลอดภัยอีกด้วย

    “นายหายไปไหนมา”

    “ดีใจที่กลับมานะ”

    คำถามและคำต้อนรับมากมายดังอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าคนที่ถูกต้อนรับกลับนิ่งเฉย ไม่ยิ้ม ไม่ตอบ ไม่ทักทาย ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงรอบข้าง ราวกับไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จัก

    แววตาที่เปลี่ยนไปเหมือนเครื่องจักรกวาดไปรอบๆเพื่อหาใครบางคน

    “เดี๋ยวบ็อบบี้”

    มินโฮที่ยืนรวมอยู่ด้วยรีบเข้ามาดึงบ็อบบี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้าไปหาฮันบิน เจ้าตัวชะงักแล้วหันไปมองคนเป็นพี่ แววตาที่บอกว่านั่นไม่ใช่ฮันบินทำให้หัวใจยิ่งเต้นแรง

    ผู้ชายที่สวมชุดดำในมือถือปืนพกสั้นกล็อกที่อัดกระสุนเต็มแม็คเอาไว้

    “นั่นไม่ใช่ฮันบินคนเดิม”

    ไม่รู้หรอกว่านั่นจะเป็นคนเดิมหรือคนใหม่ รู้แค่ว่านั่นคือ คิม ฮันบิน

    บ็อบบี้เดินตรงเข้าไปหาผู้ชายที่ตอนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้า เขาไม่มีท่าทีว่าจะดีใจสักนิดที่เห็นคนรักของตัวเอง ตรงกันข้ามกลับน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

    ท่ามกลางความหวาดกลัวของคนอื่นๆบ็อบบี้กลับเดินเข้าไปแม้ตอนนี้ปากกระบอกปืนมันจะหันเข้ามาหาตัวเองก็ตาม

    “ถอยออกมาดีกว่าน่า”

    เสียงเตือนของเพื่อนร่วมทีมพยายามจะบอก แต่ไร้ประโยชน์

    “โผล่หัวออกมาสักทีนะ”

    แม้แต่คำพูดหรือน้ำเสียงก็ไม่ใช่คนที่รู้จัก บ็อบบี้ยังเดินเข้าไปไม่หยุดแม้ฮันบินจะทำม่าเหนี่ยวไกแล้วก็ได้ มินโฮที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองชัดเจน ระยะประชิดตัวขนาดนั้นฮันบินไม่พลาดแน่ กระสุนแรงพอที่จะเจาะผ่านกระโหลกได้สบาย

    “นายคือ ฮันบิน”

    “อั๊ก!

    “เฮ้ย!

    เสียงร้องเพราะความตกใจเมื่อฮันบินถูกอัดลงไปกองกับพื้น บ็อบบี้ปรี่เข้าไปประชิดตัวอีกคนเร็วจนมองแทบไม่ทัน ฮันบินพยุงตัวขึ้นแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากออก

    “เอางี้ก็ได้”

    ไม่มีใครคิดว่าบ็อบบี้จะทำแบบนี้ เขาอัดฮันบินเต็มแรงแล้วเตะปืนที่หล่นออกไป ยืนมองคนรักที่กำลังจ้องเขาราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บ็อบบี้ถอดเสื้อคุลมแขนยาวของเขาออกเหลือแค่เสื้อกล้ามสีดำ แค่ร่างกายก็ต่างกันมากแล้วแต่อีกคนไม่รู้สึกกลัวสักนิด

    ฮันบินวิ่งเข้าใส่แล้วอัดไปตรงๆแต่บ็อบบี้เบี่ยงตัวหลบทัน เขาอัดสวนไปที่ท้องจนตัวงอ

    ไม่มีคำพูดหรือท่าทางหวาดกลัวแม้ว่าฮันบินจะจุกจนแทบพยุงตัวไม่ไหวก็ตาม บ็อบบี้เดินเข้าไปหาแล้วดึงคอเสื้อจนอีกคนตัวลอย แต่คราวนี้ฝ่ายตอบโต้กลับถีบเข้าที่อกของฝ่ายตรงข้ามแรงๆจนกระเด็นแล้ววิ่งเข้าไปเตะซ้ำอีกรอบจนบ็อบบี้ถลาไปข้างหน้า

    “ถ้าวันนี้ฉันฆ่าแกไม่ได้ ฉันยอมตาย”

    คำพูดนั้นทำเอาคนที่หันมาตั้งสติถึงกับเบิกตากว้าง เขาแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ไม่มีฮันบินอยู่ที่นี่

    “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีทางเลือก”

    สิ้นประโยคบ็อบบี้วิ่งเข้าหาฮันบินแล้วกระหน่ำอัดเข้าที่ใบหน้าจนเลือดอาบ เตะซ้ำจนอีกคนทรุดลงกับพื้นและกระทืบที่ท้องแรงๆจนกระอักเลือดออกมากองโต

    คนตัวเล็กกว่าพยายามจะพยุงตัวเองขึ้นทั้งๆที่ร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง แต่ตอนนี้ไม่มีคนรักไม่มีคนรู้จัก ท่ามกลางความตกใจของนายทหารและมินโฮ

    เขายืนมองการกระทำอันป่าเถื่อนไร้ความปราณีแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนรักของบ็อบบี้อย่างใจเย็น

    “จำได้หรือยัง”

    บ็อบบี้ถามแม้อีกฝ่ายจะคงนอนหายใจหอบอยู่

    “จะ...จำได้แล้ว พี่บ็อบบี้”

    น้ำเสียงที่คุ้นเคยที่พยายามเปล่งออกมา บ็อบบี้เดินเข้าไปหาช้าๆ แววตาของลูกแมวที่เขาชอบมองกำลังมองเขาในตอนนี้ ค่อยๆพยุงร่างของคนรักขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เขาแทบจะขาดใจทุกครั้งที่ต้องทำให้ฮันบินเจ็บ

    “นายจำได้จริงๆเหรอ ?”

    “พี่ยัง...โง่เหมือนเดิมเลยนะ”

    ฉึก!

    “อั๊ก!

    ความเจ็บที่พุ่งไปทั้งตัวมันเจ็บจนแทบจะลุกไม่ขึ้น บ็อบบี้ปล่อยฮันบินออกจากมือของตัวเอง มีด SCHRADE ที่ฮันบินเลือกใช้เขาแทงมันจนสุดด้าม มันลึกมากพอที่จะทำให้คนถูกแทงเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ แต่อีกคนกลับพยุงตัวเองขึ้นแล้วยิ้มและหัวเราะอย่างสะใจ

    “อย่า!

    เสียงตะโกนห้ามของคนที่กำลังเจ็บทำให้นายทหารชะงัก พวกเขากำลังจะจับฮันบิน

    “ถ้านายต้องการอย่างนั้น ฮันบิน”

    บ็อบบี้ดึงมีดที่สีข้างออก แม้มันจะเจ็บจนแทบจะขาดใจก็ตาม แต่นี่คือวิธีสุดท้ายเขาจะเดิมพันมันด้วยชีวิต

    ฮันบินหัวเราะอย่างสมเพทกับร่างกายที่แทบจะยืนไม่ไหว เลือดที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุด ถ้าเขาจะจัดการมันก็ง่ายนิดเดียว

    แต่เขาไม่สนอยู่แล้ว

    ฮันบินวิ่งเข้าใส่บ็อบบี้อย่างไม่รีรอ ปล่อยหมัดไปตรงๆอีกครั้งคราวนี้บ็อบบี้กลายเป็นเป้านิ่งเขาไม่ตอบโต้แม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้ฮันบินรัวมัดใส่ตัวเองไม่ยั้งจนเซไปด้านหลัง

    เสียงหมัดอัดกับหน้าและลำตัวดังปึก บ็อบบี้ถอยจนหลังชนกำแพงปล่อยให้ฮันบินทำอย่างที่ต้องการจนตัวเองตาเริ่มพล่ามัว ฮันบินยืนหายใจหอบเพราะเขาเองก็บาดเจ็บไม่ต่างกัน

    “เหนื่อยแล้วหรือไง ?”

    “หึ!

    “ถึงคิวฉันแล้ว”

    “อั๊ก!

    ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตั้งตัว บ็อบบี้จับฮันบินแล้วอัดกับเข้ากำแพงแรงๆจนเลือดอาบทั้งหน้า ควักปืนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาแล้วฟาดไปแรงๆที่ท้ายทอยจนอีกคนสลบลงไปกองกับพื้น


    ภาพสุดท้ายที่เห็น ภาพที่เจ็บปวดที่สุด ก่อนที่แรงทั้งหมดจะหายไปแล้วล้มตัวลงข้างๆกัน

     

    บนโลกนี้มีอะไรมากมายที่เราคาดไม่ถึง มันทั้งกว้างใหญ่และน่ากลัวแต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างสวยงาม

    ในห้อง ICU ของโรงพยาบาลทหาร เคลื่อนหัวใจสองดวงที่เต้นแข็งกันอยู่ใกล้ๆ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด มินโฮยืนมองทั้งคู่อยู่ปลาเตียงด้วยความรู้สึกมากมาย

    ไม่รู้ว่าฮันบินจะจำทุกอย่างได้มั้ยเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าอาการของบ็อบบี้จะดีขึ้นหรือเปล่า

    ได้แต่ภาวนาให้คนทั้งคู่ปลอดภัยและทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม

     
     

    วันเวลาที่เราเฝ้ารอมักผ่านไปช้าเสมอ ยิ่งอยากให้มันผ่านไปเร็วเท่าไหร่มันก็ช้ามากเท่านั้น

     
     

    บ็อบบี้ถูกแยกออกมาจากห้อง ICU หมอบอกว่าโชคดีที่ไม่โดนอวัยวะสำคัญแม้จะเหลือไม่ถึงเซนก็ตาม และโชคดีมากกว่าที่ฮันบินเลือกมีดขนาดสั้นสำหรับซ่อน ในห้องสี่เหลี่ยมมีดอกกุหลาบขาวถูกเปลี่ยนเมื่อไม่นานวางอยู่ข้างๆ

    คนไข้ที่ถูกดูแลเป็นพิเศษค่อยๆขยับตัวทีละน้อยเมื่อรู้สึกตัว มินโฮเดินเข้าไปหาน้องชายที่พยายามจะลืมตาเพื่อมองโลกแห่งความเป็นจริง

    “เป็นไงบ้าง ?”

    “ยังไม่ตาย”

    คำตอบติดตลกของคนเป็นน้องทำเอามินโฮโล่งอกไปเปราะใหญ่ เพราะอย่าน้อยเขาก็กลับมากวนประสาทได้เหมือนเดิม

    “ผมหลับไปนานแค่ไหน ?”

    “สามวัน โชคดีที่มีดไม่ยาวมาก ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว”

    “หึ...ผมหนังเหนียวอยู่แล้ว”

    ต่อให้หลับไปอีกสักสองปีความกวนก็ยังคงเหมือนเดิม มินโฮยิ้มออกมากับท่าทางที่ยังไม่ตื่นดีของบ็อบบี้ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าไอ้เด็กนี่มันอึดขนาดไหน

    “แล้วฮันบิน ?”

