ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #51 : Katte ni Kaizo โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก!! (ทำไมคนญี่ปุ่นถึงเป็นแบบนี้เนี่ย!!)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 56


     

    หลายๆ คนมักเปรียบเทียบการ์ตูนระหว่างเรื่องคุโรไมตี้และ กินทะมะว่าการ์ตูนไหนมตลกฮ่ากว่ากัน ทั้งๆ ที่ความจริงมุกการ์ตูนทั้งสองเรื่องนั้นไม่เหมือนกันสักนิด คุโรไมตี้นั้นเป็นมุกทฤษฏีที่ว่างเปล่า ส่วนกินทะมะเป็นมุกที่เน้นการกระทำที่ขัดต่อแนวคิดดั้งเดิม เอาตัวละครดังของญี่ปุ่นมาใส่ให้จิตหลุด ซึ่งมุกแต่ละเรื่องนั้นซึ่งมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ฮ่าก็ฮ่าคนละแบบ ขึ้นอยู่กับคนที่อ่านว่าจะเข้าใจมุกในการ์ตูนเรื่องนั้นหรือเปล่า กินทะมะนั้นเป็นการ์ตูนที่มุกที่แสดงออกในการกระทำให้ให้ดูเหมือนตลกง่ายกว่าแต่กระนั้นก็คาดเดาได้ว่าจะฮ่าแบบไหนผสมกับดำเนินเรื่องด้วยสูตรตายตัวแม้มีฉากซึ้งแต่ก็เป็นฉากที่พบเห็นกันโดยทั่วไป ส่วนคุโรไมตี้นั้นเวลาตัวละครปล่อยมุกเราต้องคิดว่ามุกที่เขาจงใจปล่อยนั้นนำเสนออะไร กว่าที่จะฮ่าจะขำก็ต้องคิดเป็นนาที เป็นชั่วโมงก็มี ดังนั้นการ์ตูนทั้งสองเรื่องแม้จะเป็นการ์ตูนตลก แต่เป็นการใช้มุกตลกคนละแบบ จึงไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบได้

    วันหนึ่งผมได้ขึ้นรถประจำทางไปตัวเมือง ผมได้สังเกตเด็กคนหนึ่งอ่านการ์ตูนเรื่อง “โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก!!” ซึ่งผมแปลกใจมากว่าเด็กคนนั้นอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้มีมุกที่คนไทยไม่เข้าใจอยู่มาก เป็นมุกที่คนที่อ่านจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องญี่ปุ่นพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูนสมัยเก่าในอดีต ดาราญี่ปุ่น คนดังญี่ปุ่น การเมือง ประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แปลกใจที่เด็กคนนั้นสามารถอ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วฮ่าออกมาได้

    ผมเดาเลยว่าเด็กคนนั้นคงเลิกอ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วแหละ แต่สำหรับผมแล้ว โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก!!เป็นการ์ตูนหนึ่งในดวงใจตลอดกาลของผมเลยครับ มากกว่าซาโยนาระการ์ตูนที่หลายๆ คนชอบอ่านเสียอีก เนื่องจากตัวละครการ์ตูนเรื่องนี้มีบทบาท ทำหน้าที่ ทำงานอย่างเป็นระบบ แม้ตัวละครจะน้อยกว่าซาโยนาระ แต่ตัวละครเรื่องพระเจ้าจอร์ดฯ ได้แสดงถึงจิตหลุดได้ฮ่ามาก

     


    Katte ni Kaizo

    แนวตลกคอมมาดี้ 1998-2004

    สำนักพิมพ์ Burapat Comics

    26 เล่ม(จบ!!)

     

    เป็นการ์ตูนตลกญี่ปุ่น ผลงานของ ผู้เขียนชื่อคุเมตะ โคจิ(Kumeta Kohji ) ที่มีผลงานชื่อดังอย่างซาโยนาระฯ ก่อนหน้านั้นคนเขียนมีผลงานเยอะนะครับ เรื่องแรกก็ Go!! Southern Ice Hockey Club(1991-1996 มี 23 เล่มจบ), P Root Paradise, Sodatte Darling!! และ The Sun's Soldier Pokapoka.(1996-1997 มี 5 เล่มจบ) ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวการดำเนินเรื่อง และลายเส้นไม่น่ารักเท่าพระเจ้าจอร์ด(ช่วงหลัง) และซาโยนาระ แต่กระนั้นบางตัวละครในผลงานเหล่านี้มักไปแจมในการ์ตูนทั้งสองเรื่องด้วยนะครับ

    ผมไปอ่านมาในวีพีมีเดีย(อังกฤษ)บอกฉากจบการ์ตูนนี้เรียบร้อยแล้ว(ฉากจบดีครับ เหมือนตอนทั่วๆ ไปเลยไม่เหมือนตอนจบหรอก ไม่ขอบอกนะครับ) และตัดจบด้วย(ประกาศไปเมื่อ 10 มกราคม 2004) เนื่องจากการ์ตูนไม่ได้รับความนิยม(ทั้งๆ ที่ออกมาตั้ง 26 เล่มแล้วนะเนี้ย) โดยสาเหตุมีการตัดจบนั้นหลักๆ คือ

    1.มุกการ์ตูนเรื่องนี้เป็นได้เปลี่ยนจากมุกตลกง่าย ๆ กลายเป็นมุกตลกยากที่เสียดสีเรื่องต่างๆ (เช่นการเมือง คนสำคัญเช่นคิมจองอิว) ทำให้หนุ่มสาวส่วนมากอ่านแล้วไม่เข้าใจ(ขนาดคนญี่ปุ่นอ่านไม่รู้เรื่อง คนไทยจะขนาดไหน)

