ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #145 : (ตอนพิเศษตามรอยสัตว์เร้นลับ) บันทึกล่าเยติ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.16K
      2
      28 พ.ค. 50


    เยติ

    ท่านที่อ่านเรื่องราวประเภทลึกลับคงเคยได้ยินเรื่องราวของเยติ "มนุษย์หิมะน่าสะพรึงกลัว" มาแล้วไม่มากก็น้อย ว่าเป็นสัตว์ใหญ่คล้ายพวกลิงเอป อาศัยอยู่ตามเอกเขาหิมาลัย วันดีคืนดีจะปรากฏตัวขึ้นให้ชาวบ้านแตกตื่น หรือเที่ยวฆ่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านให้เป็นข่าวเกรียวกราวฮือฮากันสักพักหนึ่ง บรรดานักสำรวจพยายามค้นหาครั้งแล้วครั้งเหล่าก็ค้นหาตัวมันไม่เจอสักทีกลับเจอแต"รอยเท้า" และ "กองอึ" ที่อ้างว่าเป็นของมัน แม้จะไม่หลักฐานเจ้งๆ ที่จะพิสูจน์ว่ามีตัวตนจริงๆ แต่ชาวบ้านชาวเมืองแถวๆ นั้นและบรรดาท่านักไต่เขานักสำรวจ ที่อ้างเคย "จ๊ะเอ๋" กับมันมาแล้ว ต่างพากันเชื่อว่ามันเป็นสัตว์โลผู้มีตัวตน ไม่ใช่นิยายหลอกเด็กหรือตำนานชาวบ้าน เราลองมาฟังเหตุผลของพวกเขาและศึกษาเรื่องของเยติกันเถอะ


    บันทึก "เยติ"
    พ.ศ. 2375-2522
    ความพยายามและการค้นหาที่คว้าน้ำเหลว เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2375 อันเป็นปีที่ชาวอังกฤษคนแรกเดินทางมาถึงประเทศเนปาล ซึ่งก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ชาวยุโรปได้ยินเรื่องโจษจันถึง "สัตว์คล้ายลิงมีขนทั่วตัว" หรือ "เยติ มนุษย์หิมะน่าสะพรึงกลัว" นามกรและฉายาอันเลื่องลือ ซึ่งชาวตะวันตกเป็นผู้ขนานนามให้ พ.ศ. 2375 บี เฮ็ช ฮ็อคสัน นักสำรวจอังกฤษเดินทางมาถึงเนปาลและได้รายงานไปลอนดอนว่า ชาวเนปาลโจษจันถึง "สัตว์ชนิดหนึ่งมีขนรุงรังคล้ายลิงเอป" อยู่ตามป่าตามเขาสูง


    พ.ศ.2430
    คณะนักสำรวจอังกฤษในสิกขิม รายงานพบรอยเท้าเยติบนภูเขาที่สูงถึง 16,000 ฟุต ในสิกขิม นักพฤกษศาสตร์ในคณะนี้อ้างว่าเห็นสัตว์ยักษ์ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์ชนิดใด

    พ.ศ. 2431พันตรีแอล เอ แวคเดล แห่งกองทัพบกอังกฤษ พบร้อยเท้าเยติ บนภูเขาสูง 17,000 ฟุต ในสิกขิมเช่นกัน เขาจึงเขียนหนังสือเล่าถึงความเชื่ออย่างเหนียมแน่นของชาวทิเบตใน "มนุษย์ป่าผู้มีขนรุงรัง" ซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปิคค" สำเนียงชาวเซอร์ปาออกเสียงเรียก "เยห์เตห์" สำเนียงชาวยุโรปเพี้ยนมาเป็น "เยติ" (Yeti)ที่รู้จักกันดี นอกนาจากนี้ยังมีเรียกเป็นชื่ออื่นๆ อีกเช่น ชาวเซอร์ปาบางพวกเรียกว่า "มิโก" หรือ "มิเตห์" แปลว่า "คนป่า" ชาวเลฟซาในสิกขิมเรียกว่า "ฮาแรมโม" และยังเรียกกันไปต่างๆ ตามท้องถิ่นต่างๆ ในไซบีเรียและบริเวณเอเชียกลางของรัสเซียรวมทั้งในแถบมณฑลซินเกียงทางภาคตะวันตกของจีน

