ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #49 : Aoi Bungaku Series ในจิตใจดำมืดของมนุษย์

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 53


        

                    ในที่สุดผมก็กลับมาจากเชียงใหม่แล้วครับ ไปครั้งนี้ผมซื้อการ์ตูนโป๊หนึ่งเรื่อง แล้วผมก็ดูหนังเรื่องอวตาลในโรงหนังที่กาดสวนแก้วด้วยนะครับ ซึ่งตอนหน้าผมจะโม้เรื่อง “อวตาล” ให้ทุกคนได้อ่านกันว่าผมดูแล้วได้อะไร

     

    Aoi Bungaku series

    แนว ดราม่า, ลึกลับ, ปรัชญา, สังคม, แฟนตาซี, ตลก(แล้วแต่จะคิดว่ามันมีแนวอะไรบ้าง)

    12 ตอนจบ หาชมได้ตามยูธูป
    โหลดได้ที่
    http://www.bakadetsu.net/torrents-details.php?id=758

     

                    “นิยายหมายถึงเรื่องเล่าจากจินตนาการ เหตุการณ์ และเนื้อเรื่อง แตกต่างกับเรื่องจริง โดยครอบคลุมเรื่องแต่งทั้งหมด นิยายนั้นมีหลายเรื่องที่เป็นผลงานชิ้นเอกที่แม้จะผ่านเวลายาวนานแต่ก็ยังมีคุ้นค่าที่ควรระลึกถึงอยู่”

                    “คนส่วนใหญ่นั้นคิดว่านิยายนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เป็นเรื่องราวเสริมแต่งที่ไม่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง คนรุ่นใหม่เห็นนิยายสมัยโบราณเป็นเพียงเรื่องเล่าในอดีต คนแก่หน่อยก็คิดว่าเป็นเรื่องราวที่เคยอ่าน แต่หากเรามาพิจารณานิยายเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน ดูอย่างละเอียดอีกครั้ง เราจะต้องแปลกใจอย่างมาก เพราะลักษณะนิสัยของตัวละครในนิยายเหล่านี้ก็เหมือนกับพวกเราในตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าจิตใจของมนุษย์”

                    Aoi Bungaku series หรือซีรีย์วรรณกรรมสีน้ำเงิน เป็นอมิเนชั่นการ์ตูนที่มีเนื้อหาดัดแปลงจากวรรณกรรมอมตะ(แต่ผมขอเรียกนิยายนะครับ แม้หนึ่งในนั้นจะเป็นหนังสือสำหรับเด็กก็เถอะ) ซึ่งนิยายเหล่านั้นล้วนมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น จัดทำโดยค่ายชูเอย์ฉะ ซึ่งมีทั้งหมด 6 เรื่อง 12 ตอน  นิยายทั้ง 6 เรื่องนี้ไม่ค่อยคุ้นหูของชาวไทยเท่าไหร่นัก แต่รู้สึกว่านิยายพวกนี้ชาวญี่ปุ่นจะรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเรื่อง Kokoro นั้นเป็นหนึ่งในนวนิยายญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง คนญี่ปุ่นหลายคนอ่านนิยายเรื่องถึงสามครั้ง และคนที่เรียนวรรณคดีญี่ปุ่นจำเป็นต้องอ่านมัน

                    มีคำถามตามมาว่าในเมื่อ Kokoro ถูกทำเป็นการ์ตูนแล้วจะมีคนดูไหม ในเมื่อเรารู้ตอนจบของมันแล้ว คำตอบคือกลับกันต่างหาก เพราะว่าคนที่อ่านนิยายจะรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นมันเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาราวมันมีลมหายใจ เหมือนเพื่อนที่จากกันมาสิบปีและพบกันอีกครั้ง

                    นิยายกับอมิเนชั่นมีความแตกต่างกัน นิยายนั้นเราได้อ่านตัวหนังสือและใช้จินตนาการเอาว่าตัวละครนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรสถานที่เป็นแบบไหน ซึ่งหากนิยายเรื่องนั้นมีการบรรยายละเอียดจะช่วยให้เราเห็นภาพขึ้น แต่อมิเนชั่นไม่เป็นแบบนั้นเพราะภาพออกมาช่วยทำให้เราไม่ต้องจินตนาการมากนัก หน้าตาตัวละครก็เห็นรู้ทันทีว่าสวยหรือหล่อ อีกทั้งยังใช้เวลาในการเสพน้อยกว่านิยายที่ต้องใช้สายตาไล่อ่านตัวหนังสือทีละหน้า ดังนั้นสิ่งที่ทำได้อย่างเดียวเมื่อดูอมิเนชั่นก็คือลุ้นว่ามันจะดำเนินเรื่องแบบไหนมากกว่า

                    ผมไม่สามารถอธิบายว่าการ์ตูนเรื่องนี้ใส่ความเป็นนิยายอมตะญี่ปุ่นนั้นครบถ้วนสมบูรณ์หรือเปล่า เพราะผมไม่ได้อ่านนิยาย 6 เรื่องเหล่านี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอมิเนชั่นที่ดัดแปลงนิยายเรื่อง Aoi Bungaku series  นี้ค่อนข้างเวลาจำกัด เพียง 12 ตอน ตอนย่อยอย่างมาก 2 ตอนจบ(เรื่องที่หนึ่งมี 4 ตอน) ซึ่งแน่นอนว่าไม่ครบถ้วนเนื้อหาของนิยายแน่นอน เพราะนิยายแต่ละเรื่องมีกว่า 150 หน้า อย่างเรื่อง Kokoro นั้นปาไปถึง 391 กว่าหน้า!! แต่ทำเป็นการ์ตูนเพียง 2 ตอน(แถม 1 ตอนไม่ใช้เนื้อหานิยายอีก!!)