    2.หัวหน้าบรรณาธิการสั่ง(แน่นอนสิ)ทำให้เราได้เห็นมุกคนเขียนออกมาบ่นให้พวกนางเอกพระเอกฟังอยู่บ่อยๆ

    3.คนเขียนพยายามให้การ์ตูนเรื่องนี้ให้เป็นอมิเนชั่น แต่จนแล้วจนรอดก็สามารถทำได้ เขาเลยลองแนวใหม่ หลักฐานก็คือประตูห้องลับในห้องวิทย์ที่ออกมาในเล่ม 4 หลังๆ ไม่มีการเอ่ยถึง หรือจะเป็นพวกโรงเรียนอัจฉริยะก็ไม่มีในช่วงหลัง เพราะคนเขียนพยายามเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเรื่อง แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่กระนั้นมันก็ถูกนำไปสารต่อในการ์ตูนเรื่องซาโยนาระคุณครูผู้สิ้นหวัง(สาเหตุคือการ์ตูนนี้เป็นการพัฒนาลายเส้นของคนเขียนด้วย ทำให้ช่วงๆ แรกๆ คนอ่านไม่ค่อยสนใจมากเท่าที่ควร) ดังนั้นเราจึงเห็นตัวละครจากพระเจ้าจอร์ดฯ ไปแจมซาโยนาระฯ เสมอ

     

    Katte ni Kaizo แปลเป็นไทย "ตามใจนายไคไซ" มีเรื่องราวแบ่งออกเป็นสองช่วงตามที่เล่ามาแหละครับ ช่วงแรกการ์ตูนพยายามใส่เนื้อเรื่องและมีการดำเนินเรื่องโดยกำหนดให้พระเอกของเราที่ชื่อ คัตสึ ไคโซ ที่อดีตนั้นโดนนางเอกที่ชื่ออุมิแกล้งจนทำให้สติไม่สมประกอบ กลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ จนบัดนี้ก็ไม่หายต๊อง จนกระทั้งมีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่เดินเล่นสนามโรงเรียนอยู่ดีๆ เกิดมีหุ่นจำลองของชมรมวิทย์หล่นมาใส่หัว(ขนาดเท่าตัวคน) ทำให้ไคโซหมดสติไป ทำให้สมาชิกชมรมวิทย์ต้องพาเขาไปห้องชมรมและปฐมพยาบาล และเนื่องด้วยคนในชมรมวิทย์ไม่รู้จะปฐมพยาบาลคนสลบ เลยเอาเครื่องกระตุ้นหัวใจช็อตหน้าอกของไคโซ และเมื่อไคโซสติกลับคืนมา เขามองไปรอบๆ ห้อง เห็นอุปกรณ์ในห้องชมรมวิทย์ฯ ที่มีทั้ง โหลดอง, ประธานชมรมในชุดเสื้อกาวน์ ด้วยความคิดหลุดโลกทำให้เขาคิดไปเองว่าตัวเองนั้นถูกจับมาดัดแปลงเป็นมนุษย์แปลงไปเสียแล้ว แถมประธานชมรมก็อำอีก ยิ่งทำให้ไคโซ เชื่อไปกันใหญ่ ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นๆ ตามมา

                    
              ตอนแรกๆ พยายามเล่าแบบมีการดำเนินเรื่อง มีการเสริมตัวละครจากโรงเรียนอัจฉริยะ วางปริศนาต่างๆ เช่นประธานชมรมวิทย์เป็นใคร หัวหน้าโรงเรียนอัจฉริยะตัวตนปริศนา วางตัวละครใหม่ๆ มาเสริม  แต่หลังจากนั้นเนื่องจากเหตุผลที่เล่ามาช่วงๆ แรก แหละครับคนเขียนเลยทำการเปลี่ยนแนวทางดำเนินเรื่องใหม่ ตัดตัวละครใหม่ๆเหล่านั้นออก และเปลี่ยนแนวทางดำเนินเรื่องเหมือนซาโยนาระ )

             

    คัตสึ ไคโซ(Kaizo Katsu) พระเอกหนุ่มน้อยอายุ 17 ปี ที่ดูภายนอกเหมือนจะเป็นคนหล่อ น่ารัก แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์ในอดีตทำให้เขาจึงกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ ที่เชื่อว่ายูเอฟโอและทฤษฏีสมคบคิดมีอยู่จริงและอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง  บั่นทอนปัญญา ชอบยกทฤษฏีบ้าๆ แต่พูดจริงจัง ก่ำกึ่งระหว่างฉลาดไม่ฉลาด  แต่หลังๆ เขาก็เริ่มเหมือนคนธรรมดาปกติเรื่อยๆ เพราะคนรอบข้างบ้ากว่าเขาตั้งเยอะ......

     

    นาโตริ อุมิ (Natori Umi) นางเอกเป็นเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนสมัยเด็กของไคโซ ชนิดรู้ไส้รู้พุง ตอนเด็กๆ ชอบแกล้งไคโซมาก จนเป็นเหตุทำให้เขามีกลายเป็นคนต๊อง เธอมีผมสีดำและดูภายนอกน่ารัก ช่วงแรกๆ เธอเหมือนเด็กสาวธรรมดา ที่ต้องคอยดูแลไคโซไม่ให้จิตหลุด แต่แล้วในช่วงหลัง เมื่อไคโซหลุดปากว่า “เธอเป็นคนไม่มีเพื่อน” เลยแทงใจดำอุมิ และเธอก็กลายเป็นคนจิตหลุดกลายเป็นคนที่บ้ายิ่งกว่าไคโซเสียอีก จนกลายเป็นคนเอาแต่ใจและชอบคำสาป เวลาโดนจี้จุดใจดำหรือโกรธมาจะน่ากลัวมาก

     