    พ.ศ.2464 พันเอกโอเวิร์ด เบอรี่ พบรอยเท้าเยติบนยอดเขาเอเวอร์เรสในระดับความสูง 21,000 ฟุต เฮนรี่ นิวแมน นักสำรวจอังกฤษอีกนั่น แหละได้แปลคำว่า "กังแอดมิ" หรือ "เมโตห์ กังมิ" อันเป็นชื่ออีกอันหนึ่งของเยติในสำเนียงท้องถิ่นของเซอร์ปา มาเป็น "มนุษย์หิมะผู้น่าสะพรึงกลัว" ไงล่ะคับ ซึ่งก็ใช้ติดปากมาจนทุกวันนี้

    พ.ศ. 2478หนังสือพิมพ์ "เดอะอินเตอร์เนชั่นแนล เพรส" ตีพิมพ์เรื่องราวของเยติอย่างเกรียวกราวว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านกัตธัตสุได้ช่วยกันขับไล่เยติที่เข้ามาฆ่าแกะของชาวบ้านตายไป 2 ตัว หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กลับเขาหิมาลัย



    พ.ศ.2480 แฟรงค์ สไมท์ นักไต่เขาอังกฤษได้รายงานว่าพบรอบเท้าเยติหลายคู่ ตรงบริเวณด่านที่จะผ่านไปตอนกลางของประเทศเนปาล ซึ่งมีระดับสูงถึง 16,500 ฟุต เขาได้บันทึกภาพเก็บไว้ด้วย นับว่าเป็นภาพถ่ายรอยเท้าเยติภาพแรกสุด

    พ.ศ. 2481เจ้าหน้าที่ดุแลพิพิธภัณฑ์ชาวอังกฤษคนหนึ่งจากกัลกัตตา อ้างว่าระหว่างเขาไปพักผ่อนในสิกขิม เขาถูกเยติลักพาตัวไปปล่อยทิ้งไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง

    พ.ศ.2482เจ้าหน้าที่อังกฤษ 3 คนในแคชเมียร์รายงานว่าเห็นสัตว์ใหญ่มีขนรุงรังที่ธารน้ำแข็งโคลาฮี ทีแรกพวกเขาคิดว่าเป็นลิงแรงกัว (Lanqur Monkey) จนกระทั่งมารู้ว่าที่นั่นอยู่งสูงเกินไปที่ลิงแรงกัวจะอยู่

    พ.ศ.2484ชาวยุโรปปลี้ภัย 7 คน อ้างว่าเยติ 2 ตัวมากั้นทางที่จะข้มไปด่านขัมบิ จากทิเบตมาสู่สิกขิม

    พ.ศ.2491นักธรณีวิทยาชาวยุโรป 2 คน ชื่อ แทรเบอร์ก และแฟรสเตอร์ ไปสำรวจบริเวณด่านเจมูลาซึ่งอยู่ระหว่างสิกขิมกับเนปาล เขาทั้งสองถูกทำร้ายจากสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งคล้ายๆ ลิงเอป แฟรสเตอร์นั้นได้รับบาดเจ็บมากหน่อย ทีแรกทั้งสองคิดว่าเป็นลิงแรงกัว แต่อีกนั่นแหละในระดับความสู. 19,000 ฟุตสูงเกินไปสำหรับสิงแรงกัว จึงไม่ใช่ลิงแรงกัวแน่แต่เขาทั้งสิงก็ไม่รู้ว่าคือสัตว์ชนิดใดกันแน่

    พ.ศ.2493 ยุคแห่งการล่าเยติเริ่มขึ้น คณะนักสำรวจจากหลายชนิด คือ อังกฤษ ฝรั่งเศสและสวิส ได้ออกค้นหาเยติเอาเป็นเอาตาย แต่ก็พบเพียงแต่รอยเท้า และกองมูลของเยติเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ได้มีผู้พบชิ้นส่วนผิวหนัง ซึ่งอ้างว่าเป็นของเยติ นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจวิเคราะห์ดูแล้ว อธิบายว่าเป็นของลิงที่มีลักษณะคล้ายคน

