ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #35 : Sin City การแก้แค้นที่แสนน่ากลัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.09K
      6
      20 ก.พ. 53


                    คราวก่อนเคยพูดเรื่องความแค้นที่ให้อภัยได้ มาคราวนี้ขอพูดถึงความแค้นที่ต้องชำระ เมื่อความแค้นถูกเปลี่ยนมาเป็นพยาบาท  ความยุติธรรมไม่สามารถใช้ได้ในชั้นศาล ดังนั้นพวกเขาจึงจำต้องใช้หาความยุติธรรมเอาเอง

     


    ซินซิตี้(
    Sin City)

    Official website
    more info. from IMDB
    แนว : แอ็คชั่น / อาชญากรรม / ดราม่า / ระทึกขวัญ
    ความยาว : 124 นาที
    กำหนดฉาย : 26 พฤษภาคม 2548

    http://video.mthai.com/player.php?id=23M1222244102M0

    (บ่นเฉพาะภาพยนตร์)

     

                    “ซินซิตี้คือเมืองที่ไม่มีคนดีหน้าไหนกล้าเข้าไปเหยียบ หรือแม้แต่จะเฉียดกรายเข้าใกล้เพราะทุกตรอกซอกซอย ทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยความรุนแรง มันคือสวรรค์ของอาชญากรดีๆนี่เอง! แต่ในค่ำคืนหนึ่งชายหนุ่ม 3 คนกำลังจะพลิกชะตากรรมของเมืองด้วยสองมือของตัวเอง พวกเขากำลังเล่นเกมล่าอันตรายที่วางเดิมพันไว้ด้วยชีวิต มหานครแห่งบาปกำลังถูกอาบให้ชุ่มโชกด้วยเลือด”

                    ผมอ่านหัวคำโปรยบนกระดาษหลังซีตอนไปดูหนังที่ร้านวีซีดีหนัง ผมก็สนใจหนังนี้ทันที ผมซื้อมาเลยครับราคาร้อยกว่าบาท ตอนแรกๆ ผมก็คิดว่าเป็นแนวสอบสวนสืบสวน ภาพขาวดำคลาสสิก ผมเปิดดูหนังเรื่องนี้เวลาเที่ยงคืนโดยคิดว่าดูแค่ครึ่งชั่วโมงคงพอแล้วมั้ง

                    ปรากฏว่าหนังมันโดนจริงๆ ครับ สุดยอดมากๆ ทั้ง กลวิธีเล่าเรื่อง และความโหดแบบมีศิลปะ

                    หนังเรื่องนี้เป็นฝีมือการกำกับของ โรเบิร์ต รอดริเกซ ที่มีผลงานจาก Spy Kids ทั้ง 3 ภาค และผลงานภาพยนตร์แอ็กชั่นอย่าง Desperado และ Once Upon a Time in Mexico ร่วมด้วย แฟรงค์ มิลเลอร์ เจ้าของบทประพันธ์

                    ผมมารู้ที่หลังว่าหนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากการ์ตูนอเมริกัน(หรือนิยายภาพ) โดยนักเขียนการ์ตูนแฟรงค์ มิลเลอร์(Frank Miller)  นักเขียนการ์ตูนยอดเยี่ยมปี 1992 ที่เขียนการ์ตูน Sin City 6 เล่มจบ(ตอนพิเศษเล่มหนึ่ง) จัดจำหน่ายโดย Dark Hourse Comics ที่ภาพในการ์ตูนเรื่องนั้นสวยและดิบมากๆ

                    เรื่องที่ 1 The Hard Goodbye

                    เรื่องที่ 2 A Dame to Kill For

                    เรื่องที่ 3 The Big Fat Kill

                    เรื่องที่ 4 That Yellow Bastard

                    เรื่องที่ 5 Family Values

                    เรื่องที่ 6 Booze, Broads, & Bullets

                    เรื่องที่ 7 Hell and Back (A Sin City Love Story)

                    เมื่อการ์ตูนถูกทำเป็นหนัง Sin City จึงกลายเป็นหนังที่มีกลิ่นอายการ์ตูนอาชญากรรมที่คงความเป็นการ์ตูนของต้นฉบับไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นดาราหน้าเหมือนตัวละครตัวการ์ตูนที่คัดเลือกอย่างพิถีพิถัน การเล่นภาพขาวดำและเล่นสี  ทำให้หนังจากการ์ตูนเรื่องนี้มีความแปลกใหม่กว่าหนังที่ผมดูมาทั้งหมด

                    อย่างที่บอกการ์ตูนแนวนี้คือแนวอาชญากรรม ที่เป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหารุนแรง เลือดสาด ตอนเป็นการ์ตูนนั้นรุนแรงอยู่แล้ว พอมาเป็นหนังแล้วความรุนแรงก็ไม่ได้ลดลงเลย กลับมากด้วยซ้ำไป ดังนั้นหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กแน่นอน(ในเว็บบางแห่งบอกว่าหนังเรื่องเลือดสาดยังไม่สะใจ อยากจะบ้าตาย โหย...พวกชอบเลือด)

