ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #46 : Gakko-no Kowai Uwasa เมื่อผีดีโดนกล่าวหาว่าเป็นผีเลว

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 53


                    สวัสดีปีใหม่ครับ แฮ่ๆ ปีนี้ก็ไม่มีอะไรมากมายครับ ก็แค่วันเปลี่ยนปฏิทินใหม่ บทความก็เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้จะเน้น “เรื่องจริง” กับ “การ์ตูน” มากขึ้น ส่วนฆาตกรนี้นานๆ จะอัฟครั้งครับ ขี้เกียจเขียนแล้วละฆาตกร

                    การ์ตูนที่มาเล่าในช่วงปีใหม่นี้ คนอื่นคงจะนึกละสิว่าเป็นการ์ตูนใหม่ เหอๆ แต่กลับกลายเป็นการ์ตูนเก่าไปเสียได้ เนื่องจากอยากเล่าเรื่องผีๆ สักหน่อยครับ ตอนแรกจะเอาเรื่อง "ภูต ผี ปีศาจ" มาเล่า แต่มันยังไม่จบอ่ะ สยามดองแล้วมั้ง เลยเอาอีกเรื่องนี้มาเล่าแทน

     


    Gakko-no Kowai Uwasa

    ลิขสิทธิ์โดยวิบูลย์กิจ

     

                    “โรงเรียนเฮี้ยน” การ์ตูนที่จะมาเล่าตอนนี้ออกจะเก่าๆ สักหน่อยนะครับ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงรู้จักกันอยู่บ้าง เพราะว่าเป็นเรื่องที่กล่าวถึงพอสมควร พอๆ กับการ์ตูนเรื่องชั่วโมงเรียนพิศวง

                    การ์ตูนเรื่องนี้กรุณาอย่าไปจับสลับกับเรื่อง Gakko-no Kowai นะครับ มันคงละเรื่องกันเลย

                    ในสมัยก่อนนั้น “เรื่องผี” มักแฝงอยู่ในคติและความเชื่อของชาวญี่ปุ่นในสังคมพื้นบ้านญี่ปุ่น โดยผีญี่ปุ่นมีหลายแบบ บ้างก็เป็นเทพ, บ้างก็เป็นวิญญาณร้ายทำร้ายผู้คน หรือเกิดอาเพศต่างๆ นาๆ

                    “เรื่องผี” ของคนญี่ปุ่นสมัยก่อนใช้วิธีการพูด(KSIDAN) มากกว่าจะบันทึก ในการเผยแพร่เลยผีๆ ให้คนอื่นทราบ และการพูดนี้ได้ถูกนำมาใช้รูปแบบของเกมที่เล่นเกมของเด็กๆ ในเวลากลางคืนที่เรียกว่า “การเล่าเรื่องผี 100 เล่มเทียน”

                    การเล่าเรื่องผีแบบนี้ มักทำในฤดูร้อน โดยเป็นการรวมกลุ่มของเด็กๆ ประมาณ 5-6 คน นั่งล้อมวงในความมืดจากนั้นก็จุดเทียน 100 เล่ม แล้วผลัดกันเล่าเรื่องสยองขวัญ และเมื่อเล่าจบผู้เล่าเรื่องผีนั้นๆ จะต้องดับเทียนไปทีละเล่ม เล่ากันว่าหากเทียนสุดท้ายดับลงผีตัวจริงจะปรากฏตัวให้เห็น

                    แต่เดี่ยวนี้การเล่าเรื่องผีโดยวิธีนี้มันล้าสมัยไปแล้ว ความทันสมัยจากโลกภายนอกเริ่มเข้ามาในญี่ปุ่น ส่งผลให้เรื่องผีเหล่านี้ถูกเผยแพร่ในรูปแบบที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ละคร อินเตอร์เน็ต นิยาย และสุดท้ายก็การ์ตูนก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เผยแพร่เรื่องผีให้คนญี่ปุ่นทราบ นอกจากนี้สื่อเหล่านี้ได้เผยแพร่ผีญี่ปุ่นจนโด่งดังไปทั่วโลก รวมทั้งชาวไทยก็ได้รับรู้เหมือนกันว่าผีญี่ปุ่นเป็นแบบนี้นี่เอง และที่น่าสังเกตคือเรื่องผีก็เริ่มพัฒนาขึ้นจากผีพื้นบ้านที่เอาแต่หลอกผู้คน ก่อกวนผู้คน กลายเป็นผีที่เข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น แม้ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศล้ำยุค ผีก็ต้องล้ำยุคเช่นกัน ผีเริ่มพัฒนาหันมาใช้ของไฮเท็คขึ้น และพัฒนาความสามารถด้วยการสามารถฆ่าคนได้

                    แน่นอนสิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำมาใส่ลงใน Gakko-no Kowai Uwasa หรือชื่อไทยว่า "โรงเรียนเฮี้ยน"

                    โรงเรียนเฮี้ยนเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นวาดโดย Miyuki Hikita  เรื่องโดย Tadashi Agi มี 5 เล่มจบ ตีพิมพ์หลายครั้งมากจนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้ว(คงจะมากกว่า 3 ครั้ง) เนื่องจากมีเนื้อหาค่อนข้างสนุก ตื่นเต้น สยองขวัญ และลายเส้นยังถือว่าไม่ตกยุคเลยแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม(พิมพ์ภาษาไทยครั้งแรก ปี 1995)