                    แม้ว่าการ์ตูนจะไปครบถ้วนเนื้อหานิยายก็ตาม แต่สิ่งที่การ์ตูนนำเสนอนั้นสุดยอดมากๆ นิยายทั้ง 6 เรื่องที่นำมาดัดแปลงการ์ตูนนั้นเป็นนิยายสมัยเก่าแต่เนื้อหาของมันนั้นไม่เก่าตามยุคสมัยเลย การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยสีสัน หักมุม และสะท้อนจิตใจดำมืดของมนุษย์อย่างลงตัว  

                    อะไรคือจิตใจดำมืดของมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้วเมื่อมนุษย์เกิดมาจะมีจิตใจที่ขาวสะอาดผุดผ่องเหมือนดั่งผ้าขาว แต่หากนำวันจิตใจที่ขาวนั้นจะถูกย้อมเป็นสีเทาและสีดำ สีดำเปรียบเสมือนสีแห่งความชั่วร้าย ไม่ดีต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็น ความเข้าใจผิด, ริษยา, เอาแต่ใจ, โลภ,โกหก,เจ็บปวด, ขื่นขม, หลอกลวง, หลงตัวเอง, รัก, หวาดกลัว, เลือดเย็น สิ่งเหล่านี้มีครบถ้วนในการ์ตูนซีรีย์เรื่องนี้

                    จิตใจดำมืดของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานมาก ทุกคนล้วนมีกันทุกคน เนื่องด้วยเราเป็นสัตว์สังคม มี ความรัก ครอบครัว งาน เพื่อให้เราอยู่รอดและเป็นที่ยอมรับในสังคม เราจำเป็นต้องใช้ด้านมืดนั้นพัฒนาตัวเอง อาจใช้มากหรือน้อย หรือเลยเถิดก็ว่ากันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่ใช้ หรือการควบคุมอารมณ์

                    การ์ตูนเรื่องนี้ในแต่ละเรื่องจะใช้คนออกแบบแตกต่างกัน โดยจะใช้คนวาดการ์ตูนจากนิตยสารจัมป์มาช่วยวาดหน้าปก อย่างภาพตอนต้นเรื่องนั้นใช้นักเขียนทาเคชิ โอบาตะผู้มีผลงานชื่อดังอย่างเดธโน็ตมาออกแบบจึงไม่น่าแปลกที่หลายๆ คนคุ้นกับภาพตัวอย่างที่ผมเอามาออกในตอนแรก

                    ผมโหลดการ์ตูนเรื่องนี้จากเว็บโหลดการ์ตูนเรื่องหนึ่ง  เปิดออกมาผมได้เห็นคนบรรยายพิธีกรชื่อมาคาอิ  มาซาโตะ นำก่อนสู่เรื่อง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นใคร(คาดว่าจะเป็นคนพากษ์การ์ตูนละมั้ง) มานำเรื่องก่อน ซึ่งได้อธิบายประวัติคนแต่งพอสังเขปและบรรยายสิ่งที่นิยายเรื่องนี้ต้องการนำเสนอและแรงบันดาลใจในการแต่ง ก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่การ์ตูนที่สวยสดงดงาม แต่เต็มไปด้วยจิตใจที่ดำมืดของมนุษย์

                   

                    ตอนที่ 5-6 มีชื่อตอนว่า “ใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่นในป่าใหญ่” ดัดแปลงจากนิยายสั้น In the Forest, Under Cherries in Full Bloom ของ ซาตากุจิ อังโกะ แต่งเมื่อปี 1946(เผยแพร่ในปี 1947) ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ซึ่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และนิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์หนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดปรมาณูที่ป่าซากุระในอุเอโนะจนเป็นเหตุทำให้ผู้คนโดนเผาทั้งหลายร้อยราย และผู้เขียนได้พบเหตุการณ์เหล่านั้นจนได้บันทึกลงในสมุดไว้ว่า “ยามซากุระบานสะพรั่งในขณะที่ไม่มีผู้คนอยู่นั้น ทำให้มีความรู้สึกอยากหนีไปให้ไกล” เขาจึงเอาความรู้สึกนี้ถ่ายทอดลงในนิยายเรื่องสั้นของเขาในเรื่อง In the Forest, Under Cherries in Full Bloom

                    การ์ตูน “ใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่นในป่าใหญ่”  ตอนนี้ได้ให้ไทเทย์ คุโบะ (คนเขียนบลีช) ออกแบบตัวละคร กำกับโดย เคน อีซึกะ ที่มีผลงานเรื่อง Rideback(ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้นะ แต่หาหนังสือไม่ได้เลย) ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้ได้ดำเนินเรื่องคล้ายกับนิยายของอังโกะในหัวข้อ “ความน่ากลัวของต้นซากุระ”

                    ปกติชาวญี่ปุ่นมักมองต้นซากุระเป็นเรื่องมงคล ถึงขั้นมีงานเทศกาลชมดอกซากุระในประเทศ จนเป็นประเพณีสืบทอดมาหลายร้อยปี เพื่อชมความงามของซากุระ หลายคนเชื่อว่าซากุระมีเทพสิงสถิตย์อยู่

                    แต่ในการ์ตูนเรื่องนี้ได้ทำให้ซากุระกลายเป็นต้นไม้แห่งความหวาดกลัว หวาดระแวง และเผยธาตุแท้ของจิตใจคนออกมา ภาพซากุระในการ์ตูนที่ทำออกมานั้นสวยงามราวกับสวรรค์มิปาน แต่กระนั้นบรรยากาศโดยรอบช่างเงียบเหงา น่าขนลุก อย่างที่ตัวเอกได้บรรยายตอนต้นเรื่องว่า