    ซิสุ ไซเอน (Suzu Saien) ประธานชมรมวิทยาศาสตร์อายุ 18(??) ปี เป็นรุ่นพี่ของพวกไคโซ เป็นคนแปลกและเป็นคนปริศนา ภายนอกดูเป็นคนน่ารักและเงียบๆ แต่ความจริงแล้วมีนิสัยชอบแกล้ง ชอบอำคนอื่น และชอบหารายได้พิเศษจากธุรกิจแปลกๆ ที่ไม่มีใครคิดจะทำ และเป็นคนที่สามารถรับสภาพได้ทุกเหตุการณ์

     

    จิตัน สึโบอจิ (Chitan Tsubouchi) หนุ่มแว่นหนา ตัวเตี้ย เพื่อนร่วมห้องของไคโซกับอุมิ คนอื่นๆ ชอบล้อว่า “ลูกกระจ๊อก” เป็นโอตากุรถไฟ อ่อนแอ ชอบโดนคนอื่นแกล้ง ตอนแรกคนอื่นแอบสงสารเหมือนกันเพราะจิตันโดนแกล้งแต่ละที่หนักมาก แต่หลังๆ ชักไม่สงสารแล้วละ เพราะวีรกรรมพี่แกชักเหมือนหนักสังคมขึ้นทุกวัน และมุกฮ่าๆ เสื่อมๆ  ส่วนใหญ่มาจากเขานี้แหละ

     

    ยามาดะ(Yamada-san)ประธานชั้นเรียนของไคโซและอุมิ เก่งทุกอย่าง ยกเว้นไม่มีที่พัก(ไม่มีบ้าน) สิ้นไร้ไม้ตอก กินอาหารได้ทุกอย่างทุกชนิด แต่ที่ชอบที่สุดคือขนมปังยากิโซบะ มักเป็นตัวเสริมมุกมากกว่า

     

    เหล่าคนแปลก เกือบทุกตอนจะมีคนที่มีบุคลิกแปลกๆ มาปล่อยทฤษฏีมุกหลายแบบ ช่วงแรกๆ จะเป็นสมาคมโรงเรียนอัจฉริยะ และจะมีตัวละครอื่นมาแจมบางตอน บางครั้งก็เป็นเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงในโลกแห่งความจริง เช่น โค้ชฟุตบอลที่ชาติญี่ปุ่น, คนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้, บรรณาธิการ, คนที่มีชื่อเสียง เป็นต้น

     

     

    Katte ni Kaizo  เป็นการ์ตูนที่หลายคนไม่ได้อ่านนัก ด้วยสาเหตุข้างต้น คือมุกการ์ตูนนี้หลายคนเข้าใจยากมาก และการดำเนินเรื่องที่หยุดกับที่ ไม่เหมือนการ์ตูนของจัมฟ์ที่ค่อนข้างดำเนินเนื้อเรื่องที่มีการต่อยอดเรื่อยๆ

    อย่างที่บอกไว้ในตอนก่อนๆ อันมุกตลกญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักทำให้เรื่องไม่ธรรมดาที่ไม่มีทางเกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้ในเรื่องนี้ และกลายแค่เรื่องธรรมดาสามัญไปเลย  ในตอนแรกมุก Katte ni Kaizo  มีบางมุขที่ค่อนข้างจะสกปรก แนวทะลึ่ง เอาน้องช้างมาเล่นมุกตลกเยอะพอสมควร เอาถ่านยัดก้นบ้าง เอาขวดยัดใส่ช้างน้อยบ้าง และมุกค่อนข้างไร้สาระ ไม่คิดอะไรมาก 

                    แต่แล้วหลังจากเล่ม 9 เป็นต้นไป Katte ni Kaizo  ได้พัฒนาเป็นการ์ตูนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การดำเนินเรื่องยังคงอยู่กับเรื่องไม่ธรรมดาฯ อยู่ หากแต่เปลี่ยน “มุกทะลึ่ง” มาเป็น “ตลกทอนปัญญา” แทน

                    “ตลกบั่นทอนปัญญา” คำนี้มาจากการ์ตูนชื่อดัง คุโรมาตี้ ในฉากโดยใช้ชื่อรายการทางโทรทัศน์ที่เรียกว่า รายการบั่นทอนปัญญา  เป็นรายการที่ตัวละครในเรื่องที่เป็นนักแสดงสวมชุดตุ๊กตาใช้ชื่อว่าปูทัน มักจะออกมาเล่าเรื่องไร้สาระที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้ใดๆ นอกจากนี้ คำๆ นี้ยังถูกหยิบยกมาใช้ตัวละครในเรื่องที่มักหยิบยกทฤษฏีต่างๆ มาพูดแบบจริงๆ จังๆ หากแต่มาคิดดูแล้วทฤษฏีเหล่านี้หาได้เกิดความรู้ใดๆ เลย ปัจจุบันสำนวนนี้ถูกนำมาใช้จำกัดความถึงการกระทำหรือเรื่องราวที่หาสาระไม่ได้ หรือเป็นเรื่องตลกบ้าๆ บอๆ ที่เล่ากันสนุกๆ โดยไม่หวังสาระใดๆ

                    ตลกบั่นทอนปัญญา นั้นเป็นมุกที่เล่นยากที่สุดในบรรดามุกตลกที่ใช้ในการ์ตูนญี่ปุ่น เพราะว่ามุกเข้าใจยากมาก บางมุกนี้ปล่อยไปแล้ว จนกระทั้งจบ คนอ่านยัง งง ว่า มุกตลกอยู่ตรงไหน การ์ตูนที่มุกตลกบั่นทอนปัญญาเท่าที่เห็นนอกเหนือจาก Katte ni Kaizo  และ คุโรมาตี้ ก็มี Lucky Star และ Gag Manga Biyori สำหรับผมแล้ว Lucky Star นี้มีมุกที่ผมไม่เข้าใจหลายตอนเลยทีเดียว และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุอีกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น มุกที่ใช้ต้องเป้นบุคคลวงในเท่านั้นจะเข้าใจ