                    ผมได้ดูการ์ตูน “โรงเรียนเฮี้ยน” ครั้งแรกถ้าจำไม่ผิดตอน ป.6 (ประมาณ 1996)เรื่องนี้ตอนแรกคือตอน “ทีวีหรรษา” พบว่าลายเส้นนั้นดูหนักแน่น เนื้อหาง่ายๆ เข้าใจง่าย จบใน 1- 2 ตอน ส่วนเนื้อเรื่องในการ์ตูนเรื่องนี้บ้างก็เอามาจากเรื่องเล่าของเด็ก หรือจากจดหมายของคนทางบ้าน แต่ส่วนมากเรื่องที่เล่านั้นเป็นข่าวลื่อในแต่ละท้องถิ่นมากกว่าจะเป็นเรื่องแต่งเสริมจินตนาการ เช่น ฮานาโกะในห้องน้ำ, คนท่อ, คุณครูแบคทีเรีย, คุณครูในสระว่ายน้ำโรงเรียน เป็นต้น ที่เรื่องเหล่านี้มีมูลมาจากเรื่องเรื่องเล่าที่มีจริงและเป็นเรื่องเล่าเรื่องผีที่สุดฮิตของญี่ปุ่นที่ถูกถ่ายทอดเป็นการ์ตูนเรื่องนี้

                    เนื้อหาแสดงความหวาดกลัวของมนุษย์ต่อสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งเนื้อหาแต่ในแต่ละตอนส่วนใหญ่จะเน้นที่ตัวเอกไปเจอสิ่งลึกลับจ้องเอาชีวิตเข้า ตอนแรกพระเอกไม่เชื่อ จนกระทั้งสิ่งลึกลับได้ฆ่าเพื่อนตัวเอกตายไป(เสมือนกลับเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู) ตัวเอกเห็นเพื่อนตายก็เกิดอาการหวาดกลัวสุดขีด ตัวเอกจำเป็นต้องหนี พยายามหนี แต่สิ่งลึกลับโรคจิตไม่วาย(โรคจิตจริงๆ เพราะมันไม่มีเหตุผลให้ฆ่าตัวเอกนี้ มันไม่มีความแค้นตัวเอกสักหน่อย) เมื่อตัวเอกหนีไม่ได้ก็สู้ และผลต่อสู้นั้นจะจบแบบเป็นหรือตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับดวง(ส่วนมากตัวเอกจะรอด)

                    ผีที่ปรากฏในการ์ตูนเฮี้ยนส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบจำพวกโอบะเกะ(Bakemono)ผีในรูปสิ่งของ,สัตว์,คน(เช่นตอน สุนัขไร้หัว, ทีวีหรรษา, วีดีโอเกมส์ต้องสาป,ป้าทาก ) นอกจากนี้ยังยูเร(Yurea) คือวิญญาณตายโหงแบบไม่รู้ตัว มีความอาฆาตพยาบาลหรือมีเรื่องค้างคากับโลกภพนี้อยู่จนไม่สามารถไปเกิดได้ พวกมันมักปรากฏตัวในกลางคืนแต่ก็สามารถออกมาในกลางวันได้เช่นกัน(เช่นตอน เดวิด) และมีบางตอนก็มีผีส่วนผสมของโยไค(Youkai)หรือปีศาจเล็กน้อย(เช่น คนท่อ)

                    เนื้อเรื่องหลักของการ์ตูนแน่นอนต้องเป็น “โรงเรียน” ดังนั้นผีในการ์ตูนเรื่องนี้ที่นำเสนอจะเกี่ยวพันกับนักเรียนที่ประสบพบเจอเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ ที่น่าสยองขวัญ ขนหัวลุก

                    ชาวญี่ปุ่นมักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงเรียนที่น่ากลัวมากมาย ทั้งๆ ที่คนฟังต่างพูดว่า “ไม่อ้าว ไม่อยากเจออ่ะ” แต่ก็เด็กๆ เหล่านี้ชอบเอาเรื่องผีพวกนี้เล่าสู่กันฟังบ่อยๆ

                    โรงเรียนญี่ปุ่นส่วนมากมักเป็นอาคารโรงเรียนเก่าๆ สภาพโทรมๆ ที่มีประวัติการใช้งานมานาน ไม่ต่างจากโรงเรียนบ้านเรา และด้วยความมีประวัติยาวนานจึงไม่น่าแปลกที่มีเรื่องเหล่าผีมาเล่าสู่กันฟัง เช่น “นี่ๆ รู้ไหมอาคารหลังโน้นนะเคยเป็นป่าช้ามาก่อนนะ”(เนื่องจากสมัยสิ้นสุดสงครามโลก จำนวนประชากรของเด็กเพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐบาลเร่งสร้างโรงเรียนเพื่อรองรับเด็กให้มากที่สุด จนทำให้มีบางโรงเรียนทับทีสุสาน) ,หรือ 7 สิ่งลึกลับในโรงเรียนที่ส่วนมากมักเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพื้นที่,สิ่งของเก่าแก่ของโรงเรียน เป็นต้น

                    สมัยเด็กผมอ่านการ์ตูนเรื่องนี้กลัวมากครับๆ กลัวว่าถ้าเกิดตัวเองไปเจอเหตุการณ์ที่เหมือนในการ์ตูนเข้าจะทำอย่างไร สู้หรือหนี หรือหัวเราะกับซะตากรรมที่อยู่ข้างหน้า แต่เมื่อโตๆ ขึ้นผมมาอ่านอีกรอบความกลัวก็เริ่มกลายเป็นความสงสัย ประมาณว่า “ผีมันเล่นวีดีโอเกมส์เหรอ” “ผีญี่ปุ่นนี้โครตทันสมัยนะเนี้ยสิงในทีวีได้ด้วย” “มนุษย์ต่างดาวมันสิงคนเพื่ออะไรหว่า มันจะรุกรานโลกด้วยวิธีการบ้าๆ แบบนี้เหรอ” "แล้วผีนั้นมันแค้นตัวเอกอะไรหนักหนามันถึงได้ตามมาฆ่าถึงที่บ้านด้วย" อะไรประมาณนี้ เสียจินตนาการเด็กหมด.....เอออ

