ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EYE [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : EYE 01

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 57




    EYE   01

     

    สายลมส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ข้างหู ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือร่างกายหนักอึ้ง ริมฝีปากแห้งผาก ผมลองขยับนิ้วมือดูแต่ปรากฏว่าชาจนไร้เรี่ยวแรง

    รถชน

    แน่นอนว่าผมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังความรู้สึกในวินาทีที่ตัวรถพุ่งเข้าปะทะร่างจนกระเด็นปลิวไปไกล คิดไว้แล้วว่าคงไม่ลืมภาพในวันนั้นจนกว่าจะตาย อย่างน้อยก็เก็บไว้เตือนสติตัวเองให้ฉลาดขึ้นมาบ้าง

    เปลือกตาค่อยๆฝืนปรือขึ้น ภาพที่ปรากฏต่อสายตาผมคือเพดานสีขาว แต่ไม่ชัดเจนนัก ภาพของผู้หญิงคนที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นที่หางตา แม่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่โซฟารับแขก

    แม่.. แม่ครับ

    เสียงแห้งผากที่เปล่งออกมาจากลำคออย่างยากลำบากทำให้รู้สึกเหมือนถูกรีดเค้นน้ำไปจนหมดร่างกาย ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัวก็ตามที

    ริว! เจ็บตรงไหนรึเปล่า

    ภาพมัวๆที่ปรากฏแก่สายตาคล้ายกระจกขึ้นฝ้าในวันฝนตก วินาทีนั้นผมแทบไม่ได้สนใจเลยว่าแม่กอดผมด้วยความเป็นห่วงขนาดไหน ผมเพียงแค่กะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะพบว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ตาซ้ายของผมมองไม่เห็นอะไรแม้จะพยายามเพ่งมองเท่าไรก็ตามที แถมยังรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาเมื่อพยายามเพ่งดู

    เกิดอะไรขึ้น...

    มือซ้ายถูกยกขึ้นเพื่อแตะที่รอบดวงตา เป็นอย่างที่คิด ผ้าก๊อซแผ่นใหญ่ถูกแปะปิดบาดแผลไว้ วินาทีนั้นรู้สึกราวกับโดนสาดน้ำแข็งใส่จนชาหนึบไปทั้งตัว

    บอด?

    แม่ ตา.. ตาริวเป็นอะไร

    ผมถามแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่กลับไม่มีคำตอบจากแม่ มีเพียงแรงบีบหนักๆที่ฝ่ามือก่อนแม่จะลูบหัวผมเบาๆ

    มันบอด.. รึเปล่าครับแม่

    ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากน้ำที่ไหลอาบมาตามแก้ม ไม่ใช่ของผมคนเดียว แม่ก็เช่นกันที่มีน้ำตาอุ่นๆไหลอาบแก้มพร้อมเสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดใจ

    แม่.. อย่าร้องสิ แม่

    ผมสูดลมหายใจเข้าไปพลางบอกตัวเองว่าอย่าร้อง ไม่บอดหรอก.. แม่ก็แค่ตกใจเท่านั้นเอง ผมบอกตัวเองแบบนั้น

    ริว.. เจ็บไหมลูก

    ฮื่อ ไม่เจ็บหรอกแม่ แม่แหละร้องทำไม หยุดได้แล่วว

    ผมแกล้งยิ้มออกไปแต่แม่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ จะทำยังไงดี

    ทำยังไง..

     

    หยุดร้องเถอะ..

    ผมภาวนาอยู่ในใจอย่างร้อนรนก่อนยอบตัวนั่งลงบนเตียงคนไข้แล้วลูบหัวคนตรงหน้า ไม่เอาสิ.. อย่าร้อง

    ไม่สบายใจเลย

    ผมปกป้องเขาไม่ได้..

    ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว.. อยากจะแข็งแกร่งกว่านี้ อยากจะดูแลคนรอบตัวให้ได้

    ไม่อยากสูญเสีย... ถึงจะไม่ชอบขี้หน้ามันเป็นบางครั้งก็เถอะ แต่ไม่ชอบแบบนี้เลย..

    แม่ครับ.. นี่โรงพยาบาลที่อาหมอทำงานอยู่ใช่ไหม

    คนเป็นแม่เงียบไปอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบลูกเบาๆ ริวดันตัวออกจากอ้อมกอดของแม่แล้วเอ่ยขอด้วยเสียงแผ่วเบา

    ริวอยากเจออาหมอ นะแม่.. นะ

    ผมหันไปมองคนเป็นแม่ที่ยืนเม้มปากอย่างชั่งใจ ลูกชายเลยเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปเขย่าแขนแม่แทนเพื่อเร่งเร้า

    ริว...