                    เช่นเดียวเรื่องก่อนหน้า แม้หนังจะทำแบบรุนแรง โหดเหี้ยม น่ากลัว แต่กระนั้นมันก็สอดแทรกข้อคิด และเรื่องอมยิ้มๆ เล็กๆ น้อย ขำๆ ท่ามกลางกลิ่นเลือดควันปืนในเมืองคนบาปเช่นกัน

                    เปิดตัวหนังมาก็พบว่าตัวหนังใช้มุมมองของบุคคลเดียวในการเล่าเรื่องและมีการบรรยายความนึกคิดของตัวเอกเสมือนกับนิยายภาพของอเมริกาลงไปด้วย ซึ่งกลวิธีการเล่าเรื่องนี้อาจทำให้หลายๆ คนไม่ชอบ แต่สำหรับผมแล้วนี้ไม่ใช้ปัญหาแต่อย่างใด

                    ช่วงแรกๆ คนดูอาจ งง เล็กน้อย เมื่อฉากเปิดตัวออกมาเป็นภาพชายหญิงกำลังกอดจูบก่อน ก่อนจะจบฉากด้วยฝ่ายชายเป็นคนฆ่าฝ่ายหญิง โดยแสดงให้เห็นว่าฝ่ายชายเป็นนักฆ่า ซึ่งขอบอกว่าคนที่ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกว่าไม่ต้องใส่ใจฉากนี้มากก็ได้ เพราะเรื่องราวจริงๆ คือ 3 ตอนหลังจากนั้นต่างหาก

                    หนังได้จับสามส่วนตามตอนที่ปรากฏในหนังสือการ์ตูน มาเล่าเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวของกันและกันได้อย่างแนบเนียน โดยสามตอนนั้นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน วันเดียวกัน โดยมีตัวเชื่อมสองอย่างคือ ซินซิตี้และ สมาชิกวุฒิสภาโร้ค

                    เมืองซินซิตี้เป็นเมืองเถื่อนที่ไม่รู้ว่าคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ใช้เมืองไหนมาเป็นแบบ  อาจเป็นเมืองหลวงบราซิลหรือไม่ก็ไมอามี่ที่มีปัญหาอาชญากรรมและเต็มไปด้วยแหล่งเสื่อมโทรม ความอยุติธรรมเหมือนกัน  โดยเมืองซินซิตี้นั้นปกครองโดยผู้มีอิทธิพลนอกเหนือกฎหมาย ที่นำโดยสมาชิกวุฒิสภาโร้คนักการเมืองหัวรุนแรงและจอมคอรัปชั่นพร้อมด้วยครอบครัว ที่แต่ละคนนั้นมีพิษสงอันตรายรอบด้าน ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้อ่อนแอกว่า คนชั้นต่ำต้องทนทุกข์ รอความหวังที่สักวันจะมีปาฏิหารย์เกิดขึ้นในเมืองนรกแห่งนี้

                    แต่แล้วในคืนวันหนึ่ง มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้กระทำการเย้ยอิทธิพลชั่วและเปลี่ยนแปลงเมืองนี้อย่างไม่รู้ตัว

                   

                    The Hard Goodbye

                    เป็นเรื่องราวความแค้นของมาร์ฟ Marv (มิคกี้ รู้ค) หนุ่มหน้าเหมือนผีดิบเฟนเก้นสไตน์ อัปลักษณ์ เถื่อน ใช้กำลังแก้ปัญหา พูดง่ายๆ คือเป็นพวกเศษเดนของเมืองซิม ซิตี้ก็ว่าได้

                    ฉากเปิดเรื่องเป็นภาพของเขากับโสเภณีคนหนึ่งนอนบนเตียงสวยรายล้อมด้วยกุหลาบ และก็เล่นจ้ำจี้กัน แต่แล้วพอถึงตอนเช้าคนดื่นมาก็พบว่าโกลดี้ (เจม คิง) โสเภณีที่เขาหลับนอนด้วยนั้นกลายเป็นศพเรียบร้อยแล้ว  ยังไม่ทันที่เขาหาย งง  เสียงไซเรนของตำรวจก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขารู้ทันทีมีใครสักคนกำลังใส่ร้ายเขา โดยสร้างสถานการณ์เลวร้ายครั้งนี้

                    แต่เรื่องไม่ได้ดำเนินว่าพระเอกหน้าผียอมถูกตำรวจจับเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองและไม่มีเรื่องของศาลมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะมาร์ฟรู้ดีว่าไม่มีความยุติธรรมในเมืองซิตี้แห่งนี้ อีกทั้งคนใส่ร้ายเขานั้นจะต้องมีอิทธิพลใหญ่ เส้นใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะสู้ด้วยกฎหมายแน่ๆ อีกทั้งเขาต้องการชำระแค้นด้วยมือเขาเอง ใครกันที่บังอาจฆ่าผู้หญิงของข้า แม้เราจะพึ่งรู้จักกันแต่เธอปฏิบัติกับเขาราวกับเทพเจ้าตัวน้อย แบบที่ไม่เคยมีหญิงใดเคยคิดจะทำอย่างนั้นกับเขามาก่อน เพลิงแค้นในใจมันเดือดปุดๆ ที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกคน คนที่ทำให้หญิงสาวคนเดียวที่เขารักต้องตาย