                    วันก่อนมีคนแอดมาหาผมว่าเคยได้ดูการ์ตูน “โรงเรียนเฮี้ยนไหม” ผมตอบว่า “ได้ดูสิ ดังพอๆ กับชั่วโมงพิศวงนี้”

                    แล้วเขาถามผมว่าสยองไหม ผมตอบว่า “ไม่สยอง” เขาถามว่าทำไม ผมตอบว่าเพราะผมดูการ์ตูนเรื่องนี้อีกมุมมองหนึ่ง

                    เขาถามว่าผมมองมุมมองไหน

                    ก็มุมมองที่อยู่ข้างล่างนี้แหละ

                   

                    ทำไม”ผีดี”เหล่านี้จึงกลายเป็น “ผีเลว” เอาล่ะ มาถึงหัวข้อสักที “เมื่อผีดีโดนกล่าวหาว่าผีเลว” ผมอ่านหลายตอนพบว่าในเรื่องผีเหล่านี้ มีหลายจุดที่ผมบอกว่าเป็น “ผีดี” กว่า “ผีเลว” แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวและความไม่รู้ของคนต่างหากที่ทำให้ผีดีเหล่านั้นกลายเป็นผีชั่วไป

                    บางทีเรื่องเล่าเหล่านั้น ผีที่ออกมาสร้างความเขย่าขวัญแก่ตัวเอกนั้นๆ อาจเป็นผีดีที่เป็นห่วงเป็นใยต่อตัวเอกก็ได้ การปรากฏตัวของมันเพื่อเตือนสติและเปลี่ยนนิสัยของตัวเอกให้เป็นคนดีขึ้น แต่ขึ้นชื่อว่า “ผี” รูปร่างของผีมักเป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว การแสดงออกที่ค่อนข้างรุนแรง จนเป็นเหตุทำให้เป็นที่หวาดกลัวต่อตัวเอกในเรื่อง และเมื่อตัวเอกเอาเรื่องนี้ไปเล่าก็ส่งผลต่อจิตวิทยาของเด็กๆ ที่ฟังจนกลายเป็นเรื่องเล่าสุดสยอง เสริมด้วย “อุปทานหมู่” คิดว่าเกิดเรื่องนี้แก่ตนบ้าง ทำให้เชื่อตามกันว่าผีตัวนั้นเป็นผีร้ายเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่จริง

                    งั้นเรามาดูแต่ละตัวอย่างในแต่ละตอนดีกว่าว่าผีที่ปรากฏในตอนนั้นๆ เป็น “ผีดี” หรือ “ผีเลว”

                    

                    เรื่องของเดวิด เป็นเรื่องเล่าประสบการณ์น่ากลัวในโรงเรียนที่ฮิต และพบว่ามีเรื่องลักษณะนี้ในหลายๆ พื้นที่ในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเรื่องเล่าว่าหากเด็กคนไหนกลับบ้านในคืนวันฝนตกหนักจะมีชายผิวขาวเหมือนชาวต่างชาติสะพายเป้เด็กประถมวิ่งตามเด็กที่เห็นเขาและถามหา “ร้องเท้าผมอยู่ไหน” ถ้าตอบว่า “รองเท้าอยู่ที่โรงเรียน” ชายผิวขาวจะหายไป แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างละก็ชายผิวขาวอาจฆ่าเด็กที่เจอเขาได้

                    ชายผิวขาวร่างยักษ์ฝนตกนั้นมีเรื่องเล่ามากมาย และมีที่มาหลากหลาย แต่ในการ์ตูนโรงเรียนเฮี้ยนจับที่มาตอนหนึ่งโดยบอกว่า ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งรูปร่างใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันถึงหนึ่งเท่าตัว เหมือนยักษ์ปักหลักจนทำให้คนรอบๆ ข้างเรียกเขาว่า “เดวิด”

                    “เดวิด” มีนิสัยแปลกอย่างหนึ่งคือเขาเกลียดอาหารชุบน้ำมัน และการสะพายเป้ที่เล็กไม่เข้าตัวเขาไว้ข้างหลังนั้นดูขบขัน  และด้วยความเป็นเด็กเรียบร้อยหัวดีและเล่นกีฬาเก่งเขาจึงโดดเด่นกว่าเด็กคนอื่นๆ จนเด็กคนอื่นกลั่นแกล้งเขา

                    เดวิดมีเพื่อนสนิทชื่อคาวานิชิ ที่กลับบ้านด้วยกันเสมอ ความจริงแล้วตัวคานาชิเองนั้นก็รู้สึกรังเกียจเดวิด แต่เพราะเดวิดคิดว่าคาวานิชิเป็นเพื่อนรักและด้วยท่าทางหน้ากลัวของเดวิดทำให้คาวานาชิไม่กล้าปฏิเสธเดวิด

                    วันหนึ่งด้วยเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างเดวิดกับคานาชิ เดวิดได้หายสาบสูญไปในระหว่างทางกลับบ้านในคืนวันฝนตกหนัก พวกผู้ใหญ่ออกตามหาเดวิดอย่างจ้าระหวั่น แต่ก็ไม่พบแม้แต่ศพเดวิด สิ่งที่พบมีเพียงแต่รองเท้ากีฬาเบอร์ 30 ของเดวิดตกข้างแม่น้ำเท่านั้น

