ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องจริงทะลุโลก (Of The World)

    ลำดับตอนที่ #54 : ป้อมมาซาดา (Masada) ขอตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 52




    ป้อมมาซาดา (
    Masada)

     

                    ปีคริสต์ศักราช 73 เป็นยุคที่โรมันเรืองอำนาจิกองทัพอันเกรียงไกรของโรมันสามารถครอบครองอาณาจักรชนชาติอื่นเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ชาวยิวก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่ต้องสยบภายใต้คมดาบของจักรพรรดิโรมัน

                    แต่เมื่อชาวยิวถูกบีบคั่นจากทหารโรมันจนสุดทน ชาวยิวเริ่มลุกฮือขึ้นก่อการกบฏ เข่นฆ่าทหารโรมันล้มตายเหลือคณา กองทัพโรมันจึงเคลื่อนพลมาปราบปรามฝ่ายกบฏด้วยความแค้น นักรบยิวปักหลักสู้อย่างถวายชีวิตตามที่มั่นต่างๆ แต่ไม่สามารถสู้ทหารโรมันผู้เจนศึกได้ ชาวยิวที่รอดพ้นจากการถูกสังหารต้องถอยแตกซ่านไม่มีผู้อยู่ กระทั้งเหลือชาวยิวกลุ่มหนึ่งประมาณพันกว่าคนยึดป้อมโบราณบนยอดเขามาซาดาเป็นที่มั่นสุดท้าย

                    ป้อมปราการบนยอดเขามาซาดาเป็นป้อมที่มั่งคงและแข็งแกร่งที่สุด ตั้งอยู่บนยอดเขา มีเนื้อที่ถึง 23 เอเคอร์  ผู้สร้างป้อมแห่งนี้คือพระเจ้าอีร็อค(ก่อนพระเยซูจะประสูติ) วังและที่อยู่ของข้าราชบริพารจะเจาะเข้าไปในหน้าผา มีพื้นที่เก็บกักหน้าได้ถึงเก้าล้านแกลลอน สามารถมีน้ำใช้ได้ตลอดแม้ศัตรูจะปิดล้อมป้อมก็ตาม

                    กองทหารโรมันกรมที่ 10 ภายใต้การนำของ แม่ทัพฟลาวีอุส เข้าล้อมเขามาซาดาไว้ และส่งทหารขึ้นไปโจมตีป้องนี้หลายครั้ง แต่ถูกนักรบยิวโต้กลับทุกครั้งโดยอาศัยภูมิประเทศ แม้ทหารโรมันกรมที่ 10 จะเป็นกองเข้มแข็งที่สุด แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้

                   
                    ฟลาวีอุสจึงบัญชาสร้างกำแพงล้อมรอบภูเขาเพื่อไม่ให้ยิวที่อยู่บนป้อมหลบหนีออกจากวงล้อมได้ จุดประสงค์ของแม่ทัพโรมันต้องการปลิดชีพยิวทุกคนบนป้อมไม่ให้เหลือ ไม่ว่าจะเป็นนักรบ ผู้หญิง และเด็ก

                    หลังจากสร้างกำแพงล้อมปิดทางหนีเสร็จแล้ว ฟลาวีอุสได้สำรวจช่องเขาและส่งทหารไปโจมตีป้อมที่มั่นให้แหลกยับให้ได้จนมองเห็นผาสูงด้านรทิสตะวันตกที่ยื่นออกมา จึงระดมกำลังทหารสร้างหอสูงถึง 90  ฟุต ตรงยอดหอคอยให้สร้างสะพานขนาดใหญ่พาดไปยังหน้าผาเพื่อที่จะให้เป็นทางส่งทหารบุกเข้าไปพิชิตกำแพงป้อม

                    แม้จะสร้างสะพานใช้เป็นทางส่งทหารข้ามไปโจมตีป้อมที่มั่นได้แล้ว แต่ฟลาวีอุสก็ยังไม่สั่งให้โจมตี หากปิดล้อมเอาไว้ทุกด้านด้วยเจตนาให้พวกยิวในป้อมขาดแคลนเสบียงอาหารจนถึงที่สุด จนแทบพยุงร่างไม่ไหวจึงจะบุกไปฆ่าอย่างง่ายดาย

                    กองทัพโรมันล้อมชาวยิวในป้อมบนยอดเขามาซาดานานถึงปีเศษ แต่พวกยิวก็สามารถปลักหลักอยู่ได้เพราะสะสมเสบียงอาหารอย่างมากมาย แต่หลังจากเห็นทหารโรมันสร้างสะพานเชื่อมต่อกับหน้าผา นักรบยิวเริ่มตระหนักดีว่าทหารโรมันตั้งใจฆ่าพวกตนไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว

                    อีเลซาร์ เบน ยาลีร์ ผู้นำกลุ่มนักรบชาวยิว จึงเรียกประชุมคนในป้อมทั้งหมดแล้วประกาศถ้อยคำอันเด็ดเดี่ยวว่า

                    บัดนี้ ถึงเวลาที่พวกเราจะถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด จะถูกใช้งานอย่างทาส ถูกกดขี่บังคับและได้รับทัณฑ์ทรมานต่างๆ นาๆ จนกว่าตายในที่สุด พวกเราคือผู้ประการตนเป็นอิสระต่ออำนาจทรราชของพวกโรมัน เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะตายจงตายอย่างคนมีอิสรเสรีเถิด ตายท่ามกลางลูกเมียและญาติของเรา ตายพร้อมกับเพื่อนนักรบทุกคน อย่าให้ทหารโรมันมีโอกาสภาคภูมิใจที่ได้ชัยชนะเหนือเรา อย่าให้มันเหลือความหยิ่งทะนงอย่างเด็ดขาด เมื่อมันยึดป้อมได้แล้วมันจะได้แต่ศพเราทุกคนที่ประกาศถึงความกล้าหาญและความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเราจงมาตายพร้อมกันเถิด

                     Dovecote at Masada, where ashes were probably stored — the openings have been shown to be too small for pigeons to fit.
                    ชาวยิวทุกคนในป้อมมาซาดาตกลงยินดีฆ่าตัวตายดีกว่าที่จะตกเป็นทาสของพวกโรมัน เริ่มจากผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องฆ่าลูกเมียตายหมดก่อนที่จะฆ่าตัวเองตายตาม ส่วนคนที่เหลือคัดเลือกออกมาสิบคนทำการฆ่านักรบคนอื่นๆ จนหมดและในจำนวนสิบคนสุดท้ายได้กำหนดให้คนหนึ่งคนฆ่าอีกเก้าคนแล้วคนสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย

                    ก่อนลงมือประหัตประหารพวกเดียวกัน ชาวยิวได้เผาอาคารทั้งหมดในป้อมไม่เว้นแม้แต่ยุ้งฉางที่เก็บเสบียงเพื่อให้ทหารโรมันรู้ว่านี้ไม่ใช้การฆ่าตัวตายเพราะความอดอยากหรือหมดทางเลือก หากแต่ยอมตายโดยไม่ยอมแพ้ ยอมตายเพราะไม่ยอมอยู่อย่างผู้แพ้

                    เมื่อทหารโรมันเห็นเปลวไฟลุกไหม้ อาคารภายในป้อมบนยอดเขามาซาดา ซี่งนักรบยิวจุดไฟเผาก่อนฆ่าคนในครอบครัวและฆ่าตัวตายหมดทุกคน(ประมาณพันกว่าคน) แม่ทัพฟลาวีอุสจึงสั่งให้ทหารบุกเข้าในป้อม ซึ่งทหารโรมันก็พบกับสภาพที่คิดไม่ถึง เมื่อพบศพชาวยิวชายหญิงและเด็กๆ นอนตายเกลื่อนไม่มีนักรบยิวเหลือแม้แต่สักคนเดียว ฟลาวีอุสเข้าใจเลยทันทีเลยว่าพวกเขาพร้อมใจกันตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้

    มีผู้รอดชีวิต 2 คนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และเด็กคนหนึ่งซึ่งบาดเจ็บสาหัสให้เป็นผู้เล่าเรื่องเมื่อทหารโรมันที่บุกเข้ามาได้รับฟัง

                    ทหารโรมันทั้งหมดไม่เกิดความรู้สึกยินดีที่เห็นศัตรูตายหมดแม้แต่น้อย อาวุธของพวกเขาไม่มีโอกาสปลิดชีพใครแม้แต่คนเดียว ฟลาวีอุสและทหารโรมันพร้อมใจกันถอดหมวกแสดงความเคารพในความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของชาวยิว....ที่ยอมตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้

                   