                    “ผมจะหาไอ้ชาติชั่วที่ฆ่าคุณ จะให้มันตายอย่างทรมานที่สุด”

                    จากนั้นเราก็เห็นฉากที่เวอร์ๆ โครตๆ เพราะมาร์ฟเป็นโครตยอดมนุษย์ที่สมกับชื่อหนังว่า “คนตายยาก” เขาโดนตึกหลายชั้นโดยไม่เจ็บไม่ตาย โดนรถชนก็แค่เจ็บจิ๊บๆ ด้วยความเวอร์ของมาร์ฟเขาสามารถหลบหนีเหล่าตำรวจที่ยกมาทั้งสถานีเพื่อล้อมจับเขาได้อย่างง่ายดาย จนผมนึกสงสารคนร้ายที่คงคิดผิดเสียแล้วเลือกมาร์ฟเป็นแพะรับบาป

                     มาร์ฟวิ่งฝ่าทางเดินมืดๆ จากหลังตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่ง ผ่านไปยังใจกลางของเมืองซินซิตี้ และปฏิบัติการสอบสวนเพื่อแก้แค้นแบบฉบับของมาร์ฟก็เริ่มขึ้น เขาจัดการสองลิ่วล้อที่ส่งมาโดยคนร้ายโดยจับอัดกับกำแพงจนตายคามือ ทรมานคนเก็บเงินโดยจับกดหัวลงชักโครก และเอาปืนยิงบาทหลวงที่มีหน้าที่เป็นนายหน้าติดต่อนักฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในขณะสารภาพปราบ จากนั้นก็ลัดเลาะบุกไปบ้านของนักฆ่าที่สังหารผู้หญิงที่เขารักและปฏิบัติการแก้แค้นสุดโหดคือผ่าไส้ของนักฆ่าทั้งเป็นแล้วเอาเครื่องในของนักฆ่าคนนั้นให้สุนัขกิน

                    และจากนั้นมาร์ฟก็รู้ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงเขาคือ พระราชาคณะแห่งเมืองซินซิตี้ซึ่งเป็นถึงพี่ชายของสมาชิกวุฒิสภาโร้ค ที่มีประพฤติผิดในกามสำสอน และมาร์ฟก็สามารถผ่านด่านแปดอรหันต์จนสามารถฆ่านักบวชราชาคณะโดยใช้มือบีบกระโหลกจนเละคามือ

                    และฉากสุดท้ายของเรื่องคือฉากที่มาร์ฟอยู่บนเก้าอี้ประหาร เขาโดนไฟฟ้าช็อตหลายครั้งหลายนาที กว่าจะตายสยอง สมแล้วที่เขาเป็นคนตายยากแห่งเมืองซินซิตี้จริงๆ

                    อ่านเผินๆ แบบไม่ได้ดูหนัง คงคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังแอ็คชั่นล้างแค้นดาดๆ ใช่เปล่าล่ะ เสียใจด้วยคุณได้พลาดอะไรหลายอย่างในหนังเรื่องนี้เสียแล้ว เพราะหนังได้สอดแทรกประเด็นและมุกตลกๆ ลึกๆ หลายมุกมากอยู่เหมือนกันในตอนนี้

                    เริ่มจากคำว่า “คนบาป” คำว่าคนบาปในเรื่องจริงๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเมือง หรือชาวบ้านที่ส่วนมากเป็นนักเลง กับโสเภณีแต่อย่างใด หากแต่เป็นพวกมีอิทธิพลที่อยู่ในใดผู้ดีต่างหาก เราจะเห็นสีขาวดำในหนังสะท้อนให้เห็นถึงคนในเมืองที่มีส่วนประกอบทั้งดำและขาวในตัว ในคนชั่วนอกกฎหมายที่ดูเหมือนเลวร้ายเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเรื่องดำเนินเรื่องๆ จะพบว่าคนชั่วนอกกฎหมายเหล่านั้นยังมีความดีสีขาวอยู่บ้าง ในขณะเดียวกันผู้มีอิทธิพลในเรื่องที่เป็นถึงบาทหลวงซึ่งเป็นตัวแทนของสีขาวผู้ซึ่งคอยชำระบาปให้กับผู้คนกลับกลายเป็นตัวตนผู้สร้างบาปขึ้นมาเอง เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะในเมืองคนบาปแต่มันเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ทุกแห่งหนบนโลกใบนี้แม้แต่บ้านเรา

