ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (os / sf johnjae nct) My dearest, lovely J

    ลำดับตอนที่ #16 : (os) Be late prom

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2K
      104
      2 เม.ย. 62



    Title :  Be late prom

     

    Soundtrack : https://www.youtube.com/watch?v=pzhVBsR-mLA



     

         แจฮยอนถอนหายใจพลางทิ้งตัวเอนไปด้านหลังยันแขนเท้ากับพื้นหลังจากปิดเทปลังกระดาษสีน้ำตาลใบที่สาม รู้สึกใจหายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเหลือบไปเห็นเตียงกับฟูกว่างเปล่า เขาไม่เคยกลัวความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่เคยชอบที่มันมักจะมาพร้อมกับความวูบโหวงเสมอเมื่อตระหนักได้ว่าเขากำลังจะละจากสิ่งที่คุ้นชินไป

         อีกครั้ง

         ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองไปที่กล่องกระดาษใบเล็กที่เขายังไม่ได้ปิด โปสการ์ด รูปฟิล์ม การ์ดอวยพรในวันพิเศษหลายสิบใบจากคนคนเดียวอัดแน่นอยู่ข้างในนั้น รวมไปถึง—วิดีโอเทปและเทปเสียงจากเมื่อสามปีก่อนที่เขายังไม่เคยมีโอกาสได้เปิด

         เทปเหรอ ไปหาทางทำมายังไงเนี่ย

         ฮ่าๆ คิดไว้แล้วว่าเจย์ต้องชอบ

         ตอบไม่เคยตรงคำถามเลยนะ

         แจฮยอนแค่นยิ้มกับตัวเอง หยิบเอาเทปใส่กระเป๋าเป้ ก่อนจะใช้เทปกาวปิดลังนั้นลง, เหมือนกับใบอื่นๆ

     

     

     

         “กล้องฟิล์มเหรอ”   เขาถามอย่างสนใจพลางชะโงกหน้าไปดูเจ้าเครื่องจับภาพสีดำอันเล็กในมืออีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ขั้นต่ำกว่า, ด้วยอาการหอบเล็กน้อยหลังจากเพิ่งลงไปวิ่งอยู่ในสนามลาครอส

         “อือ”   คนตัวสูงตอบพลางหันมามองพร้อมรอยยิ้มจาง, เหมือนทุกทีที่ได้เจอ   “เพิ่งแอบถ่ายนายไปแน่ะ”

         “อะไรอ่ะเนี่ย เหวอแน่”

         อีกฝ่ายหัวเราะ   “ล้างก่อนถึงจะได้ดูนะ”

         แจฮยอนส่ายหัวยิ้มๆอย่างไม่ถือสา เขาไม่ได้สนิทกับคนตรงหน้านัก แต่เพราะความที่เป็นคนเกาหลีเหมือนกันก็เลยรู้สึกสบายใจด้วยมากเป็นพิเศษ

         “ลองเล่นมั้ย”

         “ได้เหรอ”

         “ชดเชยที่แอบถ่ายไปเมื่อกี้แล้วกัน”

         “ค่าตัวฉันถูกขนาดนั้นเชียว”

         “ฮ่าๆๆๆ จะให้ทำยังไงล่ะ”

         เขาหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป งกๆเงิ่นๆเล็งภาพคนที่นั่งต่ำกว่าอยู่หนึ่งขั้นจากกล้องก่อนจะกดถ่าย

         “วันไหนล้างฟิล์มก็เรียกไปด้วยดิ อยากดูอ่ะ”

         อีกฝ่ายยิ้มให้เขาเหมือนอย่างทุกที ทั้งที่ตัวโตจนน่าเกรงขามและยังอยู่ในชุดนักกีฬา ทว่ากลับให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับแสงแดดยามบ่าย

         “ได้สิ”

         เป็นการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่เขารู้สึกว่าดวงอาทิตย์อยู่ใกล้กว่าทุกที

     

     

     

         แคลิฟอร์เนียทำให้นึกย้อนไปถึงวันคืนเก่าๆเสมอถึงแม้จะเคยมาอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง แปลกดีที่ครั้งนี้เขาคงต้องได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกนานทีเดียว

         จองแจฮยอนยังคงมีเสื้อยืดบางเบาอยู่บนตัวพร้อมกับกางเกงยางยืดขาสั้น, เดินเลียบริมหาดให้ฟองคลื่นซัดโดนเท้าพร้อมกับหนังสือในมือขวาที่เขายังอ่านมันไม่จบ คั่นหน้าหนังสือไว้ด้วยนิ้วโป้งขณะมองพระอาทิตย์ตกดิน

         เขานั่งลงบนทรายส่วนเปียกๆในท้ายที่สุด ปล่อยให้น้ำทะเลซัดจนเปียกไปเสียครึ่งตัวขณะนั่งเหยียดยาวชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้าง ยกหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ผ่อนคลายตัวเองด้วยเสียงคลื่น กลิ่นไอทะเล และแสงแดดยามเย็น

         พลางสงสัยว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะอยู่ที่ไหน

         ทำอะไรอยู่นะ

     

     

     

         เสียงเพลงเปิดดังกระหึ่มบนเรือยอร์ช ทะเลเป็นประกายสีน้ำเงินอยู่ด้านล่าง แสงแดดจากฤดูร้อนให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาเสมอ เขาสวมกางเกงว่ายน้ำหนึ่งตัวและแว่นกันแดด หัวเราะสนุกสนาน เต้นไปตามจังหวะกับเพื่อนคนอื่นๆบนหลังคาเรือ มือข้างขวาถือขวดคันทรี่ค็อกเทลส์แจ็ค ดาเนียลส์ที่พร่องไปแล้วครึ่งหนึ่ง

         เขาหมุนตัวเมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามาจับมือข้างที่ว่างชูขึ้นบนอากาศพลางหัวเราะ, อีกฝ่ายก็เช่นกัน ก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่มจากขวดที่เขาส่งให้เสียจนเกือบหมดเมื่อเขาเห็นว่าในมือคนตัวสูงนั้นว่างเปล่า

         Wanna jump from here?    คนตรงหน้าที่สวมเพียงกางเกงว่ายน้ำและแว่นกันแดดคาดขึ้นไปบนเส้นผมสีดำถาม เขาเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก

         Of course.”

         เราวางแว่นกันแดดและขวดค็อกเทลทิ้งไว้ด้านบน ก่อนจะกระโดดลงจากหลังคาเรือพร้อมกันพร้อมด้วยเสียงเชียร์จากคนอื่นๆแว่วตามหลัง รู้สึกได้ถึงผิวสัมผัสเย็นสดชื่นของน้ำลึกที่โอบอุ้มไปทั่วทั้งร่าง ทว่ามือข้างหนึ่งกลับรู้สึกอบอุ่นด้วยสัมผัสจากผิวเนื้อของคนข้างกาย

         เสียงน้ำสาดซัดดังขึ้นเป็นระลอกเพราะคนอื่นๆกระโดดตามลงมา แต่การรับรู้ของเขาหยุดไว้เพียงรอยยิ้มของคนตัวสูงที่ยังไม่ยอมปล่อยมือทั้งยังลอยคออยู่ในผืนน้ำทั้งคู่

         เขาพยายามหลบซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าพลางแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น ขณะที่มือนั้นกระชับความอบอุ่นใต้ความเย็นชื่นแน่นขึ้น

     

     

     

         เขาจุดบุหรี่สูบอย่างเงียบเชียบขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์สูงขัดกันกับเสียงเพลงดังกระหึ่ม เครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไปเคลื่อนฉิวมาอยู่ตรงหน้าพอดิบพอดีบนผิวเคาน์เตอร์ เขายังไม่รู้จักใครเลยที่นี่

         Hey.

         หรือกำลังจะได้รู้จัก

         Hi.   เขาส่งยิ้มให้ผู้ชายตะวันตกตัวสูงใหญ่ที่เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้บาร์ตัวข้างๆ ริมฝีปากสีชมพูจัดนั้นยิ้มตอบ

         I have never met you here before.

         I’ve just moved out from Chicago like—three days ago.”

         “Oh, right.”   อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้   For work? Or—”

         Got away from the crime, massacre.”

         ชายร่างสูงทำหน้าไม่ถูกจนเขาหัวเราะ พาให้อีกฝ่ายหัวเราะตาม   Just kidding.

         You’ve got a great sense of humor.”  

         “Maybe.”   เขาว่า   Bring any friends here? Can I hang out with you? I know nobody here.”

         อีกฝ่ายพยักหน้าพลางบึนปากเล็กน้อย   “Of course.”