                    หากแต่ Katte ni Kaizo  จะแตกต่างจาก คุโรมาตี้ นิดๆ หน่อย ๆ ตรงที่เรื่องราวที่จะมาเล่นมุกบั่นทอนปัญญานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันใกล้ๆ ตัวเรา ที่เรามักเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ มานำเสนอให้เป็นทฤษฏีบั่นทอนปัญญา

                    นอกจากทฤษฎีบั่นทอนปัญญาแล้ว พระเจ้าจอร์ดฯ ยังใช้ประเภทมุกตลกสองอย่างเข้าไปเสริม นอกเหนือจากตลกสายสามัญสำนึกด้วย คือ

                   

    ตลกล้อเลียน(Parody) หมายถึงจงใจทำให้เหมือนต้นฉบับ(ทำเทียม เลียนแบบ)หากแต่ผิดที่ผิดทางอย่างที่เราคุ้นเคย จนเกิดอารมณ์ขัน หรือยิ่งเหมือนมากจนประหลาดใจเกินคาดก็ทำให้ขำเช่นกัน เช่น จิตันทำท่าทางรวมทั้งแต่งตัวเหมือนโคนันและพูดประโยคเด็ดว่า “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว” หรืออุมิที่ท่าทำทางเหมือนวิญญาณร้ายในภาพยนต์เรื่องจูออน(ผีดุ) เป็นต้น

    ตลกล้อเลียนถูกพบในสื่อศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปถึง วรรณคดี ดนตรี และภาพยนตร์ ส่วนต้นกำเนิดนั้นมาจากอริสโตเติลปราชญ์ชาวกรีกที่เขียนบทกวีล้อเลียนวรรณคดีกรีก และได้พัฒนาเรื่อยๆ  ในรูปแบบ นีโอคลาสสิก. (Neo-Classicism) ซึ่งหมายถึง ขบวนการทางสุนทรียภาพและรูปแบบของศิลปกรรมที่มีแนวความคิดและการปฏิบัติอยู่ที่การลอกเลียนศิลปกรรมโบราณแทบทุกอย่างไม่ว่า จะเป็นหลักสุนทรียภาพ สัดส่วน โครงสร้าง กลวิธีและอื่นๆ โดยเฉพาะจากศิลปะของกรีกโบราณและอียิปต์ และรูปแบบล้อเลียนก็พัฒนาไปสื่ออื่นๆ เรื่อยๆ จนพบเห็นว่ามีมุกตลอกล้อเลียนมากมายหลายแบบในยุคปัจจุบัน

    ตลกนี้มีข้อเสียอย่างใหญ่หลวง ตรงที่บางมุกไม่ฮ่า สาเหตุเนื่องจากเราไม่เข้าใจว่าเขาต้องการล้อเลียนเรื่องอะไร ทำไมถึงตลก เช่นพระเจ้าจอร์ดฯ เล่ม 16 หน้าแนะนำตัวละคร(อยู่ตรงปกรองซ้ายและขวา)ซึ่งเป็นมุกล้อเลียนซึบาสะ แน่นอนหลายคนแทบไม่เคยอ่านซึบาสะ ซึ่งเป็นการ์ตูนแนวฟุตบอลของญี่ปุ่น สำหรับญี่ปุ่นนั้นฮิตมาก แต่ไทยนั้นแทบไม่เคยอ่านหรือชอบมากมายเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากวัฒนธรรมและรสนิยมแตกต่างกัน  

     

    ตลกเสียดสีถาดถาง (Sarcasm) หมายถึง การดูถูก การเยาะเย้ย หรือเล่นกับด้านมืดของบุคคล,สถานที่,สิ่งต่างๆ โดยเอาจุดเด่นจุดด้อยของสิ่งเหล่านั้นมาพูดให้ขำ คำนี้มีมีที่มาจากคำว่า σαρκάζω (sarkazo) เป็นภาษากรีกโบราณ แบบว่า “การฉีกเนื้อ” ซึ่งเป็นคำด่า ยกตัวอย่าง เช่น ตลกเสียดสีการเมืองที่ล้อเลียนเอาหน้าตาและนักการเมืองมาทำเรื่องไม่ดีแบบชัดเจน หรือตลกเสียดสีสังคมที่เอาเรื่องเงินกู้นอกระบบมาเล่น เป็นต้น

    บางครั้งเสียดสีจำเป็นต้องใช้มุกแรง เนื่องจากต้องเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ความโกรธ, ความกลัว, ความอับอาย, ความรู้สึกผิด, ความผิดพลาด

    เราจะเห็นตัวละครพระเจ้าจอร์ดฯ ยกตัวอย่างเชิงเสียดสีและล้อเลียนมากมาย มีทั้งแบบเบาจนถึงแบบแรง เช่นในหน้ายกตัวอย่าง

                   

    ตลกประเภทนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกับมุกตลกล้อเลียน บางครั้งตัวอย่างมุกที่การ์ตูนนำเสนอมานั้นเราอาจไม่เข้าใจ เนื่องจากเราเป็นคนไทย ไม่ใช้คนญี่ปุ่น บุคคล, สิ่งของ, เหตุการณ์ที่เสียดสี เป็นของญี่ปุ่นที่คนไทยน้อยคนนักจะรู้จัก เช่นภาพด้านบน เป็นการเสียดสีมุกเฉพาะญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งคนไทยนั้นไม่เข้าใจ ทำให้ต้องมีเชิงอรรถมาอธิบายมุกเสริมเพื่อให้คนไทยเข้าใจ

