ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EYE [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #3 : EYE 02

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 57




    EYE   02

     

    หลังจากที่นอนพักอยู่โรงพยาบาลไปเดือนนึงเต็มๆ วันนี้ผมไปโรงเรียนได้ตามปกติแล้ว ไม่มีอะไรปิดตาทั้งสิ้น เมื่อเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลในวันนั้นผ่านไป อาหมอจับผมเข้าเครื่องตรวจเช็กอะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับดวงตา ผลสรุปยังเป็นเหมือนเดิม ดวงตาของผมบอบช้ำเกินกว่าจะใช้มองโลกนี้ได้อีกต่อไป ในตอนแรกผมยืนยันว่าผมยังมองเห็นได้จริงๆ อีกทั้งยังท้าทายโดยการปิดตาขวาลงอีกต่างหาก แต่เพราะการที่ผมตัดสินใจทำแบบนั้นอีกครั้งหนึ่งทำให้ผมรู้.. รู้ว่าตัวเองตาบอดจริงๆ

    แล้วผู้ชายที่ผมเห็นเขาวันนั้นล่ะ...

    อาหมอสรุปว่าเป็นผลมาจากความเครียดของผมที่ยังทำใจไม่ได้กับการต้องยอมรับว่าตัวเองสูญเสียการมองเห็นไป

    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาข้างซ้ายของผม สิ่งที่ทุกคนรู้มีเพียงไอ้ริวม.สองทับสี่ถูกรถชนที่ใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียน แม้แต่เพื่อนในกลุ่มของผมก็ไม่รู้ สารภาพว่ารู้สึกน้อยใจนิดหน่อยที่ไม่มีใครสนใจจะถามไถ่อาการผมมากนะ ไม่มีใครเข้ามาขอโทษกับการที่พวกมันมีส่วนทำให้ผมโดนถูกชนในวันนั้น มีแต่คนที่เลี่ยงจะพูดถึงเหตุการณ์นั้น

    ก็เข้าใจว่ายังเด็ก... สำหรับเด็กผู้ชายอายุสิบสี่อะไรมันจะสำคัญไปกว่าเก็บเควสในเกมแล้วก็เตะบอลล่ะ

     “เฮ้ย ริว

    ฮะ?”

    คนที่เรียกผมคือ ฉาง หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของผม ไม่ขอบอกว่าสนิทมาก แต่ถ้านับจากคนทั้งหมดในกลุ่มก็สนิทกับมันมากที่สุด ในห้องก็ยังสนิทมากที่สุด รวมถึงในโรงเรียนด้วย มันเป็นคนที่สนิทกับผมมากที่สุด แต่ไม่ได้สนิทมาก ความจริงที่นั่งของฉางคือโต๊ะข้างๆผม แต่ตอนนี้ตัวมันอยู่ด้านหลังแถวถัดจากผมไปทางซ้ายมือ

    นี่คืออุปสรรคแรกในการดำรงชีวิตของผมเมื่อไร้ตาซ้ายครับ เวลามีคนเรียกจากด้านหลังแล้วจำเป็นต้องเอี้ยวตัวไปมองจากด้านซ้าย ผมจำเป็นต้องหันไปจนเกือบจะเรียกได้ว่ากลับหลังหัน โชคดีที่ยังไม่มีใครจับสังเกตได้

    มึงเอี้ยวขนาดนั้นเดี๋ยวก็คอเคล็ดหรอก

    ผมเงียบตอบกลับไป ก็ตกใจอยู่หรอกที่มันทักแบบนั้น แต่ก็พยายามไม่ให้ผิดสังเกตมากไปกว่านี้ ฉางพึมพำอะไรอยู่กับตัวเองแปปนึงแล้วต่อประโยคถัดไปเมื่อเห็นว่าผมเงียบ

    เดี๋ยววันนี้ไปเอางานตอนมึงไม่มาโรงเรียนที่บ้านกูด้วย เก็บไว้จนจะท่วมหัวแล้ว

    ผมครางอือตอบมันไปเบาๆในลำคอพร้อมกับพยักหน้าประกอบ ก่อนจะหันกลับมาทำเป็นวุ่นวายกับสมุดว่างโล่งในมือ ปลายนิ้วเย็นเฉียบทำให้ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่ากำลังกลัว.. กลัวจะมีคนรู้ว่าตาบอด

    มันจะรู้ไหมว่าผมมองไม่เห็นแล้ว...

                ตอนนี้ผมเพียงนั่งรอเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ หลังจากตาบอด.. ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่นอกบ้านนานๆ ไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน และรู้สึกระแวงสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้นเป็นสองเท่า

                เสียงกริ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้วดังขึ้นแทบจะพร้อมกับตัวผมที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง คว้ากระเป๋าเป้ทั้งของตัวเองและไอ้ฉางมาถือก่อนเดินไปคว้าแขนมันที่นั่งเล่นหมากเก็บอยู่กับพวกผู้หญิงหลังห้อง ความจริงมันก็แค่อยากเข้าไปอ้อล้อกับพวกผู้หญิงหน้าตาน่ารักเท่านั้นแหละ มันทำหน้าเหลอหลาแล้วโวยวายไม่หยุดปาก

                เป็นบ้าอะไรโว้ยย ริว!”

                มันพยายามบิดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของผม แน่นอนว่าผมปล่อยมันไปก่อนโยนกระเป๋าของมันคืนให้เจ้าตัว ไอ้ฉางรับไปก่อนทำหน้าเหมือนจะด่า แต่ก็ไม่ได้ด่าออกมา กลับเป็นฝ่ายเดินนำผมไปขึ้นรถเมล์เสียเอง

                รถเมล์เคลื่อนตัวเชื่องช้า เท่าที่ผมจำได้ บ้านฉางต้องนั่งไปอีกประมาณสิบห้านาที ก่อนเดินเข้าซอยไปอีกประมาณห้านาที แต่วันไหนรีบๆก็อาจใช้เวลาเพียงแค่สามนาที แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

                เบาโว้ย! เบาๆ

                ด้วยความที่ผมกับฉางตัวพอๆกัน แต่มันผอมกว่าเล็กน้อยเลยทำให้ผมถูลู่ถูกังมันไปตามทางเดินได้ไม่ยากนัก แม้มันจะขัดขืนก็ตามที ฉางเป็นคนขี้โวยวายครับ มากด้วย ต่อให้อยู่โรงเรียนหรือที่บ้าน กับเพื่อนหรือครอบครัวมันก็เป็นคนขี้โวยวาย แต่ก็ไม่เคยมีใครโกรธมันนะ โกรธไม่ลงมั้ง ก็มีแต่ผมเนี่ยที่โกรธมันแต่มันดันไม่รู้ตัวว่าผมโกรธ

                ตอนนี้ฉางเงียบเสียงไปแล้ว แปลกใจอยู่เหมือนกันที่มันเลิกโวยวายไป แต่ก็ดี

                เดินไปเรื่อยจนถึงกลางซอย ทุกอย่างเกือบดีแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีบางสิ่งมาขัดขวางการเดินทางที่ผมพยายามเซฟเวลาให้เหลือแค่สามนาที

                แถวบ้านมีพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ฉาง..

                ผมหยุดฝีเท้าลง รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบเมื่อแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าคือสุนัขร่างกายผอมเกร็งแต่กำลังขู่กรรโชก ดูจากท่าทางแล้วมันคงไม่ยอมให้พวกผมผ่านทางนี้แน่นอน ถ้าให้เปรียบกับคน บอกเลยว่ามันดูคล้ายคนติดยา แต่ในกรณีที่มันเป็นหมาคงสรุปได้ว่าเป็นหมาบ้า สังเกตเอาจากน้ำลายที่หยดแหมะๆแล้วก็ลักษณะอื่นๆน่ะนะ

                มะ.. ไม่รู้ว่ะ ริว กูไม่ชอบแบบนี้ ไม่เอาแบบนี้อะมึง

                ไอ้ริวเกาะตัวผมแน่น แต่ก่อนที่มันจะก้าวเท้าให้เข้ามาชิดตัวผมเพื่อที่จะรู้สึกว่ามีที่กำบัง ผมก็ส่งเสียงลอดไรฟันเตือนมันด้วยความหวังดีเมื่อสี่ขาตรงหน้าแยกเขี้ยวจนผมชักอยากจะทำหน้าบิดเบี้ยวตามมันไปซะจริงๆ

                อย่าขยับ มึงขยับเราเสร็จมันแน่

                ผมได้ยินเสียงไอ้ฉางส่งเสียงโอดครวญประมาณว่า แล้วมึงจะให้กูทำยังไงฮะหลายรอบอยู่ใกล้กู แต่ผมเองก็จนปัญญาจะตอบมันเหมือนกันเมื่อเริ่มรู้สึกว่าขาตัวเองสั่น รู้สึกว่าตัวเองกลัวตัวตรงหน้ามากกว่าไอ้ฉางที่เอาแต่พึมพำว่ามันกลัวอยู่ด้านหลัง

                ยะ.. อย่าเข้ามานะมึง!”

                ไอ้ฉางทำใจกล้าตะโกนข่มมันไปทีนึง ดูเหมือนมันจะลืมว่าอยู่ด้านหลังไม่มีสิทธิ์ตะคอกใครทั้งนั้น ห่วงความปลอดภัยผมมากเลยสินะ.. ขอบคุณ

                ฉาง.. เรายืนต่อก็ไม่น่ารอดว่ะ หนีเหอะ ดีกว่ายืนรอมัน

                ผมพูดออกไปจากใจ ยังไงซะค่าก็ไม่ต่างกันมากในความคิดผม จะรอมันมาขย้ำหรือวิ่งหนีให้มันตามขย้ำ อย่างหลังย่อมมีสิทธิ์หนีพ้นกว่า แต่ฉางดูไม่เห็นด้วยเมื่อมันทำตาเหลือกใส่ผมแล้วหยิกเอวผมไปทีนึง เจ็บ!