                    2 สัปดาห์ต่อมา เรื่องเดวิดแทบจะลืมหายไปจากเด็กโรงเรียนแห่งนั้น แต่แล้วมันก็เกิดเหตุขึ้น เมื่อมีคนพบศพเด็กคนหนึ่งที่สภาพศพแปลกประหลาดแขนขวาถูกฉีดขาดด้วยพละกำลังมหาศาล ในตายอยู่ที่สะพานที่พบรอยเท้าเดวิด  ตำรวจสันนิษฐานว่ารถชน แต่เหล่าเด็กๆ ที่เห็นเหตุการณ์ต่างล่ำลือว่านี้ไม่ใช้รถทับแน่ๆ เพราะเด็กคนนั้นเคยกลั่นแกล้งเดวิดมาก่อน และวันที่เกิดเหตุนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากเด็กที่ชื่อเดวิดให้มาสะพานที่เกิดเหตุ หลายๆ คนชื่อว่านี้คือฝีมือเดวิดมาล้างแค้นคนที่มากลั่นแกล้งเขา

                    คาวานิชิทราบดีว่ารายต่อไปต้องเป็นเขาแน่แท้ เพราะเขาเคยหักหลังเดวิดจนทำให้เดวิดตาย และแล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รับโทรศัพท์ ปลายสายเป็นเด็กที่อ้างเดวิดเขาบอกว่า “จะไปหาที่บ้าน”......................................

                    หลังจากที่อ่าน เรื่องของเดวิดถ้าผมจำไม่ผิดในประเทศอเมริกาก็มีเรื่องเล่าคล้ายๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน ดูเหมือนเรื่องเดวิดจะมีที่มาจากเรื่องผีของตะวันตกผสมอยู่ ยิ่งเรื่องโทรศัพท์ก็ เอาเรื่องของ “คุณแม่รี่” กับ “ซาโตรุคุง” มาผสมด้วย ยิ่งให้เชื่อว่าเรื่องเดวิดมีการแต่งเติมเสริมเต็มค่อนข้างมากทีเดียว

                    เรื่องเล่าคุณแมรี่ครับ ลองไปอ่านดูว่าเหมือนของเดวิดไหม

                    http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=233049&chapter=75

                    
                    ผมมานั่งคิดดีๆ ก็พบว่า ผีเดวิดน่าสงสารไม่ใช้น้อย เพราะตอนเป็นคนโดนกลั่นแกล้ง โดนรังเกียจเพราะรูปร่างใหญ่โตเกินเหตุ พอตายมาวิญญาณก็ไม่ผุดไม่เกิด ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณที่ว่าวิญญาณจะไม่ยอมผุดไปเกิดหากมีความแค้นและมีความอาลัยต่อโลกนี้เหลืออยู่ ในกรณีของเดวิดนั้นเป็นทั้งสองอย่าง เดวิดแค้นเด็กที่กลั่นแกล้งเขา และเป็นห่วงคาวานิชิที่เป็นเพื่อนรักเขา

                    สิ่งที่ผมมานึกๆ ดูอีกก็คือ เดวิดสามารถฆ่าเด็กที่กลั่นแกล้งเขาได้เหรอ?? วิญญาณสามารถสัมผัสกลายเนื้อจนสามารถฆ่าคนได้หรือไม่ แน่นอนมันไม่น่าจะได้ ดังนั้นกรณีเด็กทีกลั่นแกล้งเดวิดตายน่าจะเป็นฝีมือรถทับมากกว่า แต่ คานิชิเชื่อสนิทใจว่าเป็นฝีมือเดวิด  และเชื่อว่าเดวิดจะมาฆ่าเขา ความจริงแล้วเดวิดที่เป็นผีนั้นมาหาคาวานิชิเพราะเป็นห่วงมากกว่าแก้แค้น แต่ในตอนนั้นคาวานิชิหวาดกลัว สับสน รู้สึกผิด บาปที่เขาทำกับเดวิดตอนเป็นคน ทำให้เขามองโลกในแง่ร้ายคิดว่าเดวิดจะมาฆ่าเขา ผลสุดท้ายเรื่องเลยจบแบบเศร้าๆ อย่างที่การ์ตูนนำเสนอ

                    ถ้าสมมุติเดวิดไม่มีจริงล่ะ เดวิดคืออะไรกันแน่ คำตอบอยู่ตอนท้ายเรื่องกับประโยคที่ว่า “ถ้าไม่อยากเจอเดวิด หนึ่งต้องไม่แกล้งคนอื่น” และ “สองถ้าเป็นไปได้วันฝนตกอย่าเดินออกจากบ้านคนเดียว” นั้นไงละเห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องเดวิดนั้นเกิดจากคำสั่งสอนของผู้ปกครอง ที่เตือนไม่ให้เด็กทำตัวแบบสองประโยคที่ว่า สิ่งเหล่านี้ถ้าผู้ปกครองเตือนบุตรหลานเฉยๆ แค่สองประโยคนี้ ส่วนมากเด็กมักไม่ทำตาม แต่หากผู้ปกครองใช้จิตวิทยาเสริมหน่อยเอาเรื่องผีมามาใช้ ก็จะช่วยมากขึ้น “อย่าไปข้างนอกคนเดียวเดี๋ยวเดวิดจะฆ่า” เด็กที่ฟังจะรู้สึกกลัวเพราะเด็กส่วนมากมักกลัวผี และถ้าไม่อยากเจอผีเขาจะต้องทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ เหมือนกับกรณีของไทยเราก็ใช้เรื่องผีมาใช้ในการเตือนเด็กๆ เหมือนกัน เช่น “ถ้าไม่นอนหลับระวังซีอุยจะมากินตับเด็กนะ”, “ถ้าร้องไห้ผีบ้าจะมาจับ”  เป็นต้น ซึ่งวิธีการสอนเด็กนี้ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันคือทำให้เด็กกลัว และขาดความมั่นใจขึ้น ดังนั้นวิธีที่ถูกควรใช้หลักเหตุและผลในการสั่งสอนเตือนเด็กๆ จะดีกว่า