                    นอกจากนี้สังเกตว่าโสเภณีในร้านเหล้าที่มาร์ฟเจอ หลายคนมีสีสันมากกว่าขาวกับดำ แสดงให้เห็นว่าโสเภณีก็เป็นคนเหมือนกัน  พวกเธอมีศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์  แต่สังคมต่างเห็นพวกเธอเป็นเพียงอีตัว จอมส่ำสอน เหยื่อของฆาตกรต่อเนื่อง ไม่มีค่าพอที่จะช่วยเหลือ หรือสงสารพวกเธอ

                    ผมชอบคำพูดของนักบวชพูดส่งท้ายก่อนที่จะถูกมาร์ฟฆ่าตอนไปสารภาพบาปว่า

                    “มันคุ้มแล้วเหรอ ที่เอ็งจะเอาชีวิตมาเสี่ยงกับอีสั่วๆ นั้น”

                    มาร์ฟตอบว่าคุ้ม เขาคุ้มที่จะเสี่ยง คุ้มที่จะฆ่า คุ้มที่จะตกนรก นี้คือความเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ ชายที่ใครๆก็ไม่เหลียวแล เขาตายก็ไม่มีใครจะเสียใจด้วยซ้ำ แต่เขาก็จะสู้ สู้เพื่อตอบแทนในความศรัทธาต่อตัวเองของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีให้เขา ซึ่งสามารถตอบได้เลย มาร์ฟเป็นคนดีๆ ในเมืองคนบาปจริงๆ

                    ส่วนมุกที่ผมขำตอนนี้มีหลายมุก ไม่ว่าจะคนพากษ์เสียงมาร์ฟเป็นคนเดียวกับคนพากษ์เสียงสิบตรีกิโรโระในเรื่องโคโรโระในอมิเนชั่นพากษ์ไทย  เออ....ขำดีนะ มาร์ฟกับสิบตรีกิโรโระก็มีส่วนคล้ายๆ กันซะด้วยสิ ตรงที่สู้เพื่อรัก

                    
                   อีกเรื่องที่ผมขำ แต่หลายคนไม่ขำ คือเขาเอาเรื่องเอ็ดกีนมาสอดแทรกในเรื่องด้วย โดยเราจะเห็นบรรยากาศบ้านนักฆ่าเหมือนบ้านของเอ็ดกีนไม่มีผิด(แถมกินคนเหมือนกันอีก) แต่หน้าของนักฆ่านั้นแทนที่จะเหมือนเอ็ดกีน กลับกลายเหมือนแฮรี่พอตเตอร์(ภาคหนัง)ซะนี้(ไม่เชื่อไปดูเลย เหมือนนะ)

                    อีกฉากที่ขำๆ คือนักบวชที่ถูกมาร์ฟฆ่าตอนไปสารภาพบาป(อีกแหละ) แม้เขาออกมาไม่กี่นาที แต่คุณรู้ไหมว่าคนแสดงนักบวชคนนี้เป็นใคร เขาคือแฟรงค์ มิลเลอร์  คนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้แหละ โอย...ขำ โดนตัวละครของตัวเองฆ่าตายซะงั้น

                  

                    The Big Fat Kill

                    ตอนที่ 2 นี้ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก แต่ก็ยังอยู่ในแนวของเรื่องคือการปกป้องโสเภณี ต่อต้านอิทธิพลชั่ว และยังคงความโหด และความเวอร์เหมือนเดิม(แต่ไม่เท่าเหมือนมาร์ฟ)

                    ตัวเอกเรื่องนี้ชื่อ ดไวท์ แม็คคาร์ทธี่ หรือ เดอะ ดไวท์(ไคลฟ์ โอเว่น) ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอดีตอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเมืองซินซิตี้ ก่อนที่จะรอดชีวิตเพราะโสเภณีคนหนึ่งในย่านเมืองเก่า ดไวท์กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง  และตัดสินใจทำศัลยกรรมใบหน้าทั้งหมด เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของกรมตำรวจแห่งซินซิตี้ และดำรงชีวิตอยู่โดยปกป้องโสเภณีและมอบความรักแก่พวกเธอ

                    เนื้อเรื่องเปิดฉากมาไม่ใช้เมืองซินซิตี้แต่อย่างใด แต่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับเมืองซินซิตี้ ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า แม้จะเป็นคนละเมือง แต่สภาพโดยรวมแล้วไม่แตกต่างอะไรกับเมืองซินซิตี้เลย เพราะที่รนี้เต็มไปด้วยความหม่อหมอง ความน่ารังเกียจ นักเลง และโสเภณี

                    ฉากเปิดเรื่องมากก็พบกับความโหด เมื่อพระเอกดไวท์จัดการไล่กระทืบโหด บิ๊กแจ็ค แฟนเก่าของซีล่าออกไป(โดยการเอามีดจ่อคอหอยแล้วเอาหัวกดลงชักโครกที่เต็มไปด้วยฉี่ หลังจากขับไล่ ดไวท์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บิ๊กแจ็คอาจกำลังมุ่งหน้าไปทำร้ายเหล่าโสเภณี ที่ทำงานอยู่ในย่านเมืองเก่า ดไวท์จึงตัดสินใจออกตามเขาไป