    ก่อนที่คำพูดจะออกมาจนครบประโยคจากผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้า เสียงประตูเปิดก็ดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับผู้มาเยือนในชุดกาวน์สีขาวสะอาด สองชีวิตในห้องหันไปมองพร้อมกัน เอ่อ.. รวมอีกหนึ่งที่ไม่มีชีวิตด้วย

    ผู้ชายที่ผลักประตูเข้ามามีใบหน้าค่อนข้างสงบเยือกเย็น ดูจากหน้าตาแล้วอายุไม่น่าเกินสามสิบ ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ยาวปรกต้นคอดูไม่เหมาะกับคนที่ได้ชื่อว่าประกอบวิชาชีพเป็นแพทย์เลยแม้แต่นิด เห็นผมเป็นวิญญาณแบบนี้แต่ผมมองเห็น ได้ยิน และได้กลิ่นนะครับ

    กลิ่นไอ้หมอนี่แม่ง.. บุหรี่หึ่งเลย

    อาหมอ..

    ริวเรียกฝ่ายนั้นเสียงแผ่ว เสียงประตูปิดลงเงียบๆก่อนคนตัวสูงจะพาตัวเองมาหยุดอยู่ข้างเตียง มือหนาๆเอื้อมมาตบปุลงบนหัวริว

    นั่นเขาตบหัวเอ็งนะ..

    ยิ้มทำบ้าอะไร แล้วหน้าน่ะ.. แดงทำไม

    จู่ๆก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาซะงั้น ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยเว้ยชิวเล้ง

    หายดีแล้วหรือไง?”

    ก็ยัง.. ครับ

    ริวหันไปสบสายตาแม่มีแววเว้าวอนแฝงอยู่.. เวลาผ่านไปไม่นาน ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากผู้หญิงคนเดียวในห้องก่อนเธอจะเดินออกจากห้องนี้ไป

    สิ้นเสียงปิดประตูก็เหลือแค่คนสองคนและผีอีกหนึ่งตน

    อาครับ..

    เสียงริวสั่นจนผมแอบเป็นกังวล.. ผู้ชายในชุดกาวน์เลิกคิ้วมองเด็กอายุสิบสี่บนเตียงเป็นเชิงถามว่าจะพูดอะไร

    ตาของผม.. คือมัน..

    จะฟังจริงๆ?”

    ริวลอบกลืนน้ำลายก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคนแล้วพยักหน้าเชื่องช้า

    แล้วจะรับได้เหรอ

     ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น แต่ก่อนที่ริวจะได้พูดอะไร คนที่เขาเรียกว่าอาหมอจะปล่อยประโยคที่ผมคิดว่ามันแย่มากออกมาจากปากของเขา

    เศษกระจกจากรถคันที่ชนริวมันบาด แล้วก็ฝังอยู่ในตา แต่หมอตาเอาเศษของมันออกให้จนหมดแล้ว

    ท้องห้องเงียบไป รอคอยให้เขาพูดต่อ

    แต่ดวงตาของริวก็บอบช้ำเกินไป คงจะไม่มีโอกาสมองเห็นอีกแล้ว

    ผมหันกลับไปมองริวที่ชันเข่าขึ้นแล้วกอดตัวเองแน่น ร่างกายสั่นเทา ผมรู้ว่าเขาต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ เพราะตาบอดตั้งแต่อายุสิบสี่มันเป็นเรื่องร้ายแรง

    ทำไมไม่คิดว่าตัวเองโชคดีล่ะเสียงทุ้มเอ่ยเรียบพร้อมฝ่ามือที่ลูบหัวริว

    พูดบ้าอะไรอีก ไอ้หมอนี่..

    ผมนึกอย่างหงุดหงิดใจ คนตาบอดจะมาบอกให้คิดว่าตัวเองโชคดี? บ้าไปแล้วมั้ง

    อย่างน้อยมันก็บอดข้างเดียว ได้ใช้ชีวิตแบบไม่เหมือนคนอื่นด้วยนะ ได้มองโลกในแบบที่ริวเห็นได้คนเดียว ไม่ดีเหรอ

    “…”

    ไว้หายดีแล้ว จะพาไปเที่ยวสวนสนุก ดีไหม?”

