ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #49 : ตำนานซานตาคลอส

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.34K
      2
      24 ธ.ค. 49



    ตำนานซานตาคลอส

     

                    ช่วงสัปดาห์ก่อนถึงปีใหม่นั้นเป็นเทศกาล คริสต์มาสที่พี่น้องคริสเตียนเฉลิมฉลองกันทั่วโลก และสัญลักษณ์ที่ขาดเสียมิได้ของเทศกาล นี้ก็คือบุรุษร่างท้วมไว้เคราขาวในชุดเสื้อผ้าและหมวกสีแดง ขี่เลื่อนที่ลาก ด้วยกวางเรนเดียร์ หัวเราะเสียงโฮโฮโฮ ประสานกับเสียงกระดิ่งจิงเกิลเบล และสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเด็กๆ เฝ้ารอคอยก็คือของขวัญที่บุรุษผู้นี้จะนำมาให้โดยแอบใส่ไว้ใน ถุงเท้า ตื่นเช้าขึ้นมารีบเปิดถุงเท้าออกดู พบของขวัญเพียบ คุณพ่อคุณแม่ผู้ยืนไม่รู้ไม่ชี้อยู่ใกล้ๆจะบอกว่า บุรุษที่เอามาให้นั้นมีนามว่าซานตา คลอส

     

              ประวัติความเป็นมาของซานตา คลอส

                     
                   
    ในกลางคริสต์ศตวรรษที่
    3 หนูน้อยนามว่า นิโคลาส (Nicholas) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองปาตารา ซึ่งอยู่ทางฝั่งทะเลตอนใต้ของตุรกี (ปัจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง) นิโคลาสได้รับการเลี้ยงดูอบรมให้นับถือศาสนาคริสต์ หากทว่าอาณาจักรโรมันซึ่งครอบครองแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ในสมัยนั้น ยังนับถือเทพเจ้าและกดขี่ชนคริสเตียน ทำให้ นิโคลาสและชาวคริสต์ทั้งปวงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดหวั่น

                    ต่อมาบิดามารดาของนิโคลาสต้องเสียชีวิตลงด้วยกาฬโรค แต่ยังดีที่ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้ให้กับบุตรชาย นิโคลาสในวัยหนุ่มจึงสุขสบาย และโดยที่เขาเป็นผู้มีน้ำใจ การมีทรัพย์สินจึงช่วยให้เขาสามารถสงเคราะห์ผู้ยากไร้กว่าได้อย่างง่ายดาย และสร้างตำนานที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้

                    นั่นคือ เมื่อหนุ่มนิโคลาส ได้ทราบข่าวครอบครัวหนึ่งซึ่งยากจน จนถึงขั้นบิดา หัวหน้าครอบครัวตัดสินใจที่จะขายลูกสาวสามคนไปเป็นโสเภณี ทั้งนี้ เพราะใน ดินแดนแถบนั้นมีประเพณีว่า หญิงสาวจะต้องนำเงินทองไปขอหมั้นฝ่ายชาย แต่ผู้เป็นบิดาไม่มีเงินเพียงพอที่ใช้เป็นสินสอดหมั้นให้แก่ลูกสาวได้

                    นิโคลาส สงสารครอบครัวนี้ ในยามราตรี เขาจึงลอบแฝงความมืด เอาถุงใส่เหรียญทองคำโยนเข้าไปทางหน้าต่างบ้านเพื่อให้ใช้เป็นค่าสินสอด เขากระทำดังนี้ติดต่อกันสองวัน ผู้เป็นบิดาของสามสาวน้อยดีใจและฉงนใจมากว่า ใครหนอที่มาช่วยเหลือ ในคืนที่สาม เขาจึงเฝ้าแอบดูแล้วก็พบว่าบุคคลผู้นั้นคือหนุ่มน้อยนิโคลาสนั่นเอง

                    การแบ่งปันความสุขในรูป แบบของนิโคลาสจึงถือเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติกันตามตำนานนี้ด้วยความที่เป็นผู้ยึดมั่นในศาสนา นิโคลาสจึงเข้าเป็นนักบวชคริสเตียนและต่อมาก็ได้เป็นบิชอป แล้วย้ายไปประจำอยู่ที่เมือง มายรา (Myra) ซึ่งท่านสามารถปฏิบัติ ศาสนกิจในตอนนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะคอนสแตนติน จักรพรรดิองค์ใหม่ของโรมเลิกเป็นปรปักษ์กับศาสนาคริสต์และยังให้ความสนับสนุนด้วย

                    ท่านสาธุคุณนิโคลาสได้ทุ่มเทชีวิตอุทิศให้ศาสนาจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ กอปรกับตำนานเดิมที่ท่านได้ทำไว้ ทำให้เมื่อท่านมรณภาพ ในราวปี ค.ศ. 340 จึงได้มีการสร้างโบสถ์เก็บรักษาศพของท่านไว้ ณ เมืองมายรา และเมื่อผู้จาริกแสวงบุญได้มาคารวะศพของท่าน ก็ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์บังเกิดขึ้น นั่นคือกระดูกของท่าน มีน้ำไหลซึมออกมา เรียกกันว่า มานนา (manna) ชาวบ้านได้ใช้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาโรคต่างๆได้อย่างชะงัด