         Great.   แจฮยอนยิ้ม หยิบแก้ววิสกี้ก่อนจะเดินออกจากบาร์ไปพร้อมชายผมสีบลอนด์หม่น

     

     

     

         แจฮยอนหลบออกจากเสียงอึกทึกมายืนอยู่ที่สนามหญ้าข้างบ้านที่มีผู้คนออกมายืนสูบบุหรี่ประปราย รู้สึกโล่งขึ้นอย่างประหลาดเมื่อหลุดพ้นจากสภาพเบียดเสียด เขาเมานิดหน่อย แต่ยังมีสติอยู่ครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์แม้จะรู้สึกร้อนฉ่าบนแก้ม หยิบเอาซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน ก่อนจะสบถออกมาเมื่อตบไปแล้วไม่พบไฟแช็ก

         คงจะลืมไว้ในแจ็คเก็ต—ที่วางไว้บนโซฟาด้านใน

         เขาถอนหายใจ ตั้งใจว่าจะเดินไปขอยืมคนที่สูบบุหรี่อยู่แถวนี้ ทว่าแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่เรียกให้หันไปมอง

         “ลืมแจ็คเก็ตไว้แน่ะ”  

         แจฮยอนมองเสื้อของตัวเองสลับกับหน้าของอีกฝ่าย

         “นึกว่านายจะกลับแล้วลืมไว้ มองหาตั้งนานรู้มั้ย”

         เขากลั้นยิ้ม   “โกหก”

         อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักไหล่และหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เด็กหนุ่มร่างสูงหยิบเอาไฟแช็กของเขาออกมาจากกระเป๋าแจ็คเก็ตด้านซ้าย มือใหญ่ยกขึ้นมาป้องลมไว้ ก่อนจะจุดไฟที่ปลายบุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก

         “หานี่อยู่ล่ะสิ”

         แจฮยอนสูบนิโคตินเข้าปอดไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาคีบไว้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง พยักหน้าพลางพ่นไอควันสีเทาท่ามกลางอากาศเย็นตอนห้าทุ่ม

         Thanks.   เขาว่า    “เอาไหม”

         “ไม่เป็นไร ฉันไม่สูบ”

         เขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเก็บซองบุหรี่กลับใส่กระเป๋า คนตัวสูงยิ้ม นั่งลงบนขั้นบันไดทางออกพลางพยักพเยิดให้เขาลงไปนั่งตาม รู้สึกได้ถึงแจ็คเก็ตของตัวเองที่เคลื่อนมาวางคลุมบนไหล่—ไม่รู้ทำไมครั้งนี้มันถึงได้อุ่นเป็นพิเศษ

         “จริงๆแล้วชื่อเกาหลีของฉันคือยองโฮ, ซอยองโฮ”   อยู่ๆพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาหันไปมองก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ   “แค่อยากบอกน่ะ ชื่อนี้มีแค่ที่บ้านเรียก”

         เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นรอบที่สอง หวังว่ามันจะกลบรอยยิ้มบนหน้า   “เหรอ”

         “กลั้นยิ้มตลอดเลย อยากยิ้มก็ยิ้มสิ”

         “แล้วจะทำไม”

         อีกฝ่ายหัวเราะ นิ้วชี้จิ้มเบาๆบนลักยิ้มของเขา   “ชอบมองน่ะ สวยดี”

         เขาเม้มปาก ไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าความร้อนบนแก้มมาจากแอลกอฮอล์หรืออย่างอื่น จอห์นนี่—ไม่สิ ยองโฮไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ผิวปากตามจังหวะเพลงที่ดังออกมาข้างนอก หรือไม่ก็ทำแค่นั่งอยู่ข้างเขาเงียบๆ จนกระทั่งแจฮยอนเป็นคนพูดขึ้นมาหลังจากหมดบุหรี่ไปครึ่งมวน

         “ยองโฮ”

         อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อย   “หืม”

         “ถ้าขับรถมา ก็ไปส่งที่บ้านหน่อยสิ”

         คนตัวโตหัวเราะเขินๆ

         “ได้ครับ”

     

     

     

         แจฮยอนผิวปากตามเสียงเพลงจากเอียร์พ็อดส์เบาๆขณะเดินเลือกหนังสืออยู่ในร้าน พลิกดูไปสองสามเล่มก่อนจะไปสะดุดกับหนังสือปกสีแดงที่วางอยู่บนชั้น

         The Bell Jar

         เพิ่งเคยเห็นปกสีแดงเป็นครั้งแรกแฮะ

         เขาหยิบมาเปิดดูก่อนที่ตัวเองจะทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

         พลันเสียงความทรงจำในหัวไหลเข้ามาเหมือนกับเปิดเทป

         The Bell Jar.