                    “.......ยามเมื่อซากุระบานสะพรั่งผู้คนมักหิ้วเหล้าไปดื่มท่ามกลางความสวยงามนั้น แต่สมัยก่อนไม่มีใครคิดว่าซากุระนั้นสวยงามเลย ถ้าไม่เชื่อ ลองนึกภาพทิวทัศน์ต้นซากุระต้นเดี่ยวที่บานสะพรั่งยามไร้ผู้คนดูสิ ไม่รู้สึกหรือว่านั้นเป็นภาพนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก.........ซากุระทำให้คนบ้าคลั่ง”

                    
                    ตัวเอกของเรื่องนี้เป็นโจรภูเขาสุดแกร่งนาม “ชิเกมารุ” ที่ออกปล้นข้าวของชาวบ้านกินตามประสาโจร แม้ว่าเป็นโจรแต่เขาก็ใช่ว่าจะโหดเหี้ยมอำมหิตนัก เขาฆ่าคนเฉพาะคนที่ขัดขื่นเขาในขณะปล้นเท่านั้น และที่สำคัญเขารักเมียของเขาที่มีถึง 7 คน

                    ชิเกมารุมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง แม้ภายนอกของเขาจะเป็นโจรรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหน้ากลัว แต่เขากลับกลัวซากุระที่บานสะพรั่งเต็มต้น

                    วันหนึ่งในขณะที่ชิเกมารุทำการปล้นเศรษฐีเมืองหลวงคนหนึ่ง เขาก็เห็นสาวสวยนางหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของเศรษฐีคนนั้น ชิเกมารุตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ชิเกมารุจัดการฆ่าเศรษฐีคนนั้นและพาภรรยาใหม่ของเขากลับบ้าน

                    เมื่อกลับบ้าน เธอกลับเรียกร้องให้ชิเกมารุฆ่าภรรยาเก่าทั้งหมดของเขา เพราะรู้สึกรังเกียจ ชิเกมารุทำตามที่เธอเรียกร้องทันทีโดยไม่ลังเล ในระหว่างการฆ่ามีการเปิดเพลงที่แสนไพเราะ แต่ภาพที่ออกมานั้นมันโรคจิตมากๆ(ยังอุตส่าห์ไว้ชีวิตภรรยาตัวน้อยสาวแว่นไว้คนหนึ่งนะเนี้ย...ชอบใจตรงนี้แหละ)

                    “ความรู้สึกนี้...เหมือนกับตอนอยู่ใต้ต้นซากุระที่บานสะพรึ่งเลย”

                    
                    ซากุระที่ต้นไม้ที่สวยงามแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว ชิเกมารุเปรียบเทียบภรรยาใหม่ว่าเหมือนซากุระก็เพื่อบ่อบอกว่าเธอนั้นแม้จะมีคนสวย แต่พิษสงและนิสัยนั้นยิ่งกว่าอสรพิษที่น่าสะพรึ่งกลัว

                    แต่ซากุระนั้นแม้เขาจะกลัวเขาก็สามารถหลบหรือหนีมันได้ แต่ภรรยาใหม่ของเขานั้นเขาไม่สามารถหลบหรือหนีได้ อีกทั้งเขายังเชื่อฟังภรรยาใหม่คนนี้ชนิดที่เรียกว่าขัดขื่นไม่ได้ เขาได้ย่างก้าวพลาดตั้งแต่เขาตัดสินใจฆ่าภรรยาเก่าทั้งหมดของเขาแล้ว เพราะนั้นเป็นเหมือนกับว่าเขายินดีเป็นทาสที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีภรรยาใหม่นี้ตลอดกาล

                    ถ้าเป็นนิยายผี 5 บาทไทย เนื้อเรื่องคงจะเป็นภรรยาทั้ง 6 กลายเป็นผีมาหลอกหลอนชายโฉดกับหญิงชั่ว หักคอแล้วก็จบแบบสอนว่ากรรมตามสนองใช่เปล่า แต่การ์ตูนเรื่องนี้ไม่มีผีปรากฏสักตัว และนี้เป็นเพียงแค่ช่วงแรกของการ์ตูนเรื่องนี้เท่านั้น เพราะช่วงต่อมาจะถึงจุดที่เรียกว่า “โรคจิต” อย่างแท้จริง

                    เวลาผ่านไปปีกว่าๆ ภรรยาใหม่ของเขาไม่ชอบใช้ชีวิตในภูเขานี้เลย แม้เขาจะเอาใจเธอสารพัดแล้วก็ตาม ซ้ำเธอยังเรียกร้องให้ชิเกมารุพาเธออพยพมาอยู่อาศัยมาอยู่เมืองใหญ่ ตอนแรกชิเกมารุปฏิเสธ หากแต่โดนขู่ว่าถ้าไปไม่ละก็ เธอจะหนีจากเขา

                    ชิเกมารุและภรรยาคนใหม่(พ่วงด้วยภรรยาสาวแว่นและหมูป่าหนึ่งตัว)จึงได้อพยพมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เวลาผ่านไป 6 เดือน ชิเกมารุพบว่าเขาไม่เหมาะกับที่นี้ เขาไม่สามารถหางานทำได้ เนื่องจากขาดทักษะเกี่ยวกับงานสุจริต อีกทั้งยังถูกเยาะเย้ยจากชาวเมืองที่มองเขาเป็นพวกบ้านนอก สิ่งเหล่านี้ไม่แตกต่างอะไรเลยกับโลกแห่งความจริงที่คนทั่วไปมักหัวเราะเยาะพวกเซลล์แมนที่กดกริ่งหน้าบ้านแบบสิ้นหวังว่าสินค้าของตนเองจะขายได้หรือเปล่า

                    ชิเกมารุอยู่ในสภาพสิ้นหวังและไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวงเสียเลย แต่ในขณะเดียวกับภรรยาใหม่ผู้เอาแต่ใจนั้น กลับไม่พึ่งพอใจที่ชิเกมารุไม่ซื้อเครื่องประดับสวยงามแก่เธอ เธอขู่ว่าหากเขาไม่นำสิ่งที่เธอต้องการเธอจะทิ้งเขา เธอสั่งให้ชิเกมารุเป็นโจรปล้นบ้านคนรวยและเอาเครื่องประดับมาให้เธอซะ

