ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #90 : ไดโนเสาร์หายไปไหน

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 52




    ไดโนเสาร์

     

                    เรื่องเร้นลับเหนือคำอธิบายคราวนี้เป็นรายการของพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี  นับเวลาย้อนถอยหลังไปถึง 140ล้านปี  ก็คือยุคของสัตว์เลือดเย็นตัวโตเท่าบ้านมีรูปร่างพิลึกกึกกือเหลือเชื่อ  สมัยโน้นไม่ว่าจะเป็นในป่าใหญ่ที่ปกคลุมเต็มไปด้วยต้นเฟิร์นยักษ์หรือแถบลุ่มแม่น้ำที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและสาหร่ายยักษ์  ในห้วยหนองคลองบึงก็คงเต็มไปด้วยเจ้าตัวสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ทั้งสิ้น  จวบจนกระทั่ง 65 ล้านปีมานี่เอง  พวกไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ กันก็หายสาปสูญสิ้นพันธุ์ไปหมด  เล่นเอาพวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างพากันงงงันไปตามๆ กัน  เพราะ

    ไม่มีใครสามารถจะตอบคำถามได้เลยว่าเหตุไฉนทำไมไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ ?

                          

                    ไดโนเสาร์หายไปไหน

                    นี่ล่ะคือความลี้ลับที่ยังไม่มีใครอธิบายได้  ไดโนเสาร์มีมากมายหลายร้อยชนิดจากซากโครงกระดูกมากมายที่ขุดพบ  มีต่างชนิดต่างรูปร่างลักษณะตั้งแต่ตัวเท่าแมวไปจนถึงขนาดตัวเท่าบ้าน  แต่จู่ๆ มันก็สูญพันธุ์ไปหมดพร้อมๆ กัน  จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหลือเชื่อจริงๆ  ไดโนเสาร์จำพวกจอมเพชรฆาตที่นิยมกินเนื้อเป็นอาหารอย่างที่เรามักพบเห็นบ่อยๆ ในหนัง  นับว่าเป็นจอหฤโหดที่มีความว่องไวและดุร้ายที่สุด  ควรมีโอกาสที่จะอยู่รอดได้มากกว่าเพื่อนแต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น

                    นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องโครงสร้างร่างกายของสัตว์ (Palaeontolgists)  ต่างพากันลงความเห็นว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่โง่เง่า  และบางพันธุ์ยังบวกเอาความดุร้ายอย่างบ้าบิ่นเข้าไปด้วยมันจึงไม่รู้จักปรับตัวให้อยู่รอดได้  แต่เหตุผลอย่างนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ  เพราะเมื่อเราเปรียบเทียบความโง่เง่าของไดโนเสาร์กับสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ทั้งสองก็มีความโง่พอๆ กัน  แล้วไฉนสัตว์เลื้อยคลานอย่างเช่นจรเข้  กิ้งก่า  จิ้งจก  ตุ๊กแกจึงสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ของมันมาได้ตั้งหลายสิบล้านปีนักวิทยาศาสตร์พบแต่ซากโครงกระดูกของไดโนเสาร์มีอยู่กลาดเกลื่อนตามชั้นหินเก่าแก่ที่ต่างๆ ทั่วโลก  แต่ก็ไม่มีวี่แววร่องรอยให้เห็นเลยว่าทำไมพวกมันจึงต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้จนหมดสิ้น  คำตอบนั้นมีมากมายแต่เป็นคำตอบในรูปของทฤษฎีที่ยังต้องรอการพิสูจน์  เป็นคำตอบที่มีข้อโต้แย้ง  ซึ่งจะสรุปให้โดยย่อๆ ดังนี้

     