         ชอบอ่านแบบนี้เหรอ

         ประมาณนั้นมั้ง

         งั้นคงชอบเล่มนี้ด้วย

         ถ้าอ่านจบแล้วไม่ชอบ ฉันจะฆ่านาย

         จะเสียใจเอานะ

         เขาถอนหายใจทั้งรอยยิ้มเศร้าสร้อย

         ว่าแต่,

         เทปเหรอ

     

     

     

         ห้องสมุดตอนนี้มีคนไม่มากนัก และเขาชอบที่มันเป็นอย่างนั้น

          ร่างหนึ่งเดินผ่านชั้นหนังสือที่เขายืนอยู่ไปด้านข้าง ทว่าแจฮยอนจดจำเสื้อคลุมวอร์มและรูปร่างสูงใหญ่นั้นได้ขึ้นใจ เขาอมยิ้ม แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         เป็นเวลาหลายนาทีทีเดียวที่ยองโฮจงใจเดินไปเดินมาอยู่แถวชั้นหนังสือบริเวณใกล้ๆกัน อีกฝ่ายรู้แน่ล่ะว่าเขารู้ แต่ก็ยังแสร้งทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นมองหาหนังสืออ่านได้น่าหมั่นไส้จนอยากจะเดินเข้าไปหยิกเอวคนกวนประสาทสักที

         จนกระทั่งแจฮยอนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น ขณะเดียวกับที่อีกฝ่ายมายืนอยู่ข้างๆ—ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และกำลังจับสันหนังสือเล่มเดียวกัน

         Oops, sorry.   เสียงทุ้มเย้าแหย่ เขาอดหัวเราะเบาๆไม่ได้

         Nice acting, hah?”

         คนตัวสูงหัวเราะ ยอมปล่อยให้เขาดึงหนังสือออกมาถือ ชะเง้อหน้ามามองพลางบึนปากเล็กน้อยพร้อมกับอ่านออกเสียงตามปกเบาๆ

         The Bell Jar.

         กวนประสาท

         แต่เขาหุบยิ้มไม่ได้เลย

         “ชอบอ่านแบบนี้เหรอ”

         “ประมาณนั้นมั้ง”

         อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะยื่นหนังสือในมือมาให้

         “งั้นคงชอบเล่มนี้ด้วย”

         แจฮยอนอมยิ้ม รับมาพลิกไปมาสองสามหน้า   “ถ้าอ่านจบแล้วไม่ชอบ ฉันจะฆ่านาย”

         ยองโฮหัวเราะ   “จะเสียใจเอานะ”

         เขาไม่ตอบ แค่ยืนพิงชั้นหนังสือพลิกหน้าต่อไปเงียบๆในขณะที่อีกฝ่ายหยิบหนังสือที่เขาเป็นคนเลือกไปเปิดดูอยู่ข้างๆกัน ไม่นานนักหูฟังข้างหนึ่งจากอีกฝ่ายก็ย้ายที่มาเสียบอยู่ที่หูข้างซ้ายของเขา

         จองแจฮยอนกลั้นยิ้มไม่สำเร็จ อันที่จริง, ไม่เคยสำเร็จเมื่อมีอีกคนอยู่รอบตัว

         เสียงพลิกกระดาษกับเสียงเพลงจากหูฟังทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ในขณะที่ไออุ่นจากคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ, ซอยองโฮทำลายศูนย์การควบคุมตัวเองของเขาพังย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีเสมอ เขาเพิ่งตระหนักถึงความรุนแรงของฮอร์โมนที่ทำงานเมื่อตกหลุมรักได้เดี๋ยวนั้นเอง

         และใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นจากปลายตาว่าอีกฝ่ายค่อยๆโน้มตัวลงมาใกล้จนปลายจมูกห่างกันไม่ถึงคืบ ยกหนังสือขึ้นบดบังใบหน้าของเราทั้งคู่ เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาเพราะอยากให้คนที่ได้ยินมีเพียงเขา ความอบอุ่นจากผิวเนื้อชิดใกล้เสียจนแจฮยอนอยากกรีดร้องออกมาดังๆ

         May I?

