ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #294 : Aldnoah.Zero สงครามวันดับโลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.11K
      5
      26 ส.ค. 57

                    ทำไมมนุษย์ต้องเข่นฆ่ากัน ทำไมต้องทำสงครามกัน ทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน มีเลือดและลมหายใจเหมือนกัน แน่นอนว่ามีหลายเหตุผลในการทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการการแย่งชิงดินแดน, การแย่งชิงอำนาจ, อุดมการณ์ต่างกัน ทำให้เกิดความจัดแย้งไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสันติ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้ลงเอยด้วยสงครามใช้กำลัง เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม

                    ในช่วงนี้ทั้งบ้านเราและต่างประเทศมีแต่เรื่องวุ่นวาย ในประเทศไทยก็มีเรื่องดราม่าเจนี่ แต่ในต่างประเทศนั้นใหญ่กว่า นั่นคือการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง

                    เรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์นั้นมีมานานแล้ว เล่าง่ายๆ คือ ชาวยิว (หรือชาวอิสราเอลในปัจจุบัน) ได้มีความขัดแย้งดินแดนของปาเลสไตน์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากชาวยิวเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้พระเจ้ามอบให้กับพวกตน ชาวยิวจึงได้ทำพยายามแย่งพื้นที่มาจากชาวปาเลสไตน์

    ต่อมาชาวยิวได้ก่อตั้งประเทศอิสราเอล ณ ดินแดนของปาเลสไตน์ซึ่งทำให้ประเทศอาหรับ (ที่อยู่โดยรอบประเทศอิสราเอล) และชาวปาเลสไตน์ไม่พอใจ  จึงเกิดสงครามขึ้น ทำสงครามกันไป ทำกันมา ปรากฏว่าอิสราเอลอยู่รอด ส่วนชาวปาเลสไตน์กลับกลายเป็นผู้อพยพไม่มีที่อยู่ซะงั้น

    อย่างไรก็ตามชาวปาเลสไตน์ไม่ยอม ความแค้นต้องชำระ พวกเขาได้ก่อตั้ง “องค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์” เพื่อชิงดินแดนปาเลสไตน์คืนจากยิว  แม้ว่าปาเลสไตน์จะมีอาวุธด้อยกว่า แต่พวกเขาใช้วิธีการก่อการร้าย ทั้ง ปล้น ฆ่า ยึดสถานทูต จับตัวประกัน จี้เครื่องบิน พลีชีพ ก่อวินาศกรรม  รวมไปถึงการทำสงครามแบบกองโจร เพื่อกดดันอิสราเอล

    สมัยก่อนการก่อการร้าย จะเน้นการลอบสังหารบุคคลสำคัญที่เป็นเป้าหมายอย่างเดียว แต่ปัจจุบันการก่อการร้ายมีความรุนแรงมาก

    ต่อมาอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้สงบศึกกัน โดยปาเลสไตน์มีดินแดนที่อยู่อาศัยคือ “ฉนวนกาซา” และ “เวสต์แบงก์” แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่กลับเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

    แม้สงครามทั้งสองจะสงบลง แต่เอาเข้าจริงความขัดแย้งของคนสองชาตินั้นยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ, ความแค้นตั้งแต่สมัยโบราณ, คำสอน, ประวัติศาสตร์ที่ไม่ลงรอยกัน ไม่ยอมกัน พูดง่ายๆ ทั้งสองชาตินั้นอยู่ร่วมกันไม่ได้ เจอกันเมื่อไหร่มีอันต้องปะทะทุกที  

    ล่าสุดนั้น ก็มีการก่อความขัดแย้งอีก เมื่อพรรคฮามาสของปาเลสไตน์ได้ปะทะกับทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา โดยมีมูลเหตุมาจากชาวอิสราเอลสามคนถูกลักพาตัวและถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นกลุ่มฮามาส ต่อมาก็มีวัยรุ่นปาเลสไตน์ถูกอุ้มฆ่าอีกคน และเชื่อว่าเป็นการแก้แค้นของชาวอิสราเอล และนั้นทำให้เกิดเหตุปะทะรุนแรงมากขึ้น จนลุกลามจนกลายเป็นยิงจรวดใส่กันจนกลายเป็นข่าวดังในเวลานี้

    ดูเหมือนว่าประเด็นการเหยียดเชื้อชาตินั้น จะเป็นต้นเหตุสำคัญของการก่อสงครามของมนุษย์ ทั้งๆ ที่มนุษย์เป็นเหมือนกันแท้ๆ หากแต่เพราะสีผิว, ดวงตา, ลักษณะกายภาพ รวมไปถึง ภาษา, อุดมคติ, ศาสนา, วัฒนธรรม, ความเชื่อ จะกลายเป็นสิ่งแบ่งแยกเชื้อชาติออกจากกัน