                    ผู้มีศรัทธาจึงได้ยกท่านขึ้นเป็นนักบุญเซนต์นิโคลาส

                    เสียงร่ำลือเกี่ยวกับ เซนต์นิโคลาส ดังไปไกลถึงเมืองเล็กๆชื่อ บาริ (Bari) ซึ่งเป็นเมืองท่า ของอิตาลี โดยเหตุที่บาริไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจคนต่างแดน เทียบไม่ได้กับเวนิซ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานศพของเซนต์มาร์ค และมีผู้คนเดินทางไปเคารพกันมาก เหล่าพ่อค้าวาณิชแห่งบาริจึงคิดอ่านหาทางให้เมืองของตนมีความสำคัญขึ้นบ้าง โดยว่าจ้างนักโจรกรรมกลุ่มหนึ่งให้ไปลักขโมยกระดูกของนักบุญนิโคลาสจากโบสถ์เมืองมายรา

                    ในปี ค.ศ.1089 แม็ทธิว หัวหน้ากลุ่มโจรกรรม นำเรือเดินทางไปถึงมายราแล้วบุกไปถึงโบสถ์ จากนั้นก็บังคับนักบวชประจำโบสถ์ให้พาไปยังโลงศพของเซนต์นิโคลาส เขาใช้ค้อนทุบฝาโลง มีกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมาน่าอัศจรรย์ แม็ทธิวแลเห็นกระดูกมีแสงเรืองรองดุจถ่านหินติดไฟ เขากระทำคารวะแล้วยกกระดูกขึ้นจุมพิต รวบรวมห่อหุ้มอย่างระมัดระวังนำลงเรือกลับไปยังอิตาลี

                    บรรดาพ่อค้าแห่งเมืองต่างเฉลิมฉลองอย่างยินดี และร่วมกันสร้างโบสถ์เพื่อบรรจุกระดูกเซนต์นิโคลาส โบสถ์นี้ได้จารึกชื่อแม็ทธิวพร้อมทั้งชื่อลูกเรือ รวมทั้งสิ้น 62 คนไว้ แม้เป็นวีรกรรมที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับชาวเมืองบาริแล้ว นับเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้แก่เมืองของเขาอย่างมหาศาล นอกจากจะมีผู้คนหลั่งไหลมาบูชากระดูกของท่านนักบุญแล้ว ในภายหลังก็ยังเป็นสถานที่กำเนิดของซานตา คลอส แห่งเทศกาลคริสต์มาส ที่ขจรขจายไปทั่วโลกอีกด้วย

                    แม้จะนำมาไว้ที่บาริ แต่ก็สร้างความมหัศจรรย์ได้เช่นกัน นั่นคือมีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มานนา ซึมออกมาอย่างสม่ำเสมอ นักจาริกแสวงบุญต่างก็พากันมาเอาน้ำมนต์ไปรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่นักรบครูเสดก็ยังเอาขวดมารองรับมานนา เพื่อนำติดตัวไปในการทำศึก มิช้ามินานทั่วยุโรปก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี อัน เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของเซนต์ นิโคลาส

                    แต่จนล่วงมาถึงคริสต์ศตวรรษ ที่ 12 ซึ่งประเพณีมอบของขวัญแบบในปัจจุบันได้เริ่มขึ้น โดยเหล่านางชีแห่งฝรั่งเศสผู้ประทับใจในตำนานของนักบุญนิโคลาสได้กระทำตามท่าน นั่นคือเอาผลไม้ ถั่ว ขนมหวาน ใส่ลงถุงเท้า แล้วไปแขวนยังหน้าบ้านคนยากคนจนในวัน เซนต์นิโคลาส มิช้าประเพณีนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว หากทว่าในกาลต่อมา ได้มีเหล่ามิจฉาชีพถือโอกาสหากินโดยนำเอา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนักบุญไปหลอกลวงขายเป็นเครื่องรางของขลังต่างๆ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่องมงายเสียทรัพย์สิน ทางการจึงสั่งระงับการเฉลิมฉลองในวันนี้

                    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ศรัทธาในเซนต์นิโคลาส ก็ยังมีอยู่มาก พวกเขาจึงขยับเลื่อนการฉลองไปผนวกกับเทศกาลคริสต์มาสอันเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระเยซู สัญลักษณ์ของเซนต์ นิโคลาสจึงเกิดขึ้นในวันคริสต์มาสตั้งแต่นั้นมา

                    และก็เป็นอเมริกา ที่สร้างภาพท่านนักบุญขึ้นมาในนาม ซานตา คลอส (Santa Claus) โดยจิตรกรนาม โธมัส นาสต์ (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตา คลอส ในแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ

     

    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=31121

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×