    พ.ศ.2494 อีริค ชิปตัน นักไต่เขาอังกฤษกับคณะเดินทางไปสำรวจยอดเขาเอเวอร์เรสได้พบรอยเท้าเยติบนธารน้ำแข็ง เขาจึงประกาศว่าเมื่อก่อนเขาไม่เชื่อว่าเยติมีจริงแต่ตอนนี้เมื่อมาพบด้วยตาของตนเอง เขาเชื่อว่ามีจริง บางทีจะเป็นสัตว์ใหญ่จำพวกลิงเอปอาศัยอยู่ตามภูเขาสูง

    พ.ศ.2497 หนังสือพิมพ์อังกฤษ "เดลิเมล์" ให้ทุนพิเศษแก่คณะนักสำรวจคณะหนึ่งไปทุนพิเศษแก่คณะนักสำรวจคณะหนึ่งไปค้นหาเยติ แต่ก็พบเพียงแต่รอยเท้าและกองมูลของมันเท่านั้น ซึ่งก็นั่นแหละมีการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานอย่างดีด้วย

    พ.ศ. 2500 มหาเศรษฐีทอม สลิค ราชาน้ำมันจากรัฐเท็กซัส และหนังสือพิมพ์เดลิมิเรอร์ของอังกฤษอีกเช่นกัน ให้ทุนแก่คณะนักสำรวจค้นหาเยติแต่ผลก็เหมือนกับคณะนักสำรวจอื่นๆ คณะนักสำรวจจากรัสเซีย เชคโกสโลวาเกีย และญี่ปุ่น เดินทางไปค้นหาเยติแต่ก็ไม่พบอะไรไปมากกว่าคณะนักสำรวจชุดที่แล้วๆ มา

    พ.ศ.2501 รัฐบาลเนปาล จัดเยติเข้าไว้ในพวก "สัตว์ที่ได้รับการสงวนพันธุ์"

    พ.ศ.2504-2505 เซอร์เอ้ดมันด์ ฮัลลารีและเดสมอนดอยก์ ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสมาแล้วได้รับทุนจาก "เวิรลด์บุคเอ็นไซโคลบีเดีย" ไม่ใช้เวลา 10 เดือนค้นหาเยติ แถบเทือกเขาหิมาลัย แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากรอยเท้าเยติและมูลของมัน ใน พ.ศ. 2505 เขาทั้งสองร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ "High in the Thin Cold Air" สรุปเรื่องราวของเยติว่า

    1.รอยเท้าที่อ้างว่าเป็นของเยตินั้นที่จริงเป็นรอยสัตว์เล็กชนิดต่างๆ ซึ่งพอแสงอาทิตย์สาดลงมาก็ทำให้รอยเท้าละลายกลายเป็นรอยที่ใหญ่
    2.โครงกระดูกแขนซึ่งมีผู้พบมานานก่อนการสำรวจรของฮิลลารีและดอยห์ คนาเราดีๆ นี่เอง ขณะนี้เก็บรักษาไว้ที่วัดแพงโบเช่ในตำบลคุมบู เนปาล
    3.หนังศรีษะที่อ้างว่าเป็นของเยติ 3 ชิ้นที่วัดคุมบู ตำบลคุมบูอีกนั่นแหละเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ จากากรที่ฮิลลารีนำเอาชิ้นหนังชิ้นหนึ่งไปให้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่นครชิคาโก ที่มูเช่ เดอ ฮองเมอ ในนครปารีส และที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ลอนดอนวิจัย ผลปรากฏจากการวิจัยออกมาสอดคล้องกันว่า หาใช้หนังศีรษะของเยติที่ไหนเลยแต่เป็นชิ้นส่วนของแพะภูเขาที่มีอยู่ทั่วๆ ไปในตำบลคุมบูนั่นแหละ
    4.ไม่มีพระลามะที่วัดใดๆ เลยอ้างว่าเคยมีเยติไปปรากฏตัวที่วัดของท่านนอกจากจะได้เคยเห็นเยติเป็ส่วนบุคคลนอกเขตวัดออกไป