    “ยังอยู่ในห้อง ICU หมอบอกว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนเสี่ยงที่จะเป็นเจ้าชายนิทรา”

    นับเป็นข่าวร้ายที่สุด ไม่รู้จะว่าดีใจหรือเปล่าที่ตื่นขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้

    “นายจงใจสินะ”

    ไม่มีคำตอบ บ็อบบี้หลับตาแล้วนอนเงียบๆ ใช่...เขาตั้งใจให้เป็นแบบนี้ถ้าทำให้ฮันบินคนเดิมกลับมาไม่ได้ได้ก็ไม่ต้องห้เขาตื่นขึ้นมาอีก หรือไม่ก็ให้หายไปเลย ไม่ใช่เพราะเขาเสียใจแต่เพื่อตัวฮันบินเอง

    มินโฮไม่ได้ถามอะไรออกไป เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ควรพูดถึงอนาคตเพราะบ็อบบี้ยังไม่ได้คิดถึงมัน เขาแค่อยากจะผ่านเวลานี้ไปให้ได้ก็พอ

    แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ฮันบินตื่นขึ้นมาเป็นฮันบินคนเดิม

    เป็นคนรักคนเดิมของเขา


     

    “เหมือนปาฏิหารย์ที่นายฟื้นขึ้นมาแล้วจำตัวตนของนายได้”

     “ตอนนั้นผมความจำเสื่อม ?”

    “ใช่! แถมยังถอกป้อนข้อมูลมาผิดๆด้วยถึงได้ตั้งใจจะฆ่าฉันขนาดนั้น”

    “ผม...ผมขอโทษ”

    เสียงสั่นเครือของคนเด็กกว่าทำเอาหัวใจของอีกคนหักวูบ น้ำเสียงที่กำลังโทษตัวเองจนไม่อยากให้อภัย มันคือสาเหตุที่ทำให้บ็อบบี้ไม่อยากบอกความจริงถึงได้ปิดบังมาตลอด รู้แน่ว่าคนรักต้องเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้

    “ช่างเถอะน่า มันผ่านไปแล้ว”

    มือหนาลูบเบาๆที่กลุ่มผมสีดำ ฮันบินเอาแต่ก้มหน้าและพูดขอโทษ

    แสงแดดที่สะท้อนเงาของคนสองคนที่ยืนตรงหน้าของกันและกัน อีกคนแข็งแกร่งและบ้าบิ่นทำได้ทุกอย่างถ้าเขาคิดจะทำ อีกคนอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความกล้าหาญ บ็อบบี้เช็ดน้ำตาใสๆที่กำลังไหลอาบแก้มของคนเด็กกว่าออกเบาๆ ฮันบินกำลังโทษตัวเองอย่างหนัก

    “พวกมันน่าจะฆ่าผมให้ตาย”

    “ฉันไม่ยอมให้พวกมันทำแบบนั้นแน่”

    “แต่ผม...”

    “ฉันเป็นคนเดินเข้าไปหานายเอง”

    คำพูดแบบนั้นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ฮันบินเงยหน้ามองคนรักที่กำลังยิ้มให้เขาเหมือนลูกแมวตัวน้อย ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จะรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

    ฮันบินโผเข้ากอดคนตรงหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    เพราะนี่คือคนเดียวที่กำหนดได้ชีวิตของเขาจะเป็นหรือตาย คนเดียวที่เหลืออยู่ คนเดียวที่เป็นทุกอย่าง คนเดียวที่เป็นคนรัก และคนเดียวที่เขายอมตายแทนได้


     

    ผมได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในห้องสี่เหลี่ยม แต่น่าแปลกมันไม่มีดอกไม้สักดอกในห้อง มีเพียงคนเดียวที่นอนอยู่ข้างผม ในห้องนี้


    ฮันบินลืมตาขึ้นในความสลัว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ายังดีที่มีผ้าห่มกันความหนาวเอาไว้ให้ กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกใครคนนึงจ้องเขาอยู่

    “พี่ยังไม่นอนเหรอครับ ?”

    คนที่เอนหลังพิงกับหัวเตียงส่ายหน้าปฏิเสธ ลูบเบาๆที่ผมของคนที่นอนหนุนอยู่ขาตัวเองอยู่ ฮันบินกอดมันเบาๆราวกับไม่อยากให้มันพาเจ้าของเดินจากไป

    “เราจะทำสำเร็จมั้ย ?”

    จู่ๆน้ำเสียงหวาดกลัวก็ถูกถามออกมา ฮันบินกำลังกลัวถ้าพวกเขาพลาด นั่นก็หมายถึงชีวิตที่ต้องเสียไป บ็อบบี้ไม่ได้ตอบอะไรออกมาเพียงแต่ยังเงียบเหมือนเดิม

    “ผมกลัว”

    “ในโลกนี้มีสิ่งเดียวที่ฉันกำหนดไม่ได้...”

    ประโยคที่ขาดหายไปทำให้คนที่นอนอยู่ต้องลุกขึ้นมา ฮันบินจ้องบ็อบบี้ที่กำลังเงียบและจ้องเขาตอบเช่นกัน

    “อะไรครับ ?”

    “คือนาย”

    “ผมเหรอ ?”

    “ฉันกำหนดชีวิตนายไม่ได้ นายมีสิทธิ์ที่จะอยู่หรือไป”

    คำตอบของบ็อบบี้ทำให้หัวใจหักวูบรู้สึกหน่วงอย่างบอกไม่ถูก ฮันบินก้มหน้าลงเพราะไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงกับคำพูดนั้น ต่อให้ไม่มีทางเลือกอื่นฮันบินก็จะอยู่กับบ็อบบี้อย่างนี้

    “พรุ่งนี้...เราไปกันมั้ยครับ”

    “ไปเหรอ ?”

    “ไปจัดการกับพวกมัน แค่เราสองคน”

    ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น แม้รู้ว่ามันเท่ากับการฆ่าตัวตายถ้าหากบุกไปหาซึงฮยอน แต่นี่คือสิ่งที่ฮันบินต้องการ คนเด็กกว่านั่งเงียบแล้วก้มหน้าซ่อนอารมณ์เอาไว้ในความมืด

    “รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

    “ผมรู้ครับ...”

    ฮันบินเงยหน้าขึ้นแล้วสบตาอีกครั้งกับคนรัก เพื่อบอกว่าเขารู้ตัวดีว่ากำลังพูดอะไร

    “เราจะวางมือจากทุกอย่าง แล้วหายไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป”

    มันคือความต้องการฮันบิน เขาต้องการแบบนั้นมาตลอด บ็อบบี้เอื้อมมือไปลูบแก้มของคนตรงหน้าเบาๆ เขารู้ดีกว่าฮันบินกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว กลัวที่จต้องเจ็บปวด กลัวที่จะต้องอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่มีเขา


     

     

    พรุ่งนี้เราจะไปจัดการทุกอย่างให้มันจบด้วยกัน

     

    “พวกเขาไปกันแล้วครับ”

    “ขอบใจ”

    มินโฮตอบเบาๆก่อนจะยืนมองห้องที่ว่างเปล่าตรงหน้า ในที่สุดพวกเขาก็ทำมันจริงๆ

     

    ฮันบินนั่งเงียบมาเกือบชั่วโมง นั่งอ่านหนังสือท่องเที่ยวในมือที่เจ้าตัวชอบดูเพราะมันทำให้เขาผ่อนครายทุกอย่างได้ ในขณะที่บ็อบบี้เอาแต่ฟังเพลงและมองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    ภูเขาและมหาสมุทรมันกว้างใหญ่ไพศาลจนอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วมันต่างกันกี่พันกี่ล้านเท่า

    “ผมชอบโดมินิกัน”

    เสียงจากคนข้างๆที่พูดขึ้นทำให้อีกคนต้องถอดหูฟังออกแล้วหันมาสนใจ ฮันบินกำลังก้มอ่านหนังสือแต่แววตาของเขากำลังมีความสุข

    “อยากไปที่นั่นเหรอ”

    “ไม่ใช่แค่อยากไป แต่ผมอยากไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่น”

    แววตาของคนเด็กกว่ากำลังบอกว่าเขาจริงจังมากแค่ไหนกับเรื่องที่กำลังพูด บ็อบบี้คว้าหนังสือในมือของเขามาแล้วเปิดดูภาพสีสันสดใสไปทีละหน้า

    “นึกถึงความหลังหรือไง ?”

    “ก็ผมเจอพี่ที่นั่น”

    “แต่มันก็เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ”

    “จุนฮเว”

    บ็อบบี้พยักหน้าให้กับคำตอบของฮันบิน จุนฮเวหายไปตอนที่พวกเขาอยู่ที่นั่นแล้วไม่ได้ข่าวอีกเลย ไหนจะเรื่องวีรกรรมนับสิบที่พวกเขาก่อไว้อีก มันเต็มไปด้วยความทรงจำจริงๆ

    “ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เราเป็นอิสระ”

    รอยยิ้มของคนข้างๆทำเอาบ็อบบี้อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่เลยสักครั้งที่อยากจะละสายตาตาจากเด็กคนนี้ เขาจูบเบาๆที่ปากของอีกคนเพื่อย้ำว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอิสระแล้วจริงๆ

    9 นาฬิกา”

    ทันทีที่บ็อบบี้ผละออก ฮันบินก็กระซิบเบาๆให้อีกคนได้ยิน

    “คนของซึงฮยอน”

    เขาจำมันได้แม่นกับสัญลักษณ์ที่พวกมันห้อยที่คอ มันคล้ายกับบัตรประจำตัวพนักงานแต่นั่นคือเครื่องหมายที่จะทำให้พวกมันที่อยู่รอบๆรู้ว่าคือพวกเดียวกัน บ็อบบี้ใส่หูฟังกลับไว้เหมือนเดิมแต่ไม่ได้เปิดเพลง ส่วนฮันบินก็กลับมาอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไร เมื่อถึงที่หมายชีวิตจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันที ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยคนของซึงฮยอน แต่พวกเขาถอยกลับไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำคือเดินหน้าต่อไป

     

    “ขอโทษที่มารบกวน”

    “ไม่เป็นไร จุนฮเวก็เพื่อนของผมเหมือนกัน”

    ดงฮยอกตอบพรางเดินนำผู้มาเยือนเข้าบ้าน จริงๆก็เกรงใจอยู่หรอกที่จู่ๆโผล่พรวดพราดมาโดยไม่บอกก่อนแบบนี้  แต่บ็อบบี้จำได้ว่าจุนฮเวเคยพูดถึงดงฮยอกอยู่บ่อยๆ เขาเป็นแฮกเกอร์ฝีมือดีของญี่ปุ่นและซ่อนตัวเป็นเริศ แต่น่าแปลกที่บ็อบบี้เจอเขาได้ง่าย เพียงแค่เดินอยู่ที่สถานีรถไฟ

    “ได้ข่าวเขาบ้างหรือเปล่า ?”

