ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #6 : คำสาป ราชวงศ์โรมานอฟ

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 49




    คำสาป ราชวงศ์โรมานอฟ

                   
                   
    แต่ไหนแต่ใดมา ราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์ที่ประทับในวังปีเตอร์สเบิร์กมีความภาคภูมิใจว่า ทรงสืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ พวกเขาเป็นเสมือนลูกหลานของพระเจ้า

                    ทว่าซาร์นิโคลาสที่ 2 กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เขาหวาดกลัวที่จะขึ้นครองราชย์ เมื่อเขาได้เห็นเสด็จปู่ถูกลอบสังหารเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิด และเมื่อพระบิดาของซาร์ คือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สิ้นพระชนม์ลง ซาร์ถึงกับคร่ำครวญว่า "ฉันไม่อยากเป็นกษัตริย์ ฉันไม่รู้เรื่องการปกครอง ฉันกลัว"

                    อย่างไรก็ตามก่อนที่ซาร์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ก็ทรงมีผู้คอยให้กำลังใจข้างกายเสมอ เธอคือเจ้าหญิงเยอรมันทรงโฉมนาม อเล็กซานดรา เฟโดรอฟนา ทั้งสองพบกันครั้งแรกในงานฉลองสมรสกลางฤดูหนาว ณ วังปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในขณะนั้นทั้งคู่อายุเพียง 16 ชันษา

                     ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซานินาปกครองอาณาจักรรัสเซียอันไพศาล พิธีราชาภิเษกนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ดั่งเทพนิยาย เสียงกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่พระราชวังเคลมลินด้วยเหล่าทหารองครักษ์นับพัน มีการดื่มฉลองกันทั่วบ้านทั่วเมือง

                    แต่ก็มีเหตุนองเลือดได้สิน่า....

                    เหตุผลในวันนั้นมีการแจกเบียร์และขนมปังฟรี พอดีช่วงนั้นรัสเซียยากจนข้นแค้นขนาดหนัก ประชาชนก็เลยแย่งของแจกอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฏรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบด้วยไปกว่าพันคน!

                    ลางร้าย! นับเป็นการเริ่มต้นรัชการใหม่ที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง และมันยังหลอกหลอนสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์นับตั้งแต่บัดนั้น

                    สิ่งปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของซาร์คือการมีเจ้าชายรัชทายาทผู้ที่จะเป็นประมุขคนต่อไป แต่เหมือนสวรรค์ล่มเพราะองค์กลับได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย

                    ซาร์และซาริน่ายังไม่ได้ละความพยายาม ทั้งสองร่วมกันสวดอ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย  จนกระทั้ง ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาทนาม อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ อย่างสมพระทัย

                    แต่ดั่งสรรค์ล่มอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อย ทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนอาจซ็อกสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา!

                    ซาร์และอเล็กซานดราต้องทุกข์ระทมอีกครั้ง!

                    เรื่องนี้ซาร์ทรงปิดเป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนในวังล่วงรู้เด็ดขาด ยกเว้นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

                    ระหว่างนั้น พระองค์และพระราชินีได้ทรงเสาะแสวงหาหมอฝีมือดีมารักษารัชทายาท ด้วยเหตุนี้ทั้งสองเริ่มฝักใฝ่ในศาสนาตลอดจนมนต์ วิชาต่างๆ

                    และการเสาะแสวงหานึ้ ได้นำมาซึ่งหายนะในเวลาต่อมา

                   

                    รัสปูติน

                    
                    ไม่รู้ว่าบุคคลลึกลับผู้นี้มาจากจากไหน จู่ๆ ก็เขามาในวังในขณะที่อเล็กซานดราทรงเชื้อเชิญให้เข้าไปรักษา
    ในปี  พ.ศ. 2448 เจ้าชายน้อยที่กำลังบรรทมเจ็บปวดรวดร้าวจากอาการเลือดตกจนใกล้สิ้นพระชนม์

                    จากหลักฐานประวัติของรัสปูตินพบว่า.........................