                    ชิเกมารุยอมทำตามที่ภรรยาใหม่สั่ง และคืนนั้นเขาก็ฆ่าคู่รักเศรษฐีคนหนึ่ง เขาขโมยทองและเครื่องประดับรวมไปถึงหัวของคู่รักไปให้ภรรยาใหม่ด้วย

                    ภรรยาใหม่ชอบหัวคู่รักที่ชิเกมารุเอามาให้มาก มากกว่าเครื่องประดับเสียอีก และแล้วด้วยความไม่รู้จักพอ เธอได้สั่งชิเกมารุฆ่าคนเป็นจำนวนมากเพื่อเอามาเล่น โดยการฆ่าแต่ละครั้งภรรยาใหม่จะกำหนดหัวข้อหัวที่เธอต้องการ เช่น “นักบวช, มิโกะ, คนหน้าตาดี” เป็นต้น

                    
                    ชิเกมารุทำตามคำสั่งภรรยาอย่างว่าง่าย ทุกๆ วันเขาจะฆ่าคนหลายรายและตัดหัวเพื่อเอาไปให้ภรรยาใหม่มาเล่นที่บ้าน ฆ่าๆๆ และเมื่อเวลาผ่านไปนานวัน หัวคนก็เริ่มเต็มบ้านชิเกมารุ และหัวคนเหล่านั้นกลายเป็นของเล่นให้แก่ภรรยาใหม่ เป็นเครื่องประดับบ้านล่ะ เอามาเสริมสร้างจินตนาการบ้างละ หรือเอามาแต่งสวยบ้างละ แล้วแต่ใจว่าเธอต้องการแบบไหน

                    ขอบอกว่าโรคจิตมากๆ

                    เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ชิเกมารุรู้สึกซึมเศร้าและเบื่อที่จะฆ่าคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อเอาใจภรรยาใหม่ผู้ไม่รู้จักพอ เขาบอกภรรยาใหม่ของเขาว่าตนจะเลิกฆ่าคนแล้วกลับไปเป็นโจรภูเขาอีกครั้ง และภรรยาใหม่ตัดสินใจตามเขาไปด้วย และเมื่อพวกเขาเดินผ่านต้นซากุระที่บานสะพรั่งที่อยู่ระหว่างทาง ซากุระได้เผยเห็นรูปร่างจิตใจแท้จริงภรรยาใหม่ผู้สวยงามนั้นกลายเป็นผีแก่ที่หน้าตาอัปลักษณ์ ชิเกมารุตกใจภาพลักษณ์จิตใจที่แท้จริงของภรรยาใหม่เลยเผลอฆ่าบีบคอเธอตายไป และวาระสุดท้ายชิเกมารุก็ขาดใจตายล้มลงกับพื้นท่ามกลางกลีบซากุระที่ร่วงหล่นอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เป็นอันปิดฉากหญิงโสดชายชั่วในที่สุด

                    
                   หลังจากที่ได้ดู เป็นตอนที่ผมชอบมากที่สุด ในจำนวนทั้ง 6 เรื่องที่การ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพที่สวยงาม ตัวละครที่น่ารัก โดยเฉพาะภรรยาสาวแว่นตัวน้อยๆ ที่ออกมาแต่ละครั้งได้สร้างรอยยิ้มแก่ผู้ชมในบางโอกาส อีกทั้งมุกตลกเรียกเสียงฮาก็เพลิดเพลินน่าดูอย่างยิ่ง แต่กระนั้นจุดเด่นของการ์ตูนตอนนี้คือความน่ากลัวของจิตใจของคน โดยมีตัวหลักคือโจรภูเขาชิเกมารุที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เขามักอธิบายเหยื่อของเขาก่อนปล้นว่า “ฉันอาจจะเป็นโจร แต่ฉันก็เป็นโจรที่ดี และเขาจะไม่ฆ่าใครหากเขาไม่คิดจะฆ่าฉันก่อน” ยึดถือหลักการเหล่านี้เรื่อยมา จนกระทั้งไปเจอสาวสวย และด้วยความสวยของเธอกลับกลายทำให้เขาขาดหลักการที่ยึดมั่นไปทั้งหมด ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเธอ

                    
                  ในตอนปลายต้นเรื่องฉากหญิงสาวไม่พอใจกับอาหารที่โจรภูเขาชิเกมารุเอามาให้ และเธอต้องการไปใช้ชีวิตในเมืองหลวง ชิเกมารุบอกเธอว่าเขาเวลาอีกสามวัน เพื่อให้เขาเผชิญกับใต้ต้นซากุระ เขาหวังว่าเขาจะเอาชนะความกลัวซากุระนี้ให้ได้ และเมื่อเขาเอาชนะได้ เขาก็อาจเอาชนะความเอาแต่ใจของภรรยาใหม่คนนี้ได้เช่นกัน หากแต่สุดท้ายชิเกมารุก็ทำไม่สำเร็จ ความกลัวใต้ต้นซากุระนั้นมันฝังเข้าไปจิตใจของเขาไปเสียแล้ว อีกทั้งความกลัวใหม่ก็เข้ามาในชีวิตของเขาเช่นกันนั้นก็คือ “กลัวภรรยาใหม่จากเขาไป”