                    จนกระทั้งเวลาล่วงมาเกือบ 200 ปี นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงเปิดฉากค้นหาและค้นคว้าหลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเหตุการณ์ครั้งนั้น จากการค้นค้นพบคลังเสบียงที่ไม่ไหม้ไฟ พบเหรียญสำริดกองหนึ่งที่ผุกร่อนที่ใช้แทนบัตรแลกเสบียง พบแผ่นบันทึกเรื่องราวทั้งหมด 14 ม้วน และเสื้อเกราะนักรบและเหยือกกองอยู่สิบกว่าใบแต่ละใบสลักชื่อเจ้าของและอีกเหยือกหนึ่งจารึกชื่อ อีเลซาร์ เบน ยาลีร์ ผู้บัญชาการป้อมไว้ด้วย

                   

                    ทุกวันนี้ป้อมมาซาดาถูกขึ้นเป็นมรดกโลกของประเทศอิสราเอลในปี ค.ศ.1972 และถูกทางการอิสราเอลรักษาไว้เป็นอย่างดีในบานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ทหารเกณฑ์ทุกคนจะต้องเข้าประจำการและต้องสาบานตนที่เทือกเขามาซาดานี้ว่า

     

                    มาซาดาจะไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อไป

     


    จากนิตยสารแปลก
    1618

     

    ก่อนจบ


                    มาซาดาเป็นป้อมปราการโบราณในกลางทะเลทรายยูเดียที่แห้งแล้งบนยอดเขาสูงเหนือทะเลสาบ
    DEAD SEA ใช้เวลาสร้างถึง 7 ปี(ก่อน ค.ศ.31-37) โดยสร้างขึ้นในรัชสมัยของเฮรอดมหาราชเพื่อควบคุมเส้นทางการติดต่อกันในราชอาณาจักร ตามประวัติบอกว่ากษัตริย์องค์นี้สืบทอดเชื้อสายมาจากคนเอโดม พระคัมภีร์ปฐมกาลบอกว่า เอโดมคือเอซาวซึ่งเป็นพี่ชายของยาโคบ ผู้เป็นบรรพบุรุษนั้นเอง

    มาซาดาได้รับการสร้างอย่างสวยงามและมั่นคงบนยอดเขาสูง เพื่อเป็นพระราชวังฤดูหนาวของเฮรอด มีโรงอาบน้ำที่มีส่วนอบซาวน่า , แช่น้ำร้อน , อาบน้ำเย็นที่ต้องทึ่งกับวิธีการออกแบบของสถาปนิกโบราณ ...ทางเดินน้ำรอบเขาที่พึ่งพาน้ำฝนจากธรรมชาติ และการออกแบบที่ชาญฉลาดที่สุด โบสถไบเซนทีนที่ปูพื้นด้วยกระเบื้องโมเสคที่หลงเหลือหลักฐานจากเมื่อนับพันปีให้เราได้ชมในวันี้ยังงดงามอ่อนช้อยเสียจนถ่ายรูปอย่างไรก็เก็บเสน่ห์ของบรรยากาศ ณ ที่นั้นไม่ได้อยู่ดี ... และสถานประชุมนมัสการของชาวยิว ( Synagogoue ) ที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของสถานนมัสการในยุคต่อมา

     

     

    ทะเลเดดซี (DEAD SEA)


                    ไม่ว่าจะภาษาไหนคนอื่นก็ตั้งชื่อว่า
    ทะเลเกลือ เป็นทะเลสาบในประเทศอิสราเอล

    ทะเลนี้กว้าง 18 กิโลเมตร ยาว 80 กิโลเมตร พื้นผิวทะเลมีเนื้อที่ 1,020 ตารางกิโลเมตร น้ำในทะเลเป็นน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำ จอร์แดน นอกจากนั้นยังมีลำน้ำเล็กๆ และน้ำพุร้อนหลายแห่งซึ่งมีน้ำไหลลงไปที่ทะเลเดดซีเหมือนกัน

                    ในทะเลแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิต ยกเว้นพวกแบคทีเรียและพืชน้ำเค็ม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าทะเลเดดซีมีทำเลที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายซึ่งมีฝนตกน้อยมาก อากาศร้อน บางฤดูร้อนอากาศเคยร้อนถึง 51 องศาเซลเซียส อากาศร้อนอย่างนี้ทำให้น้ำ ในทะเลระเหยกลายเป็นไอในปริมาณมากกว่าน้ำในแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลเข้ามาชดเชย ทำให้น้ำในทะเลเดดซีเค็มมาก เค็มขนาดไม่เคยมีใครจมน้ำตายในทะเลนี้ก็แล้วกัน มนุษย์กระโจนลงไปไม่มีทางจม แม้วัตถุที่มีน้ำหนักมากๆก็ไม่จม

     

    http://www.nitipoom.com/th/article1.asp?idOpenSky=2079&ipagenum=1+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×