    การเหยียดเชื้อชาติ เป็นความรุนแรงที่มาพร้อมกับอคติ ซึ่งอคติที่ว่านั้น เป็นผลมาจากการที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนเองเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีมานานแล้ว เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวกับคนผิวดำ, ชาติพัฒนากับชาติด้อยพัฒนา, เจ้านายกับทาน และการเหยียดเชื้อชาติส่วนมากล้วนจบลงด้วยสงคราม

    การเหยียดเชื้อชาติถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุดของโลก เพราะเราได้บทเรียนจากประวัติศาสตร์จากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฮิตเลอร์ผู้นำสั่งฆ่าหมู่ชาวยิวนับล้าน และโฆษณาจูงใจให้ชาวเยอรมันเชื่อว่าพวกตนเป็นชาวอารยันอันสูงส่ง

    ถึงแม้ระบอบนาซีเยอรมันจะล่มสลายลง ปัจจุบันหลายประเทศพยายามออกกฎหมายห้ามเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งเห็นได้จากการแข่งขันฟุตบอลในยุโรปที่เรามักเห็นการเหยียดเชื้อชาติในสนามบ่อยครั้งของคนเข้าชมที่ทำการเหยียดนักแตะผิวสี หรือพวกจากอเมริกาใต้ ซึ่งมีบทลงโทษตามมา แต่อย่างไรก็ตามการเหยียดเชื้อชาติก็ยังคงฝังใจของใครหลายคนอยู่

    จะทำอย่างไรให้การเหยียดเชื้อชาติหมดไปจากโลก คำตอบคือมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันฝังรากเข้าไปในจิตใจของใครหลายคน ฝังเข้าไปลากเหง้าของประวัติศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรม จิตวิญญาณไปแล้ว เพียงแต่เราไม่ได้แสดงออกทางการกระทำเท่านั้นเอง

    ดังนั้นประเด็นการเหยียดสีผิว  หรือเหยียดเชื้อชาติ จึงเป็นประเด็นที่สื่อเข้าใจง่าย รู้สึกอิน  ในการแสดงความเกลียดระหว่างกันของทั้งสองฝ่าย ที่มีกายภาพและวัฒนธรรมต่างกัน

    ในสื่อบันเทิงก็มีบ่อยครั้ง ที่มีประเด็นการเหยียดเชื้อชาติยกขึ้นมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนๆ ก็มี ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาว

    มีภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเฉพาะแนวสงคราม ที่แสดงการเหยียดชาติพันธุ์ ความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติก็ตาม เป็นต้นว่า ภาพยนตร์เรื่อง “อวตาร” เองก็มีประเด็นการเหยียดเชื้อชาติ โดยมนุษย์เหยียดชาวนาวี และพยายามบุกรุกดวงดาวแพนดอร่าเพื่อหวังทรัพยากรที่มีค่าสำหรับฝ่ายตอนเท่านั้น

                    ปกติภาพยนตร์สงครามแนวนี้ นอกเหนือจากจะนำเสนอความเลวร้ายของสงครามแล้ว ยังแสดงถึงปมขัดแย้งของชาติพันธ์ ที่ชาติที่แข็งแกร่งกว่า (และคิดว่าชาติตนดีกว่า) บุกรุกชาติที่ด้อยกว่าตน เพื่อต้องการแย่งชิงทรัพย์กร ของมีค่า รวมถึงจำคนมาเป็นทาส การทำลายบ้านเกิดเมืองนอน การฆ่าเด็ก สตรี คนชรา นำมาซึ้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย

                    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องสมมุติ ทุกอย่างล้วนมีประเด็นเหยียดชาติพันธุ์แบบนี้เสมอ ขนาดเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลก (พวกแนวสงคราม War of the Worlds หรือจะเป็นแนว Skyline (2012) ) เราก็เห็นประเด็นแบบนี้สอดแทรกอย่างแยบยล ไม่ว่าการแสดงมนุษย์ต่างดาวที่ไม่เป็นมิตรที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว (ที่สื่อถึงผู้ที่คิดว่าเจริญกว่าแต่ความชั่วร้าย) ทำการรุกรานโลก (คนกลุ่มน้อยที่ด้อยกว่า) ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่ามาก แม้ว่ามนุษย์โลกพยายามต่อต้านมนุษย์ต่างดาวสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้เลย

                    สุดท้ายสงครามก็สิ้นสุดไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน มนุษย์ต่างดาวยึดโลกได้สำเร็จ พร้อมกันนั้นก็กระทำย้ำยีกับเหล่ามนุษย์โลก เหมือนสัตว์ฟาร์ม (จับมาทดลอง, กักขัง, เอามาเป็นทาส) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสื่อในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติทั้งสิ้น

    อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ภาพยนตร์ก็แอบตอกกลับแสบๆ เหมือนกัน ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เรานั้นแหละตัวดีกว่าใครเพื่อนในการเหยียดชาติยิ่งกว่ามนุษย์ต่างดาวเสียอีก อย่างภาพยนตร์เรื่อง District 9 ที่เป็นเรื่องราวของเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่มายังโลกเพราะยานเสีย และถูกพวกมนุษย์ปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะมนุษย์ต่างดาวรูปร่างน่าเกลียด จึงทำการกักไว้ในค่ายกักกัน พร้อมกับให้มนุษย์ต่างดาวพัฒนาอาวุธ โดยไม่สนใจในสวัสดิภาพของมนุษย์ต่างดาว

    ท่ามกลางยุคที่เลวร้ายนั้น มักมีผู้กล้าออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมนั้น ส่วนมากผู้กล้าที่ว่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่า หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยว่าผู้เจริญเหยียดผู้ด้อยกว่า จึงเข้าร่วมกับผู้ด้อยกว่าเพื่อเป็นศัตรูกับผู้เจริญกว่า

    แน่นอนว่า การที่มีใครคนใดคนหนึ่งลุกขึ้นสู้ มันเป็นยากมากที่จะสามารถเอาชนะ แต่พวกเขาก็ยังสู้ สู้เพื่ออิสรภาพ สู้เพื่อครอบครัว สู้เพื่อคนที่เรารัก  ยืนหยัดสู้ต่อต้านศัตรูที่น่าเกรงขามด้วยกำลังของตนเอง ดังนั้นบุคคลที่ว่ามักได้รับการนับถือว่าเป็นวีรบุรุษที่น่าจดจำที่เสียสละแม้จะแพ้หรือว่าจะชนะก็ตาม

    ดังนั้นแนวพล็อตแบบนี้จึงเป็นที่นิยมในภาพยนตร์พวกแนวต่อสู้ พวกสงคราม (โรแมนติก, ดราม่าก็ยังมี)  มันเรียบง่าย สื่อเข้าใจง่าย อีกทั้งยังรู้สึกอิน อยากเอาใจช่วย และรักชาติยิ่งขึ้นด้วย แน่นอนว่านอกเหนือจากภาพยนตร์แล้ว อนิเมะการ์ตูนญี่ปุ่นก็เอาประเด็นเหล่านี้มาใช้บ่อยมากโดยเฉพาะแนวสงคราม รวมไปถึงอรนิเมะในซีซั่นนี้ด้วย

     
    aldnoah zero cover

    Aldnoah.Zero

     

    จงมีความยุติธรรม แม้โลกาจะวินาศก็ตามทีเป็นสโลแกนสำหรับอนิเมะ Aldnoah.Zero  ที่ตอนนี้อนิเมะได้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วบ้านทั่วเมือง (และมีแววจะได้ลิขสิทธิ์ซะด้วย)

    Aldnoah.Zero เป็นหนึ่งในอนิเมะที่เขียนบทโดยอุโรบุจิ เก็น  หรือจอมมารเก็น  ให้ตายเถอะ!! ในที่สุดผมก็ดูผลงานของเก็นจนได้ เพราะที่ผ่านมาผมปฏิเสธดูทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Fate/Zero,  Mahou Shoujo Madoka Magica, Psycho-Pass และ Suisei no Gargantia และนอกจากนี้อนิเมะยังกำกับโดยผู้กำกับที่มีผลงานเด่นจากเรื่อง Fate/Zero และ Ga-Rei-Zero ซึ่งเป็นผลงานของ Aniplex ตั้งใจปั้น และผลปรากฏว่าทำสำเร็จ อย่างน่าชมเชย (ในตอนนี้นะ)

    เนื้อเรื่อง Aldnoah.Zero ได้กล่าวถึงอนาคตที่ห่างไกลออกไป โดยเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 1972 ปฏิบัติการของยานอพอลโล 17 ทำให้ค้นพบรูหนอนบนดวงจันทร์ที่เชื่อมต่อกับดาวอังคาร ทำให้มนุษย์บางส่วนอพยพไปยังดาวอังคารแทน

    ในปี 1999 ได้เกิดสงครามระหว่างมนุษย์กับชาวดาวอังคาร แต่ทางเชื่อมที่ดวงจันทร์ถูกทำลายลงจนไม่สามารถติดต่อกันได้อีก ทำให้สงครามจึงยุติลง

    อย่างไรก็ตาม ชาวดาวอังคารไม่เลิกล้มในการที่จะรุกรานโลก พวกเขาดูถูกมนุษย์โลกราวกับเป็นแมลงสาปไม่ปาน (ทั้งๆ ที่พวกเอ็งก็ดีเอ็นเอเหมือนกันแท้ๆ พร้อมกันนั้นพวกเขาก็พัฒนาเทคโนโลยีการสงคราม เพื่อหวังรอเวลาแก้แค้นอีกครั้ง