                    ทฤษฎีเพราะมันตัวใหญ่เกินไป

                    เป็นเรื่องตลกๆ ที่ฝรั่งชอบเล่ากันสนุกๆ ก็คือ เหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหมดเพราะตัวมันใหญ่เรือโนอา (Noah’s Ark)  ไม่มีที่พอสำหรับพวกไดโนเสาร์  ผู้อ่านบางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าเรือโนอาคืออะไร  มันเป็นเรื่องเล่าจากหนังสือไบเบิลกล่าวว่า  สมัยหนึ่งพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกมีพระประสงค์จะล้างโลก  จึงมีพระบัญชาให้นายช่างไม้ชื่อโนอาสร้างเรือขนาดใหญ่ขึ้นแล้วให้นำสัตว์ต่างๆ อย่างละคู่ขึ้นเรือ  จากนั้นพระองค์ก็ทรงบันดาลฝนให้ตกกระหน่ำจนน้ำท่วมโลกหมด  เมื่อน้ำแห้งไปหมดแล้วโนอาก็นำสัตว์ทั้งหลายลงจากเรือ  จากนั้นชีวิตใหม่ก็เริ่มต้น  สัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์จึงได้แพร่พันธุ์สืบลูกสืบหลานมาจนถึงทุกวันนี้  ยกเว้นเจ้าพวกไดโนเสาร์ที่ว่ามานั่นล่ะ  คงจมน้ำตายกันหมด

     

                    ทฤษฎีสูญพันธุ์เพราะมนุษย์ต่างดาว

                    ก็เป็นจำพวกสนุกครื้นเครงอีกเหมือนกัน  บอกว่า เหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะถูกนักนิยมไพรล่าเสียจนหมดโลก  นักล่าสัตว์ทีว่าคือมนุษย์ต่างดาวที่ขับจานบินมาเที่ยวไล่ยิงไดโนเสาร์ด้วยปืนแสงเลเซอร์

     

                    ทฤษฎีเพราะมนุษย์ล่าจนหมด

                    กล่าวว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะถูกล่าจนหมดโดยพวกมนุษย์หินหรือมนุษย์ถ้ำ  เหมือนหนังเรื่อง 1,000 Million BC  ที่ราเคเวลล์แสดงเป็นมนุษย์หินแล้วเห็นว่ามีการล่าไดโนเสาร์มาปิ้งทำบาบีคิวจริงๆ   ความจริงไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปกว่าล้านปีก่อนที่มนุษย์ครึ่งลิงครึ่งคนจะอุบัติขึ้นมาบนโลกเสียอีก

     

                    ทฤษฎีแผ่นดินไหว

                   
                    
    บอกว่า
    …”เกิดการแยกตัวของโลกส่วนหนึ่งของแผ่นดินหลุดกระเด็นออกไปนอกโลกกลายเป็นดวงจันทร์  ทำให้เกิดแอ่งลึกบนโลก  ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมหาสมุทรแปซิฟิค  การแยกตัวของโลกทำให้เกิดแผ่นดินไหวและความวิบัติปั่นป่วนทั่วโลกอย่างรุนแรง  เป็นเหตุให้ไดโนเสาร์สิ้นชาติไปหมด  ทฤษฎีนี้ฟังแล้วไม่เอาไหนเลยนะพวกนักวิทยาศาสตร์พอได้ยินทฤษฎีทั้ง 4 ข้อแล้วต่างทำหน้าย่นส่ายหัวดิกๆ แล้วเหวี่ยงข้อเสนอลงตะกร้าไปเลย

     

                    ทฤษฎีไดโนเสาร์ตกมัน

                    บอกว่า…”ไดโนเสาร์เกิดเป็นบ้า  พากันฆ่าตัวตายกันหมด  เรียกว่า “Mass-suicide” เหมือนกับในปัจจุบันมีสัตว์บางจำพวก  เช่นหนูภูเขาชนิดหนึ่ง  พอถึงวันดีคืนดีมันจะยกพวกเป็นร้อยเป็นพันวิ่งไปกระโดดหน้าผาสูงๆ กระโดดลงมาตายกันเกลื่อน  อันนี้มีจริง  แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ยอมรับอยู่ดี  เพราะซากไดโนเสาร์มันบ่งบอกอยู่ว่ามันไม่ได้กระโดดหน้าผาตาย  ทฤษฎีที่ผ่านมาไม่เข้าท่าสักอย่างต่อมาจะพามาดูทฤษฎีที่พอจะเข้าท่าบ้าง

     