    พ.ศ.2507 ปีเตอร์ เทเลอร์ นักสำรวจชาวออสเตรเลีย พบรอยเท้าเยติบนภูเขาสูง 20,000 ฟุต เหนือหุบเขาแลงตัน

    พ.ศ.2513 คืนวันที่ 9 มิถุนายน วิลแลน หัวหน้าคณะนักสำรวจชาวอังกฤษเดินทางไปสำรวจภูเขาแอนนาปุระ รายงาน
    พบเยติอยู่ห่างจากเต๊นท์ของเขาไม่ไกลนัก พร้อมทั้งห่างจากเต๊นท์ของเขาไม่ไกลนัก พร้อมทั้งได้ทิ้งรอยเท้าไว้เขาเล่าว่าเมื่อเขาเดินออกมานอกเต๊นท์ก็ต้องตกใจอทบช๊อคเมื่อมองไปเบื้องหน้าไม่ไกลจากเต๊น์เท่าใดนักเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ในจำพวกกอริลลากับพวกหมี ยืนจังก้าอยู่ไม่ห่างไกลจากเต๊น์ของเขา เขาจ้องตาแทบไม่กระพริบ จนกระทั่งมันเคลื่อนร่างอันใหญ่ของมันเดินหลับตาหายไปในป่า ทิ้งรอยเท้าไว้เบื้อหลัง เช้าวันรุ่งขึ้นลูกหาบเซอร์ปา อธิบายว่าเป็นรอยเท้าของเยติ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตตำบลคุมบูในประเทศเนปาล

    พ.ศ.2515 เช้าวันที่ 18 ธันวาคม คณะนักสำรวจ "ชีวิตป่า" ชาวอเมริกันในหุบเขาอรุณ ทางตะวันของเนปาลพบรอยเท้าเยติอยู่ตามพื้นหิมะใกล้ๆ กับเต๊นท์ของพวกเขา เจ็ฟ เฟอร์ แม็คนีลี นักแมมมอลโลยี (วิทยาศาสตร์แขนงชีววิทยาที่ศึกษาเรื่องของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลือดอุ่นชั้นสูง เช่น แมว ปลาวาฬ ช้าง คน) ในคณะจึงหล่อปูนปลาสเตอร์ทาบรอยเท้านั้นเก็บไว้นั้นหลักฐาน

    พ.ศ.2517 ที่หมู่บ้านมาร์เซอร์โม แถบภูเขาเอเวอร์เรส ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเนปาล เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม หญิงเซอร์ปาคนหนึ่งถูกเยติลักพาตัวไปทิ้งที่ลำธารแห่งหนึ่ง และได้ฆ่าจามรีเลี้ยงของนางตายไป 2 ตัว เมื่อตำรวจได้มาสอบสวนก็ได้ความว่าหญิงเซอร์ปาเห็นสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งคล้ายลิงสีดำค่อนข้างน้ำตาลแดง ตากว้าง กระดูกแก้มโปน เดินรี่เข้ามาหานางจากนั้นนางก็สลบไป มาตื่นขึ้นเมื่อพบตัวเองนอกนอยู่ข้างลำธารแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ตำรวจได้พบซากศพของจามรีที่เหลือจากการกิจของสัตว์ที่เชื่อว่าเป็นเจ้าเยติซึ่งเป็นผู้มาจับเอาตัวนางไป ในปีเดียวกันนี้เองนักสำรวจจากประเทศโปแลนด์ได้ถ่ายภาพรอยเท้าเยติที่ภูเขาโลท์เซ่ (Lhotse) ตอนนี้เดสมอนด์คอนก์ ยังยืนกรานอยู่เยติเป็นเพียงเรื่องในตำนานเท่านั้น