    อีก 15 ปีต่อมา ชาวดาวอังคารสามารถมาที่โลกได้ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ด้วยการเยือนของเจ้าหญิงตระกูล Vers เพื่อสันติภาพชาวอังคารและชาวโลก หากแต่ชาวอังคารไม่ต้องการจะสันติภาพด้วย ผลคือพวกเขาเลือกที่จะฆ่าเจ้าหญิงของพวกเขาด้วยการลอบสังหารให้ดูเหมือนกับว่าเป็นก่อการร้าย โดยชาวโลกต้องเป็นรับผิดชอบ และนั้นเองทำให้ชาวอังคารสามารถเอาเรื่องการตายขององค์หญิงเป็นข้ออ้างในการรุกรานโลกได้  จึงได้ส่งหุ่นรบขนาดใหญ่มา หมายจะกวาดล้างมนุษย์โลกให้สิ้นซากด้วย

     

    Aldnoah.Zero เป็นอนิเมะแนวขับหุ่นยนต์สู้ศัตรู (แนวเรียวโรบอตสู้กับซูเปอร์โรบอต) ในซีซั่นฤดูร้อนของปี 2014 ซึ่งนอกจาก Aldnoah.Zero ในซีซั่นนี้มีอนิเมะแนวขับหุ่นยนต์อีกเรื่องคือ Argevollen ซึ่งก็มีคนดูเช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องแรกทีคนหลายคนอวยมาก อวยชนิดว่าทำให้ผมที่ไม่ได้ชอบแนวขับหุ่นยนต์สักเท่าไหร่ต้องมาดูเรื่องนี้ว่าเรื่องนี้มีดีเพราะอะไร

    ทำไมหลายคนอวย Aldnoah.Zero ทั้งๆ ที่ผ่านไปไม่กี่ตอน

    โอเค Aldnoah.Zero เป็นอนิเมะที่เขียนโดยจอมมารเก็น ผู้มีชื่อเสียงในด้านการฆ่าตัวละคร และชอบทำให้คนดูต้องตกใจตะลึงอยู่เรื่อย และ ความประทับใจแรกสำหรับหลายคนที่มีต่อ Aldnoah.Zero คือการเปิดฉากด้วยการบุกรุกโลกของชาวดาวอังคารที่ทำได้อย่างอลังการ ประกอลกับเสียงเพลงเปิดเรื่องที่แม้ว่าคนไทยจะไม่รู้เรื่อง (เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น) แต่น้ำเสียงและทำนองแสดงให้เห็นถึงหายนะโลก ซึ่งทำได้ตื่นเต้น ติดหูจริงๆ

    ให้เราคิดถึงภาพยนตร์มนุษย์ต่างดาวขับยานบุกจู่โจมโลก สงคราม  ผู้คนต่างหนีตาย ตกอยู่ในความสิ้นหวัง พยายามโทรศัพท์หาคนที่เรารักแม้จะไม่มีสัญญาณก็ตาม ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่ว

    Aldnoah.Zero ก็เหมือนภาพยนตร์ที่ว่าแหละ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่เป็นมนุษย์อย่างเราๆ นี้แหละ

    อย่างไรก็ตาม ฉากศัตรูบุกโลกนั้น เราพบเห็นบ่อยๆ อยู่แล้วในแนวขับหุ่นยนตร์ไม่ว่าจะเป็นต้นตำรับอย่างกัมดั้ม หรือแม้แต่ Kakumeiki Valvrave การ์ตูนแนวขับหุ่นยนตร์ที่สร้างความผิดหวังกับผม (และหลายคนๆ ) ซึ่งทั้งหมดเปิดฉากอารมณ์แบบนี้  แต่ก็เรียกหลายคนสนใจให้ติดตามอนิเมะแนวนี้แบบไม่มีเบื่อ แต่มองอีกแบบหนึ่งดำเนินเรื่องก็ยังคงวนเวียนฝ่ายศัตรูบุกโลกเหมือนเดิม


     

     

    พระเอกคูลเดเระนิ่งทุกงาน

     

    สงครามรุกรานโลกและการเหยียดเชื้อชาติถือว่าเป็นสิ่งที่พบปล่อยในแนวขับหุ่นยนตร์ ดังๆ ก็อย่างเช่น คอมแบททร่าวี (Chodenji Machine Voltes V) ที่มนุษย์ต่างดาวที่มีเขารุกรานมนุษย์โลกด้วยสาเหตุคือมนุษย์โลก  ถ้าจำไม่ผิดเรื่องนี้เคยฉายเมืองไทย และถูกแบนด้วยเหตุผลว่ามันแสดงถึงการเหยียดเชื้อชาติ