                    ทฤษฎีเกิดโรคระบาด

                    โดยปกติแล้วสัตว์แต่ละชนิดก็จะมีเชื้อโรคและพยาธิแต่ละชนิดภายในร่างกายของตนเอง ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวของมันเอง เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาป้องกันอันตรายต่อจากเชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านี้ได้แล้ว แต่เมื่อต้องไปอาศัย รวมกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ เชื้อโรคที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวมันเองก็อาจจะแพร่กระจายไปสู่สัตว์สายพันธุ์อื่น และก่อให้เกิด โรคร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เหมือนเช่นโรคเอดส์ที่ไม่กระจายในกลุ่มลิง แต่เมื่อไวรัสแพร่เข้ามาสู่กลุ่มของมนุษย์ มันกลับมี ผลทำให้มนุษย์จำนวนมากเสียชีวิตไปอย่างรวดเร็ว

                    กล่าวว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเกิดโรคระบาด  แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็ยังส่ายหน้าอีกมันจะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อไดโนเสาร์มีหลายร้อยชนิด  และมีอยู่ทั่วโลก  โรคอะไรจะฆ่าไดโนเสาร์หมดทุกพันธุ์และสามารถระบาดไปได้ทั่วโลก  ก็จริงอย่างที่เขาโต้แย้ง

     

                    ทฤษฎีรังสีคอสมิค

                   
                     
    กล่าวว่า
    ไดโนเสาร์ถูกรังสีคอสมิคตาย  รังสีที่ว่านี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงตอนที่มีการระเบิดของดวงดาวขนาดใหญ่ หรือ ซูเปอร์โนวา  รังสีคอสมิคเดินทางข้ามอวกาศตกลงมาถึงผิวโลกอย่างหนาแน่น  ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบพันธุกรรมของไดโนเสาร์  จนกระทั่งมันไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้  ก็นั่นอีกล่ะนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่ยอมรับและโต้แย้งอีกว่า  จริงอยู่รังสีคอสมิคอาจส่งผลกระทบต่อพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต  การระเบิดของดวงดาวก็อาจมีขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาทุกๆ พันปีจะต้องมีดาวระเบิดเกิดขึ้น  แต่ทำไมผลกระทบจึงเกิดขึ้นกับเฉพาะเจ้าไดโนเสาร์เท่านั้น  สัตว์และพืชในโลกล้านปีชนิดอื่นๆ ก็มีตั้งเยอะในยุคนั้น  ทำไมมันไม่เป็นอะไรเลยล่ะ

     

                    ทฤษฎีไข่ถูกทำลาย

                    กล่าวว่า ไข่ไดโนเสาร์ถูกพวกสัตว์เลือดอุ่นขโมยไปกินจนหมดในที่สุดไดโนเสาร์ถึงกับสูญพันธุ์สัตว์เลือดอุ่นที่อุบัติขึ้นในยุคหลังนั้นมีขนาดเล็กและอาจชอบกินไข่ไดโนเสาร์เป็นอาหารก็ได้  ฟังไม่ขึ้นอีกนั่นแหล่ะเพราะปัจจุบันนี้ก็มีสัตว์หลายชนิดที่ชอบกินไข่จระเข้เป็นอาหารหลัก  แต่ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าจระเข้จะถึงกับสูญพันธุ์ไป

     

                    ทฤษฎีอดตาย

                    กล่าวว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะอดตายไดโนเสาร์พวกกินเนื้อซึ่งเป็นนักฆ่าจอมหฤโหดเช่นตัวกิ้งก่ายักษ์พวกนี้ได้ฆ่าไดโนเสาร์จำพวกที่กินพืชเป็นอาหารเสียจนสูญพันธุ์ไป  คราวนี้มันก็ต้องกินกันเอง  จนในที่สุดก็ไม่เหลืออะไรจะกินเลยสูญพันธุ์หมด”…ทฤษฎีนี้นักวิทยาศาสตร์ฟังดูเข้าท่าดีเหมือนกันผิดอยู่หน่อยตรงที่ว่าเจ้าพวกไดโนเสาร์ประเภทกินพืชนั้นอาจจะตายหมดเพราะสาเหตุอื่นมากกว่าที่จะถูกพวกนักฆ่าจอมหฤโหดฟาดเสียเรียบวุธบางทีอาจจะเป็นได้ว่าต้นหมากรากไม้ต่างๆ ที่เคยเป็นอาหารหลักของพวกมันได้เกิดวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเซลล์ในลำต้นใบและดอกเปลี่ยนไปกลายเป็นพืชที่มีพิษยังผลให้ไดโนเสาร์ที่กินพืชต้องท้องเสียไปตามๆ กันก็เลยต้องอดตายหรือไม่ก็ตายเพราะพิษของพืชก็ได้