                    กริกอริ  รัสปูติน  เกิดเมื่อ  พ.ศ. 2374 ( สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย )  เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย  โดยเป็นบุตรคนที่สามของอีฟิม  อากอฟเลวิช  และแอนนา  อีกอรอฟน่า  ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโกยี  ( สันนิษฐานว่า  ครอบครัวนี้อาจเป็นพวกมองโกลจากเมืองโตบอลสก์ )  ในตอนเป็นหนุ่ม  รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน  ดื่มเหล้าหนัก  และเสเพลเรื่องผู้หญิง  ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบขอเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน  ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ ( บางตำราที่กล่าวถึงรัสปูติน  อ้างว่า  รัสปูตินมีอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว !!! )  วันหนึ่ง ไอริน่า  แดนิลอฟว่า  คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้  6  คน  ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ  16  ปีไปเสียตัว  หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว  รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

                    เมื่อถึงอายุ 20 ปี   รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ   ปราสโกเวีย   เฟโอ  โดรอฟน่า    ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

                    จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง   ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา   ในราว  พ.ศ. 2443   เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า   นิกายคลิสติ   กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก   จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา   ดังนั้น   พวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ   ผู้คนในหมู่บ้านบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยและรังเกียจพฤติกรรมเหล่านี้ ของเขา จึงขับไล่รัสปูตินออกจากหมู่บ้าน ทำให้เขาต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซียมานานหลายปี  แต่ยังไม่วายยังคงทำประกอบการเยียวยารักษาโรคโดยวิธีพลังจิต   และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถารพิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า  การร้องเพลง  การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง  และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง )  ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว  หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง   หลักนิยมของรัสปูตินในการไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น   ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ  " นักบุญจอมราคะ "  แสนจะสกปรกเลอะเทอะ   โรเบิร์ต   แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า " การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น "

                     

                     การตายของรัสปูติน

                    
                   ไม่รู้ว่ารัสปูติน ใช้วิธีอะไร จู่ๆ อาการเลือดตกของเจ้าชายน้อยก็หายจนปลิดทิ้ง
    !

                    หลายคนเชื่อว่า เขาใช้พลังจิตในการรักษาอาการป่วย

                    หลายคนแย้งว่านี้อาจเป็นเหตุบังเอิญ

                    แม้จะจะด้วยเหตุผลใดก็ตามการรักษาเยียวยานั้นมันได้ผลตลอดมาถึง 12 ปี เรียกว่าถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลเมื่อใดต้องขอรัสปูตินช่วยทุกครั้ง

                    พระราชินีทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับพลังอำนาจจากพระเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามาพำนักอยู่ในราชฐานชั้นใน พื่อดูแลรักษาเจ้าชายน้อยอย่างใกล้ชิด

                    ที่นี้เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาสคลุกคลีกับสาวกำนัลในราชวัง จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวว่าเขามีสัมพันธ์สวาทต่อนางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง หรือแม้กระทั้งพระราชินีอเล็กซานดราก็ไม่เว้น!

                    ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่  1 ใน ค.ศ.1914 พระเจ้าซาร์เห็นความสำคัญต่อการศึกในครั้งนี้ จึงทรงร่วมในการบัญชาการการรบด้วยตัวพระองค์เอง จึงเป็นเหตุให้รัสปูตินกระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจหนักขึ้นเพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของพระราชินี

                    คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน  แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย  ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง  เช่น  นักแสดงหญิง  ภรรยาทหาร  และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็  สาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้   สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน  คือ  องค์ซารีน่า  นั่นเอง   สำหรับองค์ซารีน่าแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท  แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ  "...จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า...ผู้หญิงซึ่งรัสปูตินผู้อดทนมากที่สุดคือ  ภรรยาของเขาเอง  ปราสโกเวีย  ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น  หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า  " เขามีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด

                    นับวันราชวงศ์โรมานอฟเริ่มเสื่อมสลาย

                    ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า

                    "พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับพระราชวงศ์โดยการผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดสิ่งใด พระนางก็ทรงปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้นเมื่อรัสปูตินแนะนำใครมาดำรงตำแหน่งที่สูงๆ หรือขับไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากวัง พระนางก็ทรงทำตามดังนั้น"

                    ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื่อพระวงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งทนไม่ไหวกับการกระทำของเขา โดยเฉพาะเจ้าชายยูสโซบอฟ ซึ่งเป็นเชื่อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดิน จากนั้นก็ให้ดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมและกินแป้งราดครีมอันโอชะ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ

                    แต่รัสปูตินไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งที่ดื่มทั้งกินสารพิษเข้าไปแล้วก็ยังมีท่าทีปกติ ยูสโซปอฟแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายชักปืนรัเวอลเวอร์ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ สิ้นเสียงปืน ยูสโซบอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตาจ้องถมึงทึงพลางคำราน "แก ไอ้บัดซบ"

                    ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น "มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!"

                    ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตนเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซออกไปสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มผู้วางแผนฯวิ่งระดมยิงตามหลังอย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนไม่สามารถปลิดชีพนักบวชพลังจิตได้ สุดท้ายกลุ่มผู้วางแผนฯไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำเป็นต้องจับร่างของรัสปูตินมัดและโยนลงในน้ำเนวาที่ไหลผ่านนครเซนต์ปีเตอร์สเบริร์กอากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

                    ภายหลังมีการพบศพของรัสปูติน เขาสามารถแก้มัดด้วยตนเอง ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน เขาตายเพราะจมน้ำ

                    มีเรื่องตลก หลังจากการเสียชีวิตของรัสปูติน แพทย์ทำการชันสูตรได้ตัดเจ้าโลกออกและขวางทิ้ง(ไม่รู้ว่าทำไมถึงแค้นนักหนา)

                    สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น  มีเรื่องเล่ากันว่า  มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ " สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้งไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง  และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511  หล่อนยังเก็บรักษา " สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมดไว้ในหีบไม้ขัดมัน

                    ปัจจุบัน เจ้าโลกของรัสปูตินถูกจัดแสดงอยู่ที่คลินิคแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คุณหมออีกอร์ เคนียจิน ผู้จัดแสดงยืนยันว่าอวัยวะชิ้นนี้เป็นของ กรีกอรี รัสปูติน นักบวชผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักสมัยราชวงศ์โรมานอฟ และอ้างว่าเขาได้รับอวัยวะดังกล่าวมาจากนักสะสมของโบราณชาวฝรั่งเศส ทั้งนี้เคนียจินตั้งใจว่าจะสะสมอวัยวะเพศชายอีก 10,000 ชิ้นเพื่อขยายคอลเล็กชันของเขา

                    
                    ข่าวความตายของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรสร้างความโศกแก่อเล็กซานดรายิ่งนัก ไม่ใช้เพราะเสียคนสนิท แต่เนื่องจากก่อนหน้าที่รัสปูตินจะตายไม่นาน เขาได้บันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ว่า

                    "ขอได้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื่อพระวงศ์ใดทำให้หม่อนชั้นตาย พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ในสองปี จากฝีมือของประชาชนในรัสเซีย" เกรกอรี รัสปูติน

                    มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือน หลังการตายขอ งรัสปูติน กระแสการปฏิวัติเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันมาถวายฏีกาให้ปรับปรุงระบบการบริหารประเทศ แต่องค์รักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์จำใจต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัว และไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและทุรกันดาล

                    นี้เป็นชะตาที่พลิกผันชีวิตอันสูงสุดมาต่ำสุดที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง

                   

                    บันทึกจากป้าโอลก้า

                    บันทึกนี้ตัดตอนจากบันทึกความทรงจำของป้าโอลก้า ผู้ซึ่งหลบหนีไปจากประเทศรัสเซียไปอยู่แคนาดาในช่วงสงครามเมืองเกิดขึ้น (ผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่น่าจะเป็นคนรับใช้ราชวงศ์มั้ง)