                    นอกจากนั้น ผมได้ยินพิธีกรพูดตอนต้นเรื่องที่บอกว่าผลงานของคนเขียนซาตากุจิ อังโกะนั้นเน้นการนำเสนอเรื่อง “ความเสื่อมโทรม” ที่เกิดจากสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองเข้าไปในนิยายที่เขาแต่ง ถ้าหากเอาเรื่องความเสื่อมโทรมมาใส่การ์ตูนเรื่องนี้ สิ่งที่ได้คือ ชิเกมารุเปรียบเสมือนโจรที่มีลักษณะวิถีชีวิตดั่งเดิม เขามีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ(โจรกับธรรมชาติ, ผู้หญิงกับหมูป่า) สิ่งเหล่านี้ดำเนินไปอย่างช้าๆ และราบเรียบ แต่สิ่งเหล่านี้กลับพังทลายเสื่อมโทรม(ทั้งด้านวัตถุและจิตใจ)ลงไปอย่างรวดเร็วหลังจากการปรากฏตัวของภรรยาใหม่(ความทันสมัย, เมือง)นั้นเอง

                    
                   ในฉากสุดท้าย ชิเกมารุฆ่าภรรยาใหม่เนื่องจากเขาได้เห็นจิตใจที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น ตีความอย่างหนึ่งคือมนุษย์ที่ปฏิเสธความทันสมัยเพื่อจะอยู่กับธรรมชาติกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะโดดเดี่ยวก็ตาม มันเหมือนกับคนป่าที่ไม่ต้องการตัวอักษร ชาวเขาที่ไม่ต้องการมือถือ แม้พวกเขาจะโดดเดี่ยวเขาก็มีความสุข มีกินมีใช้

                    และฉากจบของเรื่องชิเกมารุก็ขาดใจตายใต้ต้นซากุระที่เขาเกลียด แต่หน้าตอนตายเขานั้นเบิกตาโพลงแล้วมีรอยยิ้มอย่างพึ่งพอใจไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวแต่อย่างใดเลย

                    
                    ตอนที่ 9-10 ชื่อตอน “วิ่งสิ! เมลอส!” การ์ตูนดัดแปลงจากบทประพันธ์เรื่องสั้นชื่อดัง ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลงานของดาไซ โอซามุ เรื่อง Run!  Melos! โดยอ้างอิงจากบทกวีที่ประพันธ์ของนักเขียนชาวเยอรมันชื่อฟริดริช  Friedrich Von Schiller (ค.ศ. 1759 - 1805) ส่วนปกใช้นักเขียนการ์ตูนทาเคชิ โคโนมิ (มีผลงานใน The Prince of Tennis) มีส่วนร่วมในการออกแบบตัวละคร  กำกับโดย เรียวสุเกะ นากามุระ (Mouryou no Hako)

                    “วิ่งสิ! เมลอส!” ได้นำเสนอจิตใจมนุษย์ไว้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนรัก, หักหลัง, หลอกลวง และเข้าใจผิด ภายใต้หัวข้อใหญ่ที่ว่า “คนที่รอคอยนั้นทุกข์ทรมานมากกว่า...หรือว่าคนที่ให้ผู้อื่นรอคอยนั้นทุกข์ทรมานมากกว่า” โดยการ์ตูนเรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นการ์ตูนที่มีเนื้อหาดีที่สุดในจำนวน 6 เรื่องทั้งหมด(เนื้อหาดีทุกเรื่องแหละครับ) มีนักวิจารณ์บางคนให้คะแนนเต็ม 20 ทั้งๆ ที่มีคะแนนเต็มมี 10 คะแนนเท่านั้น

                     “วิ่งสิ! เมลอส!” นั้นในการ์ตูนแบ่งเป็นสองมุมมองสลับไปมา โดยมุมมองแรกกล่าวถึงยุคสมัยกรีก ที่ครั้งหนึ่งในเกาะซิซิลี  มีราชาองค์หนึ่งที่จิตใจโหดเหี้ยมและปกครองบ้านเมืองแบบทรราชย์  ราชาองค์นี่ไม่เชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ และความดีงาม เขาเชื่อว่าจิตใจของคนเรานี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว เชื่อใจกันไม่ได้ พระองค์ได้สั่งประหารและฆ่าประชาชนของตัวเองมากมาย จนเดือดร้อนไปทั่ว ในเวลานั้นเองมีเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะคนหนึ่งนามเมลอส เขารู้สึกเดือดดาลกับการกระทำของกษัตริย์องค์นี้มาก เขาเลยลุกขึ้นต่อต้าน และสู้กับราชาองค์นั้น แต่แล้วเขาก็พ่ายแพ้และถูกจับกุม เมลอสถูกตัดสินประหารฐานก่อการกบฏ แต่ก่อนประหารเขาได้ยื่นคำขอร้องสุดท้ายแก่ราชาว่า เขาต้องการกลับบ้านเพื่อจัดพิธีแต่งงานให้แก่น้องสาวคนเดียวของก่อน เขาขอร้องราชาปล่อยตัวเขา 3 วัน เพื่อเขาจะกลับบ้านเกิดและเมื่อถึงเวลากำหนดเขาจะกลับมาเพื่อรับโทษ

                    
                    ราชาได้ยินคำร้องขอของเมลอสก็หัวเราะเป็นภาษากรีก เนื่องจากเขาไม่เชื่อความซื่อสัตย์ของมนุษย์  เมลอสเลยเสนอ ว่าเขาจะให้ตัวประกันมาแทนที่เขา ซึ่งเป็นเพื่อนรักชื่อ “เซลลินันเทียส” เป็นช่างหินในเมือง และเซลลินันเทียสก็ยินดีที่อาสาเป็นตัวประกันให้เมลอสได้เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเดิมของเขา
      และเมลอสให้สัญญาว่าจะกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดินในวันที่สามตามเงื่อนไขของราชาเพื่อรับโทษ 

                    ราชาได้ยินก็ตกลง เพราะเขาไม่เชื่อความซื่อสัตย์ของมนุษย์ เลยอยากลองใจเมลอสดู และคิดว่าเมลอสจะไม่ทำตามคำพูด และเขาจะได้ฆ่าตัวประกันนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกัน

                    
                    หลังจากที่งานแต่งงานของน้องสาวของเขาเสร็จสิ้นลง เมลอสก็หมดห่วงเรื่องของน้องสาว เขาจึงรีบเดินทางกลับหาราชาตามสัญญาและรักษาชีวิตของเพื่อนรักที่ไว้ใจเขา แต่แล้วเส้รนทางขากลับนั้นเต็มไปด้วยวิบากกรรมกว่าขามาอีก เพราะสะพานที่หุบเขาได้พังเพราะกระแสน้ำท่วมบ่ารุนแรงเพราะพายุฝนที่ตกหนัก เมลอสพยายามไต่หน้าผาและว่ายข้ามกระแสน้ำที่ไหลบ่าอย่างรุนแรงจนสำเร็จ แต่แล้วระหว่างทางเขาถูกกลุ่มโจรซุ่มโจมตี เขาพยายามต่อสู้และหนีโจรมาได้ หากแต่มาถึงตอนนี้เขาหมดพลัง ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้น อีกทั้งนี้ก็ถึงวันที่สามและพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินแล้ว เขาจึงได้แค่ล้มตัวกับพื้นและเริ่มมีความคิดล้มเลิกความสัญญาอันนี้

                    แต่แล้วเมลอสก็ปลุกเร้าจิตวิญญาญอีกครั้ง เขาขจัดความขลาดความท้อแท้จนหมดสิ้น เขาตั้งมั่นว่า “ยังมีคนรอฉันอยู่ และคนๆ นั้นเชื่อใจฉัน ฉันจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันมีค่าพอที่จะเชื่อใจ”

                    “วิ่งสิ! เมลอส!

                    
                   เมลอสวิ่งอย่างรวดเร็ว และแล้วเขาก็ถึงที่หมายได้ทันตามที่กำหนด เขาสามารถรักษาชีวิตเพื่อนรักจากการถูกราชาประหารพอดี และแล้วราชาองค์นั้นก็ได้เห็นความตั้งใจและการรักษาสัญญาของเมลอส เขาเชื่อว่าความซื่อสัตย์มีอยู่จริง ราชาได้กลับตัวเป็นคนดี และไว้ชีวิตเมลอสและเพื่อนของเขาในที่สุด

                   
                   ในมุมมองที่สอง เป็นช่วงในโลกแห่งความจริงของนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ “ทาคาดะ” เขาได้รับงานเรื่องวิ่งไป! เมลอส! จากบก. ให้เขาเขียนบทละครเรื่องนี้เพื่อใช้งานเวทีการแสดง ตอนแรกเขาไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อระหว่างที่เขาลงมือเขียนบทปรากฏว่ามันได้แทงใจดำของเขาไปเต็มๆ เนื่องจากชีวิตของเขานั้นคล้ายเรื่องเมลอส เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดเมื่อช่วง 15 ปีก่อนที่เขาไม่เคยลืมเลือน

          ตอนนั้นเขายังเป็นนักศึกษาเกี่ยวกับการละคร ที่บ้านเกิด เขาเคยมีเพื่อนรักคนหนึ่งชื่อ “โจชิมะ” ที่เขาเทิดทูนและรักเพื่อนรักมาก เนื่องจากเพื่อนคนนี้คอยให้กำลังใจเวลาที่เขาสิ้นหวังมาโดยตลอด

          แต่แล้ววันหนึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป เมื่อวันนั้นเพื่อนรักของเขาได้เชิญชวนเขาหนีไปยังโตเกียว เนื่องจากปัญหาทางครอบครัวของเพื่อนรัก ทาคาดะตอบตกลงจะหนีไปพร้อมกับเขาเพราะเราเพื่อนรักกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน แต่เมื่อถึงวันหนีไปโตเกียว ปรากฏว่าเขาถูกทอดทิ้ง เพื่อนรักของเขาไม่มาตามนัด ทาคาดะคิดว่าเขาโดนเพื่อนรักหักหลัง

          
                   และแล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็พบแต่เรื่องประสาทหลอนเกี่ยวกับวันนั้นเสมอ เขาไม่สามารถอภัยเพื่อนรักที่ทรยศเขาในวันนั้นได้ และตั้งแต่ 15 ปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้พบเพื่อนรักคนนี้อีกเลย และไม่รู้ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาคิดว่าเขาถูกทิ้งจนเป็นทุกข์ในการรอคอยในครั้งนี้ ส่วนเพื่อนรักของเขานั้นคงสุขสบายมีครอบครัวและคงลืมเขาไปแล้ว

         พยายามที่จะลืมและพยายามลบความทรงจำในวันนั้นให้ได้ แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถลืมในวันนั้นได้เลย เขาเปรียบเสมือตัวเองเป็นเซลลินันเทียส ส่วนเพื่อนรักของเขาคือเมลอส แต่เมลอสในชีวิตของเขานั้นกลับหักหลังเขา ปากบอกว่าสัญญาแต่พอเอาเข้าจริงกับทำอีกอย่าง คนโกหก หลอกลวง ไม่ควรให้อภัย

         ทาคาดะคิดแต่ความหลังจนงานที่เขาได้รับมอบหมายไม่คือหน้า กำหนดส่งงานเลยเกินกำหนดมาหลายวัน ในขณะที่ทาคาดะกำลังสิ้นหวังอยู่นั้นเอง เขาก็ได้รับจดหมายและพบว่าเพื่อนรักของเขาป่วยหนักใกล้จะตายเพราะโรคร้าย ทาคาดะได้กลายเป็นเมลอสวิ่งจับรถเพื่อไปดูใจเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้าย และแล้วเขาก็รู้ความจริงว่า เพื่อนรักของเขาก็เป็นทุกข์การรอคอยไม่แพ้กับตัวเองเลย....