                    

                    คุณครูแบคทีเรีย เป็นเรื่องเล่าที่ฮิตพอสมควรของเด็กญี่ปุ่น และเป็นต้นแบบนูเบ มืออสูรล่าปีศาจ(Hell Teacher Nube)

                    เรื่องเล่าน่ากลัวนี้การ์ตูนได้นำมาแต่งเป็นเรื่องคือ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีคุณครูคนหนึ่งสอนวิชาวิทยาศาสตร์ แต่คุณครูคนนี้แตกต่างจากคุณครูทั่วไปตรงที่ เขามักสวมถึงมือสีน้ำตาลทองที่ข้างซ้ายตลอดเวลา กลิ่นเหม็นฉุนเหมือนไข่เน่าจากมือครู พวกโรงเรียนต่างพารังเกียจเรียกว่า “ครูเชื้อโรค”

                    ครูเชื้อโรคค่อนข้างเป็นครูที่หน้าตาน่ากลัว และดูเหมือนเป็นครูที่สอนไม่ค่อยเก่งมากนัก ชั่วโมงที่เขาสอนส่วนมากเด็กในห้องไม่สนใจฟังเท่าไหร่ ในจำนวนนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งที่แสดงอาการไม่ชอบใจครูเชื้อโรคเป็นพิเศษ ชื่อโคตะ(นามสมมุติ) และวันหนึ่งครูเชื้อโรคทนไม่ไหวเลยลงโทษโคตะต่อหน้านักรียนในชั้น จนทำให้โคตะอับอายและเจ็บแค้นคุณครูเชื้อโรคอย่างมาก และวันนั้นเองโคตะจึงแกล้งแค้นคุณครูเชื้อโรคโดยเอาฉี่ตกใส่หัวครู และโคตะก็แกล้งคุณครูเชื้อโรคได้สำเร็จ หากในวันต่อมาโคตะก็หายสาปสูญไปเลย....

                    ในวันที่โคตะหยุดเรียน สึโตรุเพื่อนของโคตะที่อยู่ห้องเดียวกันเข้าไปทำความสะอาดห้องวิทยาศาสตร์ และเขาก็พบโครงกระดูกเด็กที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในห้องวิทย์ และเขาก็สังเกตโครงกระดูกนั้นผิดปกติคือที่ฟันของกระดูกไม่มีฟัน 1 ซี่ ซึ่งตำแหน่งฟันเหมือนโคตะไม่มีผิด

                    เท่านั้นแหละ สึโตรุก็เข้าใจเลยว่าคุณครูเชื้อโรคฆ่าโคตะและจัดการเลาะเอากระดูกโคตะมาตั้งโชว์ที่ห้องวิทย์ และระหว่างสึโตรุกำลังกลับบ้านนั้นเองเขาก็พบคุณครูเชื้อโรคที่ดักรอพบเขาอยู่ก่อนแล้ว หรือว่าคุณครูเชื้อโรคจะฆ่าสึโตรุเป็นเหยื่อรายที่สองกันแน่??

                    เป็นอีกเรื่องที่คุณครูเชื้อโรคโดนผิดๆ ว่าเป็นคนเลวเป็นฆาตกรฆ่าเด็ก จากที่อ่านมาสึโตรุไม่ไม่หลักฐานอะไรเลยที่เชื่อได้ว่าคุณครูเชื้อโรคเป็นคนฆ่าโคตะ  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะความเข้าใจผิดของสึโตรุเอง คุณครูเชื้อโรคมาดักรอสึโตรุหลังเลิกเรียนอาจเป็นเพราะเขาเห็นสึโตรุมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด และเขาพาเด็กไปบ้านเพื่อเลี้ยงสเต็กให้เด็กกิน ซึ่งเนื้อที่เอามาให้สึโตรุทานอาจเป็นเพียงเนื้อสัตว์ธรรมดามากกว่าจะเป็นเนื้อโคตะ แต่เวลานั้นสึโตรุเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัวมองคุณครูเชื้อโรคในแง่ร้ายเกินไป เนื่องจากคุณครูเชื้อโรคเป็นคุณครูที่ไม่มีความสัมพันธ์ทีดีต่อนักเรียน อีกทั้งสอนน่าเบื่อ จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดที่ทำให้เด็กๆ ในชั้นต่างเกลียดอาจารย์คนนี้และอาจมีการปล่อยข่าวลื่อเสียๆ หายๆ แก่คุณครูเชื้อโรค

                    อีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง ต้นเหตุของข่าวลือนี้อาจมาจากผู้ปกครองหรือคุณครุบางท่านที่ตั้งใจจะหยิบเรื่องนี้มาสั่งสอนและอาจเตือนเหล่าเด็กๆ ว่าให้ตั้งใจเรียน และเวลาเรียน เวลาอาจารย์สอน ควรเงียบๆ อย่าส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น แม้วิชาที่เรียนเวลานั้นจะน่าเบื่อก็ตาม หากไม่ทำตามที่ว่า เด็กคนนั้นอาจโดนคุณครูเชื้อโรคฆ่าก็เป็นได้