         ทว่าสิ่งที่เขาทำมีเพียงหลับตาลงเหมือนกับเป็นการอนุญาต, ปล่อยให้สัมผัสนุ่มหยุ่นประทับลงบนริมฝีปาก เคล้าคลึงเชื่องช้าเหมือนอยากจะอ้อนกันอยู่เกือบนาที

         อีกฝ่ายผละออกอย่างอ้อยอิ่ง ทิ้งร่องรอยความชื้นจางๆไว้บนริมฝีปากสีสด เขายิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เพราะเขิน แน่ใจว่าหน้าต้องแดงลามไปถึงหูพร้อมกับลักยิ้มเด่นชัด ยกหนังสือขึ้นมาปิดหน้าพร้อมกับถองศอกใส่คนตัวสูงข้างๆแรงๆ

         ยองโฮหัวเราะ ก่อนจะคว้าเอามือเอาไปกุมไว้, เหมือนกับใต้น้ำทะเลวันนั้น

     

     

     

         แจฮยอนตรงไปหยิบวิดีโอเทปและเทปเสียงทันทีที่กลับมาถึงห้อง เขาไม่เคยกล้าเปิดมันเลยตลอดสามปี และวันนี้—ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่มันต้องเป็นวันนี้ ตอนนี้

        

         วิดีโอเทปเก่าๆฉายภาพสีฟิล์มเหมือนกับหนังสมัยก่อนทำให้เขายิ้มออกมา

         สมกับเป็นซอยองโฮ

         วิดีโอเริ่มด้วยภาพของเขาที่วิ่งอยู่บนสนามลาครอสในชุดกีฬา ก่อนที่สักพักจะตัดไปเป็นเขาในกางเกงว่ายน้ำและสวมแว่นกันแดดหันมายิ้มให้กล้อง เดินไปเรื่อยๆแบบที่กระทั่งตัวเขาเองก็จำไม่ได้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ เป็นเขาที่กำลังนั่งขมวดคิ้วขณะทดเลขด้วยดินสอใส่เศษกระดาษที่คาเฟ่ที่เคยไปด้วยกัน เป็นเขาที่เต้นใส่กล้องด้วยเพลงจากแผ่นเสียงที่ห้องของยองโฮ เป็นเขาที่สูบบุหรี่และแลบลิ้นเมื่อเห็นว่ากล้องถ่ายอยู่บนกระดานลื่นที่สนามเด็กเล่น เป็นเขาที่บีบวิปครีมใส่ปากอยู่ในครัวที่งานปาร์ตี้ ทุกอย่างบันทึกการเคลื่อนไหวของแจฮยอน, ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

         เมื่อภาพฉายเป็นตัวเขาที่เคลื่อนตัวไปซบอยู่บนไหล่กว้างของอีกฝ่าย หัวเราะและพูดคุยกัน จองแจฮยอนถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้

         เขาเช็ดน้ำตาเมื่อภาพตัดจบ และเปลี่ยนมันออกเป็นเทปเสียง

         เปียโน

         M.A.Y. in the Backyard

         เพลงที่เขาเคยเล่นให้อีกฝ่ายฟังเป็นครั้งแรก—ในเดือนพฤษภาคม

         ชายหนุ่มถอดเทปออกมาทั้งน้ำตาเงียบๆ ก่อนจะสังเกตเห็นสิ่งที่เขียนอยู่ด้านหลังด้วยลายมือขยุกขยิกเล็กๆ

         ที่อยู่...พอร์ตแลนด์?

     

        

     

         อีกหนึ่งสัปดาห์จะถึงงานพรอม

         ไม่ควรเป็นช่วงที่เราจะมานั่งทะเลาะกันแบบนี้

         “ทำไมไม่เคยบอกเรื่องทุนไปไอร์แลนด์”   เขาถามนิ่งๆขณะนั่งอยู่บนเตียงของอีกฝ่ายที่นั่งเงียบพอกันหลังจากที่เขาทำบรรยากาศมาคุมาทั้งวัน

         “โกรธเรื่องนี้หรอกเหรอ”

         “อย่ามาทำเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กจะได้ไหม”  

         “เปล่านะ”   อีกฝ่ายสวนทันควัน   “ก็แค่—ไม่อยากให้เจย์กังวล”

         “แล้วคิดจะบอกเมื่อไหร่? วันจบ? หรือวันที่กำลังจะไปแล้ว?”