                    จากนั้นก็พบสังหารโหด เมื่อดไวท์ไปถึงก็พบว่าบิ๊กแจ๊คและพรรคพวกตาย(โหด)เรียบร้อยโดยฝีมือโสเภณีที่ไม่รู้ไปฝึกวิทยายุทธมาจากไหน(เก่งกว่านินจาเสียอีก)

                    ระหว่างที่เขาและเหล่าโสเภณีจัดการศพนั้นเอง เขาก็พบว่าความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วบิ๊กแจ็คก็คือ แจ็ค แรฟเฟอร์ตี้ (เบนิชิโอ เดล โทโร่) นายตำรวจจากซินซิตี้ ที่ทุกคนยกย่องว่าตำรวจเหล็ก ทั้งหมดอยู่ในความตะลึง เพราะว่าโสเภณีย่านเมืองเก่ามีกฎที่ทำไว้ต่อเหล่าผู้มีอิทธิพลและตำรวจเมืองซินซิตี้ว่าตำรวจจะได้ส่วนแบ่งผลกำไรจากโสเภณีย่านเมืองเก่า(ส่วยนั้นแหละ) และได้บังเทิงฟรีเมื่อมีงานเลี้ยง(โอ้ว้าว) โดยแลกกับโสเภณีย่านเมืองเก่าได้สิทธิปกครองตัวเอง ปกป้องถิ่นของตัวเอง(ทำให้ไม่มีแมงดา นักเลง ยาเสพย์ติด ข่มขืน) โดยมีกฎข้อเดียวเท่านั้นคือ หากมีตำรวจที่ไม่ใช้ลูกค้าหรือมาเก็บส่วนมาร้ายละก็  สามารถทำร้ายได้ แต่ห้ามฆ่าตำรวจ ไม่งั้นข้อตกลงนี้จะสิ้นสุดลง

                    ณ วินาทีนี่เอง ที่ความกลัวได้เข้ามาเกาะที่ขั้วหัวใจของเขา แต่ว่ามันไม่ใช่ความกลัวต่อความตายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา หากแต่ว่ามันคือความกลัวที่ว่า ชะตาชีวิตของเหล่าผู้หญิงทำงานในย่านเมืองเก่านั้น จะ ถูกครอบครองด้วยผู้คนทรงอิทธิพล ซึ่งแน่นอนเหล่าโสเภณีไม่ยอมให้เกิดเรื่องพวกนี้แน่ พวกเธอจะต้องจับอาวุธขึ้นมาสู้เพราะแค้นความกดขี่ของเหล่าตำรวจ สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้น และคนที่เขารักอาจตายเป็นโหล

                    พระเอกจึงห้ามโสเภณีเอาไว้ และอาสากำจัดศพ จากนั้นเราก็พบฉากแหวะๆ อีกครั้ง คือการหั่นศพพรรคพวกบิ๊กแจ๊ค(เลือดเป็นสีขาว) เพื่อที่จะสามารถยัดลงในรถได้

                    
                   จากนั้นก็พบฉากเสียวๆ อีก เมื่อพบว่าศพเต็มหลังรถ เหลือแต่ศพบิ๊คแจ๊คศพเดียว พระเอกเลยตัดสินใจเอาศพจัดท่าทางเหมือนคนเมาและหลับบนหน้ารถ(ทั้งที่มีเหล็กปักที่หัวและคอบาดจนเห็นหลอดเลือด) ระหว่างที่ดไวท์ขับรถ ก็พบภาพหลอนๆ หลายครั้ง เมื่อพบว่าบิ๊กแจ็คยังไม่ตาย พร้อมพูดกวนประสาทจนพระเอกเกือบเข้าตาจน(ฉากนี้สยองมากๆ)

                    ฝ่ายตำรวจซินซิตี้รู้ข่าวนี้จากโสเภณีคนหนึ่งที่ปากเปราะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พวกเขาส่งทหารรับจ้างตามฆ่าพระเอก และเราก็ได้เห็นฉากฆ่าโหดระหว่างพระเอกกับทหารรับจ้างตายสยองอีกฉาก

                    และฉากสุดท้ายคือพระเอกและเหล่าโสเภณีเปิดศึกกับพวกตำรวจ ทุกคนยิงปืนชนิดหูตับตับไหม้ใส่เหล่าตำรวจไม่ยั้ง ตำรวจพวกนี้สร้างความแค้นแก่เหล่าโสเภณีเหลือเกิน

                    
             นอกเหนือตัวละครดไวท์แล้ว อีกตัวละครหนึ่งที่โดดเด่นมากในตอนนี้คือ มิโฮ (เดวอน อาโอกิ)นักฆ่าชาวญี่ปุ่นผู้เงียบงัน ที่คอยปกป้องผู้หญิงกลางคืนแห่งโอลด์ทาวน์ (มีความลับคือ อาโอกิ ได้ยืมดาบซามูไร ฮัตโตริ ฮันโซ จากเรื่อง Kill Bill มาใช้ในเรื่องนี้ด้วย) และเธอเป็นตัวการที่ทำให้เกิดฉากโหดต่างๆ ในตอนนี้เพียบ อีกทั้งวิธีฆ่าของเธอนั้นเก่งโครตๆ มีรู้ไปจบวิทยายุทธที่ไหนมา