                   

                    เกม RPG ปริศนา เกม RPG ย่อมาจาก Role-playing game เป็นเกมส์ที่ใช้ ภาษา หรือ คำสั่ง ในการดำเนินการเล่นเกม เช่น เวลาต่อสู้ จะมีคำสั่งให้เลือกต่างๆ เช่น ใช้ไม้ตาย หรือโจมตีธรรมดา เกมที่ดังๆ ก็เช่นไฟนอล แฟนตาซี

                    รู้สึกว่าผีญี่ปุ่นจะเป็นผีที่ทันสมัยกว่าผีใดๆ ในโลก เพราะมันสิงเครื่องใช้ไฟฟ้า และใช้เครื่องไฟฟ้านี้หลอกหลอนผู้คนได้ด้วย(ขนาดอเมริกาแค่ทำให้เข้าของเครื่องใช้เคลื่อนไหว,เปิด-ปิดเท่านั้นเอง) เกม RPG ปริศนา เป็นเรื่องราวของเด็กสองคนที่ชื่อซาคาตะ(นามสมมุติ)กับโยโกยามะ(นามสมมุติ) ที่ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันโดยใช้เรื่องการเล่นเกมส์เป็นสายสัมพันธ์พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

                    วันหนึ่งในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังกลับบ้านโยโกยามะก็คุยโม้ว่าเขาได้เล่นเกมส์ดังเกมส์หนึ่งจบก่อนใคร และเขาบอกอีกว่าหลังเกมส์จบ จู่ๆ ก็มีฉากลับขึ้นมา…..

                    เช้าวันต่อมาซาคาตะก็พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเกมส์กับโยโกยามะเหมือนกับวันอื่นๆ หากแต่วันนี้โยโกยามะเปลี่ยนไป เขาไม่ร่าเริงเหมือนก่อน เขาบอกว่าเขาเล่นฉากเกมส์ลับนั่นไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีข้อความน่ากลัวออกจากทีวีว่า “ถ้าไม่เล่นเกมส์ให้จบภายใน 24 ชั่วโมง แกจะต้องตาย....”

                    ซาคาตะไม่เชื่อคำพูดของโยโกยามะเขาเล่นเกมส์ดั่งกล่าวจนจบเกมส์ และมีเกมส์ลับตามที่โยโกยามะว่าไว้ และมันก็ขึ้นข้อความน่ากลัวอย่างที่เขาพูดไม่มีผิด ตอนแรกๆ ซาคาตะไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่และคืนนั้นเขาก็พบประสบการณ์ผีอำ และวันต่อมาซาคาตะรู้ข่าวว่าโยโกยามะถูกฆ่าตายโดยอาวุธของมีคม จึงเป็นเหตุให้ซาคาตะเชื่อเลยว่าสาเหตุเป็นเพราะเกมส์ ด้วยความกลัวเขาจึงรีบกลับบ้านเพื่อเล่นเกมส์นี้ให้จบ และแล้วเรื่องราวสยองและความตื่นเต้นก็เริ่มขึ้น.....

                   

                    เรื่องทีวีหรรษา – เนื้อหาคล้ายๆ กับเรื่อง เกม RPG ปริศนา และข้อคิดก็เกือบคล้ายๆ กันอีก เพียงแต่เปลี่ยนจากวีดีโอเกมส์มาเป็นทีวีแทน เนื้อเรื่องกล่าวถึงคาจิยามะกับคุโดที่ชอบดูทีวีตอนดึกมาก และมักพูดคุยเกี่ยวกับรายการทีวีตอนดึกเสมอ

                    วันหนึ่งคุโดแนะนำให้คาจิยามะดูรายการประหลาดรายการหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในโปรแกรมทีวี ชื่อ “ทีวีหรรษา” มันจะฉายทุกวันศุกร์ ตี 2

                    คาจิยามะเห็นว่าน่าสนใจและคืนนั้นเขาก็เปิดทีวีรอดูรายการนั้นตามที่คุโดบอก และแล้วเขาก็พบรายการนั้นปรากฏขึ้นหน้าจออย่างพิศวง มันได้ขู่คาจิยามะว่าถ้าให้เพื่อน 5 คนรายการนี้ในศุกร์หน้าจะมีความสุข แต่หากทำไม่ได้คนนั้นจะต้องตาย และคาจิยามะได้เห็นภาพอนาคตกลายตายของคุโดที่หาคนดูได้แค่ 4 คน

                    และแล้วเช้าวันต่อมาคาจิยามะก็เห็นคุโดตายเหมือนในทีวีต่อหน้าต่อตา และเขาก็พบว่าเขาคือเหยื่อรายต่อไปของทีวีหรรษา...................

                    เนื้อหาทั้งสองมีจุดเหมือนกันคือคงเป็นข่าวลือที่สร้างขึ้นเพื่อไม่ให้เด็กหมกมุ่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอย่าเล่นเกมส์เกินเวลา อย่าดูทีวีดึกควรหลับแต่หัวค่ำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แทบจะอยู่คู่กับเด็กที่ชอบเกมสืและทีวีอยู่แล้ว และมันก็ได้ผลจริงๆ แหละ ตอนผมยังเด็กผมอ่านเรื่อง “ทีวีหรรษา” ผมเลยกลัวการดูทีวีตอนดึก มากๆ แต่พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง ผีที่ไหนสามารถสิงเครื่องใช้ไฟฟ้าได้

                    ผีคืออะไร?? แน่นอนมีข้อสมมุติฐานเกี่ยวกับผีต่างๆ บ้างก็ว่าผีเป็นพลังงาน มันจึงสามารถสิงในเครื่องไฟฟ้าได้ แต่ก็มีหลายคนเถียงเหมือนกัน หากผีเป็นพลังงานทำไมผีถึงมีชีวิตและมันหลอกคนเพื่ออะไร เพื่อแสดงอำนาจหรือ หรือว่ามันห่วงที่??