    “ไม่เลย”

    ถึงจะไม่สนิทกันมากนักแต่อย่างน้อยก็เคยทำงานร่วมกัน ฮันบินวางกระเป๋าของตัวเองลงบนเตียง บ้านของดงฮยอกไม่ใหญ่มากแต่ก็อยู่สบาย เขาบอกว่าบ้านหลังนี้สร้างเสร็จเมื่อเดือนที่แล้วเพราะตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไม่ย้ายไปไหนอีก แล้วก็วางมือจากการเป็นแฮกเกอร์แล้ว

    “ตามสบายแล้วกันนะ”

    “ขอบใจ”

    ถึงจะเพิ่งเจอกันซึ่งๆหน้าครั้งแรก แต่ดงฮยอกดูท่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครตามแบบฉบับของแฮกเกอร์

    บ็อบบี้มองตามหลังดงฮยอกก่อนจะหันมามองคนเด็กกว่าที่นั่งมองไปรอบๆห้อง เขาเดินเข้าไปแล้วยีผมเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินผ่านไปที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนที่คุยกันคนละภาษา เขามาที่นี่เพื่อจบทุกอย่างที่เคยทำและเริ่มต้นใหม่

     

    “พี่มาที่นี่เพื่อฆ่าซึงฮยอน ?”

    ดงฮยอกถามขึ้นระหว่างโต๊ะอาหารเย็น บ็อบบี้พยักหน้าพรางยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม

    “มีแผนหรือยัง ?”

    “แผนคือ ไม่มีแผน”

    “ด้นสด”

    “ประมาณนั้น”

    ดูเหมือนเด็กท่าทางฉลาดคนนี้จะอ่านออกซะหมดเปลือก

    “นายอยากร่วมมือกับเราหรือเปล่า ?”

    คำตอบของฮันบินทำเอาดงฮยอกหัวเราะหึออกมา เขาไม่สนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเพราะเขากำลังจะวางมือ คนเด็กกว่าใช้มีดเขี่ยเนื้อในจานไปมาทั้งๆที่ยังไม่แตะมันเลยสักคำ

    “ทำไมผมต้องร่วมมือกับพวกพี่ด้วย ในเมื่อมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมเลย”

    “เมืองนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของซึงฮยอน ฉันว่านายเองก็อึดอัดอยู่ไม่น้อย ที่นายยอมวางมือจากวงการนี้เพราะถูกซึงฮยอนจับได้ใช่มั้ยล่ะว่านายพยายามที่จะเจาะข้อมูลของพวกมัน”

    ฮันบินร่ายยาวจนอีกสองคนต้องเงียบฟัง ดงฮยอกนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เขากำลังทึ่งที่ฮันบินอ่านขาดมากกว่าเขาเสียอีก ใช่...นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องยอมวางมือ

    “ไม่ยักรู้ว่าจะมีคนที่อ่านคนเก่งกว่าผมอยู่”

    “คนมีฝีมืออย่างนายคงไม่ยอมวางมือง่ายๆเพียงเพราะเบื่อหรืออยากอยู่แบบคนธรรมดาหรอก”

    “ใช่พี่พูดถูกผมไม่ได้เบื่อ แต่ผมเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองต่างหาก”

    “โดยการหลบอยู่ใต้หลังคาบ้านแบบนี้เหรอ ?”

    “เปล่า...ผมแค่รู้ว่าควรจะเลือกข้างไหน”

    “หมายความว่าไง”

    “ผมกับจุนฮเวน่ะต่างกันนะ”

    ดงฮอกยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ เขาปาดเนื้อในจานช้าๆแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวอย่างอร่อย ในขณะที่ฮันบินกำลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆบ้าน แต่บ็อบบี้เอาแต่นั่งเงียบๆแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มเหมือนกับว่าจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

    “เจอกันจนได้นะ คิม จีวอน”

    เสียงทุ้มต่ำของใครคนนึงที่กำลังเข้ามาพร้อมกลิ่นบุหรี่ราคาแพง กับพวกอีกหลายสิบคนที่ยืนล้อมพวกเขาอยู่ ฮันบินตกใจตาเบิกกว้างแต่ไม่กล้าขยับไปไหนเพราะต่อให้มีปืนที่อัดกระสุนเต็มแม็กพวกเขาก็แพ้อยู่ดี


     

    หึ...ฉันก็รอแกอยู่หมือนกัน ชเว ซึงฮยอน

     

    บ็อบบี้ยังคงนั่งดื่มเบียร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในฐานะที่ไม่มีสิทธิ์ต่อรองก็ตาม

    “ที่จริงนายจงใจตามหาพวกเราสินะ”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งยากจะเดาความหมายของคำพูดนั้น ดงฮยอกยิ้มออกมาแทนคำตอบ

    “ดูเหมือนเราจะคิดเหมือนกัน”

    คราวนี้บ็อบบี้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าบ้าง แต่ฮันบินที่นั่งอยู่ข้างๆกลับมองทั้งสองคนสลับไปมาเพราะเขาไม่รู้อะไรเลยรวมถึงเรื่องที่บ็อบบี้พูดด้วย

    “เอาเถอะ...ถือซะว่าเราต่างก็ช่วยกันแล้วกัน”

    “ดงฮยอกหลอกแกมาที่นี่ ส่วนแกก็ใช้ดงฮยอกเป็นประตูผ่านมาหาฉัน”

    ซึงฮยอนพูดทั้งๆที่ปากยังคาบบุหรี่ราคาแพงอยู่ ในมือถือไม้เท้าสีทองที่ดูยังไงก็เหมือนเจ้าพ่อมาเฟียที่สามารถถล่มโตเกียวได้ทั้งเมือง

    ดงฮยอกดึงสีหน้าไม่พอใจแต่ก็เงียบเอาไว้ เพราะรู้แน่ว่าถ้าปริปากแม้แต่นิดเดียวเขาอาจโดนเป่าสมองกระจุยเลยได้

    แต่บรรยากศที่น่าอึดอัดพวกเขากลับผ่อนคลายเหมือนเพื่อนเก่าที่พบปะกัน ลูกน้องคนหนึ่งของซึงฮยอนผลักดงฮยอกออกจากโต๊ะเพื่อให้เจ้านายของตัวเองนั่ง มันตรงข้ามกับบ็อบบี้ที่กำลังจิบเบียร์เหมือนกำลังนั่งฟังเพลงซิมโฟนี่อยู่พอดี

    “มีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ ?”

    คนเด็กกว่าถามออกมาทั้งๆที่ไม่ได้สบตากันแม้แต่น้อย

    “เราต่างก็รู้กันดี”

    “เหรอ...ไม่เห็นจะรู้เลย”

    “แต่เด็กนี่ท่าทางจะรู้นะ”

    บุคคลที่ซึงฮยอนหมายถึงคือผู้ชายที่กำลังจับต้นชนปลายอยู่อีกข้าง ฮันบินขมวดคิ้วจนแทบจะซ้อนกันเพราะเขาเกลียดซึงฮยอนจนอยากจะฆ่าให้ตาย หมอนี่ทำให้เขาต้องทำร้ายบ็อบบี้ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

    ไวน์สีแดงราคาแพงบนปวดถูกติดด้วยโลโก้ยี่ห้อดังกับปี พ.ศ.ที่หมัก ถูกรินใส่แก้วใสอย่างปราณีต มันเทียบกับเบียร์ราคาแค่ไม่กี่บาทไม่ได้เลย แต่ใครจะสนในเมื่อรสชาติมันต่างกันอยู่แล้ว ซึงฮยอนค่อยๆจิบมันเบาๆเพื่อรับรสชาตินุ่มลิ้นเหมือนราชา

    “แกก็รู้ดีว่าไม่มีทางหนีอีกแล้ว มันก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย”

    “หึ!

    คนเด็กกว่าแค่หัวเราะออกมาในลำคอแล้วกระดกเบียร์เข้าไปอีก ในขณะที่ซึงฮยอนแกว่งแก้วไวน์เบาๆเพื่อให้รสชาติดียิ่งขึ้น

    “แต่ฉันชอบให้โอกาสคน แกมีสิทธิ์เลือกว่าจะตายหรือยอมทำงานให้ฉัน”

    ซึงฮยอนยังคงเจรจาอย่างเป็นมิตร แต่ทางเลือกที่เสนอให้กลับน่าหงุดหงิดชอบกล

    “ตัวเลือกของแกยังคงเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม”

    “คนเรามันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง”

    “แม้แต่การฆ่าคนก็เป็นตัวเลือกที่ดีของแกงั้นสินะ”

    บ็อบบี้กดเสียงต่ำมือที่ถือขวดเบียร์มันสั่นจนแทบจะระงับความโกรธนั่นไม่ไหว แต่เขาต้องใจเย็นเพราะถ้าหากทำอะไรวู่วามตอนนี้จะไม่ใช่แค่เขาที่ต้องเจอกับอันตราย

    “ก็ไม่เสมอไป ไม่งั้นเด็กคนนี้คงไม่รอดมานั่งจ้องเหมือนจะฉีกฉันเป็นชิ้นๆแบบนี้หรอก”

    คนเด็กกว่าที่จ้องศัตรูเหมือนเจ้าป่า เขาฆ่าซึงฮยอนได้ถ้าคิดจะลงมือแต่ถ้าขืนแตะต้องหมอนี่แม้แต่นิดเดียวก็เท่ากับฆ่าตัวตายอย่างที่เขาว่า

    “แกหวังจะให้ฉันถูกกองทัพฆ่าต่างหาก”

    “อย่าเข้าใจผิดสิ คิม ฮันบินฉันหวังดีต่างหาก ถ้าฉันใจร้ายฉันคงฆ่านายตั้งแต่วันนั้น”

    “อย่าพูดมากให้เปลืองน้ำลายกันดีกว่า เรามาจัดการให้มันจบๆไปเถอะ ฉันเบื่อกับการตามล่าแกเต็มทีแล้ว”

    แสงแหบทุ้มนั้นดังขึ้นดึงความสนใจของคนแก่กว่าที่เอาแต่มองฮันบินเหมือนกำลังวางแผนเลวๆอะไรอีก บ็อบบี้วางขวดเบียร์ที่ดื่มจนหมดแล้วลงบนโต๊ะอาหาร ซึงฮยอนหันกลับมาพรางยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า

    “ฉันก็ไม่ต่างกัน”

    ซึงฮยอนยื่นแก้วไวน์ให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาใช้นิ้วกลางลูบไปมาที่หัวไม้เท้า มันเป็นรูปสุนัขพันธ์เล็กแต่กลับดูยิ่งใหญ่จนน่าแปลกใจ

    ดงฮยอกที่พยายามออกมาจากตรงนั้นตั้งแต่แรก พยายามที่จะออกห่างจากกลุ่มของซึงฮยอน พวกเขาอันตรายและยากที่จะไว้ใจ เขาแค่ต้องการที่ปลอดภัยไม่ได้ต้องการที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใด

    “แกเองก็คงไม่ได้มามือเปล่าสินะ”

    “ฉันจำเป็นที่จะต้องทำเป็นดีกับแกด้วยเหรอ”

    “เรามันโจรเหมือนกันย่อมรู้จักกันดี”

    “ฉันมันโจรที่เคารพในพระเจ้าแล้วแกละ”

    “ฉันเคารพตัวเอง”

    ปัง!