                    ดไวท์นั้นมีความเหมือนกับมาร์ฟพระเอกในตอนแรก คือเป็นชายหนุ่มที่ต่อสู้เพื่อปกป้องอิสตรีและพวกพ้อง(ชนชั้นล่าง เพศหญิงและความรุนแรงต่อสตรี เหยื่อของสังคมที่เขาต่อสู้เพื่อช่วยเหลือคือเพศหญิง) เพียงแต่วิธีการของดไวท์นั้นจะไม่บ่าเลือดเหมือนมาร์ฟคือเขามีการวางแผนและใจเย็นในการตัดสินใจปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงเป็นพระเอกคนเดียวของเรื่องนี้ที่รอดชีวิตมาได้(ในการ์ตูนซินซิตี้เรื่องราวจองดไวท์ยังไม่จบ ยังมีอีกตอน สองตอนมั้งที่เขาเป็นพระเอกเพราะปริศนาหลายๆ เรื่องยังไม่เฉลย)

                    สิ่งที่น่าสนคือตอนแรกคนชั่วเป็นนักบวช มาคราวนี้คนชั่วตอนที่สองคือเหล่าตำรวจ ภาพลักษณ์ของตำรวจที่ภายนอกน่าจะถูกทาด้วยสีขาวกลับกลายเป็นสีดำแทน พวกเขาเห็นผู้หญิง(โสเภณี) ไม่ใช้คนเหมือนนักบวชในตอนแรก ดังนั้นเราจะเห็นหลายๆ ฉากที่เหล่าตำรวจ(ที่หน้าไม่เหมือนตำรวจสักนิด) ตบตีและทุบตีผู้หญิง(โสเภณี) อย่างร้ายกาจ และความรุนแรง และเมื่อตำรวจใช้ความรุนแรงเหล่าโสเภณีตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นกัน เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะในเมืองคนบาปแต่มันเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ทุกแห่งหนบนโลกใบนี้แม้แต่บ้านเรา

                    บนโลกของเรานี้ เป็นยากเหลือเกินที่จะยุติปัญหาโดยไม่ให้เกิดความรุนแรง ในประวัติศาสตร์ก็มีอยู่บ้างที่แก้ปัญหาโดยใช้วิธีสันติ คือมหาตมะ คานธี แต่ปั่นปลายชีวิตของท่านกลับจบชีวิตด้วยวิธีรุนแรงโดยพวกหัวรุนแรง ซึ่งเป็นการตอบย้ำว่าสายเลือดเรายังมีดีเอ็นเอแห่งความป่าเถื่อนอยู่ การพูด นั้นเป็นเพียงแค่ลมปาก การแก้ปัญหาด้วยกำลังคือสิ่งถูกต้อง สมแล้วกับวลีอมตะที่เหล่าผู้ร้ายมักพูดเสมอว่า “โลกนี้เป็นที่สำหรับคนเข้มแข็งเท่านั้น ส่วนคนอ่อนแอนะตายซะ”

                    สำหรับตอนนี้ไม่มีมุกตลกเท่าไหร่ ถ้ามีก็ตลกไม่ออก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกอยู่กับศพบิ๊กแจ๊คบนรถนี้สร้างความหลอนผมเหลือจะกล่าว กับฉากสังหารโหดทหารรับจ้างก็สยองระดับแม็กซ์ก็ว่าได้

                    

                    That Yellow Bastard

                    เป็นตอนที่ผมชอบที่สุด ดูหลายรอบมาก เนื่องจากไม่มีความเวอร์ และไม่โหดมากนัก(มาโหดตอนท้ายเรื่อง) อีกทั้งผมชอบจูเนียร์(ในร่างเหลื่อง)มาก

                    ตอนที่สามนี้เป็นเรื่องราวของตำรวจตงฉินน้ำดีแก่ๆ คนหนึ่ง(อายุ 60 ปี) คนหนึ่งนาม  จอห์น ฮาร์ติกัน (บรู๊ซ วิลลิส) นายตำรวจในเมืองซินซิตี้  กับหน้าที่ภารกิจสุดท้าย ก่อนที่เขาจะถูกปลดระวางลงไป เนื่องจากเขาป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ก่อนปลดระวาง เขาต้องสะสางคดีสุดท้าย โดยคดีนี้เกี่ยวข้องกับลูกชายของสมาชิกวุฒิสภา  โร้ค ที่ผู้คนรู้จักกันในชื่อ จูเนียร์ (นิค สตาห์ล) ซึ่งรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีอุกฉกรรจ์ ทั้งลักพาตัว ข่มขืน ฆาตกรรมหญิงสาว 3 ราย(เหยื่อส่วนมากเป็นเด็กหญิง)