    พ.ศ. 2518 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ แจนัส โทมาสซัค นักท่องเที่ยวชาวโปแลนด์ อ้างว่าขณะที่เขาพยายามหาทางกลับที่พักที่เพอร์ไรซ์ ในตอนนั้น เริ่มค่ำแล้วเขากลัวว่าจะหลงทางอยุ่ในป่า จึงเร่งรีบกลัยที่พักในตอนหนึ่งเขาเห็นเหมือนมีคนกำลังเดินมาเขาจึงร้องขอความช่วยเหลืออกไป เมื่อสิ่งนั้นเขามาใกล้ภายในระยะทางประมาณ 150 ฟุต เขาก็เห็นว่าไม่ใช่คนแต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งตัวใหญคล้ายลิงเอป สูงราว 6 ฟุต มีแขนทั้งสองข้างยาวถึงหัวเข่า เขาจึงร้องด้วยความตกใจแล้วก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต สัตว์นั้นคงตกใจกลัวเหมือนกันก็วิ่งเตลิดไป ทั้งคนและสัตว์ก็พากันวิ่งซึ่งกันและกัน เมื่อกลับถึงที่พักเขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟังเลยเป็นข่าวขึ้นมา

    พ.ศ. 2520 ได้มีการนำเอาภาพถ่ายรอยเท้าเยติภาพที่ชัดเจนซึ่งนักไต่เขาชาวโปแลนด์ถ่ายได้ที่เขาโรลท์เซ่ไปแสดงไว้ที่กรุงนิวเดลฮีประเทศอินเดีย

    พ.ศ.2521 ในปลายฤดูหนาวตำรวจตรวจป่า (Forest Ranger) ที่สิกขิมรายงานว่าเขาถูกเยติโจมตีเอาระหว่างปฏิบิตหน้าที่อยู่แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนมกราคมปีนี้ นายตำรวจตรวจป่าชื่อดารา ซิงห์ (Dara Sung) เล่าว่าขณะที่กำลังตรวจป่าอยู่พลันก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ดังขึ้นแล้วสัตว์ชนิดหนึ่งดูคล้ายคนมีขนยาวรุงรัง ก็พุ่งตัวเข้ามาทำร้ายเขา "มันได้หักกิ่งไม้กิ่งใหญ่ขว้างใส่ผมแต่ผมวิ่งหนีทัน" เขาเล่า ในปีเดียวกัน สำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานว่าชาวพื้นเมืองใกล้เมืองยุคุท (Yakut) ทางตอนเหนือของไซบีเรียก็เห็นสัตว์คล้ายเยติเหมือนกัน

    ตอนนี้เองดอยก์ก็ให้สัมภาษณ์วารสารเล่มหนึ่งว่า จากการใช้ชีวิตมาอย่างโชคโชนแถบเทือกเขาหิมาลัยมากว่า 30 ปีแล้วเขาเชื่อว่าเยติไม่ใช่เป็นแต่เพียงตำนานของชาวพื้นเมืองและบางทีอาจจะเป็นสัตว์จำพวกพงศ์พันธุ์ของลิงอุรังอุตังใหญ่ซึ่งได้รับผู้พบกระดูกและฟอสซิลของมันในเทือกเขาสิวาลัาคทางเหนือของอินเดีย


    พ.ศ.2522 เดือนมกราคม อีมิล วิค (Emile Wick) นักบินชาวสวิส ซึ่งไปทำงานให้กับสายการบิน "โรยัลเนปาลแอร์ไลน์" ขณะกำลังพานักท่องเที่ยวบินอยู่เหนือหุบเขาอรุณทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเนปาลไสังเกตเห็นทะเลสาบยแห่งหนึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ซึ่งไม่ได้มีปรากฏในแผนที่ พอบินต่ำไปดูก็เห็นรอยเท้าคล้ายรอยเท้าคน อยู่บนพื้นหิมะแถวนั้น เขาไม่ค่อยแปลกใจอะไรเลย เพราะว่าจากการทำงานเป็นนักบินอยู่แถบนี้เขามักจะพบร่องรอยแปลกๆ เช่นนี้มาหลายครั้งแล้วเขากล่าวว่า "มันจะเป็นอะไรก็ตามก็มีลักษณะเป็นรอยเท้าที่กดลงไปในพื้นหิมะยาวและแหลมสักหน่อย ผมแน่ใจว่าจะต้องมีสัตว์อะไรชนิดหนึ่งคล้ายพวกลิงกอริลลา (Gorilla) อยู่ที่นั่น" ครับสรุปโดยไม่ได้เคยพบเห็นตัวจริงของเยติแหละ นั่นเป็นคำสัมภาษณ์ที่ได้จากวารสารเล่มนั้น