    เสียงกระสุนจากทิศไหนไม่มีใครรู้ บ็อบบี้ดึงแขนฮันบินแล้ววิ่งออกมาจากตรงนั้นในขณะที่กระสุนหลายนัดกระหน้ำยิงออกมาทั่วสารทิศ ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆวิ่งเข้าไปเพื่อกันซึงฮยอนจากลูกกระสุน

    ปัง ปัง ปัง!

    ฝั่งของซึงฮยอนเริ่มตอบโต่ออกไปอย่างไร้จุดหมาย พวกมันยิงทั้งข้างบนและด้านข้างเพราะไม่เห็นทิศทางที่แน่ชัด ได้แต่ยิงออกไปเพื่อป้องกันเจ้านาย

    กลิ่นคาวเลือดเริ่มคลุ้งแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกของซึงฮยอนถูกเก็บไปทีละคน

    “วิ่งออกไปข้างนอก”

    คนโตกว่าบอกขณะที่พาฮันบินวิ่งออกมาจนแทบจะถึงประตู แต่เขากลับชะงักและทำท่าจะวิ่งกลับเข้าไป

    “พี่จะไปไหน”

    “ที่เรายอมให้พวกมันจับได้เพราะเป้าหมายคือซึงฮยอน”

    “ไม่ได้นะต้องออกไปด้วยกัน”

    “ฉันออกไปแน่”

    สิ้นประโยคไม่มีคำพูดใดออกมาอีก บ็อบบี้ดึงมือที่จับอยู่ที่แขนออกแล้ววิ่งกลับเข้าไปข้างในที่กระสุนกำลังสาดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ฮันบินมองตามหลังคนรักจนหายเข้าไปข้างในถึงได้ตัดสินใจวิ่งออกมาตามที่อีกคนบอก

    “ฮันบิน!

    ปัง!

    เสียงตะโกนเรียกของใครบางคนที่ไม่คุ้นหู ไม่ทันจะได้หันไปมองเสียงปืนก็ดังขึ้นเสียก่อน ฮันบินชะงักแล้วถอยกลับไปหลบข้างใน มองออกไปข้างนอกเพื่อหาคนยิง เสียงฝีเท้าของใครคนนึงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ เสียงหนักเพราะเจ้าของตัวใหญ่และท่าทางจะเป็นมือปืนฝีมือดี

    ศัตรูจะลอบกัดเราเมื่อเราเผลอ

    ฮันบินจำมันได้ขึ้นใจ ยืนหลบหลังประตูเพื่อรอให้คนแปลกหน้าปรากฏตัว แต่เสียงหัวใจมันดังแข่งกับเสียงปืนข้างในจนหูอื้อไปหมด เงาของผู้มาเยือนค่อยๆโผล่เข้ามาช้าๆ เขาตัวใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

    สูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกกำลังใจ จับปืนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาแล้วถือไว้แน่น

    ยิ่งเงานั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่อุณหภูมิในร่างกายยิ่งสูงมากขึ้น

    ปลายกระบอกปืนที่ค่อยๆโผล่ออกมามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

    ...เรื่อยๆ...

    ปัง!

    ปลายกระบอกปืนถูกผลักขึ้นแล้วเหนี่ยวไกออกไปในอากาศ ฮันบินผลักคนแปลกหน้าที่พยายามจะยิ่งเขาก่อนหน้านี้ออกไปแล้วเตะเข้าสีข้างแรงๆ จับมือข้างที่ถือปืนอัดเข้ากับผนังจนมันหล่นลงพื้น อัดเข้าที่หน้าจนเลือดซิบออกมา

    ปัง!

    ฮันบินรู้ดีกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรไว้ชีวิตใคร กระสุนที่ออกมาจากปลายกระบอกปืนเจาะผ่านกระโหลกจนทะลุออกด้านหลัง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งราวกับเดินอยู่ในสงคราม

    แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะกลัว ฮันบินรีบวิ่งออกมาจากบ้านของดงฮยอกที่ตอนนี้กลายเป็นสงครามย่อมๆไปแล้ว

    “พี่! ทางนี้”

    เสียงของคนเมื่อครู่ที่เรียก ฮันบินมองไปตามเสียงนั้น ผู้ชายที่อายุน่าจะน้อยกว่าเขากวักมือเรียกในรถสปอตสีขาวสะดุดตา แต่ฮันบินไม่รู้จักเด็กคนนั้น

    “ขึ้นมาก่อนเร็ว”

    “...”

    “ผมรู้จักกับพี่บ็อบบี้”

    เด็กคนนั้นตอบพยายามเร่งฮันบินที่ยืนตัดสินใจให้ขึ้นรถ

    ปัง!

    เสียงปืนไล่หลังตัดสินใจแทน ฮันบินวิ่งตรงไปที่รถของเด็กคนนั้นแล้วกระโดดขึ้นไปก่อนมันจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฝีมือการขับรถของเด็กนี่ใช้ได้เมื่อเทียบกับบ็อบบี้แล้ว

    “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ ผมเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพี่บ็อบบี้น่ะ”

    เด็กคนนั้นบอกเพราะเห็นว่าฮันบินทำหน้าเหมือนจะไม่ไว้ใจ แต่ถึงจะอ้างชื่อบ็อบบี้ออกมาก็ยังกังวลอยู่ดี

    “นายรู้จักฉันได้ไง”

    “พี่บ็อบบี้ส่งรูปของพี่ให้ผมดูเมื่อวันก่อนที่จะมาถึงโตเกียว”

    เขาบอกพรางยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปฮันบิน ชื่อของคนส่งถูกจัดเก็บว่าบ็อบบี้

    “นายเป็นใคร ?”

    “ผมชื่อชานอู เป็นน้องของพี่จุนฮเวกับพี่บ็อบบี้ เราสามคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน”

    คนเด็กกว่ายิ้มเพื่อให้คนโตกว่าหายเครียดในขณะที่รถแล่นออกไปไกลมากเรื่อยๆ ฮันบินมองกลับไปถนนที่ผ่านมาเขามองไม่เห็นทางเข้าบ้านของดงฮยอกแล้ว และบ็อบบี้ก็ไม่ได้ตามเขามา

    “ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ สองคนนั้นเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”

    “สองคนเหรอ ?”

    ฮะ พี่จุนฮเวด้วย

     

    ปัง ปัง ปัง!

    เสียวปืนยังคงดังอยู่ตลอดเวลา ลูกกระสุนที่สาดสวนกันไปมาเริ่มมีช่องว่างมากขึ้น ลูกน้องคนสนิทที่ใกล้ตัวพาซึงฮยอนออกมาจากตรงนั้น ในขณะที่เจ้านายของพวกมันไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวต่อให้จะถูกกระสุนเฉี่ยวไปมาก็ตาม

    ปัง ปัง!

    เสียงปืนสองนัดถูกยิงตัดขั้วหัวใจของลูกน้องทั้งสองคน จนล้มลงข้างเจ้านายที่พวกมันรักและเทิดทูน ซึงฮยอนหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปหาเจ้าของกระบอกปืนนั้น

    บ็อบบี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเขาเล็งเป้าหมายมาที่ซึงฮยอน แต่อีกฝ่ายกลับทำท่านิ่งเฉยไม่แม้แต่จะขยับตัวหนี แววตาที่จ้องกลับไปกำลังท้าทายให้อีกคนเหนี่ยวไก

    แต่ตรงกันข้ามเขากลับลดปืนลงแล้วหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องตลก

    “แกเกลียดศัตรูที่ยืนเป็นเป้านิ่ง เพราะมันง่ายเกิไปที่จะจัดการ”

    ซึงฮยอนพูดออกไปในขณะที่บ็อบบี้กำลังยอมรับกับเรื่องนั้น

    “เพราะฉันไม่ชอบลอบกัดใครเหมือนแก”

    “งั้นเรามาจบมันกันเถอะ”

    บ็อบบี้ว่าพรางโยนปืนออกไป เขาเดินหาซึงฮยอนด้วยมือเปล่า นับจากวินาทีที่ก้าวขาออกไปทุกอย่างเดิมพันด้วยชีวิต

    แต่คราวนี้ซึงฮยอนกลับเล่นด้วยแบบซื่อๆ ไม่มีอาวุธ ไม่มีแผน ไม่มีกำลังหนุน มีแค่มือเปล่า

    คนหนึ่งคือผู้รอดและอีกคนต้องหายไป

     

    “อั๊ก!

    เสียงหมัดหนักๆกระทบสันกรามของคนเด็กกว่าจนเจ็บไปทั้งหน้า บ็อบบี้ถลาไปตามแรงอัดของซึงยอนพยายามตั้งตัวแล้วหันกลับมาเพื่อตอบโต้

    แต่ช้ากว่าซึงฮยอนเขาเตะสวนแรงๆที่ท้องจนคนเด็กกว่าตัวงอ

    บ็อบบี้พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วเช็ดเลือดที่ออกตามใบหน้า ซึงฮยอนยืนมองเขาด้วยความเหนื่อยเพราะก่อนหน้านั้นเขาก็โดนอัดไม่น้อยเหมือนกัน หางคิ้มมุมปากและจมูกมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ตอนนี้ไม่ได้เดิมพันว่าใครเก่งกว่ากันแต่มันเดิมพันว่าใครจะแกร่งกว่ากัน

    “ฉันยอมรับจริงๆ...ว่าแกมันอึดกว่าใครๆที่ฉันเคยรู้จัก”

    เสียงทุ้มต่ำแต่ติดขัดเพราะความเหนื่อยกับน้ำเสียงที่พูดออกมาจากความรู้สึก ซึงฮยอนพยุงตัวเองให้ยืนเผชิญหน้ากับคนเด็กกว่าที่กำลังพยายามจะท้าทายเข้าอีกครั้ง

    “วันนี้ฉันจะคิดบัญชีกับแก ทุกอย่างที่เคยทำไว้กับทุกคน”

    “แต่แกคงลืมไปสินะว่าฉันมันโจร และเป็นโจรที่ไม่ยึดมั่นกับคำสัญญาของโจรด้วยกัน”

    ซึงฮยอนล้วงเอาปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านในที่เขาซ่อนมันเอาไว้ แล้วเล็งเป้าไปที่บ็อบบี้ แต่อีกคนยิ่งทำให้เขาอึ้งเพราะเด็กนั่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเดินเข้ามาหาอย่างไม่กลัวตาย

    “แกมันน่าทึ่งจริงๆ”

    ปัง!