                    อนาสตาเซียมีอายุย่างเข้าสิบเจ็ดปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1918 แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับตรงกันข้าม ทุกคนหมดความกระตือรือร้นที่จะจัดงานวันเกิดให้ หน้าต่างทุกบานถูกปิดเงียบ อาหารที่ทานก็มี ขนมปัง ชา และของอื่นๆ ที่พอมีเหลือ

                    พวกเราได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกวันละหนึ่งครั้งเท่านั้น เมื่อเดินออกไปที่สวนก็เห็นพระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กอยู่ เพราะยังไม่ฟื้นไข้ดีจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองโทโบลส์ ทหารยามคอยควบคุมสังเกตการณ์พวกเราตลอดเวลา ประตูทุกบานในทุกห้องนอนแม้กระทั้งห้องน้ำถูกถอดออก ผนังห้องน้ำถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ อนาสตาเซียและครอบครัวของเธอเริ่มหมดความหวังและเบื่อหน่ายต่อสถานที่ จนบางครั้งอยากจะหนีไปเสียให้พ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าซาร์ทราบดีว่าพวกบอลเซวิคกำลังต่อสู้อย่างในสงครามกลางเมืองกับทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์คือกองทัพฝ่ายขาว ถ้าพวกฝ่ายขาวชนะและยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กได้ครอบครัวของท่านก็ปลอดภัย

                    ราวเที่ยงคืน 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีคนมาแจ้งข่าวว่าเกิดการต่อสู้อย่างหนักในสงครามกลางเมือง เพื่อความปลอดภัยของแต่ละคน ทุกคนจะต้องปลอมแปลงตัวและหลบอยู่ในบ้านตรงจุดที่หาพบได้ยาก พระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กลงไปชั้นล่างตามด้วยอเล็กซานดรพร้อมกับบุตรสาวอีก 4 คน และหมอประจำตัวของพระเจ้าซาร์ คนรับใช้อีก 3 คน อนาสตาเซียอุ้มจิ่มมี่น้อยตามมาด้วย จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นผู้นำทางให้พวกพระเจ้าซาร์ให้ไปหลบซ่อนในห้องเล็กๆ ในห้องนั้นไม่มีเก้าอี่เลย ทุกคนต้องนั่งบนพื้น จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ออกไปจากบ้าน สักครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง จิมมี่หยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน

                    "ครอบครัวของท่านทุกคนต้องถูกประหารชีวิต"

                    "นี่! อะไรกันจิมมี่?" พระเจ้าซาร์ร้องถามขึ้นอย่างตระหนก

                    จิมมี่ไม่ตอบ กลับดึงปืนมาจากซองแล้วยิงที่เศียรของพระเจ้าซาร์ชนิดเผาขน เสียงปืนระเบิดดังกึกก้องในห้องนั้น ทุกคนไม่มีโอกาสแม้แต่วิงวอนขอร้องชีวิตกับพวกทหาร ลูกกระสุนของทหารต่างปลิวว่อนภายในห้อง อนาสตาเซียกับแมรี่ก้มหัวลงหลบกระสุนและซุกตัวอยู่ข้างผนัง พวกทหารยังระดมยิง จนกระทั้งเสียงหวีดร้องเงียบลง

                    ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมประหารชีวิตก้าวเดินสำรวจ พบว่าเจ้าชายอเล็กยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ยกปืนพกขึ้นยิงหัวอีก 2-3 นัดเป็นอันเสร็จพิธี

                    และเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองราชวงศ์รัสเซียอันยาวนานด้วย

                    ศพทุกศพถูกห่อด้วยผ้าและจับโยนราวกับขยะไม่ปานขึ้นไปยังรถบรรทุกที่จอดรถรออยู่ข้างนอก และขับหายไปในความมือ