                    ปัญหาก็คือ ฮาร์ติกันต้องหาตัวจูเนียร์ให้ได้ ก่อนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าผู้พิพากษา ซึ่งมี ส.ว.โร้คใช้อำนาจทางการเมือง และผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองซินตี้แห่งนี้ ทำให้จูเนียร์นั้นหลุดรอดไปได้อย่างง่ายดาย

                    จนกระทั้งวันหนึ่ง เด็กสาววัย 11 ขวบที่ชื่อ แนนซี่ คัลลาฮาน(เจสสิก้า อัลบ้า)  หายตัวไป โดยมีชื่อ  จูเนียร์เป็นผู้ต้องสงสัย

                    ฮาร์ติกันและบ๊อบคู่หูของเขานั้นออกติดตาม ร่องรอยจน ที่ทำให้พวกเขาได้มาเจอกับจูเนียร์ในที่สุด

                    คู่หูของฮาร์ติกันนั้นพยายามขัดขวางฮาร์ติกันไม่ให้จับกับตัวผู้จ้องสงสัย เนื่องจากจูเนียร์เป็นลูกของผู้มีอิทธิพล แม้จะมีหลักฐานจะๆ ก็ไม่เอาผิดเขาได้ และบอกให้รอกำลังเสริมที่เดินทางมายังที่เกิดเหตุก่อนค่อยคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไป แต่ฮาร์ติกันไม่เห็นด้วยกับวิธีของคู่หูเพราะหารอมีหวังแนนซี่เป็นเหยื่อรายที่ 4 คนฆาตกรหื่นกามแน่ ฮาร์ติกันยุติความสัมพันธ์ของคู่หู และออกปฏิบัติการช่วยหนูน้อยเพียงลำพัง

                    ในขณะที่ฮาร์ติกันบุกรังศัตรู และช่วยหนูน้อยแนนซี่มาด้วย พร้อมกันนั้นเขาก็ยิงปืนจูเนียร์ตัวต้นเรื่องแบบโหด ฮาร์ติกันยิงหูจูเนียร์ขาดไปข้างและยิงไข่(เสียวโว้ย)

                     ขณะที่ฮาร์ติกันกำลังตัดสินใจฆ่าจูเนียร์เพื่อยุติเรื่องนั้น เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อบ๊อบคู่หูของฮาร์ติกันหักหลังเขา เนื่องมาจากเขาได้เงินใต้โต๊ะจา ส.ว.โร้ค

                    บ๊อบยิงฮาร์ติกันหลายนัดก่อนที่จะจากไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเด็กหญิงที่ร่ำไห้ซกตักตำรวจชราที่เหมือนกำลังจะตาย

                    แต่เรื่องราวของ That Yellow Bastard พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อฮาร์ติกันพบว่าตัวเองยังไม่ตาย เขาอยู่บนเตียง ด้านหน้าเขาพบ ส.ว.โร้ค พล่านด้วยความบ้าอำนาจ และเคียดแค้นมากๆ ที่ฮาร์ติกันตำรวจสั่วๆ ที่ทำให้ลูกชายที่มีอนาคตที่จะสืบทอดอำนาจของเขาต้องกลายเป็นคนไร้สภาพ แต่กระนั้นส.ศ,โร้ดก็ไม่ให้ฮาร์ติกันตาย เพราะเขาได้เตรียมการล้างแค้นไว้แล้ว ส.ว.โร้ด วางแผนที่จะใส่ร้ายใส่ความฮาร์ติกันเป็นผู้ร้ายลักพาตัว และข่มขืนแนนซี่เสียเอง และยังขู่ที่จะฆ่าเธอและภรรยาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของเขาด้วย โร้คนั้นต้องกันให้ฮาร์ติกันไร้ซึ่งศักดิ์ศรี และหมดสภาพของความเป็นมนุษย์ในที่สุด

                    ฮาร์ติกันต้องติดคุกฟรีๆ ส่งที่เขามีชีวิตอยู่ได้คือจดหมายจากเด็กน้อยที่เขาช่วยเอาไว้ มันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันๆ จวบจนเวลาล่วงเลยไปถึง 8 ปีที่เขาอยู่ในนั้น

                    แต่แล้วจดหมายก็เริ่มหายไป ฮาร์ติกันเข้าใจว่าสาวน้อยเติบใหญ่เป็นสาวรุ่น และเดินทางชีวิตของเธอแล้ว โดยทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลัง

                    และแล้ว วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้ามาห้องของฮาร์ติกัน เป็นชายน่าเกลียดตัวเหลื่องทั้งตัว พุงย้อยและตัวเหม็น เขาอัดฮาร์ติกันจนสลับ ก่อนที่เขาจะจากไปเขาได้ทิ้งพัสดุปริศนาเป็นจดหมายของสาวน้อยก็มาถึงเขา พร้อมกับเรียวนิ้วปริศนาที่อยู่ภายใน เขารู้แล้วว่าเขาสาวน้อยกำลังตกอยู่อันตราย และเขาไม่อาจจะปกป้องเธอได้ถ้าเขาอยู่ในนี้ และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะปกป้องเธอ คือการหาทางออกไปจากที่นั่น ฮาร์ติกันต้องตัดสินใจทำสิ่งที่หยามเกียรติ และลดศักดิ์ศรีตัวเขาเองอีกครั้ง เพื่อให้ได้ออกไปสู่ถนนอันบ้าคลั่งของซินซิตี้อีกครั้ง