    นอกจากนั้นตลกเสียดสีมีข้อเสียอย่างใหญ่หลวงคือมันผิดกฎของมุกตลกอย่างหนึ่งคือการเล่นควรเหมาะสมต่อกาละเทศะ และการเล่นไม่ควรเป็นภัยอันตรายใดๆ หรือสร้างความเจ็บปวดต่อผู้มีส่วนร่วม แต่มุกเสียดสีได้ละเลยข้อห้ามเหล่านี้ เล่นมุกเสียดสีจึงควรคำนึงถึงจิตใจอารมณ์เสี่ยงมากที่จะโดนด่าเพราะบางคนอาจไม่ขำและอาจมองว่าคนปล่อยมุกดูถูกพวกเขา เช่นพวกโอตากุที่ถูกเสียดสีว่าเป็นพวกไขมันเดินได้ ใส่แว่นหน้าตาน่าเกลียด แน่นอนมันแทงใจดำพวกนี้เต็มๆ และมองว่าว่าคนปล่อยมุกคนนั้นเป็นพวกเหยียดโอตากุ เป็นต้น

     

    เราจะเห็นตัวละครเรื่องนี้เล่นเป็นระบบมากกว่า “ซาโยนาระ” แม้ตัวละครหลักจะน้อยกว่า แต่มีชั้นเชิงมากกว่า ซึ่งก็เหมือนตลกคาเฟ่แหละครับ ที่ตลกแต่ละคนมีหน้าที่ของตน คนหนึ่งเป็นตัวปู คนหนึ่งเป็นตัวเสริม คนหนึ่งเป็นตัวหยอดมุก อีกตัวเป็นตัวฮ่า และหัวหน้าคณะเป็นตัวชูโรงเราจะเห็นตัวละครในเรื่องพระเจ้าจอร์ดฯ ทำหน้าที่ในการดำเนินเรื่องของแต่ละคน ในหน้าแรกจะมีคนโปรยหัวข้อซึ่งอาจมี ชิสุ ไม่ก็ไคโซ ที่นำเสนอทฤษฏีบั่นทอนปัญญาในชีวิตประจำวันที่เราไม่ได้สังเกต จากนั้นก็ยกตัวอย่าง เหล่าคนแปลกก็ออกมานำเสนอเสริมมุก จากนั้นอิมุกับจิตันก็ทำทฤษฏีเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องที่เหลวไหล หาสาระไม่ได้ และที่จบ 1 ตอนโดยให้จิตันรับเคราะห์อะไรสักอย่าง

    เป็นแบบนี้ทุกตอน แน่นอนมันเป็นระบบที่น่าเบื่อหน่าย เสมือนเรื่องโดเรมอนไม่มีผิดและคนเขียนรู้จุดนี้ดี เลยต้องวางการพัฒนาของตัวละครเอาไว้

    อุมิ ตอนแรกเป็นตัวละครเด็กสาวธรรมดา เพื่อนวัยเด็ก คาแร็คเตอร์ตัวละครที่น่าเบื่อหน่ายที่หลายๆ คนเห็นบ่อยๆ ดีที่น่ารักทรงผมญี่ปุ่น แต่คนเขียนได้ทำให้ตัวละครน่าเบื่อนี้กลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจ โดยใส่เป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวแตกแยก เกิดปมจิตใจกลายเป็นเด็กที่ชอบคำสาป แถมกลายเป็นคนโหดและน่ากลัวหากคนไปล้อเธอ และแล้วเธอก็กลายเป็นคนจิตหลุดยิ่งกว่าไคไซอีก ซึ่งคนเขียนตั้งใจให้ตัวละครน่ารักนี้ทำให้ผู้อ่านเกลียด หากเจอฉากอะไรโหดๆ น่ากลัวต้องนึกถึงอุมิ

    จิตัน ตอนแรกเป็นเพียงลูกกระจ๊อกที่โดนกลั่นแกล้งแบบร้ายกาจ(ผู้อยู่ต่ำที่สุดของปิรามิดผู้บริโภค) จนคนอ่านรู้สึกสงสารตัวละครนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน โดนไถเงิน ขี้ข้า ฯลฯ แต่หลังๆ คนเขียนได้เปลี่ยนคาแร็คเตอร์นี้โดยใส่นิสัยเสียต่างๆ ไม่ว่าจะทำตัวเป็นขยะสังคม, ใช้กำลังในบ้าน, นักตามติดสาว, พวกชอบโชว์ ฯลฯ ที่คนอ่านรู้สึกตัวละครนี้ว่า “โดนแกล้งซะบ้าง สมน้ำหน้า” หากจะเจอฉากเคราะห์ร้ายและเสื่อมๆ ต้องนึกถึงจิตัน

                    ตรงนี้แหละครับที่ไม่เหมือนซาโยนาระ ตัวละครซาโยนาระ ตัวละครเหล่านั้นจะไม่ฉีกหนีคาแร็คเตอร์ที่กำหนดเอาไว้ คนที่เก่งเรื่องโดจิน มุกที่เกี่ยวกับโดจินก็จะมีตัวละครนี้ร่วมด้วยเสมอ, มุกเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ก็จะมีตัวละครที่เกี่ยวกับมือถือเข้าเกี่ยวข้องเป็นต้น

    ทำไมการรับเคราะห์ถึงทำให้เกิดอารมณ์ขัน สังเกตไหมครับเวลาตลกคาเฟ่เอาถาดฟาดลงที่หัวทำไมผู้ชมถึงได้ฮ่ากัน  ผมเคยเล่าไว้ในบทความคร่าวก่อนว่า มุกตลกนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่ เป็นเรื่องกลไกปฏิกริยาอัตโนมัติคือเรื่องที่ตลกเมื่อใครคนหนึ่งกระทำการในลักษณะหรือท่าทีที่ไม่ เหมาะสมต่อสถานการณ์หรือสิ่งเร้าหนึ่งๆ หรือมีลักษณะผิดแปลกจนดูน่าขำ เช่น โดนตีหัวทั้งๆ ที่ผิดพลาดนิดเดียว ตัวละครประหลาดที่ดูแล้วจิตหลุด และตัวละคร SD หรือฉากโดนชกแรง ๆ  เป็นต้น ซึ่งมุกเหล่านี้พระเจ้าจอร์ดยังนำไปใช้เหมือนกัน โดยคราวนี้ตัวละคร SD ไม่ใช้ไคโซ หากแต่เป็นจิตัน เพียงแต่ไม่ทำตัวหื่น มีแต่มุกเสื่อมๆ ให้คนอ่านรู้สึกสมเพสตัวละครนี้อย่างจัง