     

     

    ในโลกใบนี้มีอีกหลายที่ที่เราไม่เคยไป หรือแม้จะอยากไปแค่ไหนก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ง่าย

    แสงสีขาวสะอาดตรงหน้าแทบจะมองไม่เห็นว่ามีเส้นทางให้เดินต่อไปหรือเปล่า ดวงตาเรียวเล็กค่อยๆลืมขึ้น เขากระพริบมันสองสามทีถึงเห็นท้องฟ้าสีครามกับหมู่เมฆสีขาว มันสวยราวกับความฝัน เหมือนกับกำลังนอนอยู่บนก้อนเมฆที่รอยอยู่บนท้องฟ้า มันต่างจากห้องนอนสี่เหลี่ยมน่าอึดอัด รู้สึกสบายจนไม่อยากจะตื่น

    เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วปล่อยให้ตัวเองอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน

    ...แบบนั้น...

    “พี่ควรจะพักบ้างนะ”

    เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมกับกระป๋องน้ำผลไม้ เขายื่นมันให้ฮันบินที่นั่งอยู่แต่อีกคนรับมันมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่

    ร่างของคนที่นอนอยูบนเตียงหน้าซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือด ลทหายใจดูแผ่วจนน่าเป็นห่วง ฮันบินได้แต่นั่งดูอยู่ข้างๆไม่ยอมห่าง

    “ขอโทษนะพี่ ถ้าผมไปเร็วกกว่านั้นพี่บ็อบบี้คงไม่โดนยิงแบบนี้”

    “อย่าโทษตัวเองเลย”

    เสียงของใครคนนึงที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาหยุดเดินข้างๆจุนฮเวแล้วตบที่ไหล่เบาๆ

    “นาย...”

    “ตกใจที่เจอฉันหรือไง ?”

    เขายิ้มให้ฮันบินมันต่างจากเมื่อก่อนที่เจอกันตอนแรก ในตอนนั้นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแต่ตอนนี้กลับเป็นมิตร

    “ทำไม...”

    “ผมว่ามันไม่ยุติสักหน่อยที่พี่บ็อบบี้จะยิงเขา”

    “เด็กนี่ช่วยฉันไว้ตอนที่แฟนของนายกำลังเหนี่ยวไก น่าแปลกนะว่ามั้ย โจรที่ยอมช่วยตำรวจทั้งๆที่รู้ดีว่าตัวเองอาจจะถูกจับ”

    “แล้วตอนนี้...”

    ฮันบินมองทั้งคู่สลับกัน จินฮวานยิ้มออกมาแล้วมองคนตัวโตกว่าที่อยู่ข้างๆ

    “ก็เพราะจินฮวานนไม่ยอมจับผมนะสิ ผมเลยต้องพาหนีความผิดไปเรื่อยๆ”

    “ไม่ใช่สักหน่อย”

    คนตัวเล็กกว่ารีบขัดแล้วทุบเข้าที่หลังของอีกคนแรงๆจนร้องโอ้ยออกมา จุนฮเวโค้งหัวหน่อยๆเป็นการขอโทษแล้วยืนเงียบๆแทน

    “ฉันลาออกจากตำรวจ ไม่ใช่เพราะหมอนี่หรอกนะ แต่เพราะก่อนหน้านั้นฉันยื่นใบลาออกไว้แล้วด้วยเหตุผลที่ว่าฉันเหนื่อย แล้วเด็กนี่ก็ทำตัวเป็นผู้ปกครองเพราะเขาช่วยฉันไว้”

    “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกนายไม่ติดต่อพวกเราเลยล่ะ”

    “ไว้พี่ถามคนนั้นดีกว่านะ”

    จุนฮเวพยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง ฮันบินขมวดคิ้วแล้วหันหลังกลับไป

    แต่คนตรงหน้าที่นอนอยู่กำลังมองเขาด้วยแววตาที่เหนื่อยล้า รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมา หัวใจทีแทบจะหมดแรงเต้นเสียงดังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

    ฮันบินเอื้อมมือไปจับเบาๆที่มือของอีกคนพรางน้ำตาคลอ ราวกับว่าทุกอย่างที่เคยมืดมนกำลังสว่างขึ้นอีกครั้ง

    จินฮวานหันไปมองคนเด็กกว่าที่ยืนอยู่ๆข้างๆก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกัน เพราะรู้ดีว่าเวลานี้พวกเขาไม่ควรเข้าไปขัด

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย ?”

    เสียงแหบพร่าของอีกคนทำให้น้ำตาคลออยู่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ฮันบินยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ

    “หมอนั่นเป็นยังไง ?”

    “ถูกจับหลังจากที่มันยิงพี่ จุนฮเวกับจินฮวานเป็นคนพาตำรวจไปที่นั่น”

    “ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างมันจะพลาด”

    คำพูดของบ็อบบี้ทำเอาคนที่ฟังหัวใจหักวูบ เขากลัวแทบตายตอนเห็นจุนฮเวพาบ็อบบี้กลับมาในสภาพที่เลือดท่วมตัว แต่เจ้าตัวกลับพูดเหมือนไม่กังวลสักนิด

    “พี่จะทิ้งผมไปเหรอ ?”

    “อะไร ?”

    “ก็ที่พี่พูดแบบนั้น...”

    ฮันบินก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกคน จับมือตัวเองแน่นพยายามที่จะไม่แสดงท่าทีเอาแต่ใจ

    “ฉันจะทิ้งนายได้ยังไง ?”

    “...”

    “นี่เงยหน้าขึ้นมาหน่อยสิ”

    ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้ายังไงในตอนนี้ รู้แค่ว่าตัวเองกำลังกลัวต่อให้พยายามซ่อนมันไว้แค่ไหนก็ตาม ฮันบินเงยหน้าตามที่บ็อบบี้บอก เขาเห็นคนตรงหน้าที่เอื้อมมือมากุมมือของเขาเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าต่อให้ต้องเดินทางไปไกลแค่ไหนเขาก็จะไม่มีวันหายไป

    “ฉันไม่เป็นไร”

    บ็อบบี้ตอบเสียงเบาพรางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ฮันบินปาดน้ำตาใสๆที่ไหลออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ออกแล้วยิ้มตอบกลับไป มองแผลที่มีเลือดไหลออกมาเป็นสีแดงกว้างที่ผ้าปิดแผล มันเฉียดหัวใจไปนิดเดียว

    “พี่เจ็บหรือเปล่าฮะ”

    “ไม่เจ็บหรอก แต่เกือบตาย”

    คำพูดติดตลกทำให้คนเด็กกว่ายิ้มออกมาได้ เสียงหัวเราะเล็กๆดังขึ้นช่วยผ่อนคลายทุกอย่าง

    “แต่ผมยังสงสัยเรื่องจุนฮเวกับชานอู ไหนจะจินฮวานอีก พี่รู้มาตลอดเลยเหรอ ?”

    “อ่า...ขอโทษที่ฉันไม่ได้บอก มันน่าจะดีกว่าถ้ามีแค่ฉันที่รู้”

    “พี่ไม่ไว้ใจผมเหรอ ?”

    “เปล่า ฉันไว้ใจนายแต่เพื่อความปลอดภัยของเราเอง จุนฮเวกับชานอูเป็นน้องของฉันพวกเขายังไม่ถูกลบประวัติทั้งคดีและการประกาศจับ ส่วนจินฮวานที่อยู่กับจุนฮเวก็อาจโดนร่างแหไปด้วยเพราะฉะนั้นน่าจะดีกว่าถ้าทุกอย่างเป็นความลับ”

    บ็อบบี้อธิบายเพื่อให้อีกคนเข้าใจ แต่ฮันบินยังรู้สึกน้อยใจอยู่ดีมันเหมือนกับไม่ถูกไว้ใจ

    “อย่าทำหน้าแบบนั้น ทุกอย่างก็เพื่อเรา”

    ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ฮันบินพยักหน้าอย่างจำใจและพยายามจะเข้าใจสิ่งที่บ็อบบี้พูด

    “ทำไมพวกเขาไม่มาหาเราล่ะ มันอาจจะดีกว่าการหลบๆซ่อนๆ”

    “เพราะจุนฮเวเกลียดการทำงานร่วมกับรัฐบาล อีกอย่างถ้าเขาร่วมมือกับเราวันนี้เราอาจจะไม่รอดก็ได้นะ”

    เพราะพวกเขาคือไม้ตายสุดท้ายอย่างนั้นสินะ ฮันบินพยักหน้าอีกครั้งแล้วสลัดความน้อยใจทุกอย่างทิ้งไป มันไม่มีประโยชน์ที่ต้องมานั่งน้อยใจกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว

    ทุกอย่างกำลังจะจบ...

    “พี่!!

    ชานอูที่พรวดพราดเข้ามาทำลายกำแพงของสองคนที่กั้นเอาไว้ แต่หน้าของคนเด็กกว่านี่กำลังตกใจจนแทบเสียสติ

    “มีอะไร ?”

    “ได้เวลาเผ่นแล้ว”

    “เกิดอะไรขึ้น ?”

    “ลูกน้องของซึงฮยอน มันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่พวกมันมาแก้แค้น!

    ปัง!

    เสียงปืนจากข้างนอกเป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเขาต้องหนีแล้ว ฮันบินหันไปมองบ็อบบี้ที่ยังไม่ดีขึ้น แผลก็ยังมีเลือดออกไม่หยุดถ้าต้องหนีตอนนี้ล่ะก็เขาอาจจะแย่กว่าเดิม

    “ไปเร็ว!

    ชานอูเร่งพรางโยนปืนพกสั้นให้ฮันบินไว้ป้องกันตัว จุนฮเวที่เพิ่งวิ่งเข้ามารีบพยุงบ็อบบี้ขึ้น มีจินฮวานยืนขนาบข้างเพื่อป้องกัน

    “ไป!

    เพราะมีคนเจ็บพวกเขาทำได้แค่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ยิ่งบ็อบบี้แสดงสีหน้าเจ็บมากเท่าไหร่ฮันบินก็ยิ่งกังวล เลือดที่ไหลออกมาก็ไม่ยอมหยุดสักที

    “ชานอูนำไปห้องใต้ดิน”

    เสียงจุนฮเวตะโกนตามหลังคนเด็กกว่าที่วิ่งนำไปข้างหน้า เสียงปีนสาดเข้ามาอยู่ไม่ไกลแต่พวกเขาก็หยุดพักไม่ได้

    “ทางนี้เร็ว”

    คนนำทางตะโกนบอกก่อนจเปิดประตูห้องครัวที่อยู่ด้านในสุด เขาเดินไปหลังเคาเตอร์แล้วดึงพรมสีแดงผืนใหญ่ออก มันมีประตูเล็กๆซ่อนอยู่ จุนฮเวพยุงให้บ็อบบี้นั่งที่เก้าอี้แล้วไปช่วยชานอูเปิดประตูทางลับ โดยที่จินฮวานคอยระวังอยู่ตรงประตูห้องครัว

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ยฮะ ?”