    “…”

    พาไปเที่ยวทุกที่ที่ริวอยากไปเลย ว่าไง?”

    “…ครับอา

    ผมคิดว่า... ผมควรออกไปเดินเล่นที่อื่นจนกว่าริวจะอาการดีขึ้น

    ที่สำหรับคนเป็นมันไม่เหมาะกับผมจริงๆ...

     

    เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ อาการของผมดีขึ้นมากจนอาหมอบอกว่าผมสามารถเอาผ้าก๊อซที่ปิดตาอยู่ออกได้แล้วจะได้ไม่รำคาญ พี่พยาบาลแซวด้วยว่าหายดีอย่างกับมีผีเลียตา บ้าเหรอ ผีที่ไหนจะมาเลียตาผม มีอารมณ์ขันกันอยู่เรื่อย ก็แค่อยากพูดให้มันคล้องจองกันก็เท่านั้นเองไม่ใช่รึไง

    เรียบร้อยแล้ว

    หลังจากดึงเทปอันสุดท้ายออกไป บริเวณรอบดวงตาก็รู้สึกโล่งสุดๆ ผมทำใจได้แล้วกับการต้องยอมรับว่าตัวเองตาบอดในตอนนี้ แต่มันก็แค่ทำใจได้ว่าผมเสียดวงตาข้างซ้ายไปตลอดกาล ถึงอาหมอจะบอกว่าอาจจะมีคนบริจาคดวงตาใหม่มาแล้วผมอาจจะมีโอกาสมองเห็นอีกครั้งก็ตาม

    จิตใจตอนนี้มันว้าวุ่นไปหมด

    ยังลืมตาได้ตามปกตินะคะน้องริว

    พี่พยาบาลยิ้มอย่างใจดี ผมจึงคลี่ยิ้มตอบแล้วค่อยๆยกเปลือกตาขึ้น ค่อนข้างลำบากเพราะไม่ได้ขยับมันเลยเป็นเวลานาน แล้วตัดสินใจปิดเปลือกตาข้างขวาลง

    แทนที่จะได้พบกับความมืดมิดอย่างเดียวตามที่คาดไว้ ผมกลับพบใครอีกคนยืนอยู่ที่ปลายเตียง...

    พี่.. พี่ครับ ตาผม มันยังมองเห็น! ผมยังมองเห็น!”

    ผมหันไปจับแขนเสื้อพี่พยาบาลแล้วกระตุกหลายครั้งด้วยความตื่นเต้นจนลืมนึกถึงมารยาท พี่พยาบาลก็ดูตกใจไม่น้อยไปกว่าผม เขาพยายามถามผมว่าเห็นอะไร แต่ผมตื่นเต้นจนไม่สามารถอธิบายอะไรได้จริงๆ พี่พยาบาลบอกให้ผมนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนจะวิ่งออกไปตามหมอเข้ามา ผมก้มมองมือตัวเองที่สั่นจนควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกที่เตรียมไว้มันพลิกไปหมด

    ผมไม่ได้ตาบอด

    เพียงไม่นาน ผมก็ถูกดึงออกจากภวังค์ของตัวเอง เห็นอาหมออยู่ตรงหน้า หน้าตาดูเคร่งเครียด เขาพยายามถามผมว่าเห็นอะไร พลางกอดและลูบหลังผมที่นั่งตัวสั่นและน้ำตาไหลไม่หยุด ผมแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีน้ำตาไหลอาบแก้มตัวเองในขณะนี้ แม้แต่ตอนที่ผมกอดอาหมอแน่นแล้วบอกว่าเห็นใครบางคนในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงเลสีน้ำตาลที่ปลายเตียง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรอาหมอถึงได้บอกให้พยาบาลมาช่วยกันล็อกตัวผมไว้ให้นอนราบไปกับเตียงแล้วบอกให้ใครบางคนนำยาสลบมา

    ผมแค่พยายามจะบอกว่าผมไม่ได้ตาบอด

    ผมพยายามตะโกนบอกอาหมอเป็นสิบๆครั้งว่าผมมองเห็นเขาจริงๆ ผู้ชายผิวขาวที่ยืนอยู่ปลายเตียง ทั้งยืนกรานและอ้อนวอนในที่สุดว่าขอให้เขาเชื่อผม แต่อาหมอเพียงแค่ขบกรามตัวเองแน่นขณะที่ฉีดยานั่นเข้าที่ต้นแขนของผม

    หลังจากนั้นสติผมก็ดับไป พบเพียงความมืดมิด

    ไม่ชอบเลย.. ความมืด

     

    มืดจัง..