    นักวิทยาศาสตร์ว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอ

    นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันสมิธโซเนียน (smithsonian Institution) ในกรุงวอชิงตันดีซี ไม่แน่ใจว่าเยติเป็นสัตว์ที่มีจริงเพราะไม่หลักฐานเป็นตัวตนพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป้นซากหรือโครงกระดูกแม้ตัวอย่างบางอย่างาของสิ่งเหล่านี้ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นของเยติ การล่า การค้นหาของคณะสำรวจต่างๆ ก็ไม่พบอะไรหรือจับตัวเอามาพิสูจน์ไม่ได้สักที และรูปถ่ายรอยเท้าก็เป็นหลักฐานที่ดีไม่เพียงพอ เพราะอาจจะเป็นของสัตว์อื่นและอาจจะมีคนปลอมแปลงขึ้นได้เพื่อความดัง นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากกล่าวเป็นเสียเดียวกัน "ไม่มีข้อพิสูจน์เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าเยติหรือมนุษย์หิมะอะไรทำนองนั้น" สตีเวน เบอร์วิค นักชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยลกล่าว ท่านผู้นี้เคยใช้เวลาอยู่ในประเทศอินเดียและเนปาลอย่างมากมายมาก่อน ได้อธิบายเกี่ยวกับเยติต่อไปว่า "เราไม่ควรจะรีบด่วนสรุปสิ่งใดๆ เมื่อยังไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์อย่างหนาแน่นเพียงพอว่ามันมีจริง

    ส่วนชาวพื้นเมืองประมาณ 10 ล้านกว่าคนอันได้แก่ชาวทิเบตชาวเนปาล ชาวสิกขิม ชาวเซอร์ปา และชาวอินเดียทางเหนือ เชื่อว่าเยติมีจริง และอธิบายว่ามันเป็น "มนุษย์ลิงใหญ่ มีความสูง 5-7 ฟุตพร้อมด้วยจนสีน้ำตาลไปจนกระทั่งดำ มีหน้าตาคล้ายลิง (บางแหล่งว่ามีหน้าตาคล้ายคนมากกว่าลิง) มีขากรรไกรแข็งแรงไม่มีเขี้ยว ไม่มีหาง และมีแขน 2 แขนยาวถึงหัวเข่า"

    จากการวัดรอยเท้าของเยติครั้งหนึ่งพบว่ายาว 35 เซนติเมตร กว้าง 18 เซนติเมตร เจ็ฟเฟอร์รี เม็คานีลี นักแมมมอทวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายว่าเยติอาจจะเป็นลูกหลายพงศ์พันธุ์หลงเหลืออยู่ของลิงใหญ่" "ไจแอ็นท์โพพิเทคัส" ซึ่งได้ถอยหล่อนไปอาศัยอยู่ตามภูเขา เพื่อหลบหลีกจากการรุกราน การล่าของมนุษย์ดึกดำบรรพ์