                    ในเรื่อง เกม RPG ปริศนา  มีปรากฏการณ์การผีอำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแน่นอนปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ผีอำโดยทั่วไปคนที่เชื่อเรื่องผีจะหมายความว่าเป็นปรากฏการณ์ผีหลอกในขณะนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น มีอาการที่รู้สึกแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือขยับตัวไม่ได้ในขณะนอน หรือนั่งเหมือนมีคนมานั่งทับบนตัว ว่ากันว่า เกิดจากการนั่ง หรือนอนผิดท่า ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ทำให้ขยับตัวไม่ได้ แต่ทางแพทย์อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจากการที่สมองตื่นไม่พร้อมกัน และมักเกิดกับคนที่มีอารมณ์เครียด โดยมี โกรธ โลภ หลง เศร้าสลด วิตกกังวล หวาดระแวง กลัว อิจฉาริษยา ฯลฯ เมื่อเวลานอนเคลิ้มๆ(จะหลับหรือตื่น) ก็จะเกิดความฝันจากอารมณ์ไม่ดีของตน และฝันร้ายนี้จะทำให้เกิดปฏิกริยาต่อร่างกายจนเกิดผีอำขึ้น ซึ่งจากที่สังเกตซาคาตะกับโยโกยามะก็มีอาการเหล่านี้หลังจากเห็นข้อความน่ากลัวปรากฏในเกมส์

                    ทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมเหมือนกันอีกอย่าง คือปรากฏการณ์จดหมายลูกโซ่ ซึ่งแต่เดิมจดหมายลูกโซ่นั้นอยู่ในรูปจดหมายที่เขียนด้วยกระดาษ ซึ่งภายในมีข้อความระบุให้ส่งจดหมายไปยังผู้รับรายต่อไป หากไม่ทำอาจได้เคราะห์ต่างๆ นาๆ ซึ่งคนที่หลงเชื่อจะปฏิบัติไปตามนั้นจะเป็นเหตุให้จดหมายถูกแพร่กระจายออกไปไม่รู้จบ

                    รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นจะค่อนข้างเครียดกับเรื่องนี้มากๆ นะครับ ถึงขั้นเป็นจริงเป็นจังเลยแหละ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่แล้วในการ์ตูนเรื่องกินทะมะของสยามที่ดังๆ นั้นแหละครับ ปัจจุบันเรื่องจดหมายลูกโซ่ได้พัฒนาไปสู่การส่งข้อความผ่านทาง อีเมล์ หรือทาง เว็บบอร์ด และผีเกี่ยวกับจดหมายลูกโซ่ก็เริ่มพัฒนาขึ้นด้วย อย่างเมนโมรี่ลูกซี่หากคุณไม่ถ่ายรูปคุณลงในเมมโมรี่ต้องสาปและไม่ส่งต่อให้คนอื่นใน 5 วันนี้ละก็คุณอาจตายได้ ซึ่งแม้จะพัฒนาขึ้นแต่มันเนื้อหาเดิมๆ คือทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนแหละ ดังนั้นการ์ตูนทั้งสองตอนดังกล่าวจึงมีข้อคิดอีกอย่างคืออย่าไปหลงเชื่อเรื่องจดหมายลูกโซ่

                    เห็นไหมครับถ้าคิดแบบผมผีสองตอน ไม่สิผีทั้งหมดในเรื่องจะไม่น่ากลัวแต่อย่างใด ถ้าคุณอ่านและคิดเป็นเรื่อยๆ ว่าเรื่องผีตอนนี้สอนเราเรื่องอะไร ที่มาของเรื่องนี้มาจากไหน คนปล่อยข่าวลื่อนี้ทำเพื่ออะไร การ์ตูนโรงเรียนเฮี้ยนก็จะกลายเป็นการ์ตูนที่มีประโยชน์เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

                    ไม่ใช่แค่4  เรื่องที่ยกตัวอย่างนะครับ ดูเหมือนว่าเรื่องเกือบทั้งหมดในการ์ตูนเรื่องนี้จะเป็น ผี ที่เกิดจากผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่สร้างขึ้นเพื่อให้เด็กๆ ไม่ทำผิด และให้เด็กกลับตัวเป็นคนดีหลายเรื่อง เช่น

                    เรื่องของคุณป้าทาก – สอนว่าอย่าไปไหนกับคนแปลกหน้า

                    ดอกไม้หน้าคน – อย่ารังแกคนอื่น และแค้นคนอื่น(ตอนนี้เศร้ามากกว่าสยอง)

                    เรื่องของคนรู – อย่าไปเล่นฝาท่อระบายน้ำ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุตกลงไปตายได้

                    เรื่องของ POOL โจจิ – อย่าไปเล่นน้ำที่สระน้ำคนเดียวตอนกลางคืน

                    ห้องปิดตาย – อย่าไปสถานที่เปลี่ยว เพราะอาจเจอพวกโจรหรือคนร้ายมากกว่าจะเจอผี

                    พระพุทธรูปหูยาว – อย่าลบหลู่และอย่าเล่นของสูง

                    โต๊ะฝันร้าย – อย่าหลับในเวลาเรียน

                   