         “ใจเย็นๆก่อนสิ”

         “ก็พูดมาดิวะ”

         ยองโฮถอนหายใจ   “ไม่รู้”

         “ไม่รู้?”   เขาทวน แค่นหัวเราะ เงยหน้าขึ้นเพื่อห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา พยักหน้าอยู่คนเดียวราวกับเสียสติ   “ไม่รู้”

         “ก็เพราะรู้ว่าบอกแล้วจะเป็นแบบนี้ไง”

         “อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องมาเสียใจเพราะรู้ตอนนายกำลังจะไปแล้วหรือเปล่า!

         “เจย์”   อีกฝ่ายพยายามใจเย็นเมื่อเขาตวาด มือใหญ่จับแผ่วเบาบนหน้าขา   “ใจเย็นๆก่อน”

         “ไม่ต้องมาแตะตัวฉัน”   เขาว่า จับมืออีกฝ่ายออก ก่อนจะหยิบหมอนขึ้นมาฟาดท่อนบนของคนที่เพิ่งมานั่งข้างๆอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทั้งน้ำตา   “ไปให้พ้น จะไปไหนก็ไปเลย”

         เขาเดินออกมาทั้งพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหลออกจากหน้า

         ไม่ได้หันกลับไปมองคนที่นั่งน้ำตาไหลอยู่บนเตียง, จากคำพูดที่ใจร้ายไม่ต่างกัน

     

     

     

         เขาไม่ได้ไปพรอมกับยองโฮ อันที่จริง, ไม่ได้ไปโผล่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

         หลังจากวันที่ทะเลาะกันก็แทบจะไม่ได้เจอเพราะเขาจงใจหลบหน้า—ไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายทั้งที่อีกใจก็อยากคุยด้วยใจแทบขาด

         โง่งี่เง่าชะมัด เขารู้สึกเกลียดตัวเองในวัยสิบแปดปีขึ้นมาแวบหนึ่ง

         แจฮยอนนั่งอยู่กับรูปถ่ายจากกล้องฟิล์มที่เขาเพิ่งจะล้างมา เป็นรูปชายหาดที่เขาไปนั่งอ่านหนังสือเมื่ออาทิตย์ก่อน เขียนประโยคที่คิดได้อยู่ในหัวลงไปด้านหลังรูปด้วยเมจิกสีดำ

         ยังอยากไปพรอมด้วยกันอยู่ไหม?

         โง่ชะมัด

         เขาในวัยยี่สิบเอ็ดย่างยี่สิบสองอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าตัวเขาเองในวัยสิบแปดปีเท่าไหร่

         แต่อย่างน้อยถ้ามีโอกาสอีกครั้ง, เขาจะไม่ทิ้งมันไว้ข้างหลังและหนีปัญหาอีกแล้ว

     

     

         .

     

     

         รอให้ถามตั้งนาน :)

     

     

       .

     

     

     

         ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาเจออีกฝ่ายยืนถือดอกกุหลาบสีขาว—ที่เขาชอบ ยืนรออยู่หน้าอพาร์ตเม้นต์แบบนี้

          น้ำตาไหลอาบแก้มทันทีที่เห็นหน้า เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อยากเจอหน้ายองโฮตอนอยู่ที่ไฮสคูล อีกฝ่ายยังคงเป็นตัวทำลายล้างการควบคุมตัวเองของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ, เสมอ

          “ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย”   เสียงทุ้มว่ากลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดแผ่วเบารังให้เขาสะอื้นหนักไม่สนใจสายตาคนเดินผ่านไปผ่านมา พูดจาอู้อี้ไม่ได้ศัพท์เพราะซุกหน้าอยู่กับแผ่นอกกว้างทั้งสะอึกสะอื้น แต่อีกฝ่ายก็ยังตั้งใจฟังและตอบกลับมาทุกคำ

         “คิดถึง”  

         “ครับ คิดถึง”

         “ขอโทษ”

         “ไม่เป็นไร”   มือใหญ่ข้างที่ว่างลูบหลังเขาแผ่วเบา   “ไม่เป็นไร เจย์ ไม่เป็นไรนะ”

         “รัก—”    เสียงของเขาขาดห้วง   “—รักมาตลอด”

         “เหมือนกัน”   ยองโฮตอบ จูบแผ่วเบาที่ข้างขมับ   “รักเหมือนเดิมมาตลอดเหมือนกัน”