    ผมหันมองรอบตัวแต่ก็พบเพียงความมืดมิด ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่จิตใจกลับไม่ว้าวุ่น รู้สึกสงบจนตัวเองยังประหลาดใจ ลองยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าแล้วขยับมาโบกด้านหน้าดวงตา ปรากฏว่ามองไม่เห็นอะไรเลย อยากจะหัวเราะใส่ตัวเอง นี่ตาบอดครบสองข้างแล้วหรือยังไง พระเจ้าไม่ชอบผมขนาดนี้เลยเหรอ ฮ่าๆๆ

    เอ่อ.. หวัดดี

    เสียงแผ่วเบาพร้อมกระแอมไอเล็กน้อย ดูเหมือนไม่มั่นใจในตัวเองดังมาจากด้านหน้าผม ฟังๆดูแล้ว ตัวคนพูดไม่น่าจะอยู่ห่างจากผมมากนัก แทนที่ผมจะถามว่าเขาคือใคร แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่สนใจในจุดนั้นเลย ผมกลับนั่งชันเข่าขึ้นแล้วส่งยิ้มจางในความมืด

    คุณมองเห็นรึเปล่าครับ

    อะ.. อืม เห็น

    เสียงนั้นเงียบไปในทีแรก แต่ค่อยยังชั่วที่เขาตอบกลับมา ในความมืดแบบนี้มีคนอยู่ด้วยก็ดีกว่าอยู่คนเดียวล่ะนะ

    แต่ผมมองไม่เห็นล่ะ ทุกอย่างมืดไปหมดเลย มืดจนไม่เห็นมือตัวเอง ฮะๆ

    เสียงนั้นเงียบไปแล้ว สงสัยคงเป็นเพราะผมพูดมากเกินไป

    คุณรู้รึเปล่าครับ ว่าที่นี่คือที่ไหน

    ความฝันของนายไง

    ความฝันงั้นเหรอ ขนาดในฝันผมยังตาบอดเลยงั้นเหรอเนี่ย สงสัยคนบนฟ้าจะไม่ชอบขี้หน้าผมจริงๆล่ะนะ

    แล้วคุณชื่ออะไรหรือครับ ผมชื่อริวนะ

    ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะตื่น แต่ถ้านี่เป็นความฝันจริง เสียงตรงหน้าก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายแล้วในตอนนี้ ชวนคุยเพื่อรอให้ถึงเวลาที่ตัวเองจะตื่นก็ดี อาจจะฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนัก แต่จนถึงตอนนี้ วินาทีนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วล่ะ

    ...เล้ง

    ชื่อเท่จังผมเอียงคอแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม เรียกเสียงกระแอมไอจากคนเบื้องหน้าได้

    ขอโทษนะ..

    หืม?” ผมส่งเสียงถามด้วยความสงสัย เขาขอโทษผมทำไมกัน?

    คุณคือคนที่ขับรถชนผมเหรอครับ?”

    ไม่ใช่

    ก็คงจริง ผมแอบได้ยินข่าวมาว่า รถครอบครัวคันนั้น หลังจากที่ชนผมก็ขับหนีไปในทันที แต่ผมไม่โทษเขาหรอกนะ ในเมื่อตัวเองวิ่งออกไปให้เขาชนเอง

    แล้วคุณเป็นใครเหรอ? อ๊ะ จริงสิ เล้ง เล้ง.. ใช่เล้งที่แปลว่ามังกรหรือเปล่า?”

    อืม..

    ชื่อผมก็หมายถึงมังกรเหมือนกันเลย! ดีจังเนอะ

    ผมยิ้มกว้างแล้วเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิสบายๆ เล้งเงียบไปพักใหญ่ แต่ผมก็ชวนคุยอีก เป็นอย่างนี้อยู่นานเท่าไรก็ไม่รู้สิ ไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งประโยคสุดท้ายมาถึงผมก็ยังไม่รู้ตัว..

    ขอโทษ.. ที่ดูแลไม่ได้ ขอโทษนะ

    ขอโทษผมทำไม? กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ก็สายเกินไปเมื่อเล้งจากไปเสียแล้ว ถึงผมจะไม่เห็น แต่แสงสว่างที่แทรกเข้ามาในความมืด บอกผมได้ในทันที ว่าความฝันครั้งนี้สิ้นสุดลงซะแล้ว

    แล้วจะได้เจอกันอีกรึเปล่านะ

     

     

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×