                   ตอนจบก็มีมุกนิดๆ ตรงที่ไม่เพียงแต่ทาคาตะกับโจชิมะเท่านั้นที่เป็นทุกข์จากการรอคอย หากมีทีคนที่เป็นทุกข์พอๆ กับพวกเขานั้นคื อ บก. คนที่รองานของทาคาตะนั้นเอง....

                    
                    หลังจากได้ดู ถ้าเด็กสมัยนี้มาดูก็คงบอกว่า “เกย์” “วาย” หรือเปล่าเนี้ย อารมณ์พอๆ กับหนังเรื่องเพื่อนกูรักมึงว่ะ” ประมาณนั้น แต่ถ้าคนสมัยก่อนอย่างผมมาดูก็เป็นอารมณ์ของเพื่อนรัก ที่เพราะความเข้าใจผิด ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ดูแล้วคิดได้อย่างหนึ่งคือเวลาคนรักรักกันนั้นจะรักปานจะกลืนกิน แต่หากเกลียดกันละก็จะเกลียดชนิดไม่ต้องมาเผาผีกันเลยทีเดียว

                    ด้านคุณภาพไม่มีอะไรจะติเลยจริงๆ ภาพที่สวยงาม การเคลื่อนไหว เพลง น่าพิศวง ดีเยี่ยม จนดูเหมือนว่าได้ดูภาพยนตร์ดีๆ เรื่องหนึ่งและการดำเนินเรื่องสองมุมมองระหว่างตัวละครในโลกแห่งความจริงกับโลกแห่งบทละคร แสดงให้เห็นชัดเลยว่าชีวิตจริงไม่แตกต่างละครเลย

                    ที่น่าสังเกตคือตอนต้นในมุมมองของ เป็นช่วงที่สองคนเล่นโรมิโอกีบจูเลียส เป็นละครโศกนาฏกรรมประพันธ์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ แต่งในปี ค.ศ. 1595 สัญลักษณ์ของความรักไม่สมหวัง ไม่มีทางเป็นไปได้  เปรียบเสมือนความรักชายกับชาย(ทาคาตะกับโจชิมะ) นั้นเอง

            

    ตอนที่ 11 มีชื่อว่า ใยแมงมุมกำกับโดยอัตซึฮิโกะ อิชิซึกะ (ผู้ช่วยผู้กำกับจาก MapleStory) และคุโบะคนวาดบลิซม่าเป็นคนออกตัวละคร การ์ตูนดัดแปลงจากนิยายของอาคุตะงาว่า ริวโนซึเกะ ในชื่อ The Spider’s Thread (Kumo no Ito) ตีพิมพ์เมื่อปี 1918  ด้วยมี ที่มีฉากหลังเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่สวยงาม บ้านเรือนมีสีสันสดสวย ผู้คนเต้นรำอย่างมีความสุข หากแต่มีดินแดนแห่งนั้นมี นักฆ่าคนหนึ่งชื่อ คันดาตะ ที่ชั่วร้ายมาก ฆ่าคนเหมือนผักปลา เขาฆ่าแม้กระทั้งคนที่อยู่บ้านเฉยๆ ด้วยความอำมหิต ทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อน จนทางการต้องการจับตัวเขามาลงโทษอย่างมาก

                   

                    วันหนึ่งนักฆ่าก็พลาดท่าได้รับบาดเจ็บ เขาหนีตามทางซอกซอยเรื่อยๆ เขาก็พบกับแมงมุมตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ตอนแรกเขาจะฆ่าแมงมุมนี้เล่นๆ หากแต่ตอนท้ายก็ไม่ทำ พร้อมกับพูดว่า แม้สัตว์ตัวเล็กขนาดนี้มันก็มีชีวิตเหมือนกันสินะ ถ้าจะปลิดชีวิตน้อยๆ ของเจ้าทิ้ง... มันก็ดูน่าสงสารน่ะสิ”(คำพูดของนักฆ่านี้มีอยู่ในนิยาย The Spider’s Thread หน้า 38) และแล้วนักฆ่าก็หนีไม่รอด ถูกทางการจับตัวมาลงโทษโดยการประหารชีวิต และเมื่อตาย เขาก็พบว่าตนเองอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง ที่คาดว่าจะเป็นนรก...

    น่าสังเกตนรกในเรื่อง ใยแมงมุมนั้น เป็นดินแดนที่สวยงาม เต็มไปด้วยสีสัน และความแปลกตาพิศวง แต่กระนั้นในความสวยงามเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยอันตรายและความเจ็บปวด หากไม่ใช้เป็นที่กายแต่เป็นที่ใจ ที่มีแต่เสียงเย้ยยัน ภาพบาปที่ปรากฏอยู่ตรงข้างหน้าคันดาตะปรากฏออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน คันดาตะต้องตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในขณะที่คันดาตะกำลังทนทุกข์ทรมานนั้นเอง ที่เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏแสงใยแมงมุมสายเส้นหนึ่ง มันมีไว้ให้เขาปีนขึ้นไป....ใยแมงมุมหนี่งสายนั้นก็หมายถึงความดีครั้งเดียวที่คันดาตะได้ทำในขณะที่มีชีวิตอยู่

                   

    แต่ความดีครั้งเดียวในชีวิตของคันดาตะนั้นไม่ได้ช่วยให้เขาออกจากนรกผืนนี้ได้ เพราะในขณะที่เขากำลังปีนใยแมงมุมออกไปนั้นเองเขาก็พบว่านอกจากเขาแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พยายามปีนใยแมงมุมร่วมกับเขาด้วย มันก็คือ บาปทั้งหลายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าตัวนั้นเอง........