     

                    ทฤษฎีบันได เด็คแคน

                    บันได เด็คแคน ( Deccan Traps ) เป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อ 500.000 ปีก่อน ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ไม่เหมือนกับการระเบิดทั่ว ๆ ไปของภูเขาไฟเพราะการไหลของลาวาที่  เกิดจากหินบะซอลต์ที่ค่อนข้างแผ่งเบานี้ เกิดขึ้นจากการที่ทวีปขนาดเล็กอย่างอินเดียพุ่งเข้าชน กับ ทวีปเอเชีย ทั้งนี้เพราะอินเดียจะเคลื่อนที่ผ่านแนวดิ่ง ตากอส อาร์ตี เปลาโก เหตุที่เป็นเช่น นั้นเพราะลาวาของหินบะซอลต์จะจับก๊าซไว้ในตัวมันในปริมาณที่ต่ำมาก ดังนั้นเมื่อภูเขาไฟปลด ปล่อยลาวาจำนวนมหาศาลออกมา มันจึงไม่เกิดความรุนแรงมากเหมือนลาวาของหินชนิดอื่น ๆ ปริมาณลาวาของหินบะซอลต์จะไหลออกมาอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดบันไดหรือธาร ที่สวยงามตามธรรมชาติขึ้น โดยปกติแล้ว แนวดิ่งจะอยู่ใต้ทวีปต่าง ๆ บนโลกใบนี้ ดังนั้น จึงมีโอกาสที่มันจะส่งผลให้เกิดการระเบิดของลาวาขึ้นได้ แต่ก็ไม่บ่อยนัก ภายหลังจากการ ระเบิดสิ้นสุดลงจะทำให้เกิดปล่องภูเขาไฟขึ้น ซึ่งบริเวณร่องและขอบของปล่องภูเขาไฟจะเต็ม ไปด้วยหินบะซอลต์ ซิ่งทฤษฎีบันไดเด็คแคนนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สัตว์ขนาดใหญ่อย่างไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปได้

     

                    ทฤษฎีเรือนกระจก

                    กลไกที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากผลกระทบของภาวะเรือนกระจกเพราะ เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ทำให้ก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ ถูกปลดปล่อยเข้าสู่ขึ้นบรรยากาศของโลกเป็นจำนวนมาก อุณหภูมิของโลกจึง สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกินเวลายาวนาน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตขึ้น อุณหภูมิภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย วิธีการหนึ่งที่ร่าง กายของสิ่งมีชีวิตใช้ในการลดความร้อนภายในร่างกายของตนเองก็คือ  การเพิ่มปริมาณของ เลือดให้ไหลไปเลี้ยงบริเวณผิวหนังมากขึ้น เพื่อที่จะได้คายความร้อนออกจากร่างกายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ก็เป็นเรื่องที่ปกติหากเกิดกับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งครรภ์ ผลกระทบโดยตรงที่เกิด ขึ้นกับสิ่งมีชีวิตของเพศเมียที่เกิดการตั้งครรภ์นั้น จะทำให้จำนวน ของลูกหลานที่จะสืบต่อไปนั้นลดปริมาณลงอย่าง รวดเร็ว

     