                    ที่น่าสังเกตก็คือบางเรื่องญี่ปุ่นก็เอาวัฒนธรรมของชาวตะวันตกใส่เข้าไปในเรื่องเล่าด้วย เช่น ตอนปีศาจในโฮมรูมที่ 13 ซึ่งเป็นเรื่องที่เด็กชายคนหนึ่งต้องเผชิญกับเรื่องบังเอิญที่น่ากลัวที่ลงท้ายด้วยเลข 13 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นหวาดกลัวเลข 13 มาก จนเกิดเรื่องเล่านี้ขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นกลัวเลข 9 และ 4 มากกว่า ซึ่งเลข 9 ออกเสียงว่า “คุ” หมายถึงความยากลำบาก และ 4 ออกเสียงว่า “ชิ” แปลว่าตาย ส่วนเลข 13 นั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตกและชาวคริสต์มากกว่า

                   

                    อีกเรื่องที่เป็นของตะวันตก(ยุโรป) ชัดๆ  คือตอนเงาตามตัว ที่กล่าวถึง (Doppelganger) ซึงคนญี่ปุ่นเชื่อว่าหากเราเห็น ตัวเราอีกคนหนี่งที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ ตัวเราอีกคนนั้นจะเข้ามาในชีวิตและกลายเป็นตัวเราไป(นิสัยเปลี่ยน,พฤติกรรมเปลี่ยนไม่เหมือนคนเดิม)ซึงเรื่องของดอปเพลแกงเกอร์นั้นมาจากภาษาเยอรมันมีความหมายว่า “ภาพทำซ้ำเหมือนใครบางคน” ในยุโรปมีความเชื่อว่าเป็นลางสังหรณ์ความตายล่วงหน้าว่าจะมาเยือนในไม่ช้า โดยลางสังหรณ์จะปรากฏขึ้นโดยคนๆนั้นจะเห็นภาพของตัวเองปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าต่างหรือกระจกเงาคล้ายกับภาพอีกภาพของตัวเองปรากฏอยู่ในที่ต่างๆ ซึ่งในประวัติศาสตร์มีบุคคลสำคัญที่พบปรากฏการณ์นี้มากมาย เช่น เอลิซาเบทที่ 1(Elizabeth I) และ ควีน คัทเธอรีน แห่งรัสเซีย(Catherine the Great) เป็นต้น

                    แต่กระนั้นบางเรื่องก็มีอะไรมากกว่าสอนให้เด็กเป็นเด็กดีนะครับ

                   

                    แถมบางเรื่องก็ซึ้งมากกว่าสยอง และแฝงอะไรเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวของญี่ปุ่นด้วย เช่น เรื่องของน้ำผลไม้สีดำที่เป็นเรื่องราวของน้ำกระป๋องประหลาดบนตู้หยอดเหรียญที่ทำให้คนดื่มแล้วทำให้กลายเป็นคนจิตใจโหดร้ายชอบฆ่าสัตว์ จนสัตว์เล็กๆ เริ่มเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็ฆ่าล้างครอบครัว สิ่งเหล่านี้อาจเป็นการประชดวัฒนธรรมญี่ปุ่นในปัจจุบันที่ครอบครัวละเลยเอาใจใส่บุตรหลาน สนแต่คะแนนสอบมากกว่าสนในเรื่องจิตใจ จนบุตรหลานเกิดความแค้น และระบายออกด้วยความรุนแรง จนคนอื่นๆ เปรียบเปรยว่าเหมือนผีสิงหรือกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า

                    
                   หรือจะเป็นเรื่อง หมาไม่มีหัว – ที่หมาซื่อสัตย์ตัวหนึ่งปกป้องเจ้านายจากการโดนมอเตอร์ไซต์ทับจนมันหัวขาดตาย และแม้ว่ามันจะตายแล้วมันก็ยังตามมาคุ้มคลองเจ้าของ ในเวลาที่เจ้าของตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าเจ้าของคนนั้นจะเป็นคนเลวหรือไม่ก็ตาม......ซึ้งอ่ะ...อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยตอนนี้ และตอนนี้ก็เป็นตอนที่บอกให้เรารู้ได้อย่างดีเลยว่า ผีในเรื่อง “โรงเรียนเฮี้ยน” นั้นเป็นผีดีมากกว่าร้าย ทุกตอนล้วนแฝงคติประจำใจต่างๆ อย่างที่ว่าไว้ตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง

                    ทุกเรื่องมีข้อคิดเหมือนๆ กันคือ “ข่าวลือ” ข่าวลือและเรื่องเล่าส่วนมากมักจะเป็นเรื่องไม่ดี อีกทั้งยังมีการแต่งเติมเสริมแต่งให้ดูน่ากลัวมากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องใส่ใจข้อเท็จจริงหรือมีหลักฐานแต่อย่างใด(หรือถ้ามีก็เป็นหลักฐานเท็จ) ข่าวลือมักแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจากปากต่อปาก ดังนั้นเวลาเราจะเชื่อเรื่องอะไรเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน เราก็ไม่ควรเชื่อมากเกินไป ยิ่งเป็นข่าวลือไม่ดี หรือทำให้คนๆ นั้นเสียหายละก็ ควรไตร่ตรองให้มาก จะเป็นการดีที่สุด

     

    "ข่าวลือข่าวลวงจะวิ่งไปรอบๆ โลก ก่อนที่ความจริงจะตั้งต้นสตาร์ทเสียอีก"

    (Terry Pratchett, The Truth)

     + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×