                    อีก 8 วันต่อมา กองทัพขาวของพระเจ้าซาร์ก็สามารถยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กไว้ได้ พวกทหารขาวได้เข้าไปสำรวจห้องที่มีการสังหารหมู่ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ เห็นรอยเลือดและรอยกระสุนปืนมากมายตามฝาผนังบ้าน นอกจากนี้ยังพบแหวนไข่มุกของอเล็กซานดรา เข็มขัดหนังของพระเจ้าซาร์ หมวกของอเล็ก

                    แต่ไม่รู้ว่าร่างของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน

                   
                    
    เจ้าหญิงลึกลับ

                    หลายปีต่อมา จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวในยุโรป เธออ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ธิดาคนสุดท้องของะเจ้าซาร์ เธออ้าวว่าเธอรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในบ้านมรณะนั้น เมื่อเธอรอดชีวิตมาได้เธอเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แอนนา แอนเดอร์สัน

                    คำอ้างของเธอนั้น เป็นจริงมากน้อยเพียงใด

                    จากหลักฐานเอกสารทางรัสเซีย มีประกาศแค่ว่าพระเจ้าซาร์และเจ้าชายอเล็กถูกประหารพระชนม์ชีพ

                    แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเซริน่าและเจ้าหญิงทั้งหลายเลย

                    เป็นไปได้ไหมที่ว่า ทหารทำหน้าที่ประหารได้ช่วยอนาสตาเซียเอาไว้

                    มีหลักฐานบางชนิดพบว่าระหว่างการควบคุมตัวอันยาวนานนั้น ได้ก่อความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับเจ้าหญิงผู้ทรงโฉม และเขาคนนั้นอาจช่วยเธอไว้จากการสังหารหมู่ในคืนมรณะนั้น

                    แต่ที่แน่ๆ การพิสจูน์ข้ออ้างของแอนนา ไม่เป็นผล จนกระทั้งเธอเสียชีวิตในปี 1984 ที่สหรัฐ  โดยเธอยังยืนยัน นอนยังมาตลอดว่า เธอคือเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

                    แต่อีก 7 ปีต่อมา ในเดือนกรกฎาคม  มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เมื่อรัฐบาลรัสเซียได้ขุดค้นพบโครงกระดูก 8ร่าง ในป่าลึกไซบีเรีย ทั้งหมดฝังอยู่ในหลุมตื้นๆ

                    จาการทดสอบดีเอ็นเอ สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นโครงกระดูกของตระกูลโรมานอฟ และจากรอยกระสุนบ่บอกว่าเกิดจากการสังหารหมู่ใน ค.ศ. 1818 แต่มี 2 คนที่ไม่ระบุตรงไหนและหนึ่งในนั้นคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่ไม่รู้หายไปไหน และสองคือเจ้าชายอเล็ก

                    แต่เรื่องนี้ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารบอกวา สองคนนั้นเขาเผาทิ้งทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่มายืนยันได้

                    ท้ายสุด หลักการมรณกรรมของแอนนา แอนเดอร์สันได้มีการตรวจ DNA ของเธอไปตรวจสอบกับ DNA ของราชวงศ์โรมานอฟ ในปี ค.ศ. 1992

                    เธอไม่ใช้สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ เธอไม่ใช้อนาสตาเซีย

                    สมบัติของราชวงศ์โรมานอฟหลายชิ้นสูญหายไปในระหว่างทางในระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. 1917 บางชั้นที่หาค่ามิได้ ถูกเก็บไว้ในพระราชวังเครมลินที่มอสโคว์  เป็นตัวแทนที่ยังเหลืออยู่ของราชวงศ์ที่สูญสิ้นไม่หวนคืนมา

                    ส่วนรัสปูตินนั้นเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย เป็นคนเลวที่โลกไม่มีวันลืม ในฐานะมีส่วนให้ราชวงศ์โรมานอฟล้มสลาย

                    ตลอดกาล


    (จากต่วยตูน
    355 เดือนกันยายน 2547)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×