    ฮันบินย่อตัวลงแล้วเงยหน้ามองคนรัก เขาเอื้อมมือไปติดกระดุมเสื้อที่สวมไว้ เลือดที่ไหลออกมามันเยอะกว่าตอนแรกจนอดห่วงไม่ได้

    “อื้อ”

    คนโตกว่าตอบพรางลูบหัวอีกคนอย่างอ่อนโยน แววตาที่กังวลนั่นจะทำให้เขาได้รับอันตรายเองเพราะมัวแต่ห่วงคนข้างหลัง มันไม่ดีแน่

    “แหม...ผมรู้นะว่าพวกพี่เป็นห่วงกันและกัน แต่ว่าตอนนี้ได้เวลาเผ่นแล้ว”

    ชานอูเร่งแล้วลงไปในหลุมที่ขนาดพอดีตัวคนแรก เขาค่อยๆปีนลงไปเพราะข้างในมืดจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ก่อนจะล้วงเอาไฟฉายที่คว้ามาได้ตอนที่กำลังเปิดประตู

    “พี่ไปก่อน”

    ถึงเวลานี้คนที่ต้องเข้มแข็งคือฮันบิน เขาถอยออกมาแล้วให้บ็อบบี้ลงไปก่อนโดยมีชานอูคอยรับอยู่ข้างล่าง บ็อบบี้พยุงตัวเองพยายามที่จะเกาะบันไดเอาไว้ให้ถึงที่หมาย แต่แผลที่อกก็เริ่มฉีกออกเรื่อยๆจนเลือดซึมออกมาข้างนอก

    รอจนแน่ใจว่าคนบาดเจ็บถึงที่หมาย ชานอูสาดแสงไฟขึ้นมาเป็นสัญญาณ ฮันบินรีบปีนลงไปเพื่อดูอาการของบ็อบบี้

    “พี่ลงไปก่อน”

    จุนฮเวบอกคนตัวเล็กที่ยืนระวังอยู่ด้านหลัง จินฮวานส่ายหัวปฏิเสธเพราะเขาตัวเล็กกว่าชองแค่นี้ลงไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว แต่จุนฮเวยังยืนยันที่จะลงเป็นคนสุดท้าย

    “รีบตามลงมานะ”


    “ครับ”
     

    “ทางนี่จะพาเราไปไหนเหรอ ?”

    ฮันบินถามในระหว่างที่พวกเขาเอาแต่เดินไปเรื่อยๆในทางเดินแคบๆแล้วก็อับจนแทบหายใจไม่ออก

    “มันจะพาเราไปโผล่อีกฝั่งนึงที่บ้านอีกหลัง”

    “ถ้านี่คือทางที่ปลอดภัยเราเดินช้าลงหน่อยได้มั้ย พี่บ็อบบี้ไม่ไหวแล้ว”

    คนเจ็บหายใจหอบเพราะความเหนื่อยและแผลที่ฉีกออกเรื่อยๆ เขาทรุดลงกับพื้นแล้วกดแผลตัวเองไว้เพื่อนหยุดเลือด ฮันบินนั่งลงข้างๆอย่างเป็นห่วง

    “เป็นไงบ้างพี่”

    คนเด็กกว่าถามอย่างเป็นห่วงพรางส่องไฟไปข้างหน้าเพื่อดูว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง

    “จุนฮเวยังไม่มา เราน่าจะรอก่อน”

    คนตัวเล็กที่คอยคุ้มกันด้านหลังมองย้อนกลับไปทางที่ผ่านมา จุนฮเวที่บอกว่าจะตามลงมาจนตอนนี้ยังมองไม่เห็น ยิ่งทำให้จินฮวานเป็นห่วง

    “เสียง...เสียงคนกำลังมาทางนี้”

    บ็อบบี้ที่นั่งหายใจหอบพยายามเปล่งเสียงออกมาเพื่อเตือนทุกน ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนแต่สัมผัสพิเศษของเขายังดีอยู่

    จินฮวานเดินออกไปแล้วยืนเพื่อปกป้องทุกคน ยกปืนในมือขึ้น ถ้านั่นคือศัตรูเขาก็พร้อมจะเหนี่ยวไก

    “ผมเอง!

    เสียงของคนที่คุ้นหูทำให้เขาต้องลดมือลง จุนฮเวที่สิ่งเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าที่สะพายมาด้วย

    “ผมไปเอาให้พี่บ็อบบี้แล้วก็อำพรางทางหนีของเรา”

    จินฮวานถอนหายใจออกมาโล่งอกที่อีกคนไม่เป็นอะไร เขาถอยให้จุนฮเวเข้าไปหาบ็อบบี้ที่หายใจหอบ ล้วงเอากล่องยาออกมาแล้วยื่นให้ฮันบิน

    “ถ้าทำแผลใหม่ จะช่วยหยุดเลือดได้สักพัก”

    “ขอบใจ”

    ถึงตอนนี้อะไรก็ได้ที่ช่วยให้บ็อบบี้อดทนไปจนถึงที่หมาย ชานอูเดินไปข้างหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางที่ซับซ้อน มันมีทั้งทางเลี้ยวและทางโค้งและช่องอีกมากมายที่ไว้หลอกศัตรูถ้าหากพวกมันรู้ทางเข้า

    ฮันบินจัดการทำแผลให้อย่างระวังเพราะกลัวอีกคนจะเจ็บ เช็ดเลือดที่อาบไปทั้งตัวแล้วล้างแผลจนสะอาด ถึงจะเจ็บแต่ตอนนี้ต้องอดทนแล้ว

    “อีกไม่ไกลก็เจอทางออกแล้ว อดทนหน่อยนะพี่”

    “ไม่รู้ว่าทางที่หลอกพวกมันไว้ได้อีกนานแค่ไหน”

    “จะยังไงก็ช่างรีบไปกันก่อนเถอะ”

     

     

    “ไม่เห็นร่องรอยของพวกมันเลยครับ”

    “มันไม่มีทางล่องหนไปได้หรอก”

    ซึงฮุนว่าพรางมองไปรอบๆ เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของซึงฮยอนและไม่เชื่อว่าเหยื่อของเขาจะหายไปเฉยๆแบบไร้ร่องรอยขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ผีก็ทำไม่ได้

    เขาเดินไปรอบๆห้องครัวเหมือนจะหาอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไร มันก็แค่ห้องครัวธรรมดาที่ถูกยิงจนเละไปหมด เสียงฝีเท้าดังวนอยู่รอบๆซ้ำๆ ก่อนจะหยุดเดินตรงพรมสีแดงผืนใหญ่

    “เหอะ...ใครเขาปูพรมในห้องครัวแบบนี้กัน”

    ซึงฮุนหัวเราะในลำคออย่างน่าขัน ความคิดของเด็กที่ประสบการณ์ยังไม่ถึงแบบนี้ยังไงก็ต้องรู้ทันอยู่แล้ว เขาสั่งลูกน้องให้ดึงพรมออก แน่นอนล่ะว่าสิ่งทีซ่อนอยู่ยิ่งทำให้เขายิ่งสมเพชกับความคิดของศัตรู

    “พวกแกมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน”

    พวกเขาเปิดประตูสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นออก บันไดขั้นเล็กๆที่ดูยังไงมันก็เหมือนกับทางลับแบบที่พวกทหารเคยใช้ ก็ยังถือว่าไม่เลว ลูกน้องคนนึงที่อยู่ตรงทางเข้าค่อยๆปีนลงไปเป็นคนแรก มันทั้งมืดและอับจนหายใจแทบไม่ออก

    ตุ๊บ!

    ทันทีที่ถึงพื้นเขารีบเปิดไฟฉายแล้วสาดไปรอบๆเพื่อหาทางเดินต่อ

    ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!

    ทว่าเสียงที่อยู่ไม่ไกลมันทำให้เขาต้องหยุดอยู่ที่เดิม เสียงเหมือนนาฬิกาเวลาที่กำลังนับถอยหลัง เขามองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียงนั่น

    ระเบิดเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงสามสิบวินาทีกำลังถอยหลังเรื่อยๆ

    “ระเบิด!

    เสียงตะโกนจากคนข้างล่างดังลั่นขึ้นมาข้างบน ซึงฮุนรีบปิดประตูทางหนีนั่นแล้วกระโดดออกทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ

    ตู้ม!!

    แรงระเบิดที่จุนฮเวเป็นคนทำขึ้นมาเองกับมือ มันแรงพอที่จะอัดให้ร่างของเขากระเด็นออกมาจนแทบจะถึงถนน บ้านสองชั้นหลังใหญ่พังลงแค่เพียงเสี้ยววินาที

    ซึงฮุนมองกลุ่มควันสีดำที่ลอยขึ้นบนฟ้า ไม่น่าเชื่อว่าพวกเด็กที่เชาคิดว่าไม่น่าจะสร้างระเบิดแรงมหาศาลได้ขนาดนี้ เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก

     

    จุนฮเวยืนมองบ้านของตัวเองที่เพิ่งจะอยู่ได้ไม่นานอย่างนึกเสียดาย กว่าจะได้มันมาเขาต้องปลอมเอกสารการซื้ออยู่นานเพราะถ้าเอาชื่อตัวเองอาจโดนจับแทนที่จะได้บ้าน

    “เอาน่า!   ไว้จะซื้อให้ใหม่”

    คนตัวเล็กที่คอยอยู่ข้างๆตลอดเวลาเดินเข้ามาตบไหล่เป็นการปลอบ

    “เราต้องแยกกันแล้วล่ะ”

    เสียงของบ็อบบี้ที่นั่งหายใจหอบอยู่ข้างหลังทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปหา ชานอูรีบไปนั่งข้างๆด้วยสีหน้ากังวล

    “ได้ไงล่ะพี่ สภาพแบบนี้คงหนีมันได้ไม่นาน”

    “แต่ถ้าเรายังเกาะกลุ่มกันแบบนี้ พวกเราก็ตายกันหมด”

    “แต่ว่า...”