    จากรายงานการพบเห็นเยติต่างๆ พอจะสรุปลักษณะของเยติได้ดังนี้
    เยติเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มีลักษณะคล้ายลิงเอป มี 2 เท้า ไม่มีหาง ไม่มีเขี้ยว เดินตัวตรงได้ มีแขนยาวถึงหัวเข่ามีขนรุงรังทั่วตัวเอาไว้กันความหนาวเย็นของอากาศ มีขนตั้งแต่สีน้ำตาล แดง จนถึงดำโดยปกติเคลื่อนไหวช้าและขี้อายเป็นที่สุด พอเจอรหน้าคนปุ๊บจะวิ่งหนีปั๊บ เยติเป็นสัตว์กินเนื้อและพืช ในบางครั้งจึงปรากฏเป็นข่าวออกมาว่าเยติเข้าไปลักขโมยสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เช่น จามรี แพะ มากินเป็นอาหารแล้วทิ้งซากให้คนเห็น มีสถิติเหมือนกันว่าเยติเคยทำร้ายผู้คน แต่คนที่ตายเพราะเยติเคยทำร้ายผู้คน แต่คนที่ตายเพราะเยติก็ยังมีน้อยมาก เช่นเดียวกันมีปรากฏว่ามันเคยมาเที่ยวลักพาตัวผู้คนไปแต่ไม่ได้ทำอันตรายจนถึงชีวิตแต่อย่างใด ส่วนมูลอุจจาระที่เชื่อว่าเป็นของเยตินักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยดูแล้วก็บ่งบอกว่าอาจเป็นของสัตว์กินพืชและกินเนื้อเป็นอาหารชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัยก็ได้ ลักษณะการพบเห็นเยติจะเป็นแบบพบเห็นมันอยู่ตามลำพังตัวเดียว ทำให้เชื่อว่าเยติมีนิสัยไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มแต่อาจใช้ชีวอยุ่เป็นคู่ๆ ตัวผู้และตัวเมียอยู่ด้วยกันและอาจมีลูกรวมอยู่ด้วยคล้ายๆ ระบบครอบครัวของมนุษย์เรา พอลูกเยติเติบโตขรึ้นก็จะแยกย้ายไปอยู่ตามลำพังแล้วหาคู่สืบพศ์พันธุ์ต่อไป และที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านกล่าวว่าเยติอาจจะเป็นพงศ์พันธุ์ลิงใหญ่ดึกดำบรรพ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ดำรงพันธุ์สืบต่อๆ กันมาไม่สูญพันธุ์ไปเหมือนสัตว์บางชนิดก็เพราะพวกนี้อาจมีความฉลาดกว่าสัตว์พวกอื่นๆ จึงได้หลยหนี้การรุกรานการล่าของมนุษย์เราเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ก่อนโน้นไปหลยซ่อนอาศัยอยู่ตามภูเขาสูง ตามป่าลึก ซึ่งก็อยู่ห่างไกลจากสังคมของมนุษย์และก็ด้วยเหตุนี้แหละจึงทำให้ยังคงดำรงพันธุ์อยู่ไดเหตุผลที่กล่ามานี้เก็เป็ฯสิ่งที่เป็นไปได้ไม่มากก็น้อย


    นอกจากนี้เยติใช่ว่าาจะมีพบเฉพาะแถบเทือกเขาหิมาลัยเท่านั้นมีรายงานการพบสัตว์คล้ายๆ เยตินี้ในไซบีเรียและของจีน ในมองโกเลียก็เคยมีผู้พบเห็น นอกจากชาวตะวันตกอจะสนใจเยติแล้วรัฐบาลโซเวียตก็สนใจเรื่องนี้ด้วยถึงกับเคยส่งคณะนักสำรวจไปค้นหาเยติแถบเทือกเขาหิมาลัยในไซบีเรียและในมองโกเลียด้ว ใน พ.ศ. 2514 ศาสตราจารย์โยริส ฟอร์สนีย์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนการพบเห็นสัตว์คล้ายเยติในไซบีเรีย แต่ก็ไม่ปรากฏผลอะไรออกมา ในทวีปอเมริกาตอนเหนือแถบตะวันตกของแคนาดา และตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ มีสัตว์คล้ายๆ เยติที่เรียกว่า
    "ไอ้ตีนโต" (Bigfoot) ซึ่งก็เกรียวกราวมีชื่อเสียงรู้จักกันดีในอเมริกาใต้พอๆ กับเยติมนุษย์หิมะ แถบเทือกเขาแอนดีสและในป่าทึบต่างๆ ก็มีการกล่าวขานกันถึงการพบเห็นสัตว์คล้ายเยติเรียกว่า "โมโนกรองด์ (MonoGrande)

    น่าแปลกที่มีรายงานการพบเห็นสัตว์คล้ายเยติ ตั้งแต่ในเอเซียกลาง ไซบีเรียจนถึงในทวีปอเมริกาทั้งตอนเหนือและตอนใต้ เป็นไปได้จริงๆ หรือเปล่ามันคือพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของลิงใหญ่ "ไจแอ็นท์โทพิเทคัส" อย่างที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านอธิบาย แต่อย่งไรก็ดีเราไม่อาจตัดสินใจเชื่อไดโดยเด็ดขาดว่ามีจริงหรือไม่มีจริงนอกจาจะรอให้กาลเวลาเป้ฯเครื่องพิสูจน์ตัวมันเองเท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×