                “มึงบ้าเหรอ.. กู-ไม่-วิ่ง

                “แต่กูวิ่ง

                ไอ้สัดริวว!!!”

                เสียงด่าของฉางไม่เข้าหูผมเหมือนเดิม ให้ตายสิ แต่ผมก็ลากไอ้ตัวปากเสียวิ่งออกมา ไม่มีทางเลยที่สองขาสองคนจะสู้สี่ขาได้ แต่เดิมพวกผมก็ไม่ใช่นักกรีฑาอยู่แล้ว จะให้เร็วกว่ามันก็ไม่มีทาง

                อย่างน้อยก็เย็บไม่กี่สิบเข็มวะริว

                แล้วก็ดูเหมือนผมจะได้เย็บแผลสมใจนึกล่ะครับ เมื่อหนีไม่พ้น ผมต้องโดนกัดอยู่แล้วล่ะ ใครจะไปรู้ว่านั่นถิ่นมัน แย่ว่ะชีวิต

                ออกไป!”

                เคร้ง!

                เสียงตะวาดกร้าวของผู้ชายตามด้วยเสียงโลหะตกกระทบพื้นกับเสียงร้องเอ๋งหลายทีติดต่อกันทำให้ผมชะงักแล้วหันกลับไปดูเบื้องหลัง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง...

                เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงเลสีน้ำตาล รูปร่างแบบนี้..

                ผมจำได้ไม่มีวันลืมแน่นอน

                ผู้ชายที่โรงพยาบาล

                อ่าวเฮ้ย! ทำไมหมามันหนีไปแล้วอะ

                ลืมฉางไปสนิท.. แต่ผมไม่สนใจมันแล้ว ผมละมือจากฉาง สาวเท้าเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้นก่อนเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ คนร่างสูงกว่าหันมามองพลางขมวดคิ้วเคร่ง สีหน้าเหมือนอยากด่าเต็มทน

                ระวังตัวหน่อยสิ!”

                “ครับ?”

                “หมามันดุ!”

                “เอ่อ.. ครับ ขอบคุณมากที่ช่วยไล่ให้

                คนที่ขยี้ผมอย่างหัวเสียตรงหน้าสบถออกมาเป็นภาษาอะไรผมไม่อาจรู้ได้ แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ฟังๆดู.. น่าจะเป็นจีน?

                “มึงคุยกับใครวะริว?”

                ไอ้ฉางที่ผมปล่อยมันไปตอนแรกกลับมาคว้าไหล่ผมไปพูดประโยคที่ทำผมงงหนัก ก่อนผมจะตอบคำถามมันออกไป อะไรวะ มันมองไม่เห็น?

                “ก็คุยกั---

                “ฉันชื่อโฉ เป็นพี่ของมันเอง แต่ช่วงนี้ทะเลาะกันอยู่มันเลยน้อยใจ ชอบทำตัวงี่เง่าแบบนี้แหละ

                อ๋อ.. แบบนี้นี่เอง ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนยิ้มบางๆให้คนตัวสูงกว่า พี่โฉรู้จักเขาสักที ผมมีหลายเรื่องที่อยากจะถามเขาและเขาก็เป็นคนเดียวที่ยืนยันได้ว่าผมไม่ได้ตาบอด ถึงอยากจะล็อกตัวเขาแล้วลากกลับบ้านเลยตอนนี้แต่ก็ต้องยั้งใจไว้ เพราะไม่งั้นผมอาจะโดนท่อนเหล็กฟาดเหมือนหมาตัวเมื่อครู่ก็เป็นได้ อีกอย่าง.. เขาก็เป็นพี่ไอ้ฉาง จะเจอกันอีกบ่อยๆยังได้1

                ตอนนี้ก็ตามๆมันไปแล้วกันว่ามองไม่เห็นฉัน ไม่อยากให้พี่อยู่ในสายตาน่ะ

                ผมหัวเราะเบาๆกับความเด็กของไอ้ฉางที่เขาพูดออกมาพลางเบะปากใส่น้องชายที่ยืนทำหน้าเหลอหลาเกาะหลังผม

                ระ.. หรือว่ามึงเจออะไรไอ้ริว จิตสัมผัส

                “เปล่า กูพูดคนเดียว

                ก็ว่าไปนั่น ผมหันกลับไปตบบ่ามันแล้วหัวเราะ หัวเราะครั้งแรกที่เรียกได้ว่าหัวเราะจริงๆหลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น

                การเจอคนๆนึงมันทำให้ผมปลดปล่อยความสุขออกมาได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

                อยากเจออีกบ่อยๆจัง จะได้ถามให้เคลียร์ว่าวันนั้นเขาไปทำอะไรที่โรงพยาบาลกันแน่

                น่าแปลก... ที่เมื่อผมหันกลับไป ก็ไม่เจอเขาเสียแล้ว

                สงสัยไม่ถูกกับน้องชายจริงๆล่ะมั้ง

    เนอะ?

     

     

     

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×