    “ฉันเห็นด้วยนะ พวกของซึงฮยอนจมูกไวจะตายยิ่งคนเยอะเท่าไหร่มันก็ยิ่งเจอเราเร็วเท่านั้น”

    จินฮวานพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจความหมายของบ็อบบี้ ถ้าขืนยังเกาะกันแบบนี้อีกไม่นานต้องถูกพวกมันเก็บแน่

    “ถ้างั้นผมจะไปด้วย”

    “ไม่! แค่ฮันบินกับฉัน”

    ถึงจะพยายามหาข้อต่อรองแต่ก็ถูปฏิเสธอยู่ดียิ่งทำให้จุนฮเวกังวลจนแทบบ้า เขาไม่มีวันปล่อยพี่ชายที่สภาพกึ่งเป็นกึ่งตายแบบนี้ให้หนีหัวซุกหัวซุนลำพังแน่

    “แต่พี่บาดเจ็บ พี่ฮันบินรับมือพวกมันไม่ไหวหรอก”

    “ไหวสิ! ฉันเชื่อว่าเขาทำได้”

    บ็อบบี้มองอีกคนที่อยู่ข้างๆ แววตาของฮันบินกังวลและสับสนจนไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกมา เขาไม่อยากแยกจากพวกของจุนฮเวเพราะถ้าถูกหาตัวเจอเขาต้านไม่ไหวแน่ แต่บ็อบบี้กลับกำลังบอกให้เขาเข้มแข็ง 

     

    เข็มแข็งเพื่อการเริ่มต้นใหม่

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะหาทางป้องกันถ้าพวกมันเจอเรา”

    ฮันบินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง แต่แค่พูดออกไปเพื่อให้ทุกคนหมดห่วง

    “ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไปด้วย”

    จุนฮเวยื่นกระเป๋ายาที่เขาเป็นคนสะพายให้ฮันบินพร้อมกับกุญแจรถ

    “พวกเราจะหาทางจัดการกับพวกมัน ระหว่างนี้พวกพี่ต้องซ่อนตัวจนกว่าจะหาย”

    เหมือนเป็นคำขาดจากคนเป็นน้อง บ็อบี้พยักหน้าเพราะเขารู้ว่าต่อให้ต่อรองหรือเสนอความเห็นอื่นๆเด็กนี่ต้องไม่ยอมแน่

    “รีบไปเถอะ ก่อนที่พวกมันจะดมกลิ่นเราเจออีก”

    “แล้วเจอกัน”

    จินฮวานตบไหล่ฮันบินเบาๆเหมือนจะบอกให้อีกคนอดทนเอาไว้ จุนฮเวช่วยพยุงบ็อบบี้ขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ ยืนมองรถออดี้สีเงินที่แล่นออกไปอย่างกังวล ไม่รู้ว่าระหว่างนี้จะต้องเจอกับอะไรอีก

    “ไม่ต้องห่วงหรอกสองคนนั้นไม่ยอมโดนฆ่าง่ายๆหรอกน่า”

    คนตัวเล็กพูดปลอบพรางเดินไปที่รถอีกคนที่จอดอยู่ใกล้ๆโดยมีชานอูสตาร์ทเครื่องรอไว้แล้ว

    “ก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”

     

    “เราจะไปไหนกันเหรอครับ ?”

    ฮันบินหันไปมองบ็อบบี้ที่กำลังนอนหลับตาอยู่ข้างๆ

    “มินโฮ ไปหาพี่มินโฮ”

    เขาตอบกลับมาเสียงเบาก่อนจะหลับไปโดยที่ไม่ให้อีกคนถามต่อ ฮันบินขมวดมิ้วกับคำตอบนั้นแต่ก็ยอมขับไปตามเส้นทางที่บ็อบบี้บอก

    ทั้งๆที่เขาออกมาจากกองทัพเพื่อจัดการกับซึงฮยอน แต่จะกลับไปเพราะทำไม่สำเร็จแล้วไหนจะสภาพที่ไม่พร้อมจะทำงานให้กองทัพแบบนี้

    ความคิดมากมายแล่นสวนไปมาในหัวจนฮันบินต้องสลัดมันออก เพราะความกังวลทำให้สมาธิหายไปหมดจนแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองขับไปถึงไหน

    แต่ก็ได้แต่หวังว่ากองทัพจะเข้าใจ

     

     

    เสียงรถค่อยๆแล่นผ่านประตูทางเข้า ฮันบินถูกตรวจค้นอาวุธและรถที่ขับมาอย่างระเอียดรวมถึงบ็อบบี้ถึงผ่านเข้าไปได้

    แต่มันน่าแปลกที่เห็นมินโฮยืนรอรับพวกเขาอยู่

    ฮันบินลงไปเพื่อคุยแต่ไม่รู้จะทำสีหน้ากับพูดอะไรออกมาให้อีกคนเข้าใจ

    “ไม่ต้องหรอก ฉันรู้หมดแล้ว”

    “ครับ ?”

    “พาบ็อบบี้เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”

    ถึงจะไม่เข้าใจที่พูดก็เถอะ ฮันบินวิ่งไปอีกฝั่งเพื่อพาบ็อบบี้ลงมาจากรถ เขาปลุกบ็อบบี้หลายครั้งแต่อีกคนไม่ยอมตื่น แกพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง

    มินโฮเดินนำเข้าไป แต่น่าแปลกยิ่งกว่าที่มีทั้งพยาบาลและหมอคอยรับอยู่ตรงประตู พวกเข้าวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแล้วจัดการใส่เครื่องช่วยหายใจให้บ็อบบี้ก่อนจะพาไปทางห้องพยาบาล ฮันบินทำท่าจะเดินแต่ถูกมินโฮเรียกตัวไว้เสียก่อน

    “เขาไม่เป็นไรหรอก ตามฉันมา”

    “ทำไมคุณถึง...”

    “รู้เรื่องที่พวกนายออกไปน่ะเหรอ”

    “ครับ”

    ฮันบินพยักหน้าอย่างสำนึกผิด ทั้งละอายที่ทำไม่สำเร็จแต่มินโฮกลับหัวเราะออกมา

    “นายคิดว่าหมอนั่นจะพานายออกไปเสี่ยงทั้งๆ ไม่มีแผนอะไรเลยงั้นเหรอ ?”

    “หมายความว่ายังไง ?”

    ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ฮันบินจ้องมินโฮเพื่อรอคำตอบ แววตาของเด็กซื่อที่ทำให้ใครๆต่างก็ต้องยอมใจอ่อนและยอมทำตาม

    “ไม่แปลกใจว่าทำไมหมอนั่นถึงรักนายมาก”

    “เอ๋ ?”

    “ก่อนที่พวกนายจะออกไปบ็อบบี้มาหาฉัน เขาบอกแผนที่จะไปหาซึงฮยอนทั้งหมด”

    “รู้ไหมว่าทำไม ?”

    “ทำไมฮะ ?”

    ฮันบินขมวดคิ้วจนมันแทบจะซ้อนกันอยู่แล้ว มินโฮเดินไปเรื่อยๆระหว่างทางเชื่อมของอาคาร รอบๆเป็นกระจกใสที่มองเห็นข้างนอก มันเป็นเหมือนภาพถ่ายที่เขามองทุกวันภาพของกองทัพที่เป็นเหมือนชีวิต

    “เพราะเขากลัวว่าจะพลาดไง เขาบอกฉันว่าถ้าวันนี้ไม่กลับมาให้ตามหานายแล้วพากลับมาที่นี่ เรื่องจุนฮเวฉันก็รู้ฉันประสานกับทางตำรวจให้บุกจับพวกของซึงฮยอน แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนั่นก็มีไม้ตายเหมือนกัน ก่อนหน้าที่นายจะมาจินฮวานโทรบอกฉันแล้วถึงได้ออกมาต้อนรับ”

    ฮันบินยืนอ้าปากค้างกับทุกอย่างที่มินโฮเล่า เขาคาดไม่ถึงสักอย่างทั้งเรื่องจุนฮเว เรื่องกลับมากองทัพ แล้วก็อะไรอีกหลายๆอย่าง

    “หมอนั่นทำทุกอย่างก็เพื่อนาย เขาไม่อยากให้นายต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”

    “แต่ผมก็พร้อมที่จะอยู่ข้างเขาเสมอ”

    “หมอนั่นไม่ได้คิดแบบนั้น ความสุขของนายต่างหากที่เขาต้องการ”

    ทุกอย่างมันดูซับซ้อนจนฮันบินคิดว่าเขาไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่ต้องการก็คืออยู่กับบ็อบบี้ต่อให้ต้องวิ่งหนีหรือต้องหลบซ่อนไปอีกสักครึ่งชีวิตเขาก็ทำได้

    “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ดูเหมือนแผนของหมอนั่นจะสำเร็จ”

    “แผน ?”

    “รอฟังข่าวพรุ่งนี้เถอะ ฉันว่านายควรจะไปอยู่ข้างๆหมอนั่นตอนที่เขาตื่นนะ”

    อธิบายก็เหมือนไม่อธิบาย ฮันบินยืนเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดสักพักก่อนจะขอตัวออกมาแบบไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง มินโฮมองตามหลังของอีกคนพรางยิ้มออกมากับท่าทางซื่อๆของเขา จริงอย่างที่บ็อบบี้บอกสำหรับเด็กคนนี้เขาแลกได้ทุกอย่าง

    ฮันบินนั่งอยู่เงียบๆในห้องพักคนไข้ แผลของบ็อบบี้ถูกทำใหม่จนสะอาด เขากำลังหลับอย่างสบายในห้วงนิทราของเขา แต่อีกคนที่อยู่ข้างๆกลับรู้สึกสับสนอยางบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่พวกเขาต่อสู้ด้วยกันสิ่งแรกที่รู้สึกคือความห่วงใย ต่อให้ต้องหนีจนหมดแรงเขาก็ยังรู้สึกปลอดภัย แต่ทำไมอีกคนตรงนี้กลับนึกถึงเพียงแค่คนอื่น ทำไมถึงอยากให้มีความสุขต่อให้ตัวเองต้องจากไป

    มันไม่ยุติธรรม...ไม่เลยจริงๆ

    น้ำตาใสๆไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกมายมายที่วนเวียนอยู่ในใจตอนนี้มันกำลังบีบให้เจ็บ พยายามที่นึกถึงวันที่ไม่มีอีกคนอยู่ข้างๆแต่ก็ทำไม่ได้

    เสียงสะอื้นดังขึ้นในความเงียบคือความรู้สึกทั้งหมดตอนนี้

    “มีอะไร ?”

    เสียงแหบพร่าของคนที่ตื่นขึ้นมาเป็นเหมือนคำปลอบโยน ฮันบินปาดน้ำตาแล้วขยับเข้าไปใกล้จับมือของอีกคนขึ้นมาแนบที่แก้ม ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่กลับคิดถึงจนแทบจะขาดใจ

    “อย่าทิ้งผมไป”

    ฮันบินพูดออกมาเสียงสั่นเครือแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนนองทั้งสองแก้ม

    “ทำไมฉันต้องทิ้งนาย”

    “ไม่รู้ แต่อย่าทิ้งผมไป”

    “นายคือทั้งชีวิตของฉัน”

    บ็อบบี้พูดเสียงเบา แต่ฮันบินได้ยินชัดเจน หันไปสบตากับดวงตาเรียวเล็กที่อ่อนล้า ขยับเข้าไปใกล้แล้วจูบเบาๆที่ริมฝีปากของอีกคนเพื่อย้ำว่าเขายังอยู่ตรงนี้

    “จะไม่ทิ้งผมไปใช่มั้ย ?”

    “ไม่มีวันอยู่แล้ว”

    รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา บ็อบบี้เช็ดน้ำตาทั้งสองแก้มที่เปียกชื้น เขายิ้มให้อีกคนอย่างโอนโยนก่อนจะดึงลงมาแล้วจูบย้ำอีกครั้ง

    “อีกไม่นานหรอก ทุกอย่างจะจบจริงๆ”

     

    แสงอาทิตย์ของวันใหม่โผล่เหนือหมู่เมฆและขุนเขา สาดเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมปลุกให้คนที่กำลังหลับตื่นขึ้นมาเพื่อรับวันใหม่

    “ตื่นแล้วเหรอฮะ ?”