     

    และตอนที่ 12 ซึ่งเป็นตอนจบชุดซีรีย์นี้ช่างเป็นตอนที่ยิ่งใหญ่และน่าขนลุกเหลือเกินในชื่อตอน หรือ“ภาพนรก” ดัดแปลงจากวรรณกรรม Hell Screen ตีพิมพ์เมื่อปี 1918 ผลงานของอาคุตะคาวะ ริวโนสุเกะ  นักเขียนคนนี้วรรณกรรมที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ว่าปั่นปลายชีวิตนี้ผลงานเขาไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เขาเกิดความทุกข์ทรมานและเครียดจนกระทั้งฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1927 ซึ่งเขาได้เขียนจดหมายลาตายว่า “ผมรู้สึกกังวลใจในอนาคตที่พร่ามัวนั้นเหลือเกิน”

    ดังนั้นตอนเรื่องนี้จึงนำเสนอเรื่องราวการอุทิศอะไรสักอย่างทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าอนาคตนั้นช่างมืดหม่นและสิ้นหวัง

    ดังนั้นการ์ตูนเปิดฉากออกมาเป็นโลกแฟนตาซีเดียวกับนักฆ่าในตอนที่ 11 ที่ฉากหลังเป็นฉากบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามและสีสัน หากแต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความโหดร้าย, ทารุณ สังหารหมู่ การปกครองแบบเผด็จการของราชาที่หลงตัวเอง

    วันหนึ่งราชาได้เรียกนักวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อ “โยชิฮิเดะ” เพื่อไปทำงานวาดภาพมหากาพย์ในสุสานราชวงศ์โดยราชาตั้งโจทย์วาดภาพว่าให้วาดทิวทัศน์ของประเทศนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

    พอดีในตอนนี้ “โยชิฮิเดะ”  ทุกข์ทรมานใจอย่างมากเนื่องจากเขาได้เห็นความจริงของประเทศนี้ที่ไร้ซึ่งความสุข เต็มไปด้วยความทุกข์และความโหดร้าย จากนั้นเรื่องราวการ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้นำเสนอนักวาดคนนี้ที่อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเพื่อศิลปะ

    ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั้งลูกสาว!! ของเขาเอง


              หลังจากดูเรื่อง 12 เรื่องของซีรีย์นี้จบสรุปได้ว่า ตัวเองแต่ละคนในแต่ละตอนนั้น ล้วนแต่มีความทุกข์และความกลัวในจิตใจทั้งสิ้น หากแต่พวกเขานั้นจะมีวิธีจัดการแก้ปัญหาความทุกข์นี้อย่างไร อย่างที่เราดูตัวอย่างในแต่ละตอนที่วิธีการแก้ปัญหาแตกต่างออกไป บางคนพยายามหนีปัญหา, บางคนพยายามแก้ไขปัญหา, บางคนทำให้ปัญหายุ่งยากขึ้น และผลลัพท์ที่ออกมาจะดีหรือเลวนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรา

    หลายๆ จะเขียนว่าเรื่องนี้สยอง บ้างก็ว่าบวก 18 หากแต่ผมดูแล้วมันไม่สยองสักนิด มันรู้สึกกดดัน, อึดอัด, ขัดใจ ในการกระทำของตัวเอง อย่างเรื่อง “Kokoro (ช่วงต้น)” ผมแทบอึดอัดกับพระเอกอย่างมากที่เอาเพื่อนมาอยู่ในบ้านผู้มีพระคุณแล้วเพื่อนคนนั้นดันกินบนเรือนขี้บนหลังคา แต่ออกปากไล่ก็ไม่กล้า เพราะเพื่อนคนนั้นหน้ากลัวสูงอย่างกับยักษ์ปักหลักขื่นออกปากไล่มีหลังได้โดนฆ่าโหดแน่นอน

    แต่แล้วเรื่องดันพลิกผัน เมื่อ “Kokoro (ช่วงหลัง)” กลับนำเสนอเพื่อนพระเอก ร่างยักษ์แต่ใจปลาซิว ที่กลัวพระเอกชนิดเรียกว่าไม่กล้ามองหน้าเนื่องจากเขาได้ทำให้เพื่อนของเขาผิดหวังในตัวเขา และเขาแก้ปัญหาเหล่านี้โดยฆ่าตัวตาย! สิ่งเหล่านี้กลายเป็นว่าผู้ดูเองมีความคิดดำมืดเหมือนกัน เพราะตอนแรกเรามองเพื่อนพระเอกเลว และสาปแช่งเขา ทั้งนี้เป็นเพราะเรามองแต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างเดียว โดยไม่มองจิตใจข้างในของคนอื่น

    ดังนั้น Aoi Bungaku series จึงเป็นการ์ตูนทดสอบจิตใจคนดูว่าคุณมีจิตใจด้านมืดหรือเปล่า และเรามีความทุกข์เหมือนตัวละครในเรื่องไหม และสุดท้ายคุณมีวิธีการจัดการความทุกข์นี้ได้อย่างไร

    ดูเหมือนว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีปัญหาเหมือนๆ กับเราคือเด็กสมัยนี้อ่านหนังสือน้อยลง วรรณกรรมเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยอักษรคันจิที่เด็กเข้าใจยากนั้นเด็กสมัยนี้ไม่สนใจอ่านอีกแล้ว ทำให้หลายๆ ฝ่ายพยายามจะแก้ปัญหาต่างๆ โดยการใช้การ์ตูนเป็นสื่อดึงดูดให้เด็กๆ และเยาวชนรุ่นใหม่หันมาสนใจบ้าง อย่างเช่นวรรณกรรมเก่าทำปกเป็นการ์ตูนเพื่อดึงดูดให้ดูน่ารักสดชื่นขึ้น หรือการเอาวรรณกรรมเก่ามาทำเป็นการ์ตูนอย่าง Aoi Bungaku series

    สรุป สนุกครับอยากให้คนอื่นหันมามองการ์ตูนเรื่องนี้หน่อย ดูแล้วไม่ผิดหวังครับ  

    + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×