                    ทฤษฎีการขาดอากาศ

                    นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ตั้งข้อเสนอไว้อย่างสนใจว่า ไดโนเสาร์อาจจะสูญพันธุ์ จากโลกนี้ เพราะการที่ปริมาณของออกซิเจนบนโลกใบนี้ ลดน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว การที่ปริมาณออกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกับการ ที่อุณหภูมิของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ไดโนเสาร์ จำนวนมากเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เหตุผลที่ทำให้ ไดโนเสาร์เสียชีวิตจากการขาดอากาศ หายใจนั้นเกิดขึ้นเพราะ  ในช่วงที่เปลือกโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ในระหว่างที่มีการยกตัวของเปลือกโลกบางส่วนขึ้นมาจากพื้นน้ำใต้ท้อง ทะเลกลายมาเป็นทวีป ต่าง ๆ นั้นจะส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่ง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เหล่านี้จะถูกพืชนำไปใช้ในการสังเคราะห์อาหาร และปลดปล่อยก๊าซ ออกซิเจนออกมาเป็นจำนวนมาก บรรยากาศของโลกในยุคนั้นจึงเต็มไป ด้วยอากาศบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวตเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อปริมาณออกซิเจนที่เคยมี มากมายมหาศาลเกิดการลด ปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไดโนเสาร์ปรับตัวไม่ทัน จึงค่อนข้าง จะทนต่อสภาพแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงตายในที่สุด

                   

                    ทฤษฎีน้ำล้นออกจากมหาสมุทรอาร์คติก

                    ทฤษฎีสุดท้ายนี้ได้รับความนิยมไม่น้อย เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับน้ำในมหาสมุทรอาร์กติก นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ได้รับอธิบายสาเหตุการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เอาไว้ว่า ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ น้ำบริเวณผิวหน้าของมหาสมุทรจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำที่เย็นเฉียบ ไม่ได้อุ่นเหมือนกับที่เราเคยสัมผัสกันมา ขณะนั้นเองพื้นโลกในยุคเมโสโศอิกจะเกิดการเอียงตัว ส่งผลให้มหาสมุทรอาร์กติกถูกตัดขาดออกจากบริเวณอื่น ๆ ทำให้เกิดน้ำกร่อยและน้ำจืดขึ้น ในบริเวณดังกล่าว ความหนาวเย็นของน้ำในมหาสมุทรอาร์กติกเมื่อไหลเข้ามาผสมน้ำอุ่นจากมหา สมุทรแอตแลนติกทำให้เกิดชั้นน้ำแข็งลอยอยู่บนน้ำทะเลที่มีน้ำหนักมากกว่าเหตุการดังกล่าวทำให้ อุณหภูมิของโลกต่ำลงถึง 10 องศาเซลเซียส หากว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจะส่งผลให้ เกิดความหนาวเหน็บแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้ ทำให้พืชพรรณธัญญาหารได้ รับความเสียหายอย่างหนัก

     

                    ทฤษฎีอุกกาบาตพุ่งชนโลก

                    

                    ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่มีการอ้างอิงและพูดถึงกันมากทฤษฎีหนึ่ง เมื่อย้อนกลับไปศึกษาถึงช่วงเวลา ที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่นั้น เราพบว่ามันปรากฎกายอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จนถึงยุคเครตาเชอุสตอนปลาย หลังจากนั้นก็ไร้ร่องรอยไปเฉย ๆ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้สันนิษฐานข้อมูลเอาไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าใน ยุคเครตาเชอุสตอนปลายนั้น อาจมีลูกอุกกาบาต ที่มีความกว้างถึง 3 เมตร จำนวนมากพุ่งเข้ามาชนโลกของเรา ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดหมอกควันหนาทึบบดบัง แสงอาทิตย์ที่ส่องให้ความอบอุ่นแก่โลกเป็นเวลานาน สัตว์เลือดเย็นอย่างไดโนเสาร์ไม่สามารถที่จะปรับอุณหภูมิของตนเอง ให้อบอุ่น ได้เหมือนสัตว์เลือดอุ่น จึงพากันล้มตายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อฟังดูข้อสันนิษฐาน แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะ มีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ว่าแล้วร่องรอยของ อุกกาบาตที่ชนโลกนั้นหายไปไหน?