    แต่ที่น่าขันก็คือทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์ต่างดาวแท้ๆ ยังอุตส่าห์พูดภาษาญี่ปุ่นชัดเจน (ทั้งๆ ที่พวกเอ็งดูถูกมนุษย์ว่าต่ำต้อยเนี้ยนะ) แถมเวลารุกรานโลกแต่ละทีส่งหุ่นเพียงตัวเดียว แถมรุนรานที่ญี่ปุ่นประเทศเดียวอีกต่างหาก เป็นแบบนี้ทุกตอน และเกือบทุกเรื่องที่เป็นแนวขับหุ่นยนต์สงครามรุกรานโลก

    การบุกรุกโลกของชาวดาวอังคารใน Aldnoah.Zero ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับกัมดั้ม (ภาคแรก) ที่มีนำเสนอว่าต่างฝ่ายที่รบกันไม่มีใครผิดใครถูก  ถูก เพราะอุดมการณ์ต่างกัน ต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็นต่างกัน และไม่ว่าฝ่ายทหารของพระเอกหรือฝ่ายศัตรูก็ล้วนเป็นคน และไม่ได้เลวชาติไปเสียหมด 

    แต่สำหรับ Aldnoah.Zero ดูเหมือนว่าศัตรูของฝ่ายพระเอกหรือชาวอังคารจะเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ แทบไม่มีจุดน่าเห็นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะในเรื่องชาวดาวอังคารรับบทเป็นตัวโกงเต็มพิกัด ด้วยวีรกรรมกวนเกรียนตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดเชื้อชาติ มองมนุษย์โลกต่ำยิ่งกว่าแมลงสาป (ทั้งๆ ที่พวกตนนั้นถือกำเนิดมาจากโลกมาก่อนแท้ๆ) และสร้างเชื้อชาติของตนขึ้นมา กำหนดเชื้อชาติขึ้นมาเองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าผู้อื่น การสร้างตระกูลเพื่อแบ่งแยกชนชั้น ความเจริญทางวัตถุทำให้จิตใจตกต่ำลง 

    และไม่ได้ส่งหุ่นยนต์บุกโลกแคตัวเดียว ชาวดาวอังคารบุกโลกแบบเฮโลลงแขกมาหมดเลย  ไม่เพียงแค่ญี่ปุ่น แต่เป็นทั่วโลก!!

    ชาวดาวอังคารมีทุกอย่าง เทคโนโลยีเหนือกว่าชาวโลก แต่กลับเคียดแค้นโลก แทนที่จะสร้างสันติ กลับคิดจะรุกราน การขัดแย้งภายใน แทงหลังกันและกัน  โลภมาก ต้องการความดีความชอบ  ทำได้แม้กระทั่งลอบสังหารเจ้าหญิงตนเองเพื่อให้เป็นข้ออ้างรุกรานโลก ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์

    ยังไม่รวมหน้าตาเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกทุกคนอีกต่างหาก

    อ่านมาถึงตอนนี้ Aldnoah.Zero มีหลายอย่างให้คนติดตาม นั่นคือเป็นอนิเมะเขียนบทโดยจอมมารเก็น การวางโครงเรืองสงครามบุกโลก ที่ตื่นเต้นเร้าใจ  ภาพสวย อลังการ เรียบง่ายดูเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ขนาดคนไม่ชอบแนวขับหุ่นยนต์อย่างผมมาดูแบบอคติเต็มพิกัดต้องมาเปลี่ยนใจ (นิดหน่อย ขึ้นอยู่กับครึ่งหลัง)

    แล้ว Aldnoah.Zero มีอะไรที่แตกต่าง!?

    เหตุผลหลักๆ ที่หลายคนชอบ Aldnoah.Zero ก็คือตัวละครในเรื่องที่ค่อนข้างแตกต่างจากอนิเมะแนวขับหุ่นยนตร์ในช่วงหลังๆ

    เริ่มจากพระเอกเรื่องนี้ที่ชื่อ “อินาโฮะ” แตกต่างจากพระเอกแนวขับหุ่นยนต์ที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมาพระเอกแนวขับหุ่นยนตร์ ส่วนมากจะมีนิสัยเลือดร้อน ไม่ก็เกรียนบรรลัย ชอบสร้างปัญหาให้คนรอบข้างประจำ แต่ก็มีความรักยุติธรรม

    นอกจากพระเอกเลือดร้อนแล้ว ยังมีพระเอกแนวกากๆ แต่ได้ขับหุ่นเทพ แล้วค่อยพัฒนาฝีมือทีหลัง (ดังๆ ก็อามุโร่กัมดั้มไงละ)

    แต่อินาโฮะมีอะไรที่แตกต่างจากพระเอกแนวขับหุ่นยนต์ในช่วงหลังๆ เพราะพระเอกเรื่องนี้ “คูลเดเระ”

     