    ภาพของจิตันรับเคราะห์ ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้เหมือนมีส่วนร่วม บางครั้งเคราะห์ร้ายของจิตันอาจได้รับถึงชีวิต ความจริงผู้ชมจะต้องถูกรู้สึกบิดเบือน เสียใจจากความตายของจิตัน แต่กลับไม่รู้สึกเศร้าตัวละครอย่างจิตันเลยสักนิด เพราะจิตันเป็นตัวละครพิเศษที่สามารถคืนชีพขึ้นมาใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ คนอ่านก็อ่านอย่างอารมณ์เป็นสุข และอารมณ์ก็คืนสภาพอย่างรวดเร็ว ซึ่งมุกนี้การ์ตูนทอมกับเจอรรี่มักนำมาใช้มากที่สุด ทอมถูกทิ้งลงมา ถูกบดขยี้ ถูกตี ถูกหมุน ถูกบีบ ถูกอัด  แต่ต่อมา ทอมกลับไม่ตายและไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย และยังคงสภาพเป็นแมววิ่งไล่จับหนูเหมือนเดิม

    นอกจากนี้การ์ตูนพระเจ้าจอร์ดยังใส่มุกตลกแบบพลิกกลับ (Reversal)  ก็คือการพลิกผวนไปจากธรรมดานั่นเอง นั่นคือ อะไรที่เป็นธรรมดาและเป็นที่คาดหวัง กลับกลายเป็น อีกเรื่องหนึ่งไป ในทางตรงกันข้าม เช่น พระเอกได้ถูกควบคุมตัว เขาคิดไปว่าผู้จับกุมเขาคงจะนำตัวเขาไปทรมานอย่างแสนสาหัส แต่กลับกลายเป็นว่า เขาได้ถูกทำร้ายโดยวิธีการที่ไร้สาระ เช่น ขนมปังปิ้งไหม้ๆ ก๋วยเตี๋ยวผัดราดหน้า เนยแข็งที่มีกลิ่นเหม็น ฯลฯ

    พระเจ้าจอร์ดยังเล่นมุกต้องห้าม หรือพูดง่ายๆ คือสิ่งที่ความไม่เหมาะสมหรือถูกกาลเทศะ ต่างๆทางสังคมนั่นเอง เช่น ในสังคมญี่ปุ่น ข้อห้ามสุดๆที่ผู้คนระมัดระวังก็คือ การสนทนาเกี่ยวกับครอบครัว, ข้อเสียของผู้สนทนา  สิ่งเหล่านี้เป็นหัวข้อที่สังคมประกาศิตไว้ว่า ควรพูดคุยถึงเรื่อง ดังกล่าวอย่างจริงจัง อย่างรอบคอบสุขุม และอย่างสุภาพ แต่จากข้อห้ามดังกล่าว ทำให้เกิดมุกตลกต่างๆ พลิกแพลงนำมาใช้กันมากเลยทีเดียว. การฝ่าฝืนนี้สามารถ ปลุกให้คน หัวเราะได้มาก

    คราวนี้มาดูข้อคิดจากการ์ตูนเรื่องพระเจ้าจอร์ดฯ บ้างครับ(มันมีเหรอ??)

    เวลาดูนิสัยตัวละครต่างๆ ในเรื่องพระเจ้าจอร์ด(ทั้งตัวหลักและตัวประกอบ) เคยสังเกตและสงสัยไหมครับว่า ทำไมตัวละครบางตัวถึงมีนิสัยแปลกๆ

    นิสัยแปลกๆ ที่ว่าไม่ใช้แค่ในการ์ตูนเท่านั้นนะครับ ในโลกแห่งความจริงคนญี่ปุ่นก็แปลกพอๆ ก็ในการ์ตูนเชียวละ

    เอางี้ผมยกตัวอย่างละกัน

     

    โจรขโมยกางเกงในผู้หญิง ถือว่าเป็นอาชญากรโรคจิตที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ส่วนของไทยเราไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ญี่ปุ่นถือว่าเยอะมาก อีกทั้งโจรขโมยนั้นมีหลากหลายวัย มีกระทั้งคนแก่..... ตัวอย่างเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ตำรวจญี่ปุ่นได้รวบตัว นายอากิระ ฮิโนะ วัย 51 ปี ที่วิธีขโมยกางเกงในผู้หญิงโดยใช้เบ็ดเกี่ยว หลังถูกจับตำรวจทำการค้นบ้านฮิโนะพบว่าที่บ้านของเขามีกางเกงในถึง 500 ตัว เขาสารภาพว่าเขามีนิสัยโรคจิตชอบขโมยกางเกงในผู้หญิง ตั้งแต่อายุ 18 ปี

                    แต่กระนั้นขโมยบางรายไม่ได้ขโมยกางเกงในญี่ปุ่น เช่นกรณีของนาย นาย Kanemaru Kazuki อายุ 49 ปี ถูกจับกุมเมื่อ 21 มกราคม ที่ผ่านมา ในจังหวัดนารา ข้อหา ขโมยถุงเท้าของผู้หญิง ตำรวจจับคาหลักฐานกองถุงเท้าในบ้านกว่า 300 คู่

                    สังเกตว่าทั้งคู่นั้นอายุค่อนข้างมาก สำหรับวัยชราแล้วคารเป็นวัยที่ควรทำตัวเคารพต่อลูกหลาน แต่เพราะเหตุใดคนแก่ญี่ปุ่น(บางคน)ถึงมีตัณหากลับอย่างงี้........