        

         เรากลับขึ้นมาอยู่บนห้องของแจฮยอน, ที่ยองโฮดูจะสนอกสนใจเป็นพิเศษ เขายังสะอื้นอยู่เล็กน้อยจนฝ่ามือใหญ่ต้องวางบนกลุ่มผมและโยกไปโยกมาเบาๆ

         “ไม่ร้องแล้วสิ”

         เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา

         “นั่งสิ”

         อีกฝ่ายนั่งลงบนโซฟาสีดำของเขาอย่างว่าง่าย วางช่อดอกกุหลาบไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย ก่อนจะตบที่ว่างข้างๆให้เขาลงไปนั่งด้วยกัน

          “เป็นยังไงบ้าง”   อีกฝ่ายถาม

         “ก็ดี—เพิ่งย้ายมาเพราะได้งานที่นี่ นายล่ะ”

         “อืมม์ ฉันก็ไปมาสิบกว่าประเทศแล้ว เพราะงานนี่แหละ”   ยองโฮว่า   “ดีนะที่กลับมาทันคำชวนไปพรอมพอดี”

         แจฮยอนหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทันที ฝ่ามือของยองโฮยังคงลูบอยู่บนหลังของเขา ปลอบประโลมอยู่เงียบๆ

         “ขอโทษที่วันนั้นพูดจาใจร้ายแบบนั้น”

         “ขอโทษเหมือนกันที่ทำให้เสียใจ”

         เขาเบะปาก ทำท่าจะสะอื้นขึ้นมาอีก   “วันนั้นฉันตีเจ็บไหม”

         เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่าย   “เจ็บมั้ง จำไม่ได้แล้ว”

         “โอ๋ เด็กโง่ ไม่ร้องแล้วสิ”

         “ไม่ได้ร้อง”

         เขาเห็นว่ายองโฮลุกขึ้นไปเปิดเพลงจากแผ่นเสียง รอสักพักก่อนจะผายมือมาทางเขาพร้อมรอยยิ้ม

         May I have this dance?”

         แจฮยอนหัวเราะ วางมือของตัวเองลงบนมือนั้น ก่อนจะลุกขึ้น

     

         เขาปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง โยกไปมาเบาๆพร้อมกับเสียงดนตรี ยองโฮซบหน้าลงกับไหล่ด้านขวาพร้อมกับความรู้สึกเปียกชื้น เขากระชับกอดรอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้นพลางลูบแผ่นหลังกว้างแผ่วเบา

         “ร้องไห้ทำไม”

         “...เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงขนาดนี้”

         เขายิ้ม เอนแก้มซบลงกับกลุ่มผมพลางยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

         “อืมม์”

         แจฮยอนหลับตาพริ้มเมื่อริมฝีปากที่เขาโหยหาเคลื่อนมาทาบทับ, พร้อมกับสัมผัสเปียกชื้นบนแก้มอีกฝ่ายที่แตะลงบนแก้มของเขา

         “คิดถึง..มาตลอดเลย”

        

     

    Years ago
    When I had a chance
    I could've held your hand
    But I was young and then I blew every circumstance
    Yet I still think
    I dream of dancing, dancing with you, with you


    And maybe even share a drink or two
    While I tell you the truth
    That I don't even care what this is for
    As long as I get to share the floor
    With you, with you...

    With you


     

    END.

     

    A/N : ทำไมอะไรที่ไม่มีพล็อตนี่มันเขียนได้เรื่อยๆแถมจบไว งง นี่เขียนคืนเดียว คื น เ ดี ย ว โดยไม่มีพล็อตเลยค่ะ ไหลไปเรื่อย ในขณะเรื่องนี้วางพล็อตไว้ในหัวอย่างดีน้านนน 555555555555555555555

    กำลังพยายามตบๆภาษาตัวเองให้เข้าที่เข้าทางหลังจากไม่ได้เขียนอะไรมาพักนึง กลายเป็นรอมคอมใสใส มีบีฟอร์ยู เลิฟโรซี่ต่างๆ แปลกๆไปบ้างไม่ว่ากันนะคะ กำลังเป็นรวนๆ โฮร

    ปล. เพลงดีมากเลยค่ะ เขียนไปจากไวบ์เพลงที่รู้สึกนี่แหละ ต้องฟัง จีงๆนะ

    ปล2. ชื่อตอนโง่มาก ไม่ว่ากัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×