    จากที่ดูผ่านมาหลายตอนอินาโฮะคนนี้นิ่งทุกงาน ภายนอกเป็นคนเยือกเย็น อารมณ์นิ่งๆ ตลอด  และเป็นคนช่างสังเกต สามารถตัดสินใจอย่างแมนยำ ฉลาด และสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเอาชนะศัตรูที่เหนือกว่าได้   (แต่กระนั้นอินาโฮะก็ไม่ได้เลือดเย็น เพราะมีหลายฉากแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนเมตตา ไม่ได้ไร้จิตใจ เป็นต้นว่ามีอารมณ์เล็กน้อยที่เห็นเพื่อนตายต่อหน้า หรือการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจด้วย)

    พูดง่ายๆ พระเอกเอาชนะด้วยสมอง ซึ่งแตกต่างจากพระเอกอการ์ตูนในการ์ตูนแนวขับหุ่นหลายเรื่องที่มักใช้ความบ้าพลังและหุ่นยนต์เทพเอาชนะศัตรู

    นอกเหนือจากพระเอกแล้ว หากสังเกตดีๆ เพื่อนของพระเอกเองก็เก่งไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาปฏิบัติตามแผนของพระเอกแบบไม่มีข้อบกพร่อง แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจพระเอกคนนี้ไม่มากไม่น้อย

    บางอาจเป็นเพราะพวกพระเอกและเพื่อนนั้นได้รับการฝึกพื้นฐานการรบมาแล้ว (วิชาขับหุ่นยนต์เป็นวิชาภาคบังคับ เพื่อเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ละมั้ง !?) อีกทั้งยังปราศจากความอคติ  ทำให้ช่วงแรกๆ แผนของพระเอกประสบความสำเร็จทุกครั้ง แม้ว่าเพื่อนพระเอกบางคนจะกล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่ชินกับสนามรบก็ตาม

    ตอนที่ผมดู ผมได้อ่านแนวคิดของเรื่องนี้ว่า ฝั่งพระเอกจะไม่มีหุ่นเทพๆ ออก แต่จะใช้วิธีกลยุทธ์ ซึ่งถือว่าแปลกดี เพราะนานๆ ครั้งจะเห็นการต่อสู้แบบนี้ในการ์ตูนแนวขับหุ่นยนต์ (ขนาดมังงะเองยังไม่ค่อยมีเลย)

    ท่ามกลางสงครามความขัดแย้ง ฝ่ายศัตรูที่เหนือกว่ามาก  มีทั้งบ้าพลัง ปล่อยพลังทีระเบิดวินาศ บาเรียป้องกันได้ทุกสิ่ง มีพลังดาบเลเซอร์ คนขับก็เจ้าเล่ห์ นี้มันหุ่นยนต์สายซูเปอร์ชัดๆ  หุ่นยนตร์ของฝ่ายโลกไม่สามารถเอาชนะหุ่นยนตร์ศัตรูได้เลย เพราะมีแต่หุ่นกากๆ กระสุนถั่ว และมีดสปาต้าเท่านี้ (ไม่มีการพัฒนาหลังสงคราม 15 ปีเลยเหรอ รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดสงครามในอนาคตแท้ๆ) (แถมหุ่นของศัตรูเท่กว่าด้วย)

    แต่อย่างไรก็ตาม สงครามที่ฝ่ายศัตรูเหนือกว่ามาก มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึง ว่าจะเป็นอาวุธได้ นั่นคือการใจสู้มนุษย์โลกที่เขาดูถูกเหยียดเชื้อชาตินั้นเอง

    ในประวัติศาสตร์เราก็เห็นบ่อยๆ ที่ชาติเหนือกว่ามันพ่ายแพ้ชาติที่อ่อนด้อยกว่า เพราะพวกเขาประมาท ดูถูก โดยหารู้ไม่ว่าชาติด้อยกว่านั้น มีความกล้าหาญ ความรักบ้านเกิด และเรียนรู้วิธีการต่อสู้ของคนอ่อนแอได้มากเพียงใด

    ทำไมอเมริกาไม่สามารถเอาชนะสงครามเวียดนาม ทั้งๆ ที่อเมริกาเหนือกว่ามากในด้านเทคโนโลยีสงคราม?