    คนแรกที่เจอก็ยังเป็นคนเดียวกันที่ส่งเข้านอน

    “พวกนายขัดคำสั่ง”

    ความสุขมักผ่านไปเร็วตามเวลา ผู้บังคับบัญชาสูงสุดเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าตึงเครียดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

    “ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่ง”

    ฮันบินยืมก้มหน้ารับผิด รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้แต่บ้อบบี้กลับนอนนิ่งๆเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

    “แล้วเป็นไง ซมซานกลับมา”

    “แต่ซึงฮยอนถูกจับนะครับ”

    “พวกนายไม่รู้หรือไง เรื่องของซึงฮยอนมันคือเรื่องของพวกเรา แต่ในเมื่อทหารจับมันได้ทุกอย่างจะอยู่ในอำนาจของตำรวจ หลักฐานที่เรามีก็ต้องส่งให้ตำรวจรับผิดชอบแล้วเราจะทำอะไรไม่ได้เลย”

    น้ำเสียงโกรธเคืองจนแทบจะพ่นไฟได้ของผู้บังคับบัญชาฯ ทำเอาฮันสะดุ้งจนต้องก้มหน้าไว้อย่างเดิม มันก็ถูกเพราะยังไงหลักฐานทั้งหมดก็ยังอยุ่ในนั้น

    “พวกนายทำผิด ต้องได้รับการลงโทษ พวกนายถูกจับ”

    “ได้ไงล่ะครับ”

    “พวกนายทำงานไม่สำเร็จ ข้อตกลงถือเป็นอันยกเลิก”

    “ไม่มีข้อตกลงไหนถูกยกเลิกหรอกครับ”

    มินโฮเดินเข้ามาพร้อมกับนายทหารอีกสองสามคนที่ถือแฟ้มเอกสารมาด้วย

    “หมายความว่ายังไง ?”

    “หมายความว่าพวกเขาทำสำเร็จ”

    นายทหารสองคนที่อยู่ด้านหลังยื่นเอสารให้ผู้บังคับบัญชาฯดู เขาเปิดมันดูด้วยความสงสัย ทั้งข้อมวลการค้า เอกสารการโอนเงิน รายชื่อลูกค้ารายใหญ่ สัญญาการเปิดธุรกิจเถื่อนอีกนับมาถ้วน หลักฐานทั้งหมดมากพอที่จะเอาผิดซึงฮยอนได้แบบที่ดิ้นไม่หลุด

    “ก็...ก็ดี

    “แต่ผมมีข้อตกลงเพิ่มอีกอย่าง”

    มินโฮพูดขึ้นตอนที่หัวหน้าของเขากำลังเดินออกไปจนต้องชะงัก เขายื่นเอกสารอีกชุดที่ถือเข้ามาด้วยให้กับหัวหน้า

    “ผู้ต้องหาอีกสองคนที่ถูกหมายจับ พวกเขาเป็นคนเปิดเซฟ ผมว่าน่าจะมีอะไรตอบแทนให้พวกเขานะครับ”

    ดูเหมือนงานนี้คนที่หัวเสียจะเป็นผู้บังคับบัญชาฯที่ตอนแรกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มินโฮยิ้มออกมาก่อนจะทำความเคารพหัวหน้าที่กำลังเดินออกไปอย่างไม่พอใจนัก

    “พวกเขามาที่นี่เหรอฮะ ?”

    ฮันบินถามทันทีที่ทุกคนเดินออกไปเหลือแค่มินโฮ

    “พวกเขามาเมื่อคืนแล้วก็รีบกลับไป บอกว่าที่นี่อยู่แล้วหายใจไม่ออก”

    “แล้วพวกเขาทำยังไงถึงเปิดเซฟได้ ?”

    “เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้พวกนายค่อยถามเขาเองเถอะ...แล้วนี่จะเอายังไงต่อ ?”

    มินโฮมองคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ได้แต่นอนฟังทุกอย่างนิ่งๆปล่อยให้มินโฮจัดการ บ็อบบี้หลับตาลงเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง

    “ช่วยผมอีกสักครั้งได้หรือเปล่า ?”

    “ช่วย ?”

    “ครับ...อีกครั้งเดียว”

     

    โดมินิกัน!

    ไม่มีอะไรสวยเท่าที่นี่อีกแล้ว

    ฮันบินยืนมองทะเลเบี้องหน้าที่ตอนนี้กลายเป็นของเขาไปแล้วมันทั้งสวยและสงบ ลมเย็นๆที่พัดผ่านน่าน้ำสีครามกระทบผิวกายที่เนียนนุ่ม ราวกับความฝันที่เขายืนอยู่ตรงนี้

    “ทำอะไรอยู่หน่ะ ?”

    เสียงของอีกคนที่อยู่ในบ้าน ฮันบินหันไปมองคนที่เดินเข้ามาหาเขาถือเบียร์เข้ามาสองขวดแถมยังเปลือยท่อนอีก ก็แบบที่เขาชอบนั่นแหละน่ะ บ็อบบี้ยื่นเบียร์ให้ฮันบินเขารับมันมาอย่างว่าง่าย

    “สวยใช่มั้ยล่ะ”

    “ฮะ...ผมชอบที่นี่”

    “แล้วทำไมยังต้องพกปืนไว้ตลอดเวลาด้วยล่ะ ?”

    บ้อบบี้ล้วงเอาปืนพกสั้นที่อยู่ด้านหลังของฮันบินออกมา เขาวางมันไว้ข้างๆอย่างไม่สนใจ

    “ก็ผมกลัวนี่ฮะ ?”

    “กลัวฉันเหรอ ?”

    “ไม่ใช่สักหน่อย ผมกลัวพวกของซึงฮยอนต่างหาก”

    “กลัวทำไม ?”

    “ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะกลับมาแก้แค้นเราหรือเปล่า”

    ฮันบินตอบเขากังวลจนสลัดมันออกจากความคิดของตัวเองไม่ได้ ถึงจะมั่นใจว่าอยู่ไกลจากพวกของซึงฮยอนแต่ก็ยังกลัวอยู่ดี

    “ที่นี่ไม่มีใครให้มันแก้แค้นหรอก ?”

    “ทำไมล่ะครับ ?”

    “เพราะมีฉันอยู่ไง”

    มันเป็นแค่คำคอบธรรมดาแต่ฮันกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ความห่วงใยและความอบอุ่น บ็อบบี้ยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วมองทะเลเบื้องหน้าเขายกยิ้มเล็กๆมุมปากเมื่ออีกคนยังจ้องเขาอยู่ข้างๆ

    ฮันบินลพสายตาจากเขาแล้วมองไปยังที่หมายเดียวกัน ยกเบียร์ที่ตอนนี้ทั้งอร่อยและหวานขึ้นดื่ม

    ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันก็แค่เรื่องที่ผ่านมาและอีกไม่นานก็จะผ่านไป หรือต่อให้เรื่องมันจะใหญ่มาหรือหนักมากแค่ไหนก็คงไม่มีผลอะไรอีกแล้ว ในเมื่อทุกอย่างมันจะจบลงด้วยมือของคนๆนี้ที่ยืนอยู่ข้างๆตรงนี้

    ทุกคำพูดเหมือนคำมั่นสัญญา

    และเขาก็ไม่เคยผิดสัญญา


     
     

    - จบ –




     

    Part: My Type (Junhwan)

     

    โตเกียว

    สถานีตำรวจ ห้องฝากขัง

    ซึงฮยอนถูกขังเดี่ยว แน่นอนล่ะว่าเพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เจ้าตัวกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวความผิดสักนิด เขานั่งอยู่บนเตียงนอนที่มีแค่ผ้ารองที่พืนเตียงกันหมอนแข็งๆและผ้าห่มที่ห่มยังไงก็ไม่รู้สึกอุ่น แถมห้องน้ำก็ยังอยู่ปลายเตียงใกล้ๆนี่อีก เขาหัวเราะหึในลำคออย่างหงุดหงิด มันต่างจากที่ที่เขาเคยอยู่ที่ๆเป็นเหมือนราชวัง

    “ทำไม อยู่ไม่ได้เหรอ ?”

    เสียงของใครคนนึงดังขั้นหน้าประตูที่มีแค่ช่องเล็กๆให้เห็นคนที่มาเยือน

    “แกคงไม่ได้โดนจับหรอกจริงมั้ย”

    เขาตอบกลับไปพรางลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู เด็กผู้ชายผมทองที่อายุห่างกันหลายปียืนอยู่ตรงหน้าเพียงแต่มีประตูเหล็กขั้นเอาไว้ระหว่างพวกเขา

    “ฉลาดดีนี่”

    “ต้องการอะไร ลายมือฉันเหรอ ?”

    เขายกมือตัวเองขึ้นดูแล้วมองเด็กที่จ้องเขาด้วยแววตานิ่งเฉยๆแต่แน่วแน่

    “จะเข้าถึงตัวฉันมันยากหน่อยนะ ไอ้น้อง!

    ครื๊ด!

    ประตูเหล็กหนาที่ถูกกั้นถูกเปิดออกทันทีที่พูดจบ เด็กตรงหน้าก็คือจุนฮเวที่อยู่ในชุดนักโทษ ซึงฮยอนรู้แน่ว่าเด็กนี่ไม่ได้โดนจับ นิสัยโจรที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กกับแค่จะเข้ามาในห้องขังแบบนี้มันไม่ยากเกินไปหรอก

    “ไม่ยากหรอกจริงมั้ย ?”

    “อั๊ก!

    จุนฮเวรัวมัดใส่ซึงฮยอนไม่ยั้ง ทันทีที่ถึงตัวจนคนโตกว่าถวาไปชนกำแพง เขาถีบจุนฮเวจนเวออกมากก่อนจะพุ่งเข้าไปอัดเข้าที่หน้าจังๆ แต่อีกคนเร็วกว่าเขาสวนหมดกลับมาจนซึงฮยอนเซไปชนกับกำแพงอีกครั้ง จุนฮเวล้วงเอามีดพกขนาดเล็กออกมาแล้วจี้ที่คอของศัตรู มันคมมากพอที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ใหล้ที่สุดได้

    “แล้วไง จะตัดมือฉันไปเหรอ”

    “หึ! ฉันทำแน่ถ้าจะทำแต่ไม่ใช่ตอนนี้”

    ฉึก!

    เข็มฉีดยาขนาดเล็กถูกแทงลงไปที่หลังหู ซึงฮยอนเบิกตากว้างเพราะรู้ว่ายานั่นคืออะไรก่อนทุกอย่างจะค่อยๆมืดลง จุนฮเวปล่อยให้ร่างของศัตรูล้มลงกับพื้นก่อนจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา แล้วแตะลงกระดาษแผ่นใสที่เอามาด้วย

    “แก กับฉันยังต้องเจอกันอีกนาน”

     

     


     

     

    SHOESBOX
    PART:SPOT #DoubleB
    จบแล้ววววววว!!

    เอ๊ะๆ ตัวอย่างของพาร์ทต่อไปแว๊บๆ
    #JunHwan
    ฝากติดตามด้วยคร๊าบ


     


     


     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×