     

                    ข้อเท็จจริง

                      

                    นี่คือตัวอย่างทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายว่าทำไมไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์แต่ละทฤษฎีก็มีข้อโต้แย้งอธิบายฉิวเฉียดไม่ตรงเป้าสักที  จึงเป็นที่เดือดร้อนของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งกระหายอยากจะทราบคำตอบที่แท้จริง  จนกระทั่งในปี 2517นี่เองทีมนักขุดซากไดโนเสาร์จากมหาวิทยาลัยโบนน์ (Bonn  University)  ก็ได้ค้นพบหลักฐานซึ่งอาจเป็นเงื่อนงำนำไปสู่คำตอบที่แท้จริงก็ได้  นั่นคือการขุดพบไข่ไดโนเสาร์จำนวน 8 ฟอง  มีอยู่สองฟองที่ฟักออกจากไข่ไปแล้ว  ที่เหลือเป็นไข่ฝ่อที่ไม่มีโอกาสจะฟักเป็นตัวได้  ผลการวิเคราะห์พบว่าไข่ทั้ง 6 ฟองมีลักษณะผิดปกติคือ  มีเปลือกบางจึงทำให้กลายเป็นไข่ฝ่อ  การที่ไข่เปลือกบางเป็นอาการชี้บอกถึงความผิดปรกติอันเกิดจากฮอร์โมนของแม่ไดโนเสาร์ผู้วางไข่เหล่านั้น  อาการไข่เปลือกบางหรือเปลือกนิ่มนี้มีปรากฏเกิดขึ้นในบรรดาสัตว์ปัจจุบันที่ออกลูกเป็นไข่  เช่นพวกนกและสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ  (ยกเว้นสัตว์บางชนิดที่มีไข่เปลือกนิ่มโดยธรรมชาติ  เช่นไข่เต่า  ไข่งู)  อาการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกรบกวนโดยการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอย่างรวดเร็ว  หรือสิ่งแวดล้อมถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วฮอร์โมนจะเกิดผิดสมดุลยังผลให้ร่างกายของแม่สัตว์นั้นหยุดการสังเคราะห์แคลเซี่ยม  ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของเปลือกไข่  ทำให้ไข่ของมันมีเปลือกบางลงหรือมีเปลือกนิ่ม  ไข่เหล่านี้จึงไม่มีโอกาสได้ฟักออกมาเป็นตัว  หรือไม่ถ้าฟักออกมาก็จะเป็นตัวอ่อนที่พิกลพิการอ่อนแออยู่ได้ไม่นานก็จะต้องตาย

                    ในกรณีของไดโนเสาร์อาจเป็นไปได้ว่า  สิ่งแวดล้อมโดยธรรมชาติอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งนี้อาจไม่ใช่เป็นไปโดยธรรมชาติ  แต่เป็นเพราะจำนวนประชากรไดโนเสาร์ที่มีมากมายซึ่งในบางแห่งอาจจะแออัดยั้วเยี้ยไปด้วยไดโนเสาร์ทำให้เกิดสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นพิษหรือไม่อีกกรณีหนึ่งก็คือการเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุค “Cretaceous”  เกิดมีภูเขาลูกใหญ่ๆ ผุดโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นโลก  บรรยากาศทั่วโลกเย็นตัวลงเกิดฤดูกาลใหม่ๆ ขึ้นคือฤดูหนาว  ดังนั้นสัตว์ที่ไม่มีขนอย่างเช่นไดโนเสาร์จึงต้องพบกับสภาพการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธรรมชาติดังกล่าว  อาการไข่เปลือกบางจึงเกิดขึ้น  เมื่อแม่ไดโนเสาร์ก็ไม่มีโอกาสอยู่รอดฟักตัวเองออกมาจากไข่ได้  จึงอาจเป็นสาเหตุแห่งการสูญพันธุ์ของพวกมันก็ได้

     

                    พอกันทีสำหรับทฤษฎีไดโนเสาร์หายไปไหน  จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างเต็มภาคภูมิเลยว่าทำไม

                    ไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์  เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องลี้ลับเหนือคำอธิบายอยู่เช่นเดิมนั่นแหล่ะ

     

    http://www.geocities.com/fundee2000/Dinosour.htm

    http://homepage.sl.ac.th/el017/why1.html

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×