                    อีกตัวอย่างหนึ่ง

                   

                    สตอล์คเกอร์ (Stalking) เป็นคำที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเทคนิคการสืบสวนของพวกตำรวจ หมายถึงพวกที่ชอบสะกดรอยและพยายามจะเข้าใกล้ความเป็นส่วนตัวของเป้าหมาย โดยที่เป้าหมายไม่เต็มใจ ที่ญี่ปุ่นมีปัญหามากๆกY[พวกนี้ เพราะว่าบางทีมันโรคจิตคิดฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องที่ไม่ควร และพออดกลั้นไม่ได้ก็จะทำจริงๆกับเป้าหมาย ดังนั้นในวงการดาราวัยรุ่นจึงปิดบังข้อมูลของตัวเองอย่างเข้มข้นอย่างมาก(นำแสดงโดยอุมิ)

    เหตุใดคนญี่ปุ่นบางคน(แต่หลายราย)ถึงเป็นสตอล์คเกอร์ …..เป็นเพราะอาการทางจิตใช่หรือไม่ ถ้าใช่ทำไมคนญี่ปุ่นหลายคนมักเป็นมากเหลือเกิน...

     

    พวกชอบโชว์ญี่ปุ่น เท่าที่เราเห็นในการ์ตูนส่วนมากจะเป็นผู้ชาย(แน่ละสิ) ใส่เสื้อโค้ทชาวๆ และมักจะอยู่แถวซอกซอยตอนมืดค่ำๆ เวลาเจอสาวๆ พวกชอบโชว์จะโผล่ต่อหน้าและเปิดเสื้อโค้สให้สาวๆ เห็น “เจ้านั่น” ก่อนที่จะชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

    เหตุใดพวกชอบโชว์ถึงชอบโชว์ …..เป็นเพราะอาการทางจิตใช่หรือไม่ ถ้าใช่ทำไมคนญี่ปุ่นหลายคนมักเป็นมากเหลือเกิน...

     อีกตัวอย่างหนึ่งอันนี้ถือว่าโรคจิตไม่เชิง เพราะคนญี่ปุ่นถือว่าเป็นปกติ แต่สำหรับคนไทยอย่างเราเราแล้วมามองก็นับว่าแปลก อันเนื่องจากสภาพสังคม และวัฒนธรรมนั้นต่างกัน


               ฮิคิโคโมริ (
    Hikikomori) หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่าฮิคกี้เป็นปรากฎการณ์ (Phenomenon) ไม่ใช่ โรค (Syndrome) อย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยเป็นคำอธิบายถึงพฤติกรรมของเด็กที่แยกตัวออกมาจากสังคม พยายามพบเจอผู้คนให้น้อยที่สุดคนที่เป็น ฮิคิโคโมริ มักจะเก็บตัวในห้องส่วนตัว หรือในบ้านเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่ยอมไปโรงเรียน ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็อาจจะอ่านหนังสือการ์ตูน เล่นเกม เล่นอินเทอร์เน็ต ดูทีวี หรืออาจจะนั่งเฉย ๆ อยู่ในห้องคนเดียวได้เป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ จากสถิตพบว่าขณะนี้ญี่ปุ่นมีประชากรที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาการ"ฮิคิโคโมริ" ประมาณ 3 ล้านคน !!  จนกลายเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข เพราะเหตุใดผุ้คนถึงหันหนีสังคม หันมาสถิตอยู่กับบ้านอย่างงี้....(นำแสดงโดยจิตัน….อีกแหละ) ส่วนอีกประเภทที่ใกล้เคียงกับฮิคิโคโมริคือ NEETs (Not in Employment, Education or Training) หมายถึง คนที่อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง คนกลุ่มนี้จะไม่ชอบเข้าสังคม แต่ไม่ได้หนี เลือกที่จะถอยออกไปเท่านั้น แตกต่างจาก ฮิคิโคโมริ ที่จะหนี และกลัวผู้คน....

     

    คนจรจัดญี่ปุ่น(ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นเรื่องพวกนี้ว่าอะไร) คนจรจัดญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากจรจัดในบ้านนะครับ จรจัดบ้านเราจะน่ากลัว เห็นแล้วไม่อยากเข้าใกล้ ส่วนของญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ไม่สู้คน อ่อนแอทำให้เป็นเหยื่อของความรุนแรงโดยวัยรุ่น เพราะว่าต่อยตียังไง คนจรจัดก็ไม่ตอบโต้  และบางคนก็ไม่ใช่ว่ายากจนข้นแค้นอะไร ยังพอมีเงินติดตัวด้วยซ้ำไป ชอบอาศัยอยู่ข้างถนน สวนสาธารณะ กล่อง ....(นำแสดงโดยจิตัน….อีกแหละ)

     

     โอตาคุ (Otaku) เดิมใช้เรียกกับคนที่คลั่งไคล้อะไรมาก ๆ จนโงหัวไม่ขึ้น เช่น การ์ตูน เกม คอมพิวเตอร์ แฟชั่น ดารา ฯลฯ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นจะรู้สึกว่า โอตาคุ คือคำดูถูกเหยียดหยาม คนกลุ่มนี้จะสนใจเฉพาะด้านจนทำให้คนที่ไม่เข้าใจ ไม่สนใจด้วยไม่อยากคบหาสมาคมด้วย ทำให้กลุ่มโอตาคุ ต้องถอยออกมาจากสังคม....(นำแสดงโดยจิตัน….อีกแหละ)

    และ....ทำไมคนญี่ปุ่นถึงกลัวการที่จะเกี่ยวข้องกับผู้อื่น, ทำไมคนญี่ปุ่นมักอายหน้าแดง, ทำไมไม่กล้าสบตาผู้อื่น, ทำไมถึงกังวลในเรื่องความอัปลักษณ์ของตัวเอง เช่นกลัวกลิ่นตัวเอง, ทำไมคนญี่ปุ่นต้องทำงานเป็นกลุ่ม อยู่ร่วมเป็นกลุ่ม แต่คนญี่ปุ่นอยากหนีจากกลุ่ม!!


             ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศครับ ที่มีการศึกษาในเรื่องจิตวิทยาของคนในประเทศตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ อีกทั้งต่างประเทศก็อยากจะศึกษาจิตใจของญี่ปุ่นเหมือนกัน สาเหตุเพราะปัจจุบันคนญี่ปุ่นมีอยู่ทั่วโลก และมีความเจริญล่ำหน้ากว่าชาติอื่นๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าญี่ปุ่นเคยเป็นชาติยากจนมาก่อน

    ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต่างชูนโยบาย “เศรษฐกิจรุ่งเรือง กองกำลังทหารเข้มแข็ง” หากแต่หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลก นโยบายก็เหลือเพียง “เศรษฐกิจรุ่งเรือง” และไม่มี “กองกำลังทหารเข้มแข็ง” อีกต่อไป

    ญี่ปุ่นนั้นพัฒนาเศรษฐ์กิจอย่างรวดเร็วมาก แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดมากเกินไป จนลืมคิดถึงการพัฒนาด้านจิตใจและรากฐานของสังคมญี่ปุ่นไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ววัฒนธรรมด้านวัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ในขณะเดียวกันด้านวัฒนธรรมและสติทางปัญญาไม่ใช้สิ่งที่สามารถเปลี่ยนไปได้ในชั่วข้ามวันข้ามคืน ส่งผลให้คนญี่ปุ่นหลายคนรับสภาพไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็วนี้

    อย่างการเกิดพวกโรคจิตขโมยกางเกงในหรือพวกชอบโชว์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าคนแก่ของญี่ปุ่นถูกละเลยจากสังคม และถูกแยกออกจากครอบครัวเมื่อสมาชิกในบ้านแต่งงาน ยิ่งสังคมเจริญทำให้หนุ่มสาวต่างเข้าไปทำงานในเมืองมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุเกิดความโดดเดี่ยว ยิ่งเป็นผู้สูงอายุตัวคนเดียวไม่มีครอบครัวยิ่งทำให้เก็บกดและเกิดอาการทางจิตได้

    กลับกันหากคนโรคจิตที่เป็นชายหนุ่ม จำพวกแอบตามสาว ขโมยกางเกงใน ชอบโชว์ โดยพื้นฐานจะมีบุคลิกลักษณะแบบ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มีปมด้อย เงียบขรึม ตามปกติแล้วไม่กล้าแสดงความก้าวร้าวและ คิดว่าตนเองไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงกันข้าม สาเหตุสำคัญของพฤติกรรมเหล่านี้อาจมาจากการอบรมเลี้ยงดูที่เข้มงวด แม่มีอำนาจในครอบครัว จึงทำให้มีปมด้อยในเรื่องของความเป็นชาย บางคนมีความกลัวลึกๆว่าจะถูกตอน ลักษณะของคนเหล่านี้จะเริ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวยิ่งเก็บกดและยิ่งแสดงออกอะไรแปลกๆ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามหันมาสนใจเราขึ้น จริงไม่น่าแปลกอะไรเลยที่ตอนนี้ญี่ปุ่นมีพวกโรคจิตแปลกๆ มากยิ่งขึ้นทุกวัน

    Katte ni Kaizov ได้ล้อเลียนพฤตกรรมด้านลบของญี่ปุ่นอย่างอมยิ้ม ไม่เคร่งเครียด จิกกัดประเด็นด้านมืดสังคมญี่ปุ่นอย่างชวนหัว เช่น ยากูซ่า ขโมยอวัยวะ ความไร้น้ำใจของชาวญี่ปุ่น(ที่นำเสนอโดยชาวญี่ปุ่น) การกลั่นแกล้งในโรงเรียน อ่านแล้วก็น่าคิดว่าคนญี่ปุ่นมีนิสัยแบบนี้จริงๆ หรือ ในประเทศเจริญด้วยวัตถุนิยม และภาพลักษณ์ที่ออกมาสู่สายตาชาวโลกที่บอกว่าญี่ปุ่นมีประเพณีที่งดงาม

    ปัญหาใหญ่ของการการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือเชิงอรรภไม่ละเอียดเท่าซาโยนาระที่บอกที่มามุกหมดว่ามันขำตรงไหนอย่างละเอียดหากแต่การ์ตูนเรื่องนี้บอกเพียงบางมุกเท่านั้นทำให้อาจเข้าใจยากหน่อยสำหรับเด็กหรือคนที่อายุยังน้อย แต่สำหรับผมแล้วผมชอบนะครับสุดสำคัญไม่ใช้มุกหากแต่เป็นการแสดงของตัวละครหลักทั้ง 4 คน(รวมตัวเสริมด้วย) ที่ดีกว่าเล่นแบบทีมเสมือนคณะตลกบ้านเราเลยครับ ผมชอบอุมิมากๆ ไม่เคยเห็นนางเอกที่ไหนรั่วและแสดงออกเหมือนไม่ใช่นางเอกแบบนี้มาก่อนเลย(ผมยกให้อันดับ 1)ที่น่ารักแต่นิสัยนี้ใครเห็นก็ไม่อยากได้เป็นแฟนนี้แหละที่ผมชอบ

     

    + +
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×