     “พวกเขาสู้ด้วยใจ ไม่ได้สู้ด้วยเทคโนโลยี”

                สำหรับผมแล้ว มองพระเอกคนนี้ว่า พระเอกคนนี้มีความเป็นคนธรรมดา  ที่เราจับต้องได้ สามารถเป็นได้ พระเอกก็ไม่ได้เป็นคนพิเศษ มีพลังจิต หรือมีประวัติซับซ้อนอะไรมากมาย เป็นเพียงประชาชนธรรมดา ที่ผ่านฝึกทหาร (อารมณ์คล้ายๆ กับร.ด.) แต่ต้องรับหน้าที่รับใช้ชาติ (หรือโลก)  ต่อสู้กับศัตรูไม่ให้รุกรานบ้านเกิดเมืองนอนเรา และทำการรบอย่างประทับใจ จนเป็นที่คาดหวัง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หลายคนประทับใจและโดนใจได้เป็นอย่างดี

     

     

    พระรองที่อาภัพที่สุดเท ที่เคยดูมา

     

    อย่างไรก็ตาม พระเอกที่ว่าแปลกแล้ว พระรองนี้แหละที่ทำให้ผมประหลาดใจ เพราะส่วนใหญ่หากนึกถึงพระรองในการ์ตูนแนวขับหุ่นยนต์ พระรองจะต้องหล่อกว่าพระเอก เท่กว่าพระเอก เก่งกว่าพระเอก ยิ่งเป็นพวกอยู่ฝ่ายตรงข้ามพระเอก พระรองจะเป็นศัตรูตัวฉกาจเลยทีเดียว

    แต่ไม่ใช่พระรองใน Aldnoah.Zero….

    ผมขอชมตรงจุดนี้ครับ ที่อนิเมะสร้างคาแร็คเตอร์ที่ไม่ค่อยมีในแนวขับหุ่นยนตร์ ไม่ว่าพระเอกและพระรอง และให้เราดูทั้งสองมุมมอง สองบทบาท  และทำออกมาได้น่าติดตามด้วย

    ในขณะที่พระเอกโชว์ความฉลาด จนเป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง และกำลังจะกลายเป็นวีรบุรุษของฝั่งมนุษย์โลฃก (แถมพวกสาวๆ ตัวหลักในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหญิง, เพื่อนร่วมชั้น (เพื่อนสมัยเด็ก) ไปจนถึงน้องผู้ก่อการร้ายต่างกริ๊ดกร๊าดกันใหญ่) แต่พระรองผมขาวกลับตรงกันข้าม 

    ทรอยยาร์ด สเลน เด็กหนุ่มผมทองตาสีฟ้าน้ำทะเล ดูแล้วน่ารักแบบสายเคะ (แตกต่างกับพระรองแนวขับหุ่นนี้สายรุกเต็มพิกัด)  พระรองผมขาวซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามพระเอก ซึ่งน่าสงสารว่าจะเป็นตัวละครสุดอาภัพที่สุดในอนิเมะเรื่องนี้ แม้ว่าจะอยู่ฝั่งของชาวอังคาร แต่ได้รับปฏิบัติราวกับทาสไม่ปาน ทั้งเหยียดเชื้อชาติ เหยียดฐานะ  เพราะเขามีฐานะเป็นมนุษย์อาศัยอยู่ในดาวอังคาร ถือว่าต่ำด้อยมาก แม้จะเป็นคนสนิทของเจ้าหญิงก็ตาม และสงครามเกิดขึ้นหนุ่มสเลนก็กลายเป็นหนุ่มผู้น่าสงสารเพราะอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ไว้ใจ อยากปกป้องเจ้าหญิงใจจะขาด แต่ด้วยฐานะอันต่ำต้อยของเขา ไม่รู้จะทำยังไงดี

    ระหว่างที่ผมเขียน อนิเมะก็ดำเนินเรื่องหลายตอนแล้ว หนุ่มสเลนกลายเป็นหนุ่มที่น่าสงสารเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ใครๆ ก็ไม่รัก, จะโดนสั่งเก็บ, จะโดนสอย ฯลฯ

    ไม่นับเจ้าหญิงที่ตอนนี้กำลังปลื้มพระเอกเรื่องนี้ยังแรง หนุ่มสเลนมีสิทธิแห้วสูงเลยทีเดียว

    การต่อสู้ของสเลนนั้นมีแต่มืดแปดด้าน เพราะไปไหนก็มีแต่ทางตัน มิตรไว้ใจก็ไม่มี แถมตัวเองก็ไม่ได้เก่งอะไร ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ค่อยมี แถมจิตใจยังอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก 

    แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าบทของหนุ่มสเลนน่าจะโดดเด่นในช่วงท้ายแน่นอน เพราะบุคคลที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดฐานะ มักเปล่งประกายในตอนท้ายๆ ตลอด และมักทำสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แต่จะไปทางเลวร้ายหรือดีนี้ก็ต้องติดตามต่อไป

                   

     

    น้องผู้ก่อการร้าย นางเอก (!?)