                    สิ่งที่สังเกตคือแม้เวลาผ่านไป 8 ปี เมืองซินซิตี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ส.ว.โร้ดยังมีอำนาจ อิทธิพล เมืองก็ดำมืด เสื่อมโสมเหมือนเดิม อีกทั้งเพื่อนของฮาร์ติกันที่หักหลังเขาในตอนแรกก็ได้ดิบได้ดีอนาคตรุ่งเรือง

                    แต่สิ่งนี้ฮาร์ติกันไม่ใส่ใจมากนัก สิ่งที่เขาต้องการคือการตามหาสาวน้อยแนนซี่ เขาตามรอยแบบสันนิษฐานล้วนๆ จากบ้านเก่าของเธอไปย่านบาร์ที่เสื่อมโทรม และที่นั้นเขาก็พบว่าแนนซี่นั้นกลายเป็นสาวน้อยวัยกลัดมัน ขาวอึ๋ม และเป็นดาวเต้นประจำร้าน และแล้วฮาร์ติกันก็รู้ตัวว่าตัวเองตกเป็นหมากของการล้างแค้นชายสี่เหลื่องที่ฮาร์ติกันพบนั้นคือจูเนียร์นั้นเอง เขารอดชีวิต และต้องนี้เขาคลั่งและแค้นฮาร์ติกันและแนนซี่ชนิดเรียกว่าอยากฆ่าให้ตายคามือ และยังมีประเด็นเรื่องแนนซี่หลงรักฮาร์ติกันอีก(หลงรักแบบแฟนนะ)

                    เออ.....ช่างเป็นความรักที่ต่างอายุเหลือเกิน

                    
                   และหลังจากผ่านฉากยิงกันและสู้กันระหว่างฮาร์ติกันและลูกสมุนจูเนียร์มาพักใหญ่ จนมาถึงฉากไคแม็กซ์ของเรื่องเมื่อฮาร์ติกันฆ่าจูเนียร์ที่กำลังซาดิสต์แนนซี่ได้ที่ด้วยกันกระชากพวงสวรรค์ออกมาทั้งยวงและใช้หมัดอันจูเนียร์จนหน้าและตายคามือ สีเหลืองซึ่งเป็นเลือดเปรอะไปพวกฉากอย่างสยอง แนนซี่รอด ส่วนฮาร์ติกันได้ตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต โดยการยิงปืนฆ่าตัวตายเพื่อระงับความแค้นของส.ว.โร้ด

                    โดยเขาคิดว่า หากชายแก่ไร้ค่าคนหนึ่งต้องจบชีวิตลง เพื่อให้สาวน้อยคนหนึ่งมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ก็ถือว่ายุติธรรม แล้ว

                    That Yellow Bastard Hartigan เป็นตอนที่ผมชอบมากๆ นอกเหนือจากเนื้อหาและพระเอกที่ไม่เวอร์เหมือนสองตอนก่อนหน้า อีกทั้งยังมีประเด็นแนวรักต่างอายุอีกด้วย ผมดูไปซึ้งไปเพราะว่าหนังมันแสดงให้เห็นว่าฮาร์ติกันเป็นตำรวจดีที่อาภัพ จากสองตอนที่แล้วมาเราเห็นแต่ตำรวจชั่วยกกอง แต่ฮาร์ติกันนี้ต่างกันออกไป แต่ความต่างนี้ทำให้เขากลายเป็นแกะดำของเมืองซินซิตี้ไปเสีย และเขาก็ตกอยู่ในวงจรความอยุติธรรมจนเอาชีวิตไม่รอดในคุก

                    แม้จะมีประเด็นเรื่องความรักต่างอายุ แต่สำหรับฮาร์ติกันแล้วเขามองแนนซีเหมือนลูกสาวเท่านั้น การพบเจอกันสองคนถือว่าเป็นฉากที่คนดูหลายๆคนชอบมาก หลังจากที่ฮาร์ติกันทรมานอยู่นานเขาหวังจะได้รับความสุขบ้าง แต่ความสุขเล็กๆ ของเขาก็หายไปพร้อมกับการปรากฏตัวของจูเนียร์ และฮาร์ตืกันตกปกป้องแนนซี่เอาไว้จากเงื่อมมือของจูเนียร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฮาร์ติกันเปรียบเสมือนผู้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ความยุติธรรมความดีงามในสังคม การทารุณกรรมต่อเด็ก  และคนที่เขาปกป้องก็คือเหยื่อของสังคมที่เป็นเด็กนั้นเอง+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×