    และที่แปลกสุดท้ายคือจนบัดนี้  เรื่องนี้บทบาทของตัวละครผู้หญิงยังไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ ว่าใครจะคู่กับพระเอก (ส่วนพระรองก็มืดบอดต่อไปเถอะ)

    ปกติ สิ่งที่ควบคู่กับแนวขับหุ่นยนต์  ซึ่งนอกเหนือจากการต่อสู้แล้ว บทบาทของพระเอกในด้านความรักกับตัวละครหญิงในเรื่องถือว่าเป็นเรื่องปกติแนวๆ นี้ และมักปรากฏนางเอกชัดเจนในตอนต้น หากแต่หลังจากที่ผมดู Aldnoah.Zero หลายตอน  ผมก็รู้สึกว่าในบทบาทผู้หญิงในเรื่องไม่มีใครเด่นชัดว่าชอบพระเอกสักเท่าไหร่

    ก็ถูกส่วนหนึ่งพระเอกเป็นพวกสายคูลเดเระ ดังนั้นเรื่องรักใคร่ๆ ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็น่าจะปรากฏตัวละครหญิงที่มีบทรู้สึกชอบพระเอกบ้าง

    สำหรับตัวละครหญิงในเรื่องนี้ผมเห็นสามคนที่โดดเด่น คนแรกคือเจ้าหญิง อัสเซลัม เวิร์ส อัลลูเซีย แน่นอนหากดูความสำคัญของเรื่องเธอก็คือนางเอกของเรื่อง แต่เรื่องรักๆ นั้นไม่มีท่าทีอะไรเลย แม้ว่าพระรองผมขาวจะชอบเจ้าหญิงแต่ดูเหมือนจะเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ส่วนเจ้าหญิงจะคู่กับพระเอกนั้นจนบัดนี้ก็ไม่มีปักธงที่ว่าสักเท่าไหร่

    ส่วนนางรองสองคนคือ อามิฟูมิ อินโกเพื่อนสมัยเด็กพระเอก แม้จะมีบทอยู่ในทีมพระเอกร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู แต่เรื่องรักๆ ระหว่างพระเอกนั้น เพื่อนสมัยเด็กก็ไม่ได้แสดงออกสักเท่าไหร่

    และนางรองอีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษ ผมเรียกว่าน้องก่อการร้าย เรยท์ อาเรียส ซึ่งหากเทียบกับบทเจ้าหญิงหรือเพื่อนสมัยเด็กแล้ว ผมว่าเธอคนนี้โดดเด่นมาก เพราะมีทั้งดราม่า แถมเวลาจะทำอะไรนี้ชอบออกตัวก่อนไปซะทุกครั้ง  เรียกว่าคนนี้มีภาษีมากที่สุด

    ก็แอบเสียดายนิดๆ ทีฉากเลิฟๆ ระหว่างพระเอกกับพวกผู้หญิงไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่   ไม่รู้จะมีในอนาคตหรือเปล่า แต่ขอไม่มีแบบพระเอกปักธงแล้วสาวมาตายหลังจากนั้น แบบนี้ผมไม่เอาน่ะ ไม่ชอบอย่างแรง

    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะสาวๆ ในเรื่องก็น่ารักอย่าบอกใคร แม้บทรักๆจะไม่ชัดเจน แต่บทบาทของพวกเธอก็มีสีสันไม่แพ้กัน หากใครตายนี้ผมว่า หลายคน (และผม) คงเสียใจน่าดู

    ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ ผมไปเช็กเรตติ้งเกี่ยวกับกระแสอนิเมะซีชั่นนี้ดูว่าเป็นอย่างไร ผลออกมาคือผมยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปรางหากเทียบกับ เทพดาบ (Sword Art Online 2) และหนุ่มว่ายน้ำ (Free! 2) อาจเป็นเพราะเป็นผลงานออริจินอลเริ่มต้น  ยังไม่มีฉากอะไรที่ยังอึ้ง แต่ก็เป็นออริจินอลที่เรตติ้งดีเป็นอันดับต้นๆ อย่างน่าชื่นชม อีกทั้งมันมาถูกทีถูกเวลา เพราะช่วงๆ หลังหลายคนก็เริ่มแนวขับหุ่นยนต์ที่พระเอกเป็นพวกใจร้อนและเกรียน และเนื้อหายังวนเวียนไม่ได้แปลกใหม่อะไร แม้ว่า Aldnoah.Zero ก็ไม่ได้ใช่อนิเมะที่แหวก แต่กระนั้นมันก็ตอบโจทย์คนดูได้ระดับหนึ่งที่จะโหยหาแนวขับหุ่นยนต์ การต่อสู้ที่สมจริง ไม่บ้าพลัง และเนื้อเรื่องน่าติดตามแบบนี้

    ส่วนการคาดเดาตอนต่อไปนี้ งวดนี้ผมขอผ่านครับ กลัวหน้าแตก (ฮ่า) และนื่อภาพรวมของอนิเมะเรื่องนี้ ขอให้มีความสุขครับ

     

    “ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญสักเพียงไหน แต่จิตใจของมนุษย์ก็ยังตกต